ประเพณีภาคอีสาน และวัฒนธรรมประเพณีภาคอีสาน

          ประเพณีภาคอีสาน และวัฒนธรรมประเพณีภาคอีสาน หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเรื่องอะไรน่าสนใจบ้าง วันนี้เรามีเรื่องราวและความเป็นมาต่าง ๆ มาให้อ่านกัน ไปดูกันเลย

ประเพณีภาคอีสาน

          ภาคอีสาน หรือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งอยู่บนที่ราบสูงโคราช มีแม่น้ำโขงกั้นเขตทางตอนเหนือและตะวันออกของภาค โดยทางด้านใต้จรดชายแดนกัมพูชา ทางตะวันตกมีเทือกเขาเพชรบูรณ์และเทือกเขาดงพญาเย็นเป็นแนวกั้นแยกจากภาคเหนือและภาคกลาง เทือกเขาที่สูงที่สุดในภาคอีสาน คือ ยอดภูกระดึง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญของชาวอีสาน เช่น ลำตะคอง แม่น้ำชี และแม่น้ำมูลอีสาน มีเนื้อที่ประมาณ 170,000 ตารางกิโลเมตร เทียบได้กับ 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดต่าง ๆ กว่า 20 จังหวัด ดังนี้

          - จังหวัดนครราชสีมา
          - จังหวัดกาฬสินธุ์
          - จังหวัดขอนแก่น
          - จังหวัดชัยภูมิ
          - จังหวัดนครพนม
          - จังหวัดบุรีรัมย์
          - จังหวัดบึงกาฬ
          - จังหวัดมหาสารคาม
          - จังหวัดมุกดาหาร
          - จังหวัดยโสธร
          - จังหวัดร้อยเอ็ด
          - จังหวัดเลย
          - จังหวัดสกลนคร
          - จังหวัดสุรินทร์
          - จังหวัดศรีสะเกษ
          - จังหวัดหนองคาย
          - จังหวัดหนองบัวลำภู
          - จังหวัดอุดรธานี
          - จังหวัดอุบลราชธานี
          - จังหวัดอำนาจเจริญ

          ทั้งนี้ ในเรื่องของภาษาที่ใช้ในภาคอีสานนั้นอาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ อาทิ ภาษาหลักที่ใช้คือ ภาษาอีสาน ซึ่งถือว่าเป็นภาษาลาวสำเนียงหนึ่ง แต่ในตัวเมืองใหญ่ ๆ มักนิยมใช้ภาษากลาง ขณะที่บริเวณอีสานใต้นิยมใช้ภาษาเขมร และยังมีภาษาถิ่นอื่น ๆ เช่น ภาษาผู้ไท ภาษาโส้ ภาษาไทยโคราช เป็นต้น

          เนื่องจากภาคอีสานเป็นภาคที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน ดนตรีพื้นบ้าน นิทานพื้นบ้าน และศิลปะการฟ้อนรำ ดังนั้น ทางกระปุกดอทคอม จึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาคอีสานมาฝากค่ะ

เพลงพื้นบ้าน


          สำหรับเพลงพื้นบ้านของภาคอีสานนั้นจะมีท่วงทำนองแตกต่างกันตามแต่ละพื้นที่ โดยจะแบ่งเป็นพื้นที่ใหญ่ ๆ ได้แก่ อีสานเหนือ และอีสานใต้ ซึ่งเพลงพื้นบ้านของภาคอีสานมักสอดแทรกแง่คิดเกี่ยวกับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ไว้อย่างชัดเจน สามารถแบ่งประเภทของเพลงพื้นบ้านได้ดังนี้

1. เพลงพิธีกรรม

          ตัวอย่างเพลงพิธีกรรมของกลุ่มอีสานเหนือ ได้แก่ การลำพระเวส หรือการเทศน์มหาชาติ การแหล่ต่าง ๆ การลำผีฟ้ารักษาคนป่วย การสวดสรภัญญะ และการบายศรีสู่ขวัญในโอกาสต่าง ๆ ฯลฯ

ประเพณีภาคอีสาน
ภาพจาก TEE1712 / Shutterstock.com

          ส่วนตัวอย่างเพลงพิธีกรรมของกลุ่มอีสานใต้ ได้แก่ เรือมมม็วต เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของชาวสุรินทร์ ซึ่งมีความเชื่อมาแต่โบราณว่า เรือมมม็วต จะช่วยให้คนที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยมีอาการทุเลาลง ผู้เล่นไม่จำกัดจำนวน แต่จะต้องมีหัวหน้าหรือครูมม็วตอาวุโสทำหน้าที่เป็นผู้นำพิธีต่าง ๆ และเป็นผู้รำดาบไล่ฟันผีหรือเสนียดจัญไรทั้งปวง    

2. เพลงร้องเพื่อความสนุกสนาน

          กลุ่มอีสานเหนือ ได้แก่ หมอลำ ซึ่งแบ่งได้ 5 ชนิด คือ หมอลำพื้น หมอลำกลอน หมอลำหมู่ หมอลำเพลิน หมอลำผีฟ้า

          กลุ่มอีสานใต้ ได้แก่ กันตรึม เจรียง เพลงโคราช

เดินท่องแดน… วัฒนธรรมและประเพณีภาคอีสาน
ภาพจาก Satin / Shutterstock.com

          ทั้งนี้ ในปัจจุบัน สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ของภาคอีสานมักนิยมประดิษฐ์การฟ้อนรำขึ้นมาใหม่ ทำให้มีผู้แบ่งศิลปะการฟ้อนทั้งชุดเก่าและชุดใหม่ที่ปรากฏอยู่ในภาคอีสานออกเป็น 8 กลุ่มใหญ่ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะออกมาในรูปของการแสดงพื้นเมือง ได้แก่

          1. การฟ้อนเลียนกิริยาอาการของสัตว์ เช่น กระโน้บติงตอง แมงตับเต่า และกบกินเดือน ฯลฯ

          2. การฟ้อนชุดโบราณคดี เช่น ระบำบ้านเชียง รำศรีโคตรบูรณ์ ระบำพนมรุ้ง และระบำจัมปาศรี

          3. การฟ้อนประกอบทำนองลำนำ เช่น ฟ้อนคอนสวรรค์ รำตังหวาย เซิ้งสาละวัน และเซิ้งมหาชัย

          4. การฟ้อนชุดชุมนุมเผ่าภูไท 3 เผ่า คือ เผ่าไทภูพาน เผ่าไทยบุรีรัมย์ และเผ่าไทยโคราช

          5. การฟ้อนด้วยเรื่องราวจากวรรณกรรม เช่น มโนห์ราเล่นน้ำ

          6. การฟ้อนเซ่นสรวงบูชา เช่น ฟ้อนภูไท, แสกเต้นสาก, โส้ทั่งบั้ง, เซิ้งผีหมอ, ฟ้อนผีฟ้า, ฟ้อนไทดำ, เรือมปัลโจล, ฟ้อนแถบลาน, รำบายศรี, เรือมมม็วต, เซิ้งบั้งไฟ, เซิ้งนางด้ง, รำดึงครกดึงสาก และเซิ้งเซียงข้อง ฯลฯ

          7. การฟ้อนศิลปาชีพ เช่น รำตำหูกผูกขิก, ฟ้อนทอเสื่อบ้านแพง, เรือมกลอเตียล (ระบำเสื่อ), เซิ้งสาวย้อตำสาด, รำปั้นหม้อ, รำเข็นฝาย, เซิ้งสาวไหม, รำแพรวา, เซิ้งข้าวปุ้น, รำบ้านประโคก, เซิ้งปลาจ่อม, เซิ้งแหย่ไข่มดแดง และเรือมศรีผไทสมันต์ ฯลฯ

          8. การฟ้อนเพื่อความสนุกสนานรื่นเริง เช่น เซิ้งแคน, ฟ้อนชุดเล่นสาว, เป่าแคน, รำโปงลาง, ฟ้อนกลองตุ้ม, เซิ้งกะโป๋, เซิ้งทำนา, เซิ้งสวิง, เซิ้งกะหยัง, รำโก๋ยมือ, รำกลองยาวอีสาน, ระบำโคราชประยุกต์, เรือมอันเดร, เรือมซันตรูจน์, เรือมตล็อก (ระบำกะลา) และเรือมจับกรับ ฯลฯ

เครื่อนดนตรีพื้นบ้าน


          เนื่องจากภาคอีสานเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมทั้งเพลงพื้นบ้านและการฟ้อนรำ ดังนั้น ชาวอีสานจึงให้ความสำคัญกับเครื่องดนตรีที่ใช้ในการบรรเลงท่วงทำนองต่าง ๆ เป็นอย่างมาก ดังนั้น เครื่องดนตรีของชาวอีสานจึงมีครบทุกประเภท ทั้งดีด สี ตี เป่า อาทิ

ประเพณีภาคอีสาน
ภาพจาก Thammanoon Khamchalee / Shutterstock.com

          จะเข้กระบือ : เครื่องดนตรีสำคัญที่ใช้ในวงมโหรีเขมร เป็นเครื่องดนตรีประเภทดีดในแนวนอน มี 3 สาย 
          
          กระจับปี่ : เป็นเครื่องดนตรีประเภทดีด โดยใช้กระจับที่ทำจากเขาสัตว์ กล่องเสียงทำด้วยไม้ขนุนหรือไม้สัก
       
          พิณ : เป็นเครื่องดนตรีที่บรรเลงด้วยการดีด มี 2-3 สาย แต่ขึ้นเป็นสองคู่ โดยขึ้นคู่ 5

          ซอกันตรึม : เป็นเครื่องสายใช้สี ทำด้วยไม้ กล่องเสียงขึงด้วยหนังงู มีช่องเสียงอยู่ด้านตรงข้ามหน้าซอ

          โปงลาง : เป็นเครื่องดนตรีประเภทที่บรรเลงทำนองด้วยการตี โดยใช้บรรเลงร่วมกันกับแคน 
  
          กลองกันตรึม : เป็นเครื่องหนังชนิดหนึ่ง ทำด้วยไม้ขุดกลวง ขึงหน้าด้านหนึ่งด้วยหนัง ดึงให้ตึงด้วยเชือก
           
          หืน : เป็นเครื่องดนตรีกึ่งดีดกึ่งเป่าอย่างหนึ่ง มีทั้งที่ทำด้วยไม้ไผ่และโลหะ โดยมีการเซาะร่องตรงกลางเป็นลิ้นในตัว

          แคน : เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่า ซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดของชาวภาคอีสานเหนือ

          โหวด : เป็นเครื่องเป่าชนิดหนึ่งที่ไม่มีลิ้น เกิดจากกระแสลมที่เป่าผ่านไม้รวก  
     
          ปี่ไสล : ใช้บรรเลงในวงกันตรึม เป็นปี่ประเภทลิ้นคู่ เช่นเดียวกับปี่ในที่มีลักษณะเป็นปี่ท่อนเดียวและมีลิ้นในตัว

          กรับคู่ : เป็นกรับทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ลักษณะเหมือนกับกรับเสภาของภาคกลาง     

นิทานพื้นบ้าน


          นิทานพื้นบ้านของภาคอีสานต่างมีรูปแบบทั้งนิทานขนาดสั้นและนิทานขนาดยาว โดยบางเรื่องอาจหยิบยกเรื่องใกล้ตัวมาเล่า ขณะที่บางเรื่องเป็นนิทานที่สอดแทรกจินตนาการ โดยเฉพาะเรื่องอภินิหารต่าง ๆ ซึ่งนอกจากจะให้ประโยชน์ด้านความบันเทิงแล้ว นิทานพื้นบ้านของภาคอีสานมักสอดแทรกคติธรรม คำสอน เพื่อให้ผู้ฟังได้ตระหนักถึงการใช้ชีวิตให้มากขึ้น 

          ทั้งนี้ นิทานพื้นบ้านของภาคอีสานที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย อาทิ แก้วหน้าม้า, อุทัยเทวี, นางสิบสอง, ปลาบู่ทอง, ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่, นางผมหอม, ผาแดงนางไอ่, ทุ่งกุลาร้องไห้, ขูลูนางอั้ว ฯลฯ

การละเล่นพื้นเมือง


          เนื่องจากภูมิประเทศภาคอีสานเป็นที่ราบสูง ค่อนข้างแห้งแล้ง เพราะพื้นดินไม่เก็บน้ำ ฤดูแล้งจะกันดาร ฤดูฝนน้ำจะท่วม แต่ชาวอีสานก็มีอาชีพทำไร่ทำนา และเป็นคนรักสนุก ดังนั้นจึงสามารถหาความบันเทิงได้ทุกโอกาส โดยจะมีทั้งการร้องเพลงและฟ้อนรำ ทั้งนี้ การแสดงของภาคอีสานมักเกิดจากกิจวัตรประจำวันหรือประจำฤดูกาล และลักษณะการแสดงซึ่งเป็นลีลาเฉพาะของอีสาน คือ ลีลาและจังหวะในการก้าวเท้า ที่มีลักษณะคล้ายการเต้น แต่นุ่มนวลกว่า และมักเดินด้วยปลายเท้า โดยจะสะบัดเท้าไปข้างหลังสูง

          ซึ่งตัวอย่างเพลงพื้นเมืองที่มักนิยมขับร้องกัน ได้แก่ หมอลำ, เพลงโคราช, เจรียง, กันตรึม, เพลงล่องโขง, เพลงแอ่วแคน ขณะที่ การฟ้อนรำ ได้แก่ แห่นางแมว, เซิ้งบั้งไฟ, เซิ้งสวิง, เซิ้งโปงลาง, เซิ้งตังหวาย, เซิ้งกระติบ, รำลาวกระทบไม้, ฟ้อนภูไท เป็นต้น

เดินท่องแดน… วัฒนธรรมและประเพณีภาคอีสาน

เดินท่องแดน… วัฒนธรรมและประเพณีภาคอีสาน

เครื่องแต่งกาย


          ชาวอีสานถือว่าการทอผ้าเป็นกิจกรรมยามว่างหลังจากฤดูการทำนา หรือว่างจากงานประจำอื่น ๆ ดังนั้น ใต้ถุนบ้านของชาวอีสานในอดีตจะมีการกางหูกทอผ้าไว้แทบทุกครัวเรือน โดยผู้หญิงในวัยต่าง ๆ จะสืบทอดการทอผ้าตั้งแต่เด็ก โดยผ้าทอมือเหล่านี้ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย และผ้าไหม โดยจะถูกนำไปใช้ตัดเย็บทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม หมอน ที่นอน ผ้าห่ม และการทอผ้ายังเป็นการเตรียมผ้าสำหรับการออกเรือนของฝ่ายหญิง รวมถึงเป็นผ้าที่ทอไว้สำหรับฝ่ายชายด้วย 

ผ้าทอของภาคอีสาน สามารถจำแนกออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้

เดินท่องแดน… วัฒนธรรมและประเพณีภาคอีสาน

          1. ผ้าทอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยผ้าทอชนิดนี้จะเป็นผ้าพื้นไม่มีลวดลาย เพราะต้องการความทนทานจึงทอด้วยฝ้ายย้อมสี

          2. ผ้าทอสำหรับโอกาสพิเศษ เช่น ใช้ในงานบุญประเพณีต่าง ๆ งานแต่งงาน งานฟ้อนรำ ดังนั้น ผ้าทอจึงมักมีลวดลายสวยงามและมีสีสันหลากหลาย

          ทั้งนี้ จะมีประเพณีที่คู่กันมากับการทอผ้าคือ การลงข่วง โดยบรรดาสาว ๆ ในหมู่บ้านจะพากันมารวมกลุ่มก่อกองไฟ บ้างก็สาวไหม บ้างก็ปั่นฝ้าย กรอฝ้าย ฝ่ายชายก็ถือโอกาสมาเกี้ยวพาราสีและนั่งคุยเป็นเพื่อน บางครั้งก็มีการนำดนตรีพื้นบ้านอย่างพิณ แคน โหวต มาบรรเลงจ่ายผญาโต้ตอบกัน

ประเพณีภาคอีสาน

          เนื่องจากอีสานมีอยู่หลายกลุ่มวัฒนธรรม การผลิตผ้าพื้นเมืองจึงแตกต่างกันไปตามกลุ่มวัฒนธรรม เช่น กลุ่มอีสานใต้ คือ กลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และบุรีรัมย์ เป็นกลุ่มที่มีการทอผ้าที่มีสีสันแตกต่างจากกลุ่มไทยลาว

          อย่างไรก็ตาม รูปแบบการแต่งกายของชาวอีสานทั่ว ๆ ไป คือ ผู้ชาย มักนิยมสวมเสื้อม่อฮ่อม ซึ่งเป็นเสื้อแขนสั้นสีเข้ม ๆ สวมกางเกงสีเดียวกับเสื้อจรดเข่า นิยมใช้ผ้าคาดเอวด้วยผ้าขาวม้า ขณะที่ ผู้หญิง มักสวมใส่ผ้าซิ่นแบบทอทั้งตัว สวมเสื้อคอกลมแขนยาวเล่นสีสัน แต่หากเป็นงานพิธีต่าง ๆ อาจมีการห่มผ้าสไบเฉียง สวมเครื่องประดับตามข้อมือ ข้อเท้า และคอ เพิ่มด้วย

เดินท่องแดน… วัฒนธรรมและประเพณีภาคอีสาน

เดินท่องแดน… วัฒนธรรมและประเพณีภาคอีสาน

อาหารประจำภาค


          ในปัจจุบันอาหารจากภาคอีสานถือเป็นอาหารยอดนิยมที่แพร่หลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเมนูที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี ได้แก่ เมนูส้มตำ โดยเฉพาะส้มตำไทย ที่สามารถรับประทานได้ทุกที่ทุกเวลา เนื่องจากส้มตำมีส่วนประกอบหลักคือผัก และสามารถรับประทานคู่กับข้าวเหนียว ข้าวสวย ขนมจีน ได้ตามที่ต้องการ

          นอกจากเมนูส้มตำแล้ว อาหารอีสานที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ได้แก่ ลาบ, ก้อย, ข้าวเหนียว-ไก่ย่าง, ปลาร้าหลน, ข้าวจี่, ผัดหมี่โคราช, แกงอ่อม, แกงผักหวานไข่มดแดง เป็นต้น

          จากข้อมูลเบื้องต้นที่ได้นำเสนอไปนี้อาจเป็นเพียงการทำความรู้จักกับภาคอีสานในแบบภาพรวมเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วศิลปะและวัฒนธรรมของภาคอีสานยังมีความสลับซับซ้อนและน่าค้นหาอีกมาก อย่างไรก็ตาม หากมีโอกาสก็อย่าลืมไปเยือนอีสานถิ่นไทย เพื่อลองไปเรียนรู้มรดกทางวัฒนธรรมที่หลากหลายจากสถานที่จริงกันนะคะ

ประเพณีภาคอีสาน

ประเพณีภาคอีสาน

ประเพณีของภาคอีสาน


          ภาคอีสาน หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดินแดนแห่งความหลากหลายทางประเพณีและวัฒนธรรมที่มีความน่าสนใจ เพราะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์มนตร์ขลัง ชวนให้น่าขึ้นไปสัมผัสความงดงามเหล่านี้ยิ่งนัก นอกจากนี้ภาคอีสานยังมีพื้นที่ติดต่อกับประเทศลาวและกัมพูชา ซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณ จึงทำให้วัฒนธรรมประเพณีและความเชื่อของคนในภาคอีสานมีความหลากหลายแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น และโดดเด่นจากภาคอื่น ๆ อย่างชัดเจน จึงขอยกตัวอย่างประเพณีภาคอีสานบางส่วนมานำเสนอ ดังนี้

          ประเพณีบุญบั้งไฟ ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน เป็นประเพณีที่จัดขึ้นทุกปีในจังหวัดต่าง ๆ ในภาคอีสาน ที่มีการปลูกข้าวเป็นอาชีพหลัก ในช่วงก่อนการเริ่มทำนา เพื่อบูชาพญาแถนที่เชื่อว่าเป็นเทพเจ้าที่ดูแลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล โดยจะมีการประดับตกแต่งบั้งไฟ (ซึ่งเป็นดอกไม้ไฟชนิดหนึ่ง ด้านนอกทำจากลำไม้ไผ่) อย่างสวยงาม และแห่ไปทั่วเมืองก่อนที่จะจุดขึ้นฟ้าเพื่อบูชาพญาแถน ทั้งนี้ จังหวัดยโสธรและร้อยเอ็ด เป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในการเฉลิมฉลองเทศกาลบุญบั้งไฟ มีการแข่งขันประกวดบั้งไฟ และการจัดกิจกรรมพื้นบ้านต่าง ๆ ที่สนุกและไม่ควรพลาดเลยทีเดียว

ประเพณีภาคอีสาน ประเพณีบุญบั้งไฟ

ประเพณีบุญบั้งไฟ กับตำนานบูชาพญาแถนขอฝน
 
          งานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน เป็นงานประเพณีประจำปีของจังหวัดเลย จัดขึ้นเฉพาะที่อำเภอด่านซ้าย เป็นเวลา 3 วัน โดยชาวบ้านจำนวนมากจะใส่หน้ากากผี ซึ่งทำจากหวดนึ่งข้าวเหนียวไม้ไผ่ที่นำมาเขียนลาย พร้อมแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหลากสีทำจากผ้าสีต่าง ๆ มาเย็บติดกัน และแขวนเครื่องกระทบทำให้เกิดเสียงเมื่อขยับตัว ขบวนผีตาโขนเหล่านี้จะกระโดดและเต้นไปรอบ ๆ เมือง เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติอย่างมาก การละเล่นผีตาโขนนี้แท้จริงแล้วเป็นการบูชาผีเจ้านายและบรรพบุรุษที่คอยปกปักรักษา คุ้มครองประชาชนในเมือง นอกจากนี้ยังเป็นการขอให้ผีปู่ย่าตายายดลบันดาลให้พืชผลมีความอุดมสมบูรณ์อีกด้วย

ประเพณีภาคอีสาน ประเพณีผีตาโขน
ภาพจาก : Chujai77 / Shutterstock.com

          ประเพณีแห่เทียนพรรษา ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน เป็นประเพณีสำคัญที่จะทำกันในช่วงก่อนวันเข้าพรรษา หรือวันที่พระสงฆ์จะเริ่มจำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งการแห่เทียนพรรษานี้เป็นประเพณีที่พบได้ทุกภาคของประเทศไทย แต่การแห่เทียนในภาคอีสานจะฉลองอย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะจังหวัดอุบลราชธานี ขอนแก่น นครราชสีมา เป็นต้น แต่ละอำเภอและหมู่บ้านในจังหวัดจะจัดทำเทียนพรรษา แกะสลักและประดับขบวนเทียนพรรษาอย่างสวยงาม เพื่อนำมาแห่รอบเมืองในขบวนแห่ก่อนจะนำไปถวายวัด เพื่อใช้จุดในช่วงที่พระสงฆ์จำพรรษา ถือเป็นงานที่สำคัญที่สุดของปี นอกจากการจัดขบวนแห่เทียนแล้วยังมีการจัดงานรื่นเริงและเฉลิมฉลองต่าง ๆ อย่างยิ่งใหญ่แทบทุกจังหวัดของภาคอีสาน

ประเพณีภาคอีสาน ประเพณีแห่เทียนพรรษา

          งานมหกรรมโปงลาง แพรวากาฬสินธุ์ ระหว่างปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคมของทุกปี ถือเป็นงานที่สำคัญมากของชาวกาฬสินธุ์ ในงานจะมีการแสดงวงโปงลางประกอบการเต้นรำพื้นบ้าน การแข่งขันประชันวงโปงลาง ซึ่งเป็นที่สนใจอย่างมากของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ มักจัดควบคู่ไปกับงานกาชาดของจังหวัด นักท่องเที่ยวจึงสามารถจับจ่ายซื้อของฝากท้องถิ่นติดไม้ติดมือกลับบ้านได้ด้วย

          ประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง มักจะจัดประมาณเดือนเมษายนของทุกปี (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5) ไฮไลต์ของงานคือ การชมแสงอาทิตย์ขึ้นและตกทะลุ 15 ช่องประตูของปราสาทพนมรุ้ง เป็นปรากฏการณ์ที่มีเพียงครั้งเดียวใน 1 ปี และพลาดไม่ได้ที่จะไปเห็นสักครั้ง ในช่วงเทศกาลนี้ของแต่ละปีประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากจึงเดินทางมาเพื่อชมปรากฏการณ์นี้ และนมัสการรอยพระพุทธบาทจำลองในปราสาทหิน รวมทั้งร่วมสนุกกับกิจกรรมรื่นเริงอื่น ๆ มากมาย ตลอดจนการจับจ่ายซื้อสินค้าพื้นเมือง

ประเพณีภาคอีสาน ประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง

          ประเพณีบุญเบิกฟ้า จังหวัดมหาสารคาม เป็นประเพณีที่ถูกสืบทอดผ่านความเชื่อในภาคอีสาน เหมือนสัญญาณเตือนให้ชาวอีสานเตรียมตัวเข้าสู่ฤดูกาลทำการเกษตร เป็นเวลาที่ชาวบ้านต้องการให้ฟ้าเปิด เพื่อเทพยดาจะได้ส่งฝนลงมา เริ่มฤดูกาลทางการเกษตร โดยจะมีพิธีการสู่ขวัญข้าว บูชาเทวดา บูชาพญาแถน บูชาพระแม่โพสพ ในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ของทุก ๆ ปี และในปัจจุบัน จังหวัดมหาสารคามได้ยกประเพณีนี้เพื่อเป็นการขอบคุณและตอบแทน จนกลายเป็นประเพณีอันยิ่งใหญ่ประจำจังหวัดมหาสารคาม

          ประเพณีบุญผะเหวด หรือ บุญพระเวส เป็นการทำบุญและฟังเทศน์เรื่องพระเวสสันดรชาดก หรือเทศน์มหาชาติ ซึ่งมีจำนวน 13 กัณฑ์ ด้วยความเชื่อว่าหากได้ฟังเทศน์มหาชาติครบทั้ง 13 กัณฑ์ จบภายในวันเดียว อานิสงส์จะดลบันดาลให้ไปเกิดในศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรย ซึ่งเป็นดินแดนแห่งความสุขตามพุทธคติ ชาวอีสาน จะจัดทำบุญผะเหวดปีละ 1 ครั้ง ระหว่างเดือน 3 ไปจนถึงกลางเดือน 5 โดยมีกำหนดวันงานแบ่งออกเป็น 2 วัน คือ วันโฮมบุญ (วันรวม) และวันฟังเทศน์

          ประเพณีตีช้างน้ำนอง จังหวัดมุกดาหาร เป็นประเพณีที่ทำในวันแข่งขันเรือออกพรรษา ลักษณะเป็นการใช้ไม้พายของลูกเรือพายจ้ำลงไปในน้ำอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อยกไม้พายขึ้นเหนือพื้นน้ำจะทำให้เกิดฝอยน้ำแตกกระเซ็นขึ้นบนอากาศ ลักษณะเช่นนี้ในสมัยโบราณเปรียบเหมือนกับโขลงช้างที่กำลังเล่นน้ำ ทำให้น้ำบริเวณนั้นเกิดเป็นคลื่นใหญ่ซัดเข้ากระทบฝั่งจนเกิดเสียงดัง เป็นประเพณีที่ถือกำเนิดขึ้นที่เมืองมุกดาหารเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศ

          ประเพณีบุญข้าวสาก หรือข้าวสลาก (สลากภัต) นิยมทำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นประจำทุกปี ที่เรียกว่า “บุญข้าวสาก” เนื่องจากเมื่อจัดทำข้าวปลาอาหารและเครื่องไทยทานต่าง ๆ อุทิศให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว จะทำสากหรือสลาก มีคำอุทิศส่วนกุศลใส่กระดาษบันทึกชื่อผู้มีจิตศรัทธาบริจาคและความประสงค์ว่าจะบริจาคทานให้แก่ผู้ใด โดยบอกชื่อผู้ที่จะมารับส่วนกุศลด้วย ประเพณีนี้ถือเป็นการทำบุญอย่างหนึ่งของประเพณีสิบสองเดือน หรือ “ฮิตสิบสอง” (ฮีต มาจากคำว่า จารีต ฮีตสิบสอง คือ จารีตประเพณีสิบสองเดือน) ของชาวอีสาน  

          ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง จังหวัดสกลนคร เป็นงานบุญของชาวอีสาน นิยมปฏิบัติกันในช่วงออกพรรษา ระหว่างวันขึ้น 12-13 ค่ำ เดือน 11 โดยมีความเชื่อว่าการทำบุญด้วยการถวายต้นผึ้งเป็นบุญกุศลสูงส่ง ดังนั้น ในการถวายทานให้แก่ผู้ตายในงานแจกข้าว (งานทำบุญให้ผู้ตาย) เมื่อถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์แล้วก็ถวายหอผึ้งเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้วายชนม์ ต่อมาประเพณีดังกล่าวได้มีกลุ่มคนจัดขึ้นมาอย่างใหญ่โตด้วยความศรัทธาในเทศกาลออกพรรษา คุ้มวัดต่าง ๆ จึงเชิญชวนช่างที่เก่ง ๆ มาทำปราสาทผึ้งให้แล้วแห่ไปรอบเมือง เพื่อประกวดชิงถ้วยพระราชทาน ตลอดจนประกวดขบวนแห่ปราสาทผึ้งชิงเงินรางวัลก้อนโต อันแสดงถึงความเชื่อมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีดีงามของชาวสกลนครได้เป็นอย่างดี

ประเพณีภาคอีสาน ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง

          ประเพณีไหลเรือไฟ จังหวัดนครพนม นิยมปฏิบัติกันในเทศกาลออกพรรษา ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 1 เป็นประเพณีที่ชาวนครพนมภาคภูมิใจ เพราะบรรพบุรุษได้ยึดถือกันมานานตั้งแต่โบราณ โดยมีความเชื่อว่าเนื่องมาจากการบูชารอยพระพุทธบาท การสักการะท้าวพกาพรหม การบวงสรวงพระธาตุจุฬามณี และการระลึกถึงพระคุณของพระแม่คงคา การขอฝน การเอาไฟเผาความทุกข์ และการบูชาพระพุทธเจ้า โดย เรือไฟ หรือ เฮือไฟ หมายถึง เรือที่ทำด้วยท่อนกล้วย ไม้ไผ่ หรือวัสดุที่ลอยน้ำ มีโครงสร้างเป็นรูปต่าง ๆ ตามต้องการอยู่ส่วนบนของวัสดุที่ลอยน้ำ เมื่อจุดไฟใส่โครงสร้าง เปลวไฟจะลุกเป็นรูปร่างตามโครงสร้างนั้น มีการประกวดแข่งขันกันตกแต่งออกแบบไฟประดับแก่เรือลำใหญ่ให้สวยงามอลังการด้วยกระป๋องไฟนับพันนับหมื่นดวง ทั้งยังมีการยิงพลุ ตะไล ไฟพะเนียง เป็นเทคนิคพิเศษออกจากเรือไฟได้อย่างสวยงามตระการตา สว่างไสวไปทั่วทั้งท้องน้ำหน้าเมืองนครพนม

ประเพณีภาคอีสาน ประเพณีไหลเรือไฟ

          ประเพณีบุญสงกรานต์ หรือ เทศกาลสงกรานต์ไทย ชาวอีสานจะเรียกว่า “สังขานต์” แปลว่า “สงกรานต์” ซึ่งเป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า ผ่านหรือเคลื่อนย้ายเข้าไป หมายถึงพระอาทิตย์ผ่านหรือเคลื่อนย้ายเข้าไปอีกในจักรราศีหนึ่ง เรียกว่า “สงกรานต์” ทำกันในเดือน 5 หรือที่ชาวอีสานเรียกว่า บุญเดือนห้า ปกติมี 3 วัน ดังนี้ วันที่ 13 เมษายน คือ มื้อสงกรานต์ล่อง หรือ มื้อสงกรานต์พ่าย วันที่ 14 เมษายน คือ วันปากปี และวันที่ 15 เมษายน คือ มื้อสงกรานต์ขึ้น เมื่อถึงประเพณีบุญสงกรานต์ คนภาคอีสานที่ออกไปทำงานต่างถิ่นต่างที่มักจะมารวมตัวกันในช่วงเทศกาลดังกล่าว และมีการทำพิธีบายศรีสู่ขวัญให้กับลูกหลานเพื่อความเป็นสิริมงคล

ประเพณีภาคอีสาน ประเพณีบุญสงกรานต์

          ประเพณีแห่นางแมว พิธีกรรมขอฝนของชาวนาภาคกลางและภาคอีสานของไทย จัดขึ้นในช่วงหน้าแล้ง ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงสิงหาคม ไม่ใช่ประเพณีที่ทำกันเป็นประจำทุกปี จะทำก็ต่อเมื่อฝนไม่ตกตามฤดูกาล หรือประสบปัญหาภัยแล้ง ชาวบ้านจะทำพิธีแห่นางแมว ขอให้ฝนตกตามฤดูกาล เพื่อจะได้มีน้ำทำไร่ทำนา เพราะคนโบราณมีความเชื่อว่า แมวเป็นสัตว์ที่มีอำนาจลึกลับและมีความศักดิ์สิทธิ์ มีความสามารถในการเรียกฝนได้ นอกจากนี้ยังเชี่อว่า แมวเป็นสัตว์ที่เกลียดน้ำ เมื่อใดที่ฝนตกแมวจะร้องทันที มักจะใช้แมวสีสวาดหรือแมวสีดำที่มีสีคล้ายเมฆ ใส่ในตะกร้าทำจากไม้ไผ่หรือหวาย ปิดฝาเพื่อป้องกันไม่ให้แมวหลบหนี จากนั้นนำตะกร้านี้ไปแขวนไว้ที่เสาไม้หรือไม้ไผ่ที่มีคนหามสองคนคอยถืออยู่ พิธีเริ่มด้วยผู้สูงอายุในกลุ่มขอให้แมวนำฝนมาสู่แผ่นดิน หลังจากนั้นขบวนพร้อมวงดนตรีจะเดินผ่านถนนในหมู่บ้าน และขอให้ผู้คนที่ยืนดูสาดน้ำลงบนตัวแมว อย่างไรก็ตาม มีการปรับเปลี่ยนใช้เป็นแมวปลอมหรือตุ๊กตาแมวเพื่อไม่ให้เป็นการทารุณสัตว์   
 
          ประเพณีแซนโฎนตา ประเพณีดั้งเดิมของจังหวัดสุรินทร์ ที่ชาวสุรินทร์ได้ถือปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เป็นการทำบุญให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ให้ได้รับกุศลผลบุญที่ลูกหลานได้อุทิศให้ ซึ่งตรงกับวันแรม 14 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี เมื่อถึงวันนั้น ลูก หลาน ญาติพี่น้อง ที่ไปประกอบอาชีพหรือตั้งถิ่นฐานอยู่ที่อื่น ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล จะต้องเดินทางกลับมารวมญาติเพื่อทำพิธีแซนโฎนตาเป็นประจำทุกปี ทั้งยังมีความเชื่อว่า วันแซนโฏนตา ถ้าลูกหลานคนใดไม่ได้ไม่ไปร่วมแซนโฎนตา โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วอาจไม่พอใจ ส่งผลให้การทำมาหากินประกอบอาชีพไม่ราบรื่น ไม่ก้าวหน้า จิตใจเป็นกังวลไม่เป็นสุขด้วย


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
culture.go.thisan.clubs.chula.ac.th, baanna.net, esanclick.com, ldd.go.thnsru.ac.th



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ประเพณีภาคอีสาน และวัฒนธรรมประเพณีภาคอีสาน อัปเดตล่าสุด 26 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 14:28:07 913,166 อ่าน
TOP
x close