เที่ยวฟุกุโอกะ รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวและสิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อไปเยือนจังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น จะมีที่เที่ยวที่ไหนบ้างไปดูกัน
ตะลอนทัวร์ฟุกุโอกะ
รู้จักฟุกุโอกะ
จังหวัดฟุกุโอกะ เป็นเมืองที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของเกาะคิวชู (Kyushu)
มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 4,979 ตารางกิโลเมตร
จึงเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของเกาะคิวชู
ฟุกุโอกะเป็นเมืองท่าที่สำคัญ พร้อมทั้งมีภูมิทัศน์ทางทะเลที่งดงาม
อยู่ห่างจากกรุงโตเกียวไม่ไกลและยังสามารถข้ามไปยังฝั่งประเทศเกาหลีได้อย่างง่ายดาย มีอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี
มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ไม่แพ้เมืองไหน ๆ ในญี่ปุ่น
นอกจากนี้ยังมีวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมอันเป็นเอกลักษณ์
ซึ่งถ่ายทอดออกมาผ่านสถาปัตยกรรมบ้านเรือน วัดวาอาราม อาหาร
รวมทั้งวิถีชีวิตของชาวเมือง
จึงทำให้ที่นี่มีความน่าสนใจมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ภาพจาก cowardlion /shutterstock.com
เที่ยวที่ไหนในฟุกุโอกะ
ฟุกุโอกะ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายและสวยงามไม่แพ้เมืองใหญ่ ๆ ของญี่ปุ่น โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่จะทำให้หัวใจของคุณหลงรักญี่ปุ่นมากกว่าที่คาดเดาไว้ ซึ่งจะมีที่ไหนบ้าง และสวยงามขนาดไหน...ไปชมกันเลยค่ะ
1. ศาลเจ้าดะไซฟุ เท็มมังงุ (Dazaifu Tenmangu)
หากต้องการขอพรเกี่ยวกับการศึกษาต้องไม่พลาดไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้าดะไซฟุ เท็มมังงุ ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่มีความเก่าแก่และสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของฟุกุโอกะ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1591 โดยสร้างอยู่เหนือหลุมศพของ Michizane Sugawara กวีและนักปราชญ์ผู้โด่งดังของญี่ปุ่น ภายในบริเวณของศาลเจ้าร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และการจัดสวนแบบญี่ปุ่น ผ่อนคลายด้วยสระน้ำที่อยู่ทางด้านหน้าศาลเจ้า อีกทั้งสะพานสีแดงสดใสที่สร้างบรรยากาศให้ที่นี่มีชีวิตชีวา บริเวณสวนยังเต็มไปด้วยต้นบ๊วย เมื่อถึงฤดูกาลดอกบ๊วยบานที่นี่ก็จะสดชื่นไปด้วยดอกบ๊วยสีชมพูบานสะพรั่ง ศาลเจ้าดะไซฟุ เท็มมังงุ อยู่ห่างจากสถานีรถไฟดะไซฟุ (Dazaifu Station) เพียงแค่ 250 เมตรเท่านั้น จากสถานีสามารถเดินเท้ามายังศาลเจ้าแห่งนี้ได้
ภาพจาก cowardlion /shutterstock.co
เวลาเปิด-ปิด : 09.00-16.30 น.
ค่าธรรมเนียม : บริเวณสวนเข้าชมฟรี
2. สวนยูมิโนนะกะ (Uminonakamichi Seaside Park)
สวนที่อยู่ริมทะเล ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมของชาวเมืองที่จะพาครอบครัวมาพักผ่อนหย่อนใจกัน ภายในสวนร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และดอกไม้ โดยเฉพาะต้นซากุระที่มีมากถึง 2,000 ต้น ปลูกเรียงรายบนถนนยาวและบริเวณโดยรอบสวน เมื่อถึงฤดูกาลที่ดอกซากุระเบ่งบานก็จะงดงามไปด้วยสีชมพูหวานของดอกซากุระ นักท่องเที่ยวสามารถปั่นจักรยานไปโดยรอบสวนได้ หรือจะนั่งรถไฟทัวร์รอบ ๆ สวนก็ได้เช่นกัน
เวลาเปิด-ปิด : เดือนมีนาคม-ตุลาคม ตั้งแต่เวลา 09.30-17.30 น. เดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ตั้งแต่เวลา 09.30-17.00 น.
ค่าธรรมเนียม : ผู้ใหญ่ 410 เยน, เด็ก 80 เยน (*ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง)
3. มารีน เวิลด์ ยูมิโนนะกะ (Marine World Uminonakamichi)
มาถึงเมืองริมทะเลอันโด่งดังทั้งทีจะไม่ไปเที่ยวชมอควาเรียมได้อย่างไร ซึ่งในเมืองฟุกุโอกะก็มีอควาเรียมเช่นกัน โดยใช้ชื่อว่า มารีน เวิลด์ ยูมิโนนะกะ โดยภายในจัดแสดงเกี่ยวกับวงจรชีวิตสัตว์ทะเลในทะเลทางแถบเมืองฟุกุโอกะ ซึ่งมีแท็งก์น้ำขนาดใหญ่ที่รองรับน้ำได้มากถึง 2,000 แกลลอน เพื่อให้โลมาและสิงโตทะเลได้แหวกว่าย และอีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่ก็คือแท็งก์น้ำกระจกลึก 7 เมตร มีความจุน้ำได้ประมาณ 1,400 แกลลอน ภายในแท็งก์แห่งนี้มีปลาฉลามมากกว่า 120 ตัว 20 สายพันธุ์ แหวกว่ายรอให้คุณได้ไปเยี่ยมชม
เวลาเปิด-ปิด : เดือนมีนาคม-กลางเดือนกรกฎาคม, เดือนกันยายน-พฤศจิกายน ตั้งแต่เวลา 09.30-17.30 น., กลางเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ตั้งแต่เวลา 09.00-18.30 น. และเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ตั้งแต่เวลา 10.00-17.00 น.
ค่าธรรมเนียม : ผู้ใหญ่ 2,160 เยน, เด็ก 570 เยน
4. ย่านร้านอาหารแบบยะไต (Yatai) เกาะ Nakasu
เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองฟุกุโอกะ ก็คือ ร้านขายอาหารแบบยะไต (Yatai) ซึ่งเป็นร้านขายอาหารแบบเปิดโล่ง ตั้งอยู่ริมถนน เป็นสิ่งที่ห้ามพลาดอย่างยิ่งเมื่อมาถึงฟุกุโอกะ และสถานที่ที่จะสามารถได้สัมผัสกับร้านอาหารประเภทนี้ก็คือบริเวณทางด้านเหนือของเกาะ Nakasu ริมแม่น้ำ Naka-gawa มีร้านอาหารแบบยะไตตั้งอยู่มากกว่า 20 ร้าน ซึ่งจำหน่ายอาหารประเภทราเมน อาหารทะเลปิ้งย่าง ซูชิ ซาซิมิ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนักท่องเที่ยวจะได้ลิ้มรสอาหารแบบพื้นเมืองของญี่ปุ่นแล้ว ยังได้สัมผัสกับอากาศที่เย็นสบายและโรแมนติกของย่านนี้อีกด้วย
เวลาเปิด-ปิด : 18.00-02.00 น.
5. สวนโอโฮริ (Ohori Park)
สวนที่อยู่ใจกลางเมือง มีจุดเด่นก็คือสระน้ำขนาดใหญ่ ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้มากมายหลากหลายชนิด มีศาลากลางน้ำสไตล์ญี่ปุ่นตั้งอยู่กลางน้ำอย่างโดดเด่น ภายในมีการจัดสวนแบบญี่ปุ่นสมัยโบราณไว้ให้เที่ยวชม พร้อมทั้งมีศาลเจ้า Gokoku ให้นักท่องเที่ยวได้เคารพกราบไหว้ นอกจากนี้ยังมีประตูโทริอิอันเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของญี่ปุ่นให้ได้สัมผัสอีกด้วย
เวลาเปิด-ปิด : 09.00-17.00 น.
ค่าธรรมเนียม : บุคคลทั่วไป 240 เยน
6. ห้างสรรพสินค้าคาแนล ซิตี้ (Canal City Hakata)
การไปเที่ยวญี่ปุ่นสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือการช้อปปิ้ง ซึ่งชาวเมืองฟุกุโอกะและนักท่องเที่ยวมักจะไปเลือกซื้อสินค้าต่าง ๆ กันที่ห้างสรรพสินค้าคาแนล ซิตี้ ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ มีการสร้างสระน้ำไว้ใจกลาง เพื่อสร้างความผ่อนคลายให้กับขาช้อปทั้งหลาย เพียบพร้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร จากแบรนด์ดังระดับโลกมากกว่า 250 ร้านค้า อีกทั้งโรงละคร โรงภาพยนตร์ และโรงแรม ที่นี่จึงเป็นศูนย์รวมแห่งความบันเทิงของฟุกุโอกะ ใครพลาดไม่ได้ไปแล้วจะเสียใจมาก
ภาพจาก Sean Pavone /shutterstock.com
เวลาเปิด-ปิด : 10.00-21.00 น.
ค่าธรรมเนียม : ไม่เสียค่าเข้าชม
7. ล่องเรือหมู่บ้านริมน้ำ เมืองยะนะกะวะ (Yanagawa)
เมืองที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดฟุกุโอกะ เป็นเมืองที่รู้จักกันดีว่ามีคลองที่ยาวมากกว่าร้อยกิโลเมตร ซึ่งเป็นเสน่ห์ของเมืองนี้เลยทีเดียว สิ่งที่นักท่องเที่ยวจะพลาดไม่ได้ก็คือการล่องเรือไม้ เรียกว่า Donko ชมวิถีชีวิตของชาวบ้านริมสองฝั่งคลอง พร้อมทั้งชมธรรมชาติที่งดงาม โดยสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือหมู่บ้านริมน้ำอันเก่าแก่ ซึ่งมีสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นแท้ และเมื่อล่องเรือไปเรื่อย ๆ จะพบกับโกดังอิฐแดง ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 เป็นเอกลักษณ์ของเมืองแห่งนี้
สวนที่อยู่ริมทะเล ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมของชาวเมืองที่จะพาครอบครัวมาพักผ่อนหย่อนใจกัน ภายในสวนร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และดอกไม้ โดยเฉพาะต้นซากุระที่มีมากถึง 2,000 ต้น ปลูกเรียงรายบนถนนยาวและบริเวณโดยรอบสวน เมื่อถึงฤดูกาลที่ดอกซากุระเบ่งบานก็จะงดงามไปด้วยสีชมพูหวานของดอกซากุระ นักท่องเที่ยวสามารถปั่นจักรยานไปโดยรอบสวนได้ หรือจะนั่งรถไฟทัวร์รอบ ๆ สวนก็ได้เช่นกัน
ค่าธรรมเนียม : ผู้ใหญ่ 410 เยน, เด็ก 80 เยน (*ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง)
3. มารีน เวิลด์ ยูมิโนนะกะ (Marine World Uminonakamichi)
มาถึงเมืองริมทะเลอันโด่งดังทั้งทีจะไม่ไปเที่ยวชมอควาเรียมได้อย่างไร ซึ่งในเมืองฟุกุโอกะก็มีอควาเรียมเช่นกัน โดยใช้ชื่อว่า มารีน เวิลด์ ยูมิโนนะกะ โดยภายในจัดแสดงเกี่ยวกับวงจรชีวิตสัตว์ทะเลในทะเลทางแถบเมืองฟุกุโอกะ ซึ่งมีแท็งก์น้ำขนาดใหญ่ที่รองรับน้ำได้มากถึง 2,000 แกลลอน เพื่อให้โลมาและสิงโตทะเลได้แหวกว่าย และอีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่ก็คือแท็งก์น้ำกระจกลึก 7 เมตร มีความจุน้ำได้ประมาณ 1,400 แกลลอน ภายในแท็งก์แห่งนี้มีปลาฉลามมากกว่า 120 ตัว 20 สายพันธุ์ แหวกว่ายรอให้คุณได้ไปเยี่ยมชม
เวลาเปิด-ปิด : เดือนมีนาคม-กลางเดือนกรกฎาคม, เดือนกันยายน-พฤศจิกายน ตั้งแต่เวลา 09.30-17.30 น., กลางเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ตั้งแต่เวลา 09.00-18.30 น. และเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ตั้งแต่เวลา 10.00-17.00 น.
ค่าธรรมเนียม : ผู้ใหญ่ 2,160 เยน, เด็ก 570 เยน
4. ย่านร้านอาหารแบบยะไต (Yatai) เกาะ Nakasu
เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองฟุกุโอกะ ก็คือ ร้านขายอาหารแบบยะไต (Yatai) ซึ่งเป็นร้านขายอาหารแบบเปิดโล่ง ตั้งอยู่ริมถนน เป็นสิ่งที่ห้ามพลาดอย่างยิ่งเมื่อมาถึงฟุกุโอกะ และสถานที่ที่จะสามารถได้สัมผัสกับร้านอาหารประเภทนี้ก็คือบริเวณทางด้านเหนือของเกาะ Nakasu ริมแม่น้ำ Naka-gawa มีร้านอาหารแบบยะไตตั้งอยู่มากกว่า 20 ร้าน ซึ่งจำหน่ายอาหารประเภทราเมน อาหารทะเลปิ้งย่าง ซูชิ ซาซิมิ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนักท่องเที่ยวจะได้ลิ้มรสอาหารแบบพื้นเมืองของญี่ปุ่นแล้ว ยังได้สัมผัสกับอากาศที่เย็นสบายและโรแมนติกของย่านนี้อีกด้วย
ภาพจาก cowardlion /shutterstock.com
เวลาเปิด-ปิด : 18.00-02.00 น.
5. สวนโอโฮริ (Ohori Park)
สวนที่อยู่ใจกลางเมือง มีจุดเด่นก็คือสระน้ำขนาดใหญ่ ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้มากมายหลากหลายชนิด มีศาลากลางน้ำสไตล์ญี่ปุ่นตั้งอยู่กลางน้ำอย่างโดดเด่น ภายในมีการจัดสวนแบบญี่ปุ่นสมัยโบราณไว้ให้เที่ยวชม พร้อมทั้งมีศาลเจ้า Gokoku ให้นักท่องเที่ยวได้เคารพกราบไหว้ นอกจากนี้ยังมีประตูโทริอิอันเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของญี่ปุ่นให้ได้สัมผัสอีกด้วย
ค่าธรรมเนียม : บุคคลทั่วไป 240 เยน
6. ห้างสรรพสินค้าคาแนล ซิตี้ (Canal City Hakata)
การไปเที่ยวญี่ปุ่นสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือการช้อปปิ้ง ซึ่งชาวเมืองฟุกุโอกะและนักท่องเที่ยวมักจะไปเลือกซื้อสินค้าต่าง ๆ กันที่ห้างสรรพสินค้าคาแนล ซิตี้ ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ มีการสร้างสระน้ำไว้ใจกลาง เพื่อสร้างความผ่อนคลายให้กับขาช้อปทั้งหลาย เพียบพร้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร จากแบรนด์ดังระดับโลกมากกว่า 250 ร้านค้า อีกทั้งโรงละคร โรงภาพยนตร์ และโรงแรม ที่นี่จึงเป็นศูนย์รวมแห่งความบันเทิงของฟุกุโอกะ ใครพลาดไม่ได้ไปแล้วจะเสียใจมาก
ภาพจาก Sean Pavone /shutterstock.com
ค่าธรรมเนียม : ไม่เสียค่าเข้าชม
7. ล่องเรือหมู่บ้านริมน้ำ เมืองยะนะกะวะ (Yanagawa)
เมืองที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดฟุกุโอกะ เป็นเมืองที่รู้จักกันดีว่ามีคลองที่ยาวมากกว่าร้อยกิโลเมตร ซึ่งเป็นเสน่ห์ของเมืองนี้เลยทีเดียว สิ่งที่นักท่องเที่ยวจะพลาดไม่ได้ก็คือการล่องเรือไม้ เรียกว่า Donko ชมวิถีชีวิตของชาวบ้านริมสองฝั่งคลอง พร้อมทั้งชมธรรมชาติที่งดงาม โดยสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือหมู่บ้านริมน้ำอันเก่าแก่ ซึ่งมีสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นแท้ และเมื่อล่องเรือไปเรื่อย ๆ จะพบกับโกดังอิฐแดง ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 เป็นเอกลักษณ์ของเมืองแห่งนี้
ย่านที่ตั้งอยู่ทางด้านอ่าวฮากาตะ (Hakata Bay) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ริมชายฝั่งทะเล มีบรรยากาศผ่อนคลาย เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสุดฮิตของชาวฟุกุโอกะ มีชายหาดทอดยาวให้ได้วิ่งออกกำลังกาย หรือนอนอ่านหนังสือริมทะเล รวมทั้งมีร้านอาหาร ร้านค้าในโซนมาริซอน (Marizon) ให้เลือกซื้อของรับประทานและเป็นของฝากมากมาย อีกทั้งอาคารเวดดิ้ง ฮอลล์ อาคารรูปทรงคลาสสิก ตั้งอยู่อย่างสง่างามให้ได้ไปถ่ายรูปกันอีกด้วย จากชายหาดเมื่อมองกลับไปที่ตัวเมืองจะเห็นตึกฟุกุโอกะ ทาวเวอร์ (Fukuoka Tower) อย่างชัดเจน
สถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นตึกที่อยู่ริมทะเลที่สูงที่สุด ด้วยมีความสูงมากถึง 234 เมตร โดดเด่นด้วยการใช้กระจกในการตกแต่งทั่วทั้งตึกทั้งหมด 8,000 บาน นอกจากจะเป็นตึกที่สวยงามแล้ว ที่นี่ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปที่ความสูง 123 เมตร ซึ่งเป็นชั้นที่สามารถมองเห็นริมทะเลและเมืองฟุกุโอกะได้แบบไกลสุดลูกหูลูกตา และมองเห็นได้ในมุมมอง 360 องศา อีกด้วย
ภาพจาก 10 FACE /shutterstock.com
เวลาเปิด-ปิด : 09.30-22.00 น.
ค่าธรรมเนียม : ผู้ใหญ่ 800 เยน, นักเรียน/นักศึกษา 500 เยน และเด็ก 200 เยน
10. เมืองท่าคิตะคิวชู (Kitakyushu)
เมืองที่ตั้งอยู่ทางด้านเหนือสุดของเกาะคิวชู ในอดีตเป็นเมืองท่าที่สำคัญ ใช้เป็นท่าเรือในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในเอเชีย รวมทั้งจากทางฝั่งตะวันตก จึงได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมจากต่างชาติมามากพอสมควร สามารถดูได้จากอาคารบ้านเรือนที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งมีสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานศิลปะทางตะวันตก สร้างบรรยากาศคลาสสิกให้กับเมืองแห่งนี้ได้มากเลยทีเดียว
ภาพจาก yyama/shutterstock.com
ใครที่รักดอกไม้ต้องไม่พลาดการไปเยือนสวนคาวาจิ ฟูจิ การ์เด้น ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองคิตะคิวชู เป็นดินแดนดอกไม้ที่เหมือนกับในจินตนาการ ด้วยพุ่มดอกวิสเทอเรียไล่ไปตั้งแต่สีชมพูอ่อนจนถึงสีม่วงเข้ม หลากหลายสายพันธุ์ ห้อยระย้าลงมาตามโครงที่เป็นซุ้มคล้ายอุโมงค์ยาวกว่า 80 เมตร ไม่เพียงแค่นั้นที่นี่ยังมีต้นวิสเทอเรียอายุมากกว่า 100 ปี ตั้งอย่างสง่างามอยู่ที่ปลายสวน สร้างความอลังการให้กับสวนแห่งนี้อีกด้วย ในฤดูกาลที่ดอกวิสเทอเรียบานสะพรั่ง ที่นี่จะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่หลงใหลในดอกไม้ และดอกวิสเทอเรียจะบานเพียงแค่ 1-2 สัปดาห์เท่านั้น คือในช่วงปลายเดือนเมษายน-กลางเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน-กลางเดือนธันวาคม ยังมีใบไม้เปลี่ยนสีให้ได้เที่ยวชมด้วย
ภาพจาก Tristan Scholze/shutterstock.com
เวลาปิด-ปิด : ชมดอกวิสเทอเรีย เวลา 09.00-18.00 น. ชมใบไม้เปลี่ยนสี เวลา 09.00-18.00 น.
ค่าธรรมเนียม : 500-1,000 เยน
แค่เห็นที่ท่องเที่ยวบางส่วนของ ฟุกุโอกะ ก็ทำตาลุกวาวแล้วใช่ไหม ซึ่งอันที่จริงในเขตจังหวัดนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย และมันจะฟินมากกว่าหากว่าคุณได้เป็นคนค้นพบมันด้วยตัวเอง ถ้ามีโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินไปยังฟุกุโอกะก็อย่าพลาดเลยเชียว หยิบไว้ให้ไว ยึดไว้ให้มั่น แล้วเตรียมตัวไปสนุกสนานได้เลย
หมายเหตุ : ข้อมูลและราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาตรวจสอบอีกครั้ง
บทความ ที่เที่ยวญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่น อื่น ๆ ที่น่าสนใจ
- ชิราคาวาโกะ หมู่บ้านโบราณญี่ปุ่น กับความงดงามในวันหิมะขาวโพลน
- พลาดไม่ได้ 30 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น น่าไปเช็กอิน
- Ainokura Village ญี่ปุ่น หมู่บ้านโบราณมรดกโลกแห่งโกคายามะ
- เที่ยวชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ชมบ้านฟูจิซัง เที่ยวง่าย ๆ ใกล้โตเกียว
- พลาดไม่ได้ 30 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น น่าไปเช็กอิน
- Ainokura Village ญี่ปุ่น หมู่บ้านโบราณมรดกโลกแห่งโกคายามะ
- เที่ยวชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ชมบ้านฟูจิซัง เที่ยวง่าย ๆ ใกล้โตเกียว