เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ ชานมชงเอง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
น่าน...ดินแดนในอ้อมกอดของขุนเขาด้านตะวันออกของภาคเหนือ ซึ่งอุดมด้วยธรรมชาติผืนป่า สายน้ำ ทะเลหมอก หล่อหลอมรวมกับวิถีวัฒนธรรมของผู้คนชาวไทยลื้อ ทำให้เสน่ห์ของน่านไม่ได้มีเพียงธรรมชาติอันพิสุทธิ์ แต่ยังมีศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ที่แฝงด้วยแรงศรัทธาในพุทธศาสนา และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์
และวันนี้กระปุกท่องเที่ยวจะพาเพื่อน ๆ ไปสัมผัสกับขุนเขาที่เขียวชอุ่มไปด้วยป่าไม้ และสายหมอกสีขาวสุดกว้างไกล ณ อุทยานแห่งชาติศรีน่าน และ อุทยานแห่งชาติขุนสถาน ผ่านบันทึกการเดินทางและรูปถ่ายสวย ๆ จาก คุณ ชานมชงเอง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม กันจ้า
ซวยแล้วไง รถเสีย!!!! ตอนตี 1 ในหุบเขาและฝนตก ก่อนหน้านั้น 7 ชั่วโมง ผมยังอยู่ที่บ้านอยู่เลย กำลังตื่นเต้นกับการไปเมืองน่านครั้งแรกของชีวิต น่านเมืองที่ผมไม่เคยไปและก็รู้สึกไกลมากที่จะขับรถไป การเดินทางครั้งนี้ผมโฟกัสไปที่อุทยานแห่งชาติขุนสถาน เพราะทริปที่แล้วเป็นภูชี้ฟ้า – ผาตั้ง - ขุนสถาน แต่ผมพลาดการจองบ้านพักที่ขุนสถาน เลยทำทริปแค่ภูชี้ฟ้า - ผาตั้ง ทำให้ทริปในครั้งนี้จึงเป็นทริปสั้น ๆ แต่ไปไกล!!!
ผมเริ่มต้นเดินทางตอน 1 ทุ่ม ในคืนวันนั้น พร้อมกับเพื่อนอีก 2 คน ฝนตกตลอดทาง ตั้งแต่มุ่งหน้าเข้าสู่นครสวรรค์ ไปจนถึงเส้นทางเข้าร้องกวาง ในจังหวัดแพร่ มันคงเป็นปลายฝนต้นหนาวแล้วสินะ ฝนถึงได้ตกบ่อย ๆ ขนาดนี้ อากาศเริ่มเย็นสบาย ปลายฝนต้นหนาวมันอาจจะค่อยเริ่มที่เดือนปลายเดือนสิงหาคม – ปลายเดือนตุลาคม ทริปนี้ยังคงเป็นรีวิวสีเขียว บรรยากาศของภูเขา และสายหมอกที่ผมชอบเสมอ
ดีใจที่มีคนเข้ามาชมรีวิวนี้ และได้สร้างแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างออกไป!!! เพราะอย่างน้อยมีคน 1 คน ที่ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยกับคำว่าแรงบันดาลใจ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจำเป็นต่อชีวิต แล้วอยู่ดี ๆ ผมก็รู้จักมัน แล้วมันก็เข้ามาทำงานอะไรในชีวิตผมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่ดีหรือทุกอย่างที่เรียกว่าความสุข ดีใจนะครับที่แรงบันดาลใจของ 1 คน ส่งต่อให้อีกใครก็ได้สัก 1 คน ในวันนี้ ทุกแรงบันดาลใจคืออะไรก็ได้ที่เรารู้สึกว่าใช่ แค่ต้อนรับมัน ให้มันเข้ามาทำงาน และเติบโตไปกับมัน
ตัดช่วงเวลามาเป็น 6 โมงเช้าของวันเสาร์ ช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมมายืนอยู่ที่แห่งนี้ โลกใบเดิมที่เรายืนอยู่ โลกตอนนี้อาจจะง่วงนิดหน่อย แต่บรรยากาศแบบนี้ก็ทำให้ผมค่อย ๆ สดชื่น และเริ่มหายเบลอ ๆ ทั้งที่เมื่อวานตอน 6 โมงเย็น ตัวผมยังอยู่ห่างจากที่แห่งนี้ 712 กิโลเมตร แล้วตอนตี 1 ผมก็นอนกันในรถริมทางเขตภูเขาจังหวัดแพร่ เพราะรถดันเสีย!!! สมองผมทำงานหนักมากเพราะมันเครียดมาก รถเสียครั้งแรกในกลางเขา
แต่ผมก็มาถึงนี่จนได้ อุทยานแห่งชาติศรีน่าน @ น่าน ทั้งต้นไม้ สายน้ำ และภูเขา ผูกพันกันจนแยกไม่ออก มันเป็นความสมบูรณ์ของธรรมชาติที่ใครหลายคนอยากจะผูกพัน
ทั้งที่เมื่อคืนผมไม่ได้อยากจะผูกพันกับบรรยากาศรถเสียสักหน่อย แล้ว "ผาหัวสิงห์" มันคือตรงนี้นี่เอง ผมแอบคิดในใจว่าขึ้นไปได้หรือ?
แล้วสิ่งที่ผมแอบคิดมาตลอดว่าจะมีทะเลหมอกไหม? จะคุ้มไหมที่นอนแค่ 3 ชั่วโมง เพื่อมาให้ทัน 6 โมงเช้า
มันสนุกตั้งแต่ตอนที่ผมวางแผนกันจะมาที่นี่แล้ว สนุกจนทำให้ผมรู้ว่าบรรยากาศตอนเช้าดีแค่ไหน แล้วมันสนุกที่ทำให้ผมได้เห็นวิวในองศาที่แตกต่างกันไป
นี่เป็นการเดินทางมาเที่ยวน่านครั้งแรกของชีวิตผม แม้จะเป็นทริปโหดไปหน่อยกับสองวันหนึ่งคืน
มีไม่กี่เหตุผลที่ผมไม่เลือกมาเที่ยวจังหวัดน่าน ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เหตุผลข้อแรกเลย คือ รู้สึกน่านไกลมากขับรถไม่ไหวแน่ แต่สักพักเหตุผลนั้นก็หายไป เพราะเคยไปที่ไกลกว่านั้น แล้วเหตุผลหลัก คือ ทำไมผมถึงรู้สึกน่านมีแต่วัด พระ และชาวบ้าน มันคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมปฏิเสธน่านไปหลายครั้ง แล้วก็ผ่านน่านไปที่อื่นเสมอ ... แต่วันนี้ผมมาอยู่ที่น่าน
มันเป็นเช้าที่ดีมากของการท่องเที่ยวอุทยานเลยก็ว่าได้ เพราะวันนี้ผมเห็นรถแค่ 1 คัน นักท่องเที่ยว 2 คน รวมพวกผมด้วยก็ 5 คน พอดี คนเยอะกว่าไม่กลัวอยู่แล้ว
ชมวิวกันเพลินแล้วสักพักหมอกก็แตกกระจาย ยังไม่ทันเก็บภาพวิวอีกด้านเลย หมดกันเช้าวันนี้
แต่ผมเคยได้ยินเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า ถ้ามีทะเลหมอกแล้วหมอกก็ฟุ้ง ให้รอ...รอดูบางอย่าง วิวสวย ๆ กำลังมา
บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมหวนคิดถึงที่แห่งหนึ่ง ที่ซึ่งทำให้ผมรู้สึกถึงชีวิตที่บางเบา ไปน่านสิ น่านไง
มันคงเป็นเสียงที่เราฟังบ่อย ๆ แค่มีเพลงหนึ่งเพลงที่ชอบดังขึ้น แล้วเราก็นึกถึงอะไรบางอย่าง นี่ละมั้งหัวใจนำทาง มันคงเหมือนสนามฟุตบอล ในช่วงตอนเปิดเทอม ที่รอคอยใครบางคน ได้มีโอกาสมามีความสุขบนที่แห่งนี้
ความสุขที่ครั้งหนึ่งเราอาจมองไม่เห็นและข้ามมันไป ต้นไม้ต้นนี้ก็คงเหมือนกัน ที่ครั้งหนึ่งมันเคยหายไป
สุดท้ายผมก็กลับมา กลับมาในที่ที่ผมไม่เคยมา แต่ผมรู้จักมันเสมอ แสงยามเช้าในที่แปลกตา
วันนี้จะว่าไปก็โชคดีก็ได้ที่ได้เห็นบรรยากาศใหม่ ๆ แสงสีเหลืองทองที่ผมไม่ค่อยได้เห็นมากนัก
ด้านหน้าเป็นลำน้ำน่าน แม่น้ำสายหลักของภาคเหนือที่ไหลลงไปรวมกันที่นครสวรรค์ รวมเป็นสายหลักเจ้าพระยา
อากาศยามสายแดดอ่อนแบบนี้มันรู้สึกอบอุ่นไปอีกแบบ แต่ถ้าอยู่ที่บ้านเราคงแบบไม่ไหว หลบเข้าบ้านดีกว่า
สายลมพัดสายหมอกไปสักพักหนึ่ง ผมเริ่มรู้สึกใกล้แล้วสินะ สิ่งที่จะทำให้อีกฝากของดอยเสมอดาวชัดเจนขึ้น
ผมยังคุยกับเพื่อนเลยว่าวันนี้มันจะแป๊กไหม ถ้าไปเที่ยวใกล้คงไม่เท่าไหร่ แล้วนี่ถ่อมาซะไกลแล้วไม่ได้เห็นคงนอยด์แน่นอน
จำได้ว่าตอนไปเที่ยวเชียงใหม่ปีที่แล้ว 5 วัน กับทริปในฝัน ผมไม่ได้เจอทะเลหมอกสักวัน ไม่รู้พลาดตรงไหน แถมยังไม่สบายเป็นไข้ก่อนไปเที่ยว แต่กลับมาก็หายป่วยทันตา แต่เช้าวันนี้แตกต่างกับเช้าเมื่อปีที่แล้ว ความคาดหวังของผมทำงานเสมอ แล้วมันก็ทำให้ผมมีความสุข
ลุ้นบ้าง รอบ้าง และบ่นบ้าง ก็เป็นส่วนประกอบในการเดินทางทุกครั้ง แต่อย่างน้อยสีเขียวแบบนี้ก็ทำให้ผมไม่เคยไปไหน และมันก็คงทำให้หลายสิ่งที่ผมรักไม่เคยไปไหน
อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ครอบคลุมพื้นที่ 7 ตำบล 3 อำเภอของจังหวัดน่าน มีพื้นที่ประมาณ 934 ตารางกิโลเมตร หรือ 583,750 ไร่ ยอดเขาที่สูงที่สุดคือ ดอยคำ สูง 1,229 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ตรงไหน?
การเดินทางก็สบายมาก จากกรุงเทพฯ ถึงแพร่ ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 101 ไปจนถึงอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร เลี้ยวขวาไปตามถนนแก้วฟ้า ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1026 จากอำเภอเวียงสา ไปอำเภอนาน้อย ระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปตามถนนสายนาน้อย-ปางไฮ ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1083 ไปอีกประมาณ 22 กิโลเมตร จนถึง "ผาชู้" ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติศรีน่าน
สิ่งอำนวยความสะดวก มีบ้านพักจำนวน 4 หลัง พักได้ประมาณ 60 ท่าน มีสถานที่กางเต็นท์บริเวณดอยเสมอดาวและที่ทำการอุทยานฯ ที่ผาชู้ อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ตู้ ปณ.14 อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน 55150 โทรศัพท์ 0 54731714 หรือ www.dnp.go.th
ดอยเสมอดาว อีกหนึ่ง "แรงบันดาลใจ" ที่ผมได้รู้จัก มันเริ่มต้นจากการเดินทางในวันนั้น จาก 1 คน ส่งต่อให้คนอีก 1 คนในวันนี้ ทุกเส้นทาง คือ คำตอบของแรงบันดาลใจ ที่พร้อมจะต้อนรับ ผลิบาน & เป็นเพื่อนกันตลอดไป
เพื่อนใหม่ผมในวันเสาร์เงียบสงบอย่าบอกใคร มันเป็นของผมจริง ๆ
ความสุขที่ทำให้มองอะไรก็รู้สึกดีไปหมด ความสุขที่มองถึงคนแปลกหน้าก็รู้สึกถึงความเป็นมิตร ความสุขที่ได้มองอะไรซ้ำ ๆ อยู่กับที่นิ่ง ๆ นาน ๆ ก็ไม่เบื่อ
ความสุขที่ทำให้ผมรู้ว่าหกโมงเช้าสำคัญแค่ไหน ความสุขที่ทำให้ผมไม่เคยลืมว่าถ้าไม่มีก็มาที่นี่ไม่ได้
มันเป็นความสุขแบบไหน แล้วมันคืออะไร ... มันคือความสุขของชีวิตบางเบาหัวใจนำทางมั้ง ที่ทำให้แรงบันดาลใจของ 1 คน ส่งต่อให้อีกใครก็ได้สัก 1 คน ในวันนี้ ทุกแรงบันดาลใจคืออะไรก็ได้ที่เรารู้สึกว่าใช่ แค่ต้อนรับมัน ให้มันเข้ามาทำงาน และเติบโตไปกับมัน
ผมเดินทางออกจากดอยเสมอดาว แล้วไปต่อที่ผาชู้ ผ่านจุดชมวิวหนึ่งที่สวยงามไม่แพ้ดอยเสมอดาว
นี่ไงครับผาชู อีกหนึ่งจุดชมวิวของอุทยานแห่งชาติศรีน่าน กับสายธงชาติที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ต้องร้องเพลงชาติ 12 จบ กว่าจะเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา มีความยาวของสายธงชาติประมาณ 200 เมตร จากพื้นถึงยอดผาชู้
ตรงนี้เป็นจุดชมวิวที่ดีมากสำหรับการชมทะเลหมอก ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยมาก แต่วันนั้นไม่ค่อยมีทะเลหมอก โผล่มาให้เห็นนิดหน่อยพองาม
ดอยผาชู้ เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติศรีน่าน เป็นโขดหินและหน้าผาขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางขุนเขาที่เขียวขจีหลายแสนไร่ สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ และสายน้ำของแม่น้ำน่านทอดตัวไหลคดเคี้ยวสู่ทิศใต้ยาวหลายสิบกิโลเมตร
ในยามหน้าหนาวจะมีทะเลหมอกสีขาวตัดกับความเขียวขจีของป่า และแสงสีทองของดวงอาทิตย์ขึ้นยามเช้าอย่างสวยงามมาก และเป็นสถานที่เกิดตำนานรักสามเส้าที่ตัดสินความรักด้วยความตาย
แต่ผมกลับรู้สึกว่าที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความรักที่คุ้นเคย รักกันมานานทั้งที่ไม่เคย ได้มีโอกาสพบเจอกันมาก่อน รักที่ทำให้รถผมเสีย เพราะหม้อน้ำรั่วทำให้ความร้อนรถขึ้นตลอดเวลา ผมต้องคอยจอดรถและเติมหม้อน้ำทุก ๆ 30 กิโลเมตร กว่าจะมาถึงที่นี่ผมจำได้ว่าผมต้องสละเสื้อตัวหนึ่ง เปิดฝาแล้วน้ำก็ทะลักเดือดขึ้นไปเป็นเมตรเลย
ผมยังเหนื่อยไม่หายเลยขับรถจากบ้านตอน 1 ทุ่ม ฝนตกรุนแรงช่วงนครสวรรค์-พิษณุโลก แต่ก็ไม่ทำให้ผมกับเพื่อนถอดใจผมขับไปถึง แพร่ – น่าน ตอนตี 1 แล้วหน้าปัดความร้อนก็ขึ้นถึงจุดสูงสุดผมตกใจมาก รีบจอดรถข้างทาง แล้วบอกกับเพื่อนอีกสองคนว่าคืนนี้เราต้องนอนริมทางนี่แหละ ลดกระจกลงนิดนึง เอาลงมากไม่ได้เพราะฝนตกฟ้าร้อง ผมพยายามไม่เครียด ไม่วิตก แต่ในใจคิดว่าซวยแล้วรถเป็นอะไร แต่เคยได้ยินมาว่าถ้าหน้าปัดความร้อนขึ้น มีปัญหาอยู่อย่างเดียวคือเรื่องหม้อน้ำ...หม้อน้ำรั่วหรือ??? มันรั่วได้ไงขับมาตั้งนาน ซวยแล้วงานเข้า!!!
ผมนอนไม่หลับ ตอนตี 4 ลุกมาดู เช็กรถรู้ทันทีว่าหม้อน้ำรั่ว ผมเติมน้ำขวดลิตรไป 5-6 ขวดกว่าจะเต็ม เช็ก GPRS ระบุว่าอยู่ระว่างทางของ แพร่ – ร้องกวาง เอาไงดีรอซ่อมรถก็ต้องสายกว่าร้านที่ไหนจะเปิด หรือเติมน้ำไปเรื่อย ๆ แล้วลงมาจากดอยเสมอดาวแล้วค่อยหาที่ซ่อม หรือจอดรถไว้แล้วจ้างใครพาขึ้นไป แต่มันป่าแบบนี้จะหารถที่ไหน โอ้ยเครียด! สุดท้ายผมก็เสี่ยงแบบที่ผมอยากทำ รถขึ้นมาดอยเสมอดาว แล้วแวะปั๊มที่เวียงสาเติมน้ำมันและเข้าห้องน้ำช่วยกันกรอกน้ำ เพราะไม่อยากพลาดอากาศยามเช้าของที่นั่น เสี่ยงกับรถพังกลางทางเพราะความร้อนขึ้น หลายช่วงที่ผมต้องไปเติมน้ำตรงป่ามืดมันน่ากลัวมาก
แล้วตอนตี 5 ผมแวะเติมตรงป้อมตำรวจ ตำรวจกรูกันเข้ามาแบบเป็นอะไรป่าว ผมจำได้ว่าตั้งแต่ตี 4 จนถึงลงมาจากผาชู้ และมาหาร้านซ่อม ซึ่งอยู่อำเภอนาน้อย ผมต้องจอดและเติมหม้อน้ำที่ทะลุเดือดไปเกือบ 10 รอบ เกือบตายแล้วเชียว เวลาเปิดหม้อน้ำผมสละเสื้อตัวหนึ่งเปิดฝาหม้อน้ำ มันจะมีแรงดันอย่างมากดันจนฝาหม้อน้ำ กระเด็นไปไหนหาเกือบไม่เจออยู่หลายครั้ง แล้วน้ำจากหม้อน้ำก็เดือดปุด ๆ ดันน้ำสูงเป็นเมตร ๆ เลย สุดท้ายช่างบอกว่าคงโดนอิฐก้อนเล็กกระเด็นจากรถบรรทุกแล้วมุดเข้าไปกระแทกโดน เสียค่าซ่อมไป 350 บาท พระเจ้าความเครียดเป็นแสน เสียค่าซ่อมไป 350 บาท แล้วรถก็วิ่งสบาย แต่มันเหมือนโรคจิตที่ทำให้ผมต้องดูหน้าปัดความร้อนบ่อย ๆ มาจนถึงวันนี้
หลังจากซ่อมหม้อน้ำเสร็จภายใน 1 ชั่วโมง ผมก็มุ่งหน้าจากอำเภอนาน้อย เพื่อมายังที่พักสำหรับคืนนี้อุทยานแห่งชาติขุนสถาน
วิวภูเขาที่ผมเคยเห็นในหลายรีวิว วันนี้ผมได้เห็นเองกับตา ห่างจากขอบถนนก็ภูเขาทั้งนั้นเลยครับ แม้จะดูแปลกตาบ้าง แต่ผมก็ชอบมัน ขอให้จำกัดพื้นที่เพราะปลูกอยู่แค่นี้ไม่บุกเขตป่าก็พอ
และบางทีการเดินทางของผมก็คงไม่ต่างกับกระต็อบหลังนั้น ทั้งแสงแดดร้อนบ้าง หนาวบ้าง และพายุฝนที่พัดแรง สิ่งเหล่านี้มันคงเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น ความทรงจำ หรือเรื่องใหม่ที่กำลังผ่านเข้ามา
แล้วชีวิตก็คงต้องเดินต่อไป ผมขับรถมาเรื่อย ๆ ผ่านภูเขาในเส้นทางที่ไม่ชินตา มันคงเหมือนกับหนังบางเรื่องที่เรายังดูไม่จบตอน และรอดูตอนต่อไป
แล้วหนังเรื่องนี้ก็มาถึงดำเนินเรื่องมาถึงจุดปลายทางที่ผมเลือกไว้ อุทยานแห่งชาติขุนสถาน อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ดินแดนแห่งหุบเขาสุดขอบฟ้าซึ่งห่างจากอุทยานแห่งชาติศรีน่านแค่ 35 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถ 1 ชั่วโมงเศษ ๆ
และนี่ก็คือบ้านพักที่ผมเลือกพักในคืนนี้ ดอยไม่จอก 1 มี 3 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ กับ 1 ระเบียงชมวิว บ้านใหญ่สำหรับ 3 คนจริง!!!
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมอยากมาที่นี่ คือระเบียงบ้านของบ้านดอยแม่จอก 1 มันเป็นระเบียงบ้านที่สวยอีกหนึ่งที่ ที่ผมได้เคยได้เห็นมา
จากระเบียงบ้านผมลองเดินเลาะลงไปด้านล่าง มองไปวิวไหนก็เห็นแต่ภูเขา และธรรมชาติของสีสันของที่แห่งนี้ ความสูงจาก ระดับน้ำทะเลปานกลาง ประมาณ 1,424 เมตร
การเดินทางมาที่นี่ก็ง่ายนิดเดียว มี 2 เส้นทางให้เลือก
1. ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 101 (ถนนยนตรกิจโกศล) เป็นเส้นทางจากตัวจังหวัดแพร่ไปจังหวัดน่าน มาตาม ส้นทางประมาณ 66 กิโลเมตร จะถึงบ้านห้วยแก๊ต ให้เลี้ยวขวาไปตามเส้นทางหลวง 1216 ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ระยะทางประมาณ 24 กิโลเมตร
2. จากจังหวัดน่าน ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1026 สายอำเภอเวียงสา – อำเภอนาน้อย และจากอำเภอนาน้อยเลี้ยวขวาไปถึงที่ทำการอุทยาน ระยะทางประมาณ 33 กิโลเมตร
วันที่ผมไปมีนักเที่ยวเที่ยวน้อยมากแทบนับคนได้ มาเที่ยวด้านบนแต่ไม่ได้พักกัน… คงเป็นอีกหนึ่งวันที่ดีของผมแน่ ๆ เลย
รู้สึกตัวอีกทีผมก็ตื่นมาตอน 4 โมงเย็น หลังจากเผลอหลับไปตั้งแต่เที่ยง เกือบพลาดบรรยากาศดีดีไปแล้วเชียว ผมลองเดินเล่นไปยังด่านล่าง ดูบรรยาศเย็นสบายหลังฝนตก ไอน้ำกำลังคงเริ่มก่อตัวกับความรักแน่ ๆ เลย
ไอ้ตัวนี้มันเดินตามผมมาเรื่อย ท่าทางมันเป็นมิตร มันคงอยากรู้ว่าผมจะไปไหน แล้วผมก็นึกอะไรบางอย่างได้ ผมย่อตัวแล้วก็สปริงตัวกระโดดขึ้นจากพื้นกางแขนขึ้น ไอ้ตัวนี้ตกใจสุดขีด กระโดดหนีแล้วเห่าผมเบา ๆ มองรอบ ๆ แล้วไม่มีใคร ผมเลยทำซ้ำไปเรื่อย สัก 5 รอบ มันก็ไม่หนี ไม่โดด ไม่เห่า เห็นไหมมันมีเรื่องราว!!!
แล้วก็ไม่รู้ทำไมเวลามาอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ ผมลืมบ้าน ที่ทำงานไปหมดเลย มันสบายใจ มันมีความสุขมันคงเป็นตัวตนของผม สายหมอกและขุนเขา
ปลายเดือนสิงหาคม บรรยากาศเข้าสู่ปลายฝนต้นหนาวหน่อย หลังฝนตกสายหมอกเริ่มทำงาน แค่เริ่มต้นก็ดีแล้วพรุ่งนี้จะขนาดไหน? แต่พอคิดแบบนี้ก็รู้สึกเซ็งนิดหน่อย เพราะพรุ่งนี้สายก็ต้องกลับไป นึกถึงวันที่ยุ่งเหยิง ผู้คนเต็มถนน รถเต็มเมือง แล้วก็ถอนหายใจ!!
บางทีผมก็คิดอยู่เสมอว่าชีวิตออกแบบได้ แต่จริงมันก็มีขีดจำกัด สุดท้ายมันก็ทำได้แค่อยู่กับมัน เข้าใจมัน และเลือกที่จะรู้สึกดีกับมัน
ผมเดินกลับขึ้นไปด้านบนดีกว่าฝนเริ่มตกปรอย ๆ ก่อนมาถึงอุทยานฯ ผมผมดันลืมซื้ออาหาร น้ำดื่ม จากอำเภอนาน้อยก่อนมุ่งหน้ามาถึงตัวอุทยานฯ จนผมเห็นร้านอาหารตามหมู่บ้านในเขา เลยได้ข้าวมา 3 กล่อง กับม่าม่าคัพอีก 3 ถ้วยสำหรับเย็นนี้และเช้าพรุ่งนี้...แล้วผมก็ดันลืมซื้อน้ำ แวะหลายที่ไม่มีน้ำดื่มขาย จนไปเห็นตู้เติมน้ำอยู่ในหมู่บ้านในเขาเลยไปกดกรอกมาเต็ม ๆ 6 ขวดใหญ่ พอดีมีขวดเปล่าในรถเยอะ อิอิ ลิตรละ 1 บาท กลับมาเพื่อนก็บอกว่าร้านนั้นแหละมีขายไม่เห็นหรือไง ตั้งอยู่ในร้าน เจ้าของร้านคงมองพวกผมแบบงงงวยว่าอะไรของมัน???? อยู่ดีดีก็ประหยัดเงินได้ อิอิอิ
นี่ไงครับบ้านพักที่ผมเลือกพักในคืนนี้ ดอยแม่จอก 1 ตั้งอยู่บนเนินเขามองเห็นวิว 290.78 องศา วิวสวยมาก
วิวด้านข้างบ้านสวยมากเลยครับ สามปีมาและที่ผมไม่เคยไปไหน ผมคงเที่ยวที่ไหนไม่ได้ ไปที่ไหนไม่เป็นคงได้มาแต่บนภูเขา ทั้งที่ครั้งหนึ่งภูเขาไม่เคยมีสีเขียว และสายหมอกไม่เคยมีสีขาว
ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาไม่เคยสร้างเรื่องราว ทุก ๆ วันก็แค่หนึ่งวันที่ผ่านไป
หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงอาจจะเป็นเรื่องของวันวาน วันที่ผมกับภูเขาได้มาพบเจอกัน
หรือบางทีการเปลี่ยนแปลงอาจจะเป็นเรื่องของวันนี้ วันที่ผมรู้สึกว่าท้องฟ้าสดใสขึ้น แต่ใครบางคนอาจกำลังรอการเปลี่ยนแปลงใน วันพรุ่งนี้ วันที่สายหมอกกำลังก่อตัว
และไม่ว่าจะเป็นวันวาน วันนี้ หรือวันพรุ่งนี้ ผมก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้เสมอ
โลกที่กำลังหมุนอยู่ตลอดเวลา แต่ความรู้สึกบางอย่างไม่เคยเปลี่ยนไป
จะมีสักอย่างที่ทำให้เราอยากให้โลกหยุดหมุน และไม่อยากให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ไม่แน่บางทีมันอาจจะเป็นความรักและความรู้สึกดีที่เคยเกิดขึ้น หรือกำลังเกิดขึ้น
และบางทีเพลงนี้ "จูบ" ของ Jetset\'er อาจทำให้โลกใบนี้หยุดหมุนอีกครั้ง เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งมันเคยหยุดหมุนมาแล้วครั้งหนึ่ง
อุทยานแห่งชาติขุนสถาน สถานที่ทำให้โลกหมุนช้าลง แล้วก็สร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ และมันก็รวมรวมรอยยิ้มของผมไว้ในนั้นด้วย
ผมกลับมาที่ห้องนอน วิวจากห้องนอนทำให้ผมเคลิ้มซะแล้ว อากาศยามเย็นอาจดูเศร้า แต่ในตอนนั้นมันอบอุ่นมาก นอนกลิ้งไปกลิ้งมา อ่านหนังสือที่ซื้อไป คุยโทรศัพท์แล้วก็กินขนม แล้วแสงยามเย็นก็ปรากฏตัวอีกครั้ง แสงที่นำทางให้ผมมารักที่แห่งนี้
แล้วแสงก็นำบางสิ่งบางอย่างที่ผมรักคืนกลับมา ทะเลหมอกยามเย็น แม้จะมาน้อย ๆ ดูแล้วค่อย ๆ มา แต่มีชีวิตชีวาสวยงามจับใจ มันคงเป็นห้องนอนอุทยานแห่งชาติที่สวยสุดเท่าที่ผมเคยไปพักมา
ผมรีบคว้ากล้องแล้วเรียกเพื่อนออกมาดูวิวทะเลหมอกด้านนอก โชคดีเป็นบ้าเลย เจอทะเลหมอกตอนเย็นมันพิเศษมากเลย
ถ้าถามว่าผมรู้สึกยังไงกับสายหมอก ผมรู้สึกมันเป็นสิ่งที่พิเศษสุดในทุก ๆ การเดินทาง เฝ้ารอ ลุ้น และรอคอย มีโอกาสไม่ทุกครั้งที่จะมีโอกาสได้เจอมัน...มันพิเศษจริง ๆ
ผมนั่งมองจุดชมวิวตรงระเบียงบ้านมองวิวไปไกลสุดสายตา ตรงนั้นเป็นเส้นทางที่ผมขับมาตอนเที่ยง ตอนนี้มองไม่เห็นแล้ว หมอกบางเบาเริ่มทำงาน หัวใจผมมีความสุข มันคงเป็นของขวัญต้อนรับการเดินทางในวันนี้ ของขวัญที่ทำให้ผมรู้ว่าเรื่องราวของวันวาน ทำให้โลกใบนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหน และการที่เรารู้ว่าโลกใบนี้ยิ่งใหญ่ มันคงเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง มันทำให้เรารู้สึกโชคดีและอบอุ่นแค่ไหน และไม่ว่าเราจะรู้สึกอบอุ่นหรือรู้สึกเหงา แต่เวลาในวันพรุ่งนี้จะแสดงให้เห็นว่า น่านฟ้าใหม่สดใสเสมอ
บางทีการที่ยินดีกับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา ทำให้รู้ว่าความสุขมีได้ทุกเวลา และการได้เล่าเรื่องดี ๆ ทำให้เวลาแห่งความสุขตอนนั้นมีชีวิตใหม่อีกครั้งเสมอ
แล้วผมก็ชวนเพื่อน ๆ ขับรถออกไปชมบรรยากาศของสายหมอกแบบใกล้ ผมอยากจะรู้ว่าเวลาอยู่ใกล้สายหมอกเราจะเล่าเรื่องแบบไหนดี จะเล่าให้ถึงความอบอุ่นก็รู้สึกอบอุ่น จะเล่าว่าคิดถึงก็คิดถึงมาก จนบางทีเราอยากจะเล่าเรื่องเล่านี้ไปเรื่อย ๆ
เรื่องเล่ากาลครั้งหนึ่งมีต้นไม้สามต้น เติบโตอยู่บนเนินเขาของป่าแห่งหนึ่ง มันใช้เวลานานเท่ากับชีวิตเราที่จะเติบโต และยืนต้นได้ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้อาจจะมีบางต้นที่แข็งแรงไม่พอแล้วก็หายไป ไหนจะความแห้งแล้ง ฝน พายุ ลมแรง แต่สามต้นนี้ยังคงอยู่ และเรียนรู้ที่จะเติบโต ผลิใบแตกผลเพื่อแสดงให้เห็นอะไรบางอย่าง และการที่มันอยู่รอดได้ทุกวันนี้ ความทรงจำที่ผ่านมาคงบอกอะไรได้มากมาย แม้วันที่รู้สึกแย่ รู้สึกท้อแท้ แล้วเราก็นึกถึงเรื่องดี ๆ ที่เคยเกิดขึ้น มันก็ยังทำให้เรารู้สึกดีและอยู่รอดเติบโต
เหมือนกับต้นไม้สามต้นนั้นได้เลย มองต้นไม้สามต้น แล้วก็หยุดเดิน หยุดคิดก็ชัตเตอร์ภาพ 1 ใบ คงเหมือนกับตอนที่เรากดรีโมททีวี ให้ภาพในหนังเรื่องหนึ่งหยุดนิ่ง แล้วก็ทำให้เห็นได้เลยว่าวัยเด็กที่ผ่านมาของเราสดใสแค่ไหน มันคงเหมือนต้นไม้สามต้นที่ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ก่อนหน้านั้นมันคงเป็นต้นไม้เล็ก เติบโตจากเมล็ดพันธุ์พืชที่ไหนสักแห่ง แล้วก็เติบโตมาจนถึงวันนี้ บางทีมันเป็นเป็นเรื่องเล็ก ๆ ของความหลัง ความหวัง และความทรงจำ!!!
ที่ในตอนสุดท้ายก็กลับมาอยู่ที่เดิม ผมขับรถกลับมายังด้านบนของอุทยานฯ อีกครั้ง ตอนนี้อากาศเริ่มเย็น ทุกอย่างดูเบาสบาย เงียบสงบ และมีความสุข ความสุขขึ้นอยู่กับมุมมอง และรูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละคน ส่วนผม...ผมชอบภูเขา มันเป็นความชอบส่วนตัว แล้วผมก็แน่ใจว่ามันคือความสุข
แล้วทุก ๆ วันอาจจะไม่ใช่วันที่ดี อาจจะยังไม่ใช่วันที่เราอยากได้ แต่อยากน้อยมันก็มีสิ่งดี ๆ บางสิ่งเกิดขึ้น แม้กระทั้งในตอนนี้
ต้นไม้ตรงนี้ก็คงไม่ต่างกับต้นไม้สามต้นที่อยู่ตรงนั้น มันคงต้องปรับตัวที่จะยืนต้นบนแผ่นดินที่ลาดชัน แล้วสุดท้ายมันก็อยู่ได้ เติบโตได้ เหมือนกับผมที่ค่อยเริ่มเติบโตจากที่หนึ่งของวังน้ำเขียว บางทีก็ไปเจอลมร้อนเขาค้อ เจอพายุฝนที่แม่วงก์ เจอความหนาวที่ภูสวนทราย และอีกมากมายหลากหลายขุนเขา แล้ววันนี้ผมก็เลือกที่จะมาเติบโตที่นี่ โชคดีที่วันนี้ไม่มีพายุ ไม่มีลมร้อน ไม่มีลมหนาว มีแต่ความรู้สึกเบาบาง กับรถเสียระหว่างทาง ยิ่งผมเริ่มเติบโตเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกภูเขาไม่เคยรู้สึกไม่ดีกับผม ผมรักสายหมอกเท่าไหร่ สายหมอกยิ่งรักผมมากเท่านั้น
แล้วก็ถึงเวลาที่ดวงตะวันของใครบางคนกำลังตกดิน แต่อีกฝากหนึ่งแสงใหม่ ๆ เหล่านี้คงกำลังเริ่มต้น แสงแรกของวันกับแสงสุดท้ายของวันเหนื่อยนัก พักน้อย เหนื่อยมาทั้งวัน ราตรีสวัสดิ์ครับ
ผมตื่นมาตอนตี 3 เห็นทะเลหมอกปูพรมสวยมาก รู้สึกโชคดีเป็นบ้าเลย คุ้มแล้วเลือกไม่ผิด แล้วอยู่ดีฝนก็ตกแบบฟ้ารั่วมาถึงเช้าก็ยังไม่หยุด บรรยากาศจากห้องนอนก็เลยเป็นแบบนี้ ปลายฝนต้นหนาว เช้าแดดดี ตกดึกลมพัดหนาว เช้าอีกวันฝนตกหมอกคลุ้งกระจุยกระจาย ไม่เศร้าครับ ไม่นอยด์ รู้สึกดีไปอีกแบบ มันคงเป็นมุมมองใหม่ ที่อยากให้ผมได้รู้จักกับความสุขอีกแบบ แล้วบางอย่างก็เกิดขึ้นทะเลหมอกน้อยราคาย่อมเยา ชั้นประหยัดก่อตัวขึ้น ดีใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ทุกทริปผมก็ได้เจอทะเลหมอก แต่ก็ยังอดไม่ได้
แต่พอเดินออกมาฝนตกแรงอีกครั้ง อากาศบนภูเขาสูงนี่เปลี่ยนแปลงไวมาก อยู่ในห้องมีทะเลหมอก เดินออกมาไม่ถึงหนึ่งนาทีสภาพก็กลายเป็นแบบนี้ แต่มันก็ทำให้ทริปนี้เป็นอีกทริปหนึ่งที่ผมหลงรัก หลงรักเพราะฝนตก หลงรักเพราะความชื้นสัมพัทธ์สูง และหลงรักที่ต้องเปียกอีกครั้ง
ความรู้สึกในมุมมองของผม การได้มาสัมผัสดินแดนแห่งนี้ มันเหมือนบอกกับตัวเองว่าชีวิตเรายังต้องการความหวัง ความหวังที่ต้นไม้สามต้นนั้นใช้เวลาเพื่อรอคอยมัน สุดท้ายมันก็ได้รับ เติบโตและทำให้ใครคนหนึ่งยิ้มได้เสมอ ร้อยยิ้มที่ไม่เคยหายไปไหน ทั้งที่มันก็ไม่เคยหนีไปไหน มันก็คงเหมือนกับโลกใบนี้ที่หมุนด้วยความสุข เหมือนกับที่มันหมุนรอบตัวเอง
ผมยังเคยสงสัยว่าโลกใบนี้หมุนด้วยแรงอะไรของมัน มันจะเป็นแรงดึงดูดในวงโคจรของพระอาทิตย์หรือเปล่า หรืออาจจะเป็นทฤษฏีสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ทฤษฏีการไหลของแม็กม่า ฯลฯ แต่สำหรับผมมันคงหมุนด้วยอะไรที่ง่ายกว่านั้น สิ่งไหนที่ทำให้ผมมีความสุขนั้นแหละครับแรงที่ทำให้โลกใบนี้หมุน มันคง คือ ภูเขาสีเขียวและสายหมอกสีขาว และไม่ว่าโลกจะหมุนด้วยเหตุผลอะไร ต้นไม้สามต้นตรงนั้นก็ยังคงเติบโตต่อไป
เติบโตไปพร้อมกับแสงแดด สายฝน ลมหนาว และพายุที่พัดแรง และมันคงเหมือนกับชีวิตของผมที่เติบโตไปพร้อม ๆ กันในโลกใบเดียวกัน โลกที่กำลังหมุนด้วยแรงอะไรบางอย่าง มันอาจกำลังหมุนด้วยอะไรบางอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ที่เต็มไปด้วยความหวัง เพื่อที่จะเติบโตต่อไป
Days of Our Lives | World of Wonder 1 แรงใจที่ได้รับกับอีก 1 แรงบันดาลใจที่ส่งต่อ world of our own (my beloved Mountains)
By Chanomword*
สวัสดีครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก