ที่เที่ยวอยุธยา
ตามรอยละครพรหมลิขิต
1. วัดไชยวัฒนาราม
จุดเช็กอินยอดฮิตที่พลาดไม่ได้สำหรับวัดไชยวัฒนาราม คือ ปรางค์ประธานองค์ใหญ่เด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลาง มีปรางค์บริวารอยู่รอบ ๆ พร้อมกับสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ โดยในช่วงระหว่างวันที่ 13 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2566 (เฉพาะวันศุกร์-อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ และเทศกาลสำคัญ) กำลังมีการจัดงาน “ราตรีนี้...ที่วัดไชยวัฒนาราม” เพื่อให้ทุกคนได้ยลโฉมความงามของโบราณสถานยามค่ำคืน ผ่านการประดับเเสงสีอย่างสวยงามรอบบริเวณวัดด้วย
ราตรีนี้...ที่วัดไชยวัฒนาราม แต่งชุดไทย ชมแสงสีตระการตายามค่ำคืน
2. วัดพุทไธศวรรย์
3. วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร
วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร ตั้งอยู่ภายในกำแพงกรุงศรีอยุธยาทางทิศใต้ ริมป้อมเพชร ตำบลหอรัตนไชย อำเภอพระนครศรีอยุธยา เป็นวัดประจำตระกูลราชวงศ์จักรี เดิมวัดแห่งนี้มีชื่อว่า “วัดทอง” เป็นวัดที่พระบรมมหาชนกของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ทรงสร้างไว้สมัยกรุงศรีอยุธยา ลักษณะสถาปัตยกรรมของวัดนั้น ตัวโบสถ์จะตกท้องช้าง ทำให้คล้ายท้องเรือสำเภา ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปิดทองปางมารวิชัย มีจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่เขียนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งได้รับการบูรณะมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน
ส่วนวิหารเป็นอาคารที่สร้างขึ้นในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจมาดูภาพจิตรกรรมฝาผนังอย่างมาก เพราะเป็นภาพเขียนสีน้ำมันฝีมือของ มหาเสวกตรี พระยาอนุศาสน์จิตร เป็นภาพเรื่องพระราชพงศาวดารสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นภาพเขียนที่มีความเหมือนจริง มีใบหน้า ร่างกาย กล้ามเนื้อและสัดส่วนตามสรีระของบุคคลจริง อันมีอิทธิพลมาจากตะวันตกและได้นำมาประยุกต์ใช้ในจิตรกรรมไทย ซึ่งเชื่อว่าเป็นจิตรกรรมสีน้ำมันบนฝาผนังปูนแห่งแรกในประเทศไทย
วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร พระนครศรีอยุธยา นมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชมจิตรกรรมฝาผนัง
4. พระราชวังโบราณ และวัดพระศรีสรรเพชญ์
พระราชวังโบราณ หรือ พระราชวังหลวง ที่ปรากฏในพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันคงเหลือแต่ฐานอาคารให้เห็นเท่านั้น สันนิษฐานว่าสร้างตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ มีการสร้างพระที่นั่งต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีกหลายครั้งตลอดระยะเวลาที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
ไม่ไกลจากพระราชวังโบราณ คือ วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดสำคัญที่สร้างอยู่ในพระราชวังหลวง เทียบได้กับ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร หรือ วัดมหาธาตุแห่งกรุงสุโขทัย ในปัจจุบันยังคงไว้ซึ่งโครงสร้างสถาปัตยกรรมที่งดงามและทรงคุณค่า ภายในมีเจดีย์ทรงลังกาจำนวน 3 องค์ วางตัวเรียงยาวตลอดทิศตะวันออกและทิศตะวันตก สร้างขึ้นเป็นองค์แรกทางฝั่งตะวันออก โดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พระราชบิดา) ต่อมาทรงให้สร้างเจดีย์องค์ต่อมา (องค์กลาง) เพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 (พระเชษฐาต่างพระมารดาของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2) และเจดีย์ฝั่งตะวันตก สร้างในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (สมเด็จพระหน่อพุทธางกูร) เพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระราชบิดา) รวมเป็น 3 องค์ตามที่เห็นในปัจจุบัน
วัดพระศรีสรรเพชญ์อยู่ติดกับพระราชวังโบราณ
5. วัดย่านอ่างทอง (จุฬาโลก)
วัดย่านอ่างทอง หรือเดิมชื่อ วัดจุฬาโลก เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน้อย ตำบลบ้านใหญ่ อำเภอผักไห่ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 30 กิโลเมตร ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้าง แต่หากพิจารณาจากภูมิศาสตร์พื้นที่ของวัด สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างตั้งแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา เพราะแม่น้ำน้อยถือเป็นเส้นทางสัญจรหลักที่สำคัญมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ที่สามารถเชื่อมโยงกับหัวเมืองที่สำคัญทางตอนเหนือ ได้แก่ เมืองแพรกศรีราชา เมืองชัยนาท เมืองพระบาง (นครสวรรค์) ดังปรากฏอยู่ตามหลักฐานต่าง ๆ เช่น แผนที่ในสมุดภาพไตรภูมิฉบับกรุงธนบุรี เป็นต้น
6. วัดพระงาม คลองสระบัว
วัดพระงาม หรือ วัดชะราม เป็นโบราณสถานในกลุ่มโบราณสถานคลองสระบัว นอกเกาะเมืองอยุธยา ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลคลองสระบัว ไม่ปรากฏหลักฐานตามเอกสารว่าวัดพระงามสร้างขึ้นเมื่อใด แต่จากการขุดค้นทางโบราณคดีและการวางผังของวัด เป็นแบบที่นิยมในสมัยอยุธยาตอนต้น และเป็นที่นิยมในกลุ่มศิลปะจากราชวงศ์สุพรรณภูมิ ซึ่งมีลักษณะสำคัญคือ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีคูน้ำล้อมรอบ มีเจดีย์ประธานอยู่หน้าโบสถ์ เป็นเจดีย์ทรงกลมบนฐานสี่เหลี่ยมซ้อนอยู่บนฐานแปดเหลี่ยม ทั้งนี้ สันนิษฐานว่า วัดพระงาม น่าจะถูกทิ้งร้างไปเมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 231
7. วัดพระราม
หนึ่งในสถานที่ที่พุดตานขี่สกูตเตอร์เที่ยวชมอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โดย วัดพระราม เป็นวัดที่ตั้งอยู่นอกเขตพระราชวังทางด้านทิศตะวันออก อยู่ใจกลางเกาะเมืองเก่าอยุธยา ใกล้กับสวนสาธารณะพระราม มีพระปรางค์ขนาดใหญ่เห็นเด่นชัดแต่ไกล องค์ปรางค์ก่อด้วยอิฐสอปูน เป็นสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนต้นที่นิยมทำเป็นพระปรางค์ เพราะได้รับอิทธิพลแบบเขมรโบราณจากเมืองละโว้ (ลพบุรี)
สมเด็จพระราเมศวร โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นตรงบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) พระราชบิดา วัดนี้มีบึงขนาดใหญ่อยู่หน้าวัด เมื่อมีการสร้างกรุงศรีอยุธยา คงจะมีการขุดเอาดินในหนองมาถมพื้นที่วังและวัด พื้นที่ที่ขุดเอาดินมาได้กลายเป็นบึงใหญ่ บึงมีชื่อปรากฏในกฎมณเฑียรบาลว่า บึงชีขัน ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บึงพระราม ปัจจุบันคือ สวนสาธารณะบึงพระราม ซึ่งใช้เป็นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ
8. วัดนก (โบราณสถานร้าง)
วัดนก วัดร้างที่ตั้งอยู่ในตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของวัดมหาธาตุ สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ไม่ปรากฏนามผู้สร้าง โดยได้ปรากฏในพระราชพงศาวดารว่าเป็นที่พำนักจำพรรษาของ พระมหาเถรคันฉ่อง หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกวาดต้อนครอบครัวมอญลงมาหลังจากประกาศอิสรภาพ ส่วนพระยาเกียรติ พระยาราม โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้วัดขุนแสน ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนวัดนกเป็นโบราณสถาน และได้ทำการขุดแต่งบูรณปฏิสังขรณ์ โดยโบราณสถานของวัดที่ยังคงหลงเหลืออยู่คือพระปรางค์กับพระวิหาร
สถานที่แห่งนี้ถูกใช้ถ่ายทำฉากที่พุดตานขี่สกูตเตอร์เที่ยวชมอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาอีกเช่นกัน
9. วัดบรมพุทธาราม
10. วัดพนัญเชิงวรวิหาร
วัดพนัญเชิงวรวิหาร วัดเก่าแก่ที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน มีการก่อสร้างมาตั้งแต่ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง จากหนังสือพงศาวดารเหนือนั้นกล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้าง และพระราชทานนามว่า วัดเจ้าพระนางเชิง ส่วนในพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐก็บอกไว้อีกว่า ได้มีการสถาปนาพระพุทธรูปชื่อ พระเจ้าพแนงเชิง เมื่อปี พ.ศ. 1867 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปี
11. วัดกุฎีดาว
12. วัดมเหยงคณ์
วัดมเหยงคณ์ พระอารามที่ตั้งอยู่นอกเกาะเมือง ทางด้านทิศตะวันออกของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บริเวณเดียวกับวัดช้างและวัดสีกาสมุด เคยเป็นวัดหลวงฝ่ายวิปัสสนาธุระที่สำคัญ สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) โดยสมเด็จพระเจ้าสามพระยา (เจ้าฟ้าอภัยธิเบศร์) พระราชโอรสของพระองค์ ในบริเวณพื้นที่ท้องทุ่งโบราณที่เรียกว่า ทุ่งพระอุทัย (ปัจจุบันคือทุ่งหันตรา) และเป็นสถานที่ประสูติของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ใน พ.ศ. 2112
วัดมเหยงคณ์เป็นที่ตั้งทัพหลวงของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง การศึกครั้งนี้กรุงศรีอยุธยาได้เสียแก่หงสาวดี สมเด็จพระมหินทราธิราชถูกนำตัวไปถวายพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ณ ค่ายวัดมเหยงคณ์ อันเป็นที่ตั้งทัพหลวง วัดนี้ได้รับการปฏิสังขรณ์จากพระมหากษัตริย์ตลอดมา จนถึงรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระทอดพระเนตรเห็นสภาพทรุดโทรม จึงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ โดยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างตำหนักกำมะเลียน ริมวัดมเหยงคณ์ ทรงเป็นแม่กองเพื่อควบคุมการบูรณปฏิสังขรณ์ด้วยพระองค์เองถึง 3 ปี จึงแล้วเสร็จ จากนั้นโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งมหรสพสมโภชอยู่หลายวัน นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯ ให้มีการต่อเรือกำปั่นบริเวณหน้าวัดมเหยงคณ์ เพื่อบรรทุกช้างไปขายยังเมืองมะริดด้วย
ปัจจุบันวัดมเหยงคณ์เป็นวัดร้างมาเป็นเวลากว่า 200 ปีแล้ว สันนิษฐานว่าสาเหตุของการกลายเป็นวัดร้างนั้นน่าจะมาจากสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 ที่มีการทำลายล้างวัดวาอารามเป็นจำนวนมาก
13. วัดโคกพระยา
ทั้งยังมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในยุคสมัยต่อมาที่กล่าวถึงเหตุการณ์สำเร็จโทษเจ้านายอีกหลายพระองค์บริเวณโคกพระยา เช่น พระรัษฎาธิราช พระศรีศิลป์ เจ้าฟ้าไชย พระศรีสุธรรมราชา ในยุคราชวงศ์บ้านพลูหลวงก็ปรากฏเหตุการณ์สำเร็จโทษเจ้านายอีกหลายพระองค์ ได้แก่ เจ้าพระขวัญ ซึ่งเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเพทราชาที่ประสูติแต่กรมหลวงโยธาทิพ เจ้าฟ้าอภัย และเจ้าฟ้าปรเมศร์ พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ เป็นต้น
14. หมู่บ้านโปรตุเกส
ตั้งอยู่ที่ตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา เป็นชุมชนของชาวโปรตุเกสที่เข้ามาค้าขายและอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ชาวโปรตุเกสถือเป็นชาวยุโรปชาติแรกที่เข้ามาค้าขายในสมัยอยุธยา มีการเจริญสัมพันธไมตรีกันอย่างเป็นทางการ จากนั้นชาวโปรตุเกสมีความดีความชอบในการเข้าร่วมสงคราม จึงได้รับพระราชทานที่ดินเป็นบำเหน็จรางวัล ให้ชาวโปรตุเกสมาตั้งบ้านเรือนและสร้างวัดนับถือศาสนาคริสต์ได้อย่างเสรี
สำหรับหมู่บ้านโปรตุเกส เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ถูกเอ่ยถึงในฉากที่พระยาวิสูตรสาครพาแม่หญิงการะเกดไปเยี่ยมท้าวทองกีบม้าอีกครั้ง ณ ชุมชนโปรตุเกส
15. หอกลอง
หอกลอง สมัยกรุงศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างด้วยเครื่องไม้ จึงน่าจะถูกเผาทำลายไปพร้อมกับสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ทำให้ในปัจจุบันไม่ปรากฏหลักฐานใด ๆ อย่างไรก็ตาม ในเอกสารคำพรรณนาภูมิสถานพระนครศรีอยุธยา หรือคำให้การขุนหลวงหาวัด ได้พรรณนาถึงรูปลักษณ์ของหอกลอง ตำแหน่งที่ตั้ง รวมถึงการใช้ประโยชน์และการดูแลรักษา โดยสรุปว่า หอกลองตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณคุกนครบาล ป่า (ตลาด) ผ้าเขียว ศาลพระกาฬ วัดเกษ และจุดตัดระหว่างถนนมหารัถยากับถนนป่าโทน ชาวเมืองนิยมเรียกจุดนี้ว่า ตะแลงแกง ซึ่งมีรากมาจากภาษาเขมรโบราณคือคำว่า ตรอแลงแกง หมายถึงทางแยก บริเวณนี้จึงเป็นทางสี่แพร่ง เป็นศูนย์กลางของพระนครศรีอยุธยา
จากกระแสละคร พรหมลิขิต ทำให้ที่เที่ยวอยุธยา โดยเฉพาะวัดวาอารามเก่าแก่ กลับมาเป็นกระแสยอดฮิตอีกครั้ง มีทั้งนักท่องเที่ยวและแฟนละครตามรอยไปเที่ยวกันอย่างคึกคัก ทั้งนี้ ละคร พรหมลิขิต ยังมีผังออนแอร์ไปจนถึงช่วงกลางเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งยังพอมีเวลาให้เตรียมตัวไปเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวสวย ๆ ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้สบาย ๆ แถมไปเที่ยวได้ง่าย ๆ เพราะใกล้กรุงเทพฯ จะไปแบบวันเดียว เช้าไป-เย็นกลับ หรือนอนพักค้างแรมสักคืนก็ดีนะ
หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง
บทความ เที่ยวอยุธยา วัดอยุธยา อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- ตามรอยบุพเพสันนิวาส ไปเที่ยววัดดังจังหวัดอยุธยา
- ตามรอย บุพเพสันนิวาส ชมสถานที่ถ่ายทำและสถานที่สำคัญในละคร
- เที่ยวอยุธยา 1 วัน ตามรอยบุพเพสันนิวาสในวันหยุด
- ไหว้พระอยุธยา 9 วัด สายมูห้ามพลาด ทำบุญเสริมมงคล ส่งผลดีตลอดปี
- ทริปไหว้พระ 9 วัดอยุธยา ไปง่าย ๆ ด้วยรถไฟ ใกล้ ๆ กรุงเทพฯ
- ไหว้พระ 9 วัด อยุธยา อิ่มบุญ สุขใจ ไปได้ทั้งครอบครัว
- เที่ยวอยุธยา เรียนรู้ 9 วัด ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน