เที่ยวญี่ปุ่น ไปเยือนโตเกียวด้วยตัวเอง 5 วัน 4 คืน สนุกกับสถานที่ท่องเที่ยวโตเกียวสวย ๆ พร้อมด้วยร้านอาหารอร่อย ๆ มากมาย ตามรอยเที่ยวด้วยตัวเองไม่ยาก
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สวัสดีค่ะ วันนี้จะมารีวิวการไปต่างประเทศครั้งแรกของเจ้าของกระทู้ เลยค่อนข้างที่จะเตรียมตัวมาก เพราะไปกันเองค่ะ ซึ่งเจ้าของกระทู้จะพูดถึงการเตรียมความพร้อม ค่าใช้จ่าย การเดินทาง และอื่น ๆ ที่พอจะเป็นประโยชน์กับชาวพันทิปทุกคน เริ่มกันเลยดีกว่าทริป 5 วัน 4 คืน ที่โตเกียวค่ะ อย่างแรกที่เจ้าของกระทู้เตรียมคือตั๋วเครื่องบินที่ราคาไม่สูงนัก และตรงกับช่วงวันหยุดเยอะ ๆ นั่นคือวันที่ 5-10 ธันวาคม 2557 ที่ผ่านมานี่เองค่ะ
- ค่าใช้จ่ายต่อคนโดยประมาณ
- ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ รวมโหลดกระเป๋า 20 กิโลกรัม 14,000 บาท
- ค่าที่พักต่อคนประมาณ 4,700 บาท จำนวน 4 คืน
- ค่าตั๋วรถไฟจากสนามบินนาริตะเข้าโตเกียว+Tokyo metro และ Toei Line แบบ 2 Day Pass ประมาณ 3,200 yen
- ค่าตั๋วรถไฟสำหรับวันที่ 3 และเที่ยวโอไดบะ ประมาณ 1,500 yen
- ค่าตั๋วรถไฟสำหรับเที่ยววันที่ 4 ประมาณ 1,000 yen และเที่ยวฮาโกเน่ ประมาณ 5,140 yen
(ราคาเป็นการประมาณการนะคะ เนื่องจากเจ้าของกระทู้ลืมจด)
การเตรียมตัวอย่างที่ 1 : ทำพาสปอร์ต ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ ก็เสร็จค่ะ แต่ทางที่ดีควรทำแต่เนิ่น ๆ นะคะ
การเตรียมตัวอย่างที่ 2 : เจ้าของกระทู้ไปช่วงเดือนธันวาคม ตรงกับหน้าหนาว เสื้อผ้าที่ใส่จึงต้องเตรียมหนา ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ซึ่งเจ้าของกระทู้เตรียมไป คือ ใส่สามชั้น ลองจอน, สเวตเตอร์, และเสื้อกันหนาวตัวหนา ๆๆ พวกขนเป็ด สรุปว่าหนาวสั่นเลยจ้า แทบเอาไม่อยู่ สงสัยจะขี้หนาวไปหน่อย ไม่ก็ลองจอนอาจบางไปก็เป็นได้
การเตรียมตัวอย่างที่ 3 : การทำตารางการท่องเที่ยว การฝึกดูแผนที่ และตารางรถไฟจ้า เจ้าของกระทู้นั่งรถไฟใต้ดินของ Tokyo Metro เป็นส่วนใหญ่ค่ะ
การเตรียมตัวอย่างที่ 4 : การคำนวณค่าใช้จ่ายและอาหารการกิน ยารักษาโรคต่าง ๆ ที่ต้องเตรียมไปด้วย Adapter แบตสำรอง และอื่น ๆ
การเตรียมตัวอย่างที่ 5 : ศึกษากฎการขึ้นเครื่อง การผ่าน ตม. การกรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ การสื่อสารกับคนญี่ปุ่น
การเตรียมตัวอย่างที่ 6 : อ่านหนังสือท่องเที่ยว รีวิวต่าง ๆ เช่น Pantip, Youtube เป็นต้น
มาดูตารางเที่ยวกันเลยดีกว่าอ่านเยอะเดี๋ยวจะเบื่อ บอกก่อนนะว่าเที่ยวไม่ได้ตามที่จัดซะทีเดียว มีเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยตามเวลาจ้า
ตารางคร่าว ๆ ที่ทำนะคะ
ดูแบบง่าย ๆ เจ้าของกระทู้วางแผนการเดินทางล่วงหน้าประมาณสามเดือนค่ะ พอจองตั๋วได้ก็หาที่พัก เลือกใกล้ ๆ สถานีรถไฟค่ะ โดยเลือกพักที่ Toyoko inn tawaramachi Ueno ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีส้ม (Ginza Line) G18 โดยจองตั๋วผ่านหน้าเว็บโดยตรงเลยค่ะ www.toyoko-inn.com
รูปด้านบนเป็นตารางรถไฟใต้ดินในโตเกียวค่ะ แบ่งเป็นของ Tokyo Metro กับ Toei Line ตามที่เขียนในรูปด้านล่างขวามือ ถ้ารูปมองไม่ชัดสามารถเข้าไปโหลดได้ตามลิงก์ข้างล่างค่ะ
www.tokyometro.jp
ค่อย ๆ ศึกษาในแผนที่ อาจดูงง ๆ แต่ไม่ยากเลยค่ะ สักแป๊บก็เข้าใจ ลองดูกับตารางทัวร์ประกอบกันนะคะว่าแต่ละที่ที่จะไปตั้งอยู่สถานีไหน ที่ญี่ปุ่นสถานีรถไฟมีภาษาอังกฤษอยู่ค่ะ ดูไม่ยาก
ยกตัวอย่างคร่าว ๆ นะคะ เช่น สวนอุเอโนะอยู่ G16 ตลาดอะเมโยโกะอยู่ G15 ชิบูย่า อยู่ G1 ฮาราจูกุ อยู่ C3 ตลาดปลาซึคิจิ อยู่ H10
เรามาเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า เครื่องออกจากสนามบินดอนเมือง 23.45 น. เจ้าของกระทู้ถึงสนามบินสองทุ่มนิด ๆ รอโหลดกระเป๋า ทางสายการบินให้นำกระเป๋าขึ้นเครื่องได้ น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม เจ้าของกระทู้ซื้อน้ำหนักเพิ่มไว้แล้ว 20 กิโลกรัม อย่าลืมศึกษาระเบียบการนำสัมภาระขึ้นเครื่องกันนะคะ
www.airasia.com
www.airasia.com
เจ้าของกระทู้ถึงสนามบินนาริตะเวลาประมาณ 08.00 น. เวลาของญี่ปุ่นเร็วกว่าไทยสองชั่วโมงนะคะ และจากนั่นเราก็ไปหาตั๋วเข้าโตเกียวกัน เพื่อนที่ไปด้วยเก่งภาษาอังกฤษค่ะ แต่ถึงไม่เก่งภาษาก็ไม่ต้องกลัวนะคะ เจ้าของกระทู้ก็ปู ๆ ปลา ๆ เช่น บอกไปว่า จะไปไหน......
เจ้าของกระทู้จะไปรถไฟของ Keisei Skyliner ไปลง Ueno เพื่อต่อรถไฟใต้ดินไป Tawaramachi G18 ค่ะ และ 2 วันแรกเจ้าของกระทู้จัดทริปไปเที่ยวที่ที่ใช้รถไฟใต้ดินสาย Tokyo Metro ดังนั้นจึงซื้อตั๋ว Keisei SkyLiner one way+Tokyo Metro/Toei Subway ราคาอยู่ที่ 3200 yen ค่ะ
รายละเอียดต่างๆ คลิกลิงก์เลยคะ www.keisei.co.jp
ถึงที่พักแล้วค่ะ
ขนาดห้องพักที่ญี่ปุ่นจะไม่ใหญ่มากนะคะ ที่พักของ Toyoko inn มีหลายสาขา ที่เจ้าของกระทู้พักมีอาหารเช้าฟรีค่ะ
ที่เที่ยวแรกที่เราไปกัน คือ วัดเซ็นโซจิ Asakusa นั่งสาย Ginza จาก G18-G19 การนั่งรถไฟไม่ยากค่ะ เพียงนำบัตรที่เราได้จากสนามบินสอดเข้าไปในช่องผ่านทางมันจะเด้งออกมาให้ค่ะ ตัวอย่างหน้าตาบัตรที่เจ้าของกระทู้ได้มา
ถึงแล้วววววววว วัดเซ็นโซจิ ที่ Asakusa ที่สถานีรถไฟจะมีป้ายเขียนว่า sensoji เดินตามป้ายเลยจ้า ขึ้นมาจากสถานีรถไฟเดินตรงไปจะอยู่ขวามือ
เดินตรงเข้าไปจะเจอแบบนี้...
บรรยากาศร้านขายสินค้าของฝากต่าง ๆ ทางเข้าวัดค่ะ
ไปต่อกันที่โตเกียวสกายทรี ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนักเป็นจุดชมวิวมุมสูงที่น่าสนใจอีกหนึ่งที่ในยามค่ำคืน แต่เจ้าของกระทู้แวะไปช่วงเย็น เพราะคิดว่าจะไปชมมุมสูงที่โอไดบะ จุ๊บ ๆๆ
สถานที่ที่ 2 ของวันนี้ คือ ตลาดอะเมโยโกะ (6 ธันวาคม 2557) ตรงกับวันเสาร์ นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย Ginza จาก G19 - G15 ลงสถานี Ueno-hirokoji เจ้าของกระทู้ถึงตลาดประมาณ 15.30 น. และแยกย้ายกันเดินจนถึงประมาณเกือบหกโมง
จุดสังเกตของตลาดอะเมโยโกะ Ameyoko คือป้ายซ้ายมือ แต่ทางที่ดีเดินทั้งสองอันแหละ หาไม่ยาก ที่สถานีรถไฟมีแผนที่บอก ส่วนใหญ่ให้ดูที่สถานีเป็นหลัก ถ้างงก็ถามคนญี่ปุ่นเลยก็ได้ ส่วนใหญ่ใจดี แค่พูดที่ที่จะไปได้เขาก็บอกเราถูกแล้ว ต้องบอกเลยว่าคนญี่ปุ่นภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยแข็งแรงมากนัก ^^
นอกเรื่องแป๊บ...สตรอว์เบอร์รีหวานมากกกกกกกกก
ทางเข้าที่เราเดินมาเป็นแบบนี้ตอนแรกคิดว่าหลง แต่จริง ๆ แล้วมาได้หลายทาง ถ้าใครมาทางนี้ไม่ต้องตกใจเข้าไปได้เลยค่ะ
คือผลไม้ดูสดมาก
แวะซื้อของเผื่อใครอยากส่องราคา ^^
ห้าโมงกว่า ๆ ก็มานั่งทานราเมง ราคา 930 เยน เยอะมาก กินไม่หมด
สถานที่สุดท้ายที่ตั้งใจไว้ในคืนวันนี้ คือ Akihabara เอกิฮาบาระ การเดินทางนั่งรถไฟใต้ดินสาย Hibiya line สายสีเทา H16 ไปลง H15 สถานี Akihabara เจ้าของกระทู้ไปเดินดูให้รู้เฉย ๆ ว่าเป็นยังไง สถานที่นี่ไม่ได้มีเป้าหมายอะไร ส่วนใหญ่เดินดูพวกของเล่น แต่เนื่องจากเวลาเหลือและยังไม่อยากกลับจึงเปลี่ยนแผนกะทันหัน และไปต่อที่กินซ่า GinZa การเดินทางนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Hibiya line สายสีเทา H15 ไปลง H8 สถานี Ginza (ป.ล. รถไฟฟ้าใต้ดินหมดประมาณก่อนเที่ยงคืน ลองเช็กเวลาอีกครั้ง)
อะไรไม่รู้ที่ Akihabara หนุ่ม ๆ ชอบแวะดู
เดินเล่นย่านกินซ่า ย่านนี้จะเป็นย่านที่มีร้านค้าขายสินค้าแบรนด์เนมหลากหลายยี่ห้อ ใครที่ชอบแบรนด์เนมไม่น่าพลาด
กลับที่พักกัน รูปร่างหน้าตาโรงแรมที่เจ้าของกระทู้พักค่ะ บทเรียนที่ได้วันนี้คือ
- เวลาไม่เคยพอ
- เมื่อยขามาก รองเท้าผ้าใบ และการแช่น้ำอุ่นช่วยได้
- อากาศหนาวมากกกกก
วันที่ 2 (7 ธันวาคม 2557) วันอาทิตย์
สถานที่ท่องเที่ยวตามแผนที่วางไว้
- พระราชวังอิมพีเรียล
- ศาลเจ้าเมจิ
- ฮาราจูกุ
- ชิบุย่า
- ชินจูกุ
- โตเกียวทาวน์เวอร์
เจ้าของกระทู้ออกเดินทางเก้าโมง การเดินทางไปพระราชวังอิมพีเรียล นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Ginza สถานี G18-G06 และเปลี่ยนสถานีเป็น Chiyoda Line สายสีเขียวจากสถานี C7-C10 สถานีปลายทางชื่อว่า Nijubachimae
ป.ล. ถ้าเว็บอื่นบอกให้ลงสถานีอื่นไม่ต้องตกใจ ที่นี่ลงได้หลายสถานี แต่เจ้าของกระทู้ว่าอันนี้ใกล้สุด...หรือเปล่า 555
วันที่ไปคนเยอะมาก ตอนแรกนึกว่าเขามาเลือกตั้งกัน ที่ไหนได้มารอชมพระราชวังด้านใน ^^
สถานที่ต่อไปนะคะ เนื่องจากวันที่เจ้าของกระทู้ไปคนมาเที่ยวเยอะมาก และต้องต่อคิวยาวมากกกกกกกก จึงเดินบริเวณรอบ ๆ แล้วไปเที่ยวต่อกันที่ศาลเจ้าเมจิ
การเดินทางจากพระราชวังอิมพีเรียลไปศาลเจ้าเมจิ ลงสถานีเดียวกับฮาราจูกุได้เลยค่ะ
การเดินทางนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน Chiyoda line สายสีเขียว จาก C10-C3 (Meiji-jingumae) เมื่อถึงสถานีให้มองหาป้าย Meiji Shrine แล้วเดินไปตามป้ายเลยค่ะ ทางที่เจ้าของกระทู้ไป จะมีสะพานเดินข้ามและทางเดินเข้าจะมีต้นไม้เต็มไปหมดเลยค่ะ
รูปร่างน่าตาสะพาน
เดินข้ามสะพานเข้ามาจะเจอแบบนี้ให้เดินเข้าไปเลยจ้า
เดินเข้าไปก็ประมาณ 10 นาที ถามว่าไกลไหม ก็ไม่เท่าไรค่ะ แต่เราแวะถ่ายรูปตลอดทาง ^^
มีมุมให้ถ่ายรูปอีกแล้ว
ถึงแล้ว...ศาลเจ้าเมจิ
บริเวณนี้มีไว้ให้เรามาล้างมือล้างปาก เหมือนประมาณว่าชำระล้างสิ่งไม่ดีอะไรประมาณนั้นค่ะ น้ำเย็นมาก ๆๆๆๆ
ลืมบอกไปว่าเจ้าของกระทู้ไปช่วงต้นเดือนเลยยังเห็นใบไม้เปลี่ยนสีในสถานที่ต่าง ๆ ค่อนข้างเยอะเชียวค่ะ คุ้มมาก ๆๆๆๆ
สถานที่ที่ 3 ของวันนี้ คือ ฮาราจูกุ ค่ะ เดินออกทางเดิมพอถึงตรงสะพานให้เลี้ยวซ้าย และเดินตรงไปเรื่อย ๆ จะเจอซอยคนเยอะ ๆ ให้เลี้ยวขวา ถึงแล้วจ้า ไม่ไกลมาก
ป.ล. เจ้าของกระทู้แอบหลงไปที่ชิบูย่ามาด้วยจ้า เดินไปได้ยังไงก็งง ๆ แต่กลับมาไม่ยาก เพราะมีอินเทอร์เน็ต ช่วยได้จริง ๆๆๆ
มาต่อกันเลยดีกว่าค่ะ ไหน ๆ ก็โยงไปเรื่องอินเทอร์เน็ตแล้ว เจ้าของกระทู้ขออนุญาตอธิบายในส่วนของการใช้โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต และโปรแกรมมือถือที่เจ้าของกระทู้ใช้ให้เพื่อน ๆ ฟังนิดหนึ่งนะคะ
อย่างที่ 1 : การใช้มือถือ เจ้าของกระทู้เปิดโหมดเครื่องบินอย่างเดียวเลยค่ะ เพราะกลัวเปลืองค่าโทรศัพท์ และเปลี่ยนมาเช่า Pocket Wi-fi แทน ค่าเช่าตอนนั้นอยู่ประมาณ 200 บาทต่อวัน คิดโดยนับวันที่เราอยู่ญี่ปุ่น เช่น เครื่องออกวันที่ 5 ถึงญี่ปุ่นวันที่ 6 และกลับเมืองไทยวันที่ 10 ตอนเช้า ตอนเช้าทางบริษัทเขาคิดอยู่ที่ 5 วัน ราคา 1,000 บาท ไม่คิดค่าประกัน รับเครื่องก่อนไปสามวัน โดยเขาจะติดต่อเรานัดรับเครื่อง ถ้าใครไปที่สนามบินสุวรรณภูมิก็รับที่นั่นเลยสะดวกสุดค่ะ
ข้อดี : สำหรับคนที่ชอบเล่นอินเทอร์เน็ตหรือกลัวหลง มันช่วยได้มาก ๆ ค่ะ อย่างน้อยก็อุ่นใจ
ข้อเสีย : มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
ถามว่าจำเป็นไหม สำหรับเจ้าของกระทู้คิดว่ามีไว้ก็ดีค่ะ ไปทั้งทีเสียเพิ่มอีกหน่อยเพื่อความสะดวกและสบายใจค่ะ แบ่งใช้ได้หลายคนอยู่ ประมาณ 3-4 คน กำลังดี หารกันไม่กี่ร้อย แต่สำหรับคนที่ไม่สนใจที่โรมแรมและสนามบินก็มีค่ะ เห็นได้ยินมาว่าสถานีรถไฟก็มี แต่เจ้าของกระทู้ลืมทดลองใช้ให้ค่ะ
ลิงก์ Pocket Wi-fi มีหลายเจ้ามากค่ะ แต่ที่เจ้าของกระทู้ใช้ก็ของเว็บนี้เลย www.facebook.com/4gpocketwifi?fref=ts
อย่างที่ 2 : โปรแกรมมือถือที่แนะนำ นั่นก็คือ โปรแกรมรถไฟฟ้าใต้ดิน เพราะคนส่วนใหญ่กลัวแผนที่รถไฟ โปรแกรมนี้จึงถือว่าน่าสนใจมาก ชื่อโปรแกรม Tokyosubway เพียงพิมพ์สถานีที่อยู่และจะไป โปรแกรมจะคำนวณเส้นทางการนั่งรถไฟ ระยะเวลา และค่าใช้จ่ายให้ค่ะ เริดสุด ๆๆๆๆ รูปร่างหน้าตาโปรแกรมที่ใช้ และ การเปิดโหมดเครื่องบิน (สำหรับคนที่ยังไม่รู้ค่ะ ^^)
กลับมาที่ฮาราจูกุกันต่อค่ะ ด้านบนได้อธิบายทางไปที่ถูกต้องแล้ว ที่นี้ลองหลงไปกับเจ้าของกระทู้ดีกว่าค่ะ ทางที่ไปคือเมื่อถึงสะพานตามรูปด้านบน เจ้าของกระทู้เดินข้ามถนนแล้วตรงยาวเลยค่ะ หลง...แต่ชอบนะ เจอร้านขายของเก๋ ๆ หลายร้าน
ยังไม่รู้ตัวว่าหลง อิอิ
คนญี่ปุ่นน่ารัก ^^ เริ่มรู้ตัวว่าหลงก็เปิด Map ไปฮาราจูกุเลยจ้า เส้นทางลัดเดินเข้าตามซอย ไปเจออยู่วัดหนึ่งเป็นวัดหรือศาลเจ้าไม่แน่ใจ เล็ก ๆ สวย สงบดีค่ะ
ถึงฮาราจูกุของจริงแล้วนะ ^^
กลับมาที่สถานีรถไฟเพื่อเดินทางไปต่อที่ชินจูกุ การเดินทางจากฮาราจูกุไปชินจูกุ นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Fukutoshin Line สายสีน้ำตาล จาก F15-F13 และเปลี่ยนรถไฟเป็นสาย Marunouchi Line สายสีแดง จาก M9-M8 ถึงแล้วจ้าใกล้นิดเดียว
จากรูปด้านบนทางลงสถานีรถไฟข้ามถนนอยู่ขวามือค่ะ เจ้าของกระทู้จะมากินขาปูยักษ์ตอนห้าโมงเย็น แต่เนื่องจากไม่ได้จองคิวไว้เลยอดกินค่ะ
เลยไปหากินร้านอื่น และก็ไปเจอกับร้านนี้ค่ะ
เมื่อเข้าไปในร้านถามเขาว่ามีขาปูไหม เขาบอกไม่มีค่ะ ในเมนูก็ไม่มีจึงทานอย่างอื่นแทน ร้านนี้แอบเซ็งนิดหน่อยค่ะ รู้สึกว่าปลาดิบไม่ค่อยสด T__T
เมื่อกินกันอิ่มแล้ว ช้อปปิ้งก็เสร็จแล้ว ไปถ่ายรูปเล่นกันต่อที่โตเกียวทาวน์เวอร์ดีกว่า การเดินทางก็ไม่ยากค่ะ นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Marunouchi Line สายสีแดง จาก M8-M15 และเปลี่ยนสายเป็น Hibiya Line สายสีเทา จาก H6-H5 ก็จะมาลงสถานีที่มีชื่อว่า Kamiyacho
ระหว่างกลับโรงแรมแวะหยอดตู้น้ำกันดีกว่า ตู้หยอดน้ำส่วนใหญ่ราคาประมาณ 100 เยน ขึ้นไปค่ะ รวมทั้งน้ำเปล่าด้วย ตลอดระยะเวลาที่ไปเที่ยวทริปนี้พวกเรากดชิมเกือบทุกแบบค่ะ นาน ๆ ไปทีลองชิมกันดูนะคะ
การเดินทางกลับโรงแรม นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Hibiya line สายสีเทา สถานี H5-H17 และเปลี่ยนเป็นสาย Ginza line สายสีส้ม จาก G16-G18 บริเวณที่พักไม่ไกลจากสถานีรถไฟ และอยู่ใกล้กลับ เซเว่นฯ มินิมาร์ท ค่อนข้างสะดวกค่ะ
วันที่ 3 (8 ธันวาคม 57) วันจันทร์
โปรแกรมการท่องเที่ยว คือ
- ตลาดปลาซึคิจิ
- กินซ่า (เปลี่ยนแผนไปตลาดอะเมโยโกะอีกรอบ)
- โอไดบะ
อาหารเช้าที่โรงแรมมีไม่เยอะค่ะ รสชาติพอทานได้ แต่ส่วนใหญ่จะกินกันแค่กาแฟขนมปังค่ะ
ที่แรกตลาดปลาซึคิจิ การเดินทางนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Ginza line สายสีส้มจาก G16 และเปลี่ยนสายเป็น Hibiya Line สายสีเทา จาก H17-H10 ลงสถานี Tsukiji
แวะซื้อของฝากก่อนไปเก็บตกตลาดอะเมโยโกะ
เจ้าของกระทู้ขอพูดข้ามตลาดอะเมโยโกะเลยนะคะ สถานที่ต่อไป คือ โอไดบะ การเดินทางนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Asakusa สายสีชมพูอ่อน ไปลงสถานี A10 ชื่อสถานี Shimbashi
เมื่อถึงสถานี Shimbashi ให้เปลี่ยนสถานีไปนั่งรถไฟลอยฟ้า ชื่อว่า Yurikamomae โดยซื้อบัตร Free Pass ที่ตู้กดบัตร
น่าตาตู้กดประมาณนี้ ราคา 820 เยน แต่ซื้อ Free Pass คุ้มสุด
เจ้าของกระทู้ถึงประมาณ 4 โมงกว่า แต่ท้องฟ้ามืดไวมาก ลงสถานี Aomi U-10 ไปนั่งชิงช้าสวรรค์ Ferris Wheel ค่าใช้จ่ายหัวละ 500 เยน
สถานที่ต่อไป คือ Daiba U-07
แวะทานข้าว
สถานที่สุดท้ายของคืนนี้ที่จะไป คือ สะพานสายรุ้ง อิอิ จริง ๆ แล้วมีอีกหลายที่ให้ไปนะคะ ตามแผนที่ที่ให้ไปลองลงดูหลาย ๆ สถานีก็ได้ค่ะ
การเดินทางกลับ คือ นั่งรถไฟลอยฟ้าไปลงสถานี Shimbashi และเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Ginza สายสีส้มจาก G8-G18
วันสุดท้าย วันที่ 4 (วันที่ 9 ธันวาคม 57) วันอังคาร
สถานที่เที่ยววันนี้ คือ ฮาโกเน่
การเดินทาง นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Ginza สายสีส้มจากสถานี G18-G9 และเปลี่ยนเป็นสาย Marunouchi line สถานี M16-M8
ป.ล. บางครั้งการเดินทางโดยรถไฟอาจไม่ตรงกับที่ทำแผนไว้ตอนแรก แต่ถ้าเราดูแผนที่เป็นแล้ว เราจะสามารถไปได้หลายเส้นทางมาก ๆ ค่ะ
ก่อนที่เราจะมาญี่ปุ่นเคยได้ศึกษามาเหมือนกันว่าจะมีเคาน์เตอร์บริการ เห็นว่าพูดภาษาไทยได้ แต่เนื่องจากพวกเรากลัวเสียเวลาหาเลยซื้อตั๋วที่ตู้เลยค่ะ เป็นตั๋ว Hakone Free Pass ราคา 5,140 เยน สามารถใช้ได้สองวัน ไม่มีแบบวันเดียวขายนะคะ
เมื่อซื้อตั๋วเรียบร้อยให้เราไปขึ้นรถไฟสาย Odakyu Raiway ซึ่งจะมีป้ายบอกทางอยู่ค่ะ การเดินทางเที่ยวในฮาโกเน่มีหลายเส้นทาง เส้นทางที่เจ้าของกระทู้ทำนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกค่ะ
การเดินทางเที่ยวในฮาโกเน่ของเจ้าของกระทู้ค่ะ
- นั่งรถไฟสาย Odakyu Line ตรงสถานีชินจูกุ ไปลงที่สถานี ODAWARA (OH41) เจ้าของกระทู้ลงที่นี่ แวะทานข้าว ไม่แน่ใจว่ารถไฟสายนี้ไปถึงสถานี Hakone-Yumoto หรือเปล่า
- นั่งรถไฟสายสีส้มจาก ODAWARA ไปลงสถานี Hakone-Yumoto (OH51)
- นั่งรถไฟสายคลาสสิก Hakone Tozan train สายสีแดง ไปลงสถานี Gora (OH57) เพื่อนั่งรถรางขึ้นเขา
- นั่งรถรางขึ้นเขา สาย Hakone Tozan cable Car สายสีเขียว ไปลงสถานี Sounzan (OH62) ผ่านสถานีรายทาง 4 สถานี เพื่อนั่งกระเช้าชมหุบเขาที่มีกำมะถัน ภูเขาไฟฟูจิ กินไข่ดำ
- นั่ง Hakone Ropeway สายสีชมพู ไปลงสถานี Owakudani (OH63) นั่งสถานีเดียว เพื่อแวะถ่ายรูป ไปชมไข่ดำ
- นั่ง Hakone Ropeway สายสีชมพู จากสถานี Owakudani (OH63) ไปลงที่สถานี Togendai-ko (OH65) เพื่อไปล่องเรือในทะเลสาบอะชิ ชมวิว จุดนี้สามารถชมภูเขาไฟฟูจิได้
- นั่งเรือไปลงสถานีแรกเพื่อเดินทางกลับ
- นั่งรถบัสไปลงสถานี Odawara หรือ Hakone-Yumoto เพื่อกลับชินจูกุ ตามเส้นทางเดิม
ป.ล. ที่สถานีชินจูกุมีแผนที่แจก สามารถนำมาดูเพื่อประกอบจะเข้าใจง่ายมาก ๆๆๆ ค่ะ
เสนอแนะ : ถ้าเพิ่มเงินอีกประมาณ 800 เยน ขากลับแนะนำให้นั่งรถไฟ Romancecar ค่ะ ไวและนั่งสบายกว่าค่ะ ถ้านั่งแบบธรรมดาจอดทุกสถานีและคนเยอะมากค่ะ
จุดแวะตรง Owakudani
เมื่อถึงชินจูกุนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Marunouchi Line สถานี M8-M16 และเปลี่ยนเป็นสาย Ginza สายสีส้มจากสถานี G9-G18
วันกลับ (10 ธันวาคม 2557) วันพุธ
เครื่องออกประมาณเก้าโมงเช้า เจ้าของกระทู้ออกเดินทางตีห้า นั่งรถไฟสาย Ginza จากสถานี G18-G16 (Ueno) ดูป้ายไปที่ Keisei Skyliner เพื่อไปลงสนามบินนาริตะ ถึงสนามบินประมาณ 7 โมงนิด ๆ ไปติดต่อโหลดกระเป๋า เมื่อ Booking เรียบร้อยก็ไปผ่าน ตม. ร้าน Duty Free เปิดประมาณแปดโมง คนช้อปเยอะมากกกกกกกก โดยเฉพาะคนไทยค่ะ
จบทริปของแล้วนะคะ ขอให้เพื่อน ๆ ที่กำลังจะไปเที่ยวเหมือนกันเที่ยวให้สนุกนะคะ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยค่ะ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมถามได้นะคะ ถ้าว่าง ๆ จะมารีวิวเรื่องสินค้าและราคาที่ขายในโตเกียวเพิ่มให้นะคะ
มีเพื่อน ๆ ถามเรื่องค่าใช้จ่ายมาเยอะ ขอตอบแบบคร่าว ๆ นะคะ
ค่าเครื่องบินอยู่ที่คนละ 14,000 บาท รวมค่าประกัน ค่าโหลดกระเป๋าเพิ่ม 20 กิโลกรัม ขาไป-กลับต่อคน
ค่าที่พักสำหรับ 4 คืน ประมาณ 4,650 บาทต่อคน
ค่าตั๋วรถไฟเข้าเมือง และเที่ยว 2 วันแรก ประมาณ 3,200 เยน หรือ 960 บาท ค่าเงินที่คิด 30 บาท ต่อ 100 เยน ตามที่เจ้าของกระทู้แลกนะคะ
ค่าตั๋วรถไฟวันที่ 3 ประมาณ 1,600 เยน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 480 บาท
ค่าตั๋วรถไฟวันที่ 4 ประมาณ 6,000 เยน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,800 บาท
ค่าตั๋วรถไฟออกนอกเมืองไปสนามบิน ประมาณไม่เกิน 3,000 เยน คิดเป็นเงินไทยประมาณไม่เกิน 900 บาท
ค่าอาหาร มื้อเช้าฟรี มื้อที่ต้องกินเองเที่ยงเย็น 4 วัน รวม 8 มื้อ เฉลี่ยมื้อละ 1,000 เยน รวม 8,000 เยน คิดเป็นเงินไทย 2,400 บาท (ราคานี้คือกินอาหารปกตินะคะ) ราคาอาหารที่พบส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 800-1,500 เยน ถ้างบน้อยก็มีร้านที่ไม่แพงมากน่ากินอยู่หลายร้านค่ะ ร้านส่วนใหญ่มีป้ายราคาอาหารหน้าร้าน
ป.ล. ไม่รวมราคาของฝาก ขนม และของที่ช้อปนะคะ ^^ ราคาค่าใช้จ่ายต่อทริป/คน ประมาณ 25,190 บาท
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
