ประเพณีภาคเหนือ เรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของภาคเหนือ ทั้งวัฒนธรรม พิธีกรรม ความเชื่อ ภาษา การแต่งกาย การละเล่นพื้นบ้าน และอาหาร ฯลฯ นับเป็นกิจกรรมที่มีการปฏิบัติสืบเนื่องกันมาอย่างยาวนาน
ภาคเหนือ หรือล้านนา
ดินแดนแห่งความหลากหลายทางประเพณีและวัฒนธรรมที่มีความน่าสนใจไม่น้อยไปกว่าภาคอื่นของไทย
เพราะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์มนตร์ขลัง
ชวนให้น่าขึ้นไปสัมผัสความงดงามเหล่านี้ยิ่งนัก
ส่วนบรรดานักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมชมต่างก็ประทับใจกับสถานที่ท่องเที่ยวมากมายและน้ำใจอันล้นเหลือของชาวเหนือ
ดังนั้น ใครที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปเยือนสักครั้งคงต้องไปแล้วล่ะค่ะ
ว่าแล้วเราก็ขอนำประวัติเล็ก ๆ น้อย ๆ
พร้อมข้อมูลเกี่ยวกับ วัฒนธรรมและประเพณีของภาคเหนือ มาฝากกัน
เผื่อเป็นไกด์ให้เพื่อน ๆ
ได้ศึกษาหาข้อมูลก่อนจะเดินทางไปเยือนเมืองเหนือยังไงล่ะ
วัฒนธรรมและประเพณีภาคเหนือ

ภาพจาก Jacktamrong / Shutterstock.com
สำหรับภาคเหนือของไทยมีลักษณะภูมิประเทศเป็นเขตภูเขาสลับพื้นที่ราบระหว่างภูเขา
ซึ่งผู้คนอาศัยอย่างกระจายตัวแบ่งกันเป็นกลุ่ม อาจเรียกว่ากลุ่มวัฒนธรรมล้านนา
โดยจะมีวิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมเก่าแก่เป็นของตนเอง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แต่องค์ประกอบที่สำคัญก็ยังมีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก อาทิ สำเนียงการพูด
การขับร้อง ฟ้อนรำ การดำรงชีวิตแบบเกษตรกร
การนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวิญญาณของบรรพบุรุษ
ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท การแสดงออกของความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์โดยผ่านภาษาวรรณกรรม
ดนตรี และงานฝีมือ แม้กระทั่งการจัดงานฉลองสถานที่สำคัญที่มีมาแต่โบราณ เดิมวัฒนธรรมคนเมืองหรือคนล้านนามีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่
ตามชื่อของอาณาจักรที่มีการปกครองแบบนครรัฐ ที่ตั้งขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 18
โดยพญาเม็งราย
เนื่องจากภูมิประเทศส่วนใหญ่ของภาคเหนือเป็นภูขาสูงสลับกับแอ่งหุบเขา ทำให้ในฤดูหนาวมีอากาศหนาวจัด ในฤดูร้อนจะมีอุณหภูมิค่อนข้างสูง เพราะอยู่ห่างไกลจากทะเล มีป่าไม้มาก จึงถือเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำที่สำคัญหลายสาย ได้แก่ แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม และแม่น้ำน่าน มีพื้นที่รวมทั้งหมด 93,690.85 ตารางกิโลเมตร เมื่อเทียบขนาดภาคเหนือจะมีพื้นที่ใกล้เคียงกับประเทศฮังการีมากที่สุด แต่จะมีขนาดเล็กกว่าประเทศเกาหลีใต้เล็กน้อย
ทั้งนี้ ภาคเหนือมีทั้งสิ้น 17 จังหวัด แบ่งออกเป็นภาคเหนือตอนบน และภาคเหนือตอนล่าง ดังนี้
ภาคเหนือตอนบน มีทั้งหมด 9 จังหวัด ได้แก่
1. จังหวัดเชียงราย
2. จังหวัดเชียงใหม่
3. จังหวัดน่าน
4. จังหวัดพะเยา
5. จังหวัดแพร่
6. จังหวัดแม่ฮ่องสอน
7. จังหวัดลำปาง
8. จังหวัดลำพูน
9. จังหวัดอุตรดิตถ์
ภาคเหนือตอนล่าง มีทั้งหมด 8 จังหวัด ได้แก่
1. จังหวัดตาก
2. จังหวัดพิษณุโลก
3. จังหวัดสุโขทัย
4. จังหวัดเพชรบูรณ์
5. จังหวัดพิจิตร
6. จังหวัดกำแพงเพชร
7. จังหวัดนครสวรรค์
8. จังหวัดอุทัยธานี
วัฒนธรรมในท้องถิ่นของภาคเหนือ แบ่งออกได้ดังนี้
วัฒนธรรมทางภาษาถิ่น
ชาวไทยทางภาคเหนือมีภาษาล้านนาที่นุ่มนวลไพเราะ ซึ่งมีภาษาพูดและภาษาเขียนที่เรียกว่า "คำเมือง" ของภาคเหนือเอง โดยการพูดจะมีสำเนียงที่แตกต่างกันไปตามพื้นที่ ปัจจุบันยังคงใช้พูดติดต่อสื่อสารกัน
วัฒนธรรมการแต่งกาย
การแต่งกายพื้นเมืองของภาคเหนือมีลักษณะแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติของกลุ่มชนคนเมือง เนื่องจากผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งบ่งบอกเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นถิ่น
- หญิงชาวเหนือจะนุ่งผ้าซิ่นหรือผ้าถุง มีความยาวเกือบถึงตาตุ่ม ซึ่งนิยมนุ่งทั้งหญิงสาวและคนแก่ ผ้าถุงจะมีความประณีต งดงาม ตีนซิ่นจะมีลวดลายงดงาม ส่วนเสื้อจะเป็นเสื้อคอกลม มีสีสัน ลวดลายสวยงาม อาจห่มสไบทับ และเกล้าผม
- ผู้ชายนิยมนุ่งกางเกงขายาวลักษณะแบบกางเกงขายาวแบบสามส่วน เรียกติดปากว่า "เตี่ยว" "เตี่ยวสะดอ" หรือ "เตี่ยวกี" ทำจากผ้าฝ้ายย้อมสีน้ำเงินหรือสีดำ และสวมเสื้อผ้าฝ้ายคอกลมแขนสั้นแบบผ่าอก กระดุม 5 เม็ด สีน้ำเงินหรือสีดำ ที่เรียกว่า เสื้อม่อฮ่อม ชุดนี้ใส่เวลาทำงาน หรือคอจีนแขนยาว อาจมีผ้าคาดเอว ผ้าพาดบ่า และมีผ้าโพกศีรษะ
ชาวบ้านบางแห่งสวมเสื้อม่อฮ่อม นุ่งกางเกงสามส่วน และมีผ้าคาดเอว เครื่องประดับมักจะเป็นเครื่องเงินและเครื่องทอง
ผ้าพื้นเมืองของภาคเหนือ
+ ผ้าฝ้ายลายปลาเสือตอ จังหวัดนครสวรรค์
+ ผ้าไหมลายเพชร จังหวัดกำแพงเพชร
+ ผ้าพื้นเมืองเชียงแสน ลายดอกขอเครือ (เกี่ยวขอ) จังหวัดเชียงราย
+ ผ้าตีนจกลายเชียงแสน หงส์บี้ จังหวัดเชียงใหม่
+ ผ้าฝ้ายลายดอกปีกค้างคาว จังหวัดตาก
+ ผ้าไหมลายน้ำไหล จังหวัดน่าน
+ ผ้าฝ้ายลายนกกระจิบ จังหวัดพิจิตร
+ ผ้าฝ้ายมัดหมี่ลายดอกปีบ จังหวัดพิษณุโลก
+ ผ้าหม้อห้อม จังหวัดแพร่
วัฒนธรรมการกิน
ชาวเหนือมีวัฒนธรรมการกินคล้ายกับคนอีสาน คือ กินข้าวเหนียวและปลาร้า ซึ่งภาษาเหนือเรียกว่า "ข้าวนิ่ง" และ "ฮ้า" ส่วนกรรมวิธีการปรุงอาหารของภาคเหนือจะนิยมการต้ม ปิ้ง แกง หมก ไม่นิยมใช้น้ำมัน ส่วนอาหารขึ้นชื่อเรียกว่าถ้าได้ไปเที่ยวต้องไปลิ้มลอง ได้แก่ น้ำพริกหนุ่ม, น้ำพริกอ่อง, น้ำพริกน้ำปู, ไส้อั่ว, แกงโฮะ, แกงฮังเล, แคบหมู, ผักกาดจอ, ลาบหมู, ลาบเนื้อ, จิ้นส้ม (แหนม), ข้าวซอย และขนมจีนน้ำเงี้ยว เป็นต้น

หากอยากรู้จักอาหารรสเด็ดของชาวเหนือให้มากกว่านี้ สามารถรับฟังบทเพลง "ของกิ๋นคนเมือง" ที่ขับร้องโดย คุณจรัล มโนเพ็ชร ที่อาจชวนให้คนฟังหิวจนน้ำลายสอเลยล่ะ
นอกจากนี้ชาวเหนือชอบกินหมากและอมเมี่ยง โดยนำใบเมี่ยงที่เป็นส่วนใบอ่อนมาหมักให้มีรสเปรี้ยวอมฝาด เมื่อหมักได้ระยะเวลาที่ต้องการจะนำใบเมี่ยงมาผสมเกลือเม็ดหรือน้ำตาล แล้วแต่ความชอบ นอกจากการอมเมี่ยงแล้ว คนล้านนาโบราณนิยมสูบบุหรี่ที่มวนด้วยใบตองกล้วย มวนหนึ่งขนาดเท่านิ้วมือ และยาวเกือบคืบ ชาวบ้านเรียกบุหรี่ชนิดนี้ว่า ขี้โย หรือ บุหรี่ขี้โย ที่นิยมสูบกันมากอาจเนื่องมาจากอากาศหนาวเย็น เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น
วัฒนธรรมที่เกี่ยวกับศาสนา-ความเชื่อ
ชาวล้านนามีความผูกพันอยู่กับการนับถือผี เชื่อว่ามีสิ่งเร้นลับคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ ซึ่งสามารถพบเห็นได้จากการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อเวลาที่ต้องเข้าป่าหรือต้องค้างพักแรมอยู่ในป่า จะนิยมบอกกล่าวและขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางอยู่เสมอ และเมื่อถึงเวลากินข้าวในป่าจะแบ่งอาหารบางส่วนให้เจ้าที่อีกด้วย เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่ยังคงผูกพันอยู่กับการนับถือผีสาง โดยแบ่งประเภทไว้ดังนี้
+ ผีบรรพบุรุษ มีหน้าที่คุ้มครองเครือญาติและครอบครัว
+ ผีอารักษ์ หรือผีเจ้าที่เจ้าทาง มีหน้าที่คุ้มครองบ้านเมืองและชุมชน
+ ผีขุนน้ำ มีหน้าที่ให้น้ำแก่ไร่นา
+ ผีฝาย มีหน้าที่คุ้มครองเมืองฝาย
+ ผีสบน้ำ หรือผีปากน้ำ มีหน้าที่คุ้มครองบริเวณที่แม่น้ำสองสายมาบรรจบกัน
+ ผีวิญญาณประจำข้าว เรียกว่า เจ้าแม่โพสพ
+ ผีวิญญาณประจำแผ่นดิน เรียกว่า เจ้าแม่ธรณี
ทั้งนี้ ชาวล้านนาจะมีการเลี้ยงผีบรรพบุรุษในช่วงระหว่างเดือน 4 เหนือเป็ง (มกราคม) จนถึง 8 เหนือ (พฤษภาคม) เช่น ที่อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา จะมีการเลี้ยงผีเสื้อบ้านเสื้อเมือง ซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษของชาวไทลื้อ พอหลังจากนี้อีกไม่นานก็จะมีการเลี้ยงผีลัวะ หรือประเพณีบูชาเสาอินทขิล ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ของคนเมือง ไม่นับรวมถึงการ เลี้ยงผีมด ผีเม็ง และการเลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะของชาวลัวะ ซึ่งจะทยอยทำกันต่อจากนี้
ส่วนช่วงกลางฤดูร้อนจะมีการลงเจ้าเข้าทรงตามหมู่บ้านต่าง ๆ อาจเป็นเพราะความเชื่อที่ว่าการลงเจ้าเป็นการพบปะพูดคุยกับผีบรรพบุรุษ ซึ่งในปีหนึ่งจะมีการลงเจ้า 1 ครั้ง และจะถือโอกาสทำพิธีรดน้ำดำหัวผีบรรพบุรุษไปด้วย นอกจากนี้ยังมีพิธีเลี้ยง "ผีมดผีเม็ง" ที่จัดขึ้นครั้งเดียวใน 1 ปี โดยจะต้องหาฤกษ์ยามที่เหมาะสม ก่อนวันเข้าพรรษาจะทำพิธีอัญเชิญผีเม็งมาลง เพื่อขอให้ช่วยปกปักรักษา คุ้มครองชาวบ้านที่เจ็บป่วย
อย่างไรก็ตาม คนล้านนามีความเชื่อในการเลี้ยงผีเป็นพิธีกรรมที่สำคัญ แม้ว่าการดำเนินชีวิตจะราบรื่นไม่ประสบปัญหาใด แต่ก็ยังไม่ลืมบรรพบุรุษที่เคยช่วยเหลือให้มีชีวิตที่ปกติสุขมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ยังคงพบเรือนเล็ก ๆ หลังเก่าตั้งอยู่กลางหมู่บ้านเสมอ หรือเรียกว่า "หอเจ้าที่ประจำหมู่บ้าน" เวลาเดินทางไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ ในชนบท ความเชื่อดังกล่าวจึงส่งผลต่อขนบธรรมเนียม ประเพณี และพิธีกรรมต่าง ๆ ของชาวเหนือ เช่น ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวเหนือ (พ่ออุ๊ย-แม่อุ๊ย) เมื่อไปวัดฟังธรรมก็จะประกอบพิธีเลี้ยงผี คือ จัดหาอาหารคาว-หวานเซ่นสังเวยผีปู่ย่าด้วย แม้ปัจจุบันในเขตตัวเมืองของภาคเหนือจะมีการนับถือผีที่อาจเปลี่ยนแปลงและเหลือน้อยลง แต่ชาวบ้านในชนบทยังคงมีการปฏิบัติกันอยู่
ประเพณีของภาคเหนือ
ประเพณีของภาคเหนือ เกิดจากการผสมผสานการดำเนินชีวิตและศาสนาพุทธ ความเชื่อเรื่องการนับถือผี ส่งผลให้มีประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของประเพณีที่จะแตกต่างกันไปตามฤดูกาล ทั้งนี้ ภาคเหนือจะมีงานประเพณีในรอบปีแทบทุกเดือน จึงขอยกตัวอย่างประเพณีภาคเหนือบางส่วนมานำเสนอ ดังนี้
สงกรานต์งานประเพณี ถือเป็นช่วงแรกของการเริ่มต้นปี๋ใหม่เมือง หรือสงกรานต์งานประเพณี โดยแบ่งออกเป็น
วันที่ 13 เมษายน หรือ วันสังขารล่อง ถือเป็นวันสิ้นสุดของปี โดยจะมีการยิงปืนและจุดประทัดตั้งแต่ก่อนสว่างเพื่อขับไล่สิ่งไม่ดี วันนี้ต้องเก็บกวาดบ้านเรือนและทำความสะอาดวัด
วันที่ 14 เมษายน หรือ วันเนา ตอนเช้าจะมีการจัดเตรียมอาหารและเครื่องไทยทานสำหรับงานบุญในวันรุ่งขึ้น ตอนบ่ายจะไปขนทรายจากแม่น้ำเพื่อนำไปก่อเจดีย์ทรายในวัด เป็นการทดแทนทรายที่เหยียบติดเท้าออกจากวัดตลอดทั้งปี
วันที่ 15 เมษายน หรือ วันพญาวัน เป็นวันเริ่มศักราชใหม่ มีการทำบุญถวายขันข้าว ถวายตุง ไม้ค้ำโพธิ์ ที่วัด สรงน้ำพระพุทธรูป พระธาตุ และรดน้ำดำหัวขอพรจากผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ
วันที่ 16-17 เมษายน หรือ วันปากปี และ วันปากเดือน เป็นวันทำพิธีทางไสยศาสตร์ สะเดาะเคราะห์ และบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ทั้งนี้ ชาวล้านนามีความเชื่อว่าการทำพิธีสืบชะตาจะช่วยต่ออายุให้ตนเอง ญาติพี่น้อง และบ้านเมืองให้ยืนยาว ทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นสิริมงคล โดยแบ่งการสืบชะตาแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ การสืบชะตาคน การสืบชะตาบ้าน และการสืบชะตาเมือง

แห่นางแมว ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม เป็นช่วงของการเพาะปลูก หากปีใดฝนแล้งไม่มีน้ำจะทำให้นาข้าวเสียหาย ชาวบ้านจึงพึ่งพาสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น ทำพิธีขอฝนโดยการแห่นางแมว โดยมีความเชื่อกันว่าหากกระทำเช่นนั้นแล้วจะช่วยให้ฝนตก
ประเพณีปอยน้อย/บวชลูกแก้ว/แหล่ส่างลอง เป็นประเพณีบวชหรือการบรรพชาของชาวเหนือ นิยมจัดภายในเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม หรือเมษายน ช่วงเช้า ซึ่งเก็บเกี่ยวพืชผลเสร็จแล้ว ในพิธีบวชจะมีการจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ มีการแห่ลูกแก้วหรือผู้บวชที่จะแต่งตัวอย่างสวยงามเลียนแบบเจ้าชายสิทธัตถะ เพราะถือคตินิยมว่าเจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จออกบวชจนตรัสรู้ และนิยมให้ลูกแก้วขี่ม้า ขี่ช้าง หรือขี่คอคน เปรียบเหมือนม้ากัณฐกะ ม้าทรงของเจ้าชายสิทธัตถะ ปัจจุบันประเพณีบวชลูกแก้วที่มีชื่อเสียงคือ ประเพณีบวชลูกแก้ว ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ประเพณีปอยหลวง หรืองานบุญปอยหลวง เป็นเอกลักษณ์ของชาวล้านนาซึ่งเป็นผลดีต่อสภาพทางสังคม ถือว่าเป็นการให้ชาวบ้านได้มาทำบุญร่วมกัน ร่วมกันจัดงาน ทำให้เกิดความสามัคคีในการทำงาน ซึ่งงานทำบุญปอยหลวงยังเป็นการรวมญาติพี่น้องที่อยู่ต่างถิ่นให้มีโอกาสมาทำบุญร่วมกัน และมีการสืบทอดประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพชนไม่ให้สูญหายไปจากสังคม
ช่วงเวลาจัดงานเริ่มจากเดือน 5 จนถึงเดือน 7 เหนือ (ตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน หรือเดือนพฤษภาคมของทุกปี) ระยะเวลา 3-7 วัน
ประเพณียี่เป็ง (วันเพ็ญเดือนยี่) หรืองานลอยกระทง โดยจะมีงาน "ตามผางผะติ้ป" (จุดประทีป) ซึ่งชาวภาคเหนือตอนล่างจะเรียกประเพณีนี้ว่า "พิธีจองเปรียง" หรือ "ลอยโขมด" เป็นงานที่ขึ้นชื่อของจังหวัดสุโขทัย

ภาพจาก yaipearn / shutterstock.com
ประเพณีลอยกระทงสาย หรือประทีปพันดวง ที่จังหวัดตาก ในเทศกาลเดียวกัน ด้วยในเดือน 3 หรือประมาณเดือนธันวาคม มีประเพณีตั้งธรรมหลวง (เทศน์มหาชาติ) และทอดผ้าป่า ในเดือนธันวาคมจะมีการเกี่ยว "ข้าวดอ" (คือข้าวสุกก่อนข้าวปี) พอถึงข้างแรมจึงจะมีการเกี่ยว "ข้าวปี"
ประเพณีลอยโคม ชาวล้านนาจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีความเชื่อในการปล่อยโคมลอยซึ่งทำด้วยกระดาษสาติดบนโครงไม้ไผ่ แล้วจุดตะเกียงไฟตรงกลางเพื่อให้ไอความร้อนพาโคมลอยขึ้นไปในอากาศ เป็นการปล่อยเคราะห์ปล่อยโศกและเรื่องร้ายต่าง ๆ ให้ไปพ้นจากตัว

ประเพณีตานตุง ในภาษาถิ่นล้านนา ตุง หมายถึง "ธง" จุดประสงค์ของการทำตุงในล้านนาก็คือ การทำถวายเป็นพุทธบูชา ชาวล้านนาถือว่าเป็นการทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือถวายเพื่อเป็นปัจจัยส่งกุศลให้แก่ตนไปในชาติหน้า ด้วยความเชื่อที่ว่าเมื่อตายไปแล้วก็จะได้เกาะยึดชายตุงขึ้นสวรรค์พ้นจากขุมนรก วันที่ถวายตุงนั้นนิยมกระทำในวันพญาวัน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์
ประเพณีกรวยสลาก หรือตานก๋วยสลาก ประเพณีของชาวพุทธที่มีการทำบุญให้ทานรับพรจากพระ จะทำให้เกิดสิริมงคลแก่ตนเอง และอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว เป็นการระลึกถึงบุญคุณของผู้มีพระคุณและแสดงออกถึงความสามัคคีของคนในชุมชน
ประเพณีขึ้นขันดอกอินทขิล บูชาเสาหลักเมืองเชียงใหม่
ประเพณีนบพระเล่นเพลง ในแผ่นดินพระเจ้าลิไท วัดพระแก้ว อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
ประเพณีแห่เจ้าพ่อ-เจ้าแม่ปากน้ำโพ เพื่อเป็นการเคารพสักการะเจ้าพ่อ-เจ้าแม่ปากน้ำโพ
ประเพณีลอยกระทงสาย เพื่อบูชาแม่คงคา ขอขมาที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในน้ำ และอธิษฐานบูชารอยพระพุทธบาท
ประเพณีแล้อุ๊ป๊ะดะก่า เป็นการเตรียมอาหารเพื่อนำไปถวาย (ทำบุญ) ข้าวพระพุทธในวันพระของชาวไทใหญ่
ประเพณีทอดผ้าป่าแถว เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนจะได้ถวายเครื่องนุ่งห่มและไทยธรรม เป็นเครื่องบูชาแด่พระสงฆ์ก่อนจะทำพิธีลอยกระทงบูชาพระพุทธบาทตามคติความเชื่อแต่โบราณ กระทำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 (วันลอยกระทง)
ประเพณีขึ้นธาตุเดือนเก้า ประมาณเดือนมิถุนายน (หรือปลายเดือนพฤษภาคม) เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประเพณีแข่งเรือยาว จังหวัดน่าน
ประเพณีเวียนเทียนกลางน้ำ วัดติโลกอาราม จังหวัดพะเยา
ประเพณีลอยกระทงสาย ไหลประทีปพันดวง จังหวัดตาก
ประเพณีทานหลัวผิงไฟ คือ ประเพณีการถวายฟืนแก่พระสงฆ์เพื่อใช้จุดไฟในช่วงฤดูหนาว จะกระทำในเดือน 4 เหนือ หรือตรงกับเดือนมกราคม
ประเพณีอู้สาว คำว่า "อู้" เป็นภาษาไทยภาคเหนือ แปลว่า "พุดกัน คุยกัน สนทนากัน" ดังนั้น "อู้สาว" ก็คือ พูดกับสาว คุยกับสาว หรือแอ่วสาว การอู้สาวเป็นการพดคุยกันเป็นทำนองหรือเป็นกวีโวหาร
ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ จังหวัดเพชรบูรณ์ ในช่วงเทศกาลสารทไทย วันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 (ประมาณเดือนกันยายนถึงตุลาคม) เป็นการอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชา พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ทำพิธีอุ้มพระดำน้ำในแม่น้ำป่าสัก โดยเชื่อว่าจะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล พืชพรรณธัญญาหารมีความอุดมสมบูรณ์

ภาพจาก : yaipearn / Shutterstock.com
ประเพณีพิธีสืบชะตาแม่นํ้า เป็นพิธีกรรมทางศาสนาและขนบธรรมเนียมประเพณีพื้นบ้าน ซึ่งมีรากฐานจากพิธีสืบชะตาบ้านเมืองและชะตาคน ก่อให้เกิดความร่วมมือ ความสามัคคี เกื้อกูล ช่วยกันแก้ไขปัญหา และเกิดความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลแม่น้ำ ส่งผลดีต่อระบบนิเวศวิทยาแม่น้ำ มีจัดในหลายจังหวัด เช่น พิธีสืบชะตาแม่น้ำมางน้ำว้า จังหวัดน่าน, ประเพณีสืบชะตาแม่น้ำยม จังหวัดแพร่, พิธีสืบชะตาแม่น้ำจัน จังหวัดเชียงราย และพิธีสืบชะตาลำน้ำอิง จังหวัดพะเยา เป็นต้น
ประเพณีสรงน้ำพระบรมธาตุหริภุญชัย กำหนดจัดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เหนือ หรือที่ชาวเหนือเรียกว่า "วันแปดเป็ง" เป็นงานประเพณีที่สำคัญของชาวจังหวัดลำพูนและจังหวัดใกล้เคียงที่มีความศรัทธาในพุทธศาสนาได้มาร่วมสรงน้ำองค์พระบรมธาตุหริภุญชัย เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว โดยเปิดให้พุทธศาสนิกชนและประชาชนทั่วไปรวมถึงนักท่องเที่ยวร่วมสรงน้ำเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว
ประเพณีตักบาตรเป็งปุ๊ด หรือ ประเพณีตักบาตรเที่ยงคืน เป็นประเพณีของทางภาคเหนือ ที่จะจัดขึ้นในทุก ๆ วันพุธที่ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ หรือวันเป็งปุ๊ด ซึ่งในแต่ละปีอาจจะมีเพียงครั้งเดียว มากกว่า 1 ครั้ง หรือไม่มีเลยก็เป็นได้ โดยผู้คนทางภาคเหนือมีความเชื่อว่า พระอุปคุตจะออกบิณฑบาตโดยแปลงกายในร่างของสามเณรไปโปรดสัตว์ ถ้าหากผู้ใดได้ใส่บาตรแล้วถือว่าได้ใส่บาตรกับพระอุปคุต อันจะทำให้ประสบแต่ความสุข มีทรัพย์สินเงินทอง และได้รับอานิสงส์เป็นบุญอย่างมาก ชาวล้านนาจึงถือว่า วันเป็งปุ๊ด เป็นวันสำคัญ โดยเตรียมข้าวสาร-อาหารแห้งไว้เพื่อคอยใส่บาตรในเวลาเที่ยงคืน
ประเพณีสรงน้ำพระบรมธาตุหริภุญชัย กำหนดจัดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เหนือ หรือที่ชาวเหนือเรียกว่า "วันแปดเป็ง" เป็นงานประเพณีที่สำคัญของชาวจังหวัดลำพูนและจังหวัดใกล้เคียงที่มีความศรัทธาในพุทธศาสนาได้มาร่วมสรงน้ำองค์พระบรมธาตุหริภุญชัย เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว โดยเปิดให้พุทธศาสนิกชนและประชาชนทั่วไปรวมถึงนักท่องเที่ยวร่วมสรงน้ำเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว
ประเพณีตักบาตรเป็งปุ๊ด หรือ ประเพณีตักบาตรเที่ยงคืน เป็นประเพณีของทางภาคเหนือ ที่จะจัดขึ้นในทุก ๆ วันพุธที่ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ หรือวันเป็งปุ๊ด ซึ่งในแต่ละปีอาจจะมีเพียงครั้งเดียว มากกว่า 1 ครั้ง หรือไม่มีเลยก็เป็นได้ โดยผู้คนทางภาคเหนือมีความเชื่อว่า พระอุปคุตจะออกบิณฑบาตโดยแปลงกายในร่างของสามเณรไปโปรดสัตว์ ถ้าหากผู้ใดได้ใส่บาตรแล้วถือว่าได้ใส่บาตรกับพระอุปคุต อันจะทำให้ประสบแต่ความสุข มีทรัพย์สินเงินทอง และได้รับอานิสงส์เป็นบุญอย่างมาก ชาวล้านนาจึงถือว่า วันเป็งปุ๊ด เป็นวันสำคัญ โดยเตรียมข้าวสาร-อาหารแห้งไว้เพื่อคอยใส่บาตรในเวลาเที่ยงคืน

ภาพจาก : Amnat Phuthamrong / Shutterstock.com
เพลงพื้นบ้านในภาคเหนือ
เพลงซอ คือ การร้องเพลงโต้ตอบกันระหว่างชายหญิงเพื่อเกี้ยวพาราสีกัน โดยมีการบรรเลงปี่ สะล้อ และซึง เคล้าคลอไปด้วย
เพลงค่าว ซึ่งเป็นบทขับร้องที่มีทำนองสูง-ต่ำ ไพเราะ
เพลงจ๊อย คล้ายการขับลำนำ โดยมีผู้ร้องหลายคน เป็นการนำบทประพันธ์ของภาคเหนือมาขับร้องเป็นทำนองสั้น ๆ โดยเนื้อหาเป็นการระบายความในใจ แสดงอารมณ์ความรัก ความเงียบเหงา ทั้งนี้ มีผู้ขับร้องเพียงคนเดียว โดยจะใช้ดนตรีบรรเลงหรือไม่ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น จ๊อยให้กับคนรักรู้คนในใจ จ๊อยประชันกันระหว่างเพื่อนฝูง และจ๊อยเพื่ออวยพรในโอกาสต่าง ๆ หรือจ๊อยอำลา
เพลงเด็ก มีลักษณะคล้ายกับเพลงเด็กของภาคอื่น ๆ คือ เพลงกล่อมเด็ก เพลงปลอบเด็ก และเพลงที่เด็กใช้ร้องเล่นกัน ได้แก่ เพลงกล่อมลูก หรือเพลงฮื่อลูก และเพลงสิกจุ่ง-จา (สิก จุ่ง-จา หมายถึง เล่นชิงช้า) ซึ่งการสิกจุ่งจาเป็นการละเล่นของภาคเหนือ จะผู้เล่นมีกี่คนก็ได้ โดยชิงช้าทำด้วยเชือกเส้นเดียวสอดเข้าไปในรูกระบอกไม้ซาง แล้วผูกปลายเชือกทั้งสองไว้กับต้นไม้หรือใต้ถุนบ้าน
ส่วนวิธีเล่นคือ แกว่งชิงช้าไป-มาให้สูงมาก ๆ บทร้องประกอบผู้เล่นจะร้องตามจังหวะที่ชิงช้าแกว่งไกวไป-มา ดังนี้
"สิกจุ่งจา อีหล้าจุ่งจ๊อย ขึ้นดอยน้อย ขึ้นดอยหลวง เก็บผักขี้ขวง ใส่ซ้าทังลุ่ม เก็บฝักกุ่ม ใส่ซ้าทั้งสน เจ้านายตน มาปะคนหนึ่ง ตีตึ่งตึง หื้ออย่าสาวฟังควักขี้ดัง หื้ออย่าสาวจูบ แปงตูบน้อย หื้ออย่าสาวนอน ขี้ผองขอน หื้ออย่าสาวไหว้ ร้อยดอกไม้ หื้ออย่าสาวเหน็บ จักเข็บขบหู ปูหนีบข้าง ช้างไล่แทง แมงแกงขบเขี้ยว เงี้ยวไล่แทง ตกขุมแมงดิน ตีฆ้องโม่ง ๆ"
นอกจากนี้ยังมีเพลงกล่อมลูกที่ภาคเหนือใช้ในการกล่อมลูกหรือเด็ก จะขึ้นต้นด้วยคำว่า "สิกจุ้งจาโหน" แล้วยังมักจะขึ้นต้นด้วยคำว่า "อื่อจา" เป็นส่วนใหญ่ จึงเรียกเพลงกล่อมเด็กนี้ว่า เพลงอื่อลูก ทำนองและลีลาอื่อลูกจะเป็นไป ช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มเย็นตามถ้อยคำที่คัดสรรมา เพื่อสั่งสอนและพรรณนาถึงความรัก ความห่วงใยลูกน้อย กระทั่งคำขู่ คำปลอบ หากไม่ยอมนอนหลับ ซึ่งเพลงกล่อมเด็กภาคเหนือสะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมต่าง ๆ ของคนในภาคเหนือตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
นิทานพื้นบ้าน
นิทานของแต่ละภาคมักเต็มไปด้วยสาระ คติสอนใจ พร้อมความสนุกสนานเพลิดเพลิน อาจมีความแตกต่างกันไปตามแต่ลักษณะสำคัญของภูมิภาค ส่วนนิทานพื้นบ้านจากภาคเหนือมักเป็นตำนานของสถานที่ต่าง ๆ หรือความเป็นมาและสาเหตุของสถานที่เหล่านั้นเล่าสืบต่อกันมาช้านาน เพื่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และได้สาระที่เป็นคติสอนใจ อาทิ ความดี ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ รวมถึงยังสะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่นภาคเหนืออีกด้วย
ยกตัวอย่างนิทานพื้นบ้านภาคเหนือ ได้แก่
- เรื่อง ลานนางคอย จังหวัดแพร่
- เรื่อง เมืองลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์
- เรื่อง เซี่ยงเมี่ยงค่ำพญา
- เรื่อง ปู๋เซ็ดค่ำลัวะ
- เรื่อง ดนตรีธรรมชาติ
- เรื่อง เชียงดาว
- เรื่อง อ้ายก้องขี้จุ๊
- เรื่อง ผาวิ่งชู้
- เรื่อง ควายลุงคำ
- เรื่อง ย่าผันคอเหนียง
สามารถอ่านนิทานข้างต้น ฉบับเต็มได้ ที่นี่
เครื่องดนตรีพื้นบ้าน
สะล้อ หรือทะล้อ เป็นเครื่องสาย บรรเลงด้วยการสี ใช้คันชักอิสระตัวสะล้อที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียง ทำด้วยกะลามะพร้าว
ซึง เป็นเครื่องสายชนิดหนึ่ง ใช้บรรเลงด้วยการดีด ทำด้วยไม้สักหรือไม้เนื้อแข็ง
ขลุ่ย มีลักษณะเช่นเดียวกับขลุ่ยของภาคกลาง
ปี่ เป็นปี่ลิ้นเดียว ตัวลิ้นทำด้วยโลหะเหมือนลิ้นแคน ตัวปี่ทำด้วยไม้ซาง
ปี่แน มีลักษณะคลายปี่ไฉน หรือปี่ชวา แต่มีขนาดใหญ่กว่า เป็นปี่ประเภทลิ้นคู่ ทำด้วยไม้ พิณเปี๊ยะ หรือ พิณเพียะ หรือบางทีก็เรียกว่า เพียะ หรือเปี๊ยะ กะโหลกทำด้วยกะลามะพร้าว
กลองเต่งถิ้ง เป็นกลองสองหน้า ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้แดง หรือไม้เนื้ออ่อน
ตะหลดปด หรือมะหลดปด เป็นกลองสองหน้า ขนาดยาวประมาณ 100 เซนติเมตร
กลองตึ่งโนง เป็นกลองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ตัวกลองจะยาวมากประมาณ 3-4 เมตร
กลองสะบัดชัยโบราณ เดิมใช้ตียามออกศึกสงครามเพื่อเป็นสิริมงคล และเป็นขวัญกำลังใจให้แก่เหล่าทหารหาญในการต่อสู้ให้ได้ชัยชนะ ซึ่งปัจจุบันพบเห็นในขบวนแห่หรืองานแสดงศิลปะพื้นบ้าน ในระยะหลังโดยทั่วไปลีลาในการตีมีลักษณะโลดโผนเร้าใจ มีการใช้อวัยวะหรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ศอก เข่า ศีรษะ ประกอบในการตีกลองด้วย ทำให้การแสดงการตีกลองสะบัดชัยเป็นที่ประทับใจของผู้ที่ได้ชม

โอกาสที่แสดงนิยมโชว์ในงานพระราชพิธี วันสำคัญทางศาสนา ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง งานมงคล และงานรื่นเริงทั่วไป ในที่นี้จะแสดงตามความเหมาะสมตามสถานการณ์ ได้แก่ ฟ้อนภูไท, ฟ้อนเทียน, ฟ้อนเล็บ หรือฟ้อนเมือง, ฟ้อนดาบ, ฟ้อนเงี้ยว, ฟ้อนลาวแพน, ฟ้อนรัก, ฟ้อนดวงเดือน, ฟ้อนดวงดอกไม้, ฟ้อนมาลัย, ฟ้อนไต, ฟ้อนโยคีถวายไฟ, ระบำชาวเขา, รำลาวกระทบไม้ และรำกลองสะบัดชัย เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าภาคเหนือของประเทศไทยนั้นประกอบด้วยผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ จึงทำให้มีภาษาถิ่นที่แตกต่างกัน แต่มีสิ่งที่คล้ายคลึงกันคือ ความเคารพบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ก่อให้เกิดรากเหง้าขนบธรรมเนียม ประเพณี พิธีกรรม มาถึงปัจจุบัน ซึ่งชาวเหนือจะมีประเพณีที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตแบ่งสรรตามฤดูกาล แม้แตกต่างกันแต่กลับมีสายใยแห่งชุมชนร้อยรัดผู้คนให้แน่นแฟ้น ถือเป็นเสน่ห์ชวนให้ผู้คนหลงรัก "ดินแดนล้านนา"