เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณชานมชงเอง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก chanomworld
เมื่อพูดถึง "น่าน" หลายคนอาจจะนึกถึงจังหวัดที่เต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม รวมทั้งเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำของภาคเหนือที่คงความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก ซึ่งพื้นที่อุทยานแห่งชาติน่าจะเป็นตัวชี้วัดความสมบูรณ์และความงดงามของธรรมชาติได้เป็นอย่างดี วันนี้เราเลยจะพาไปสัมผัสกับอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว นั่นก็คือ "อุทยานแห่งชาติขุนสถาน" เพราะเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติฝั่งแม่น้ำน่านตอนใต้ ตั้งอยู่ระหว่างอำเภอนาน้อยและอำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน สถานที่ที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรสัตว์ป่า มีลักษณะโดดเด่นและมีศักยภาพเพียงพอที่จะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว และนันทนาการสำหรับประชาชนได้เป็นอย่างดี
ถ้าพร้อมแล้วเราไปสัมผัสธรรมชาติและทิวทัศน์ของอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ ผ่านบันทึกการเดินทางและภาพถ่ายสวย ๆ ของ คุณชานมชงเอง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่จะนำพาทุกคนไปหลงเสน่ห์ของสถานที่แห่งนี้กันจ้า
ดินแดนที่เต็มไปด้วยขุนเขาและไอของสายหมอกที่จะทำให้ความทรงจำของผม หรือของใครอีกมากมายที่ได้เคยมาที่แห่งนี้ ได้กลับมามีเรื่องราว ได้กลับมารู้สึกดี ๆ และอิ่มเอมไปกับความทรงจำเดิม ๆ อีกครั้ง และบางทีมันอาจจะทำให้เรารู้ว่าครั้งหนึ่งเรารู้สึกแบบไหน ? และเคยยืนอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้
>>>>>>ชีวิตติดดิน หัวใจติดหมอก-อช. ขุนสถาน-ขุนเขาแห่งน่าน @ สิงหาคม 2556
และตอนนี้เองเหมือนตัวผม และใครอีกหลายคนกำลังย้อนเวลากลับไปเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว (สิงหาคม 2555) ที่กำลังจะบอกว่าเหตุผลที่ทำให้ทุกอย่างมันง่ายคืออะไร ? ทำไมต้องที่นี่ ทำไมต้องหน้าฝน ทำไม ทำไม ทำไม !! และไม่ว่าเหตุผลอีกด้านจะยากแค่ไหน ? แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ความรู้สึกดี ๆ ยังคงทำงานอยู่เสมอ
แต่ถ้าจะเป็นเหตุผลที่ยาก มันก็หาได้ไม่ยากเลย มันต้องขับรถไกลอย่างน้อยก็ 7-8 ชั่วโมง และมันก็ยากด้วยที่จะทำให้ผมลืมเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่รถยนต์ผมเสียระหว่างทางตอนตี 1 ระหว่างทางขึ้นเขา และเราต้องนอนกันในรถยนต์ ท่ามกลางฝนที่ตกมาตลอดคืนในปีนั้น
:::(CR)::: เมื่อสายหมอกโอบกอดขุนเขา ::: อช. ศรีน่าน & อช. ขุนสถาน @ น่าน
และการเดินทางในครั้งนั้นถือว่าเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในช่วงฤดูฝนของผมเลยก็ว่าได้ ยิ่งมีเหตุผลที่ง่ายเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าแรงบันดาลใจมันต้องทำงานได้แน่ ๆ ส่วนสาเหตุที่ยากก็ทำให้ทุกอย่างมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เรารู้ว่าความทรงจำแบบนั้นมีค่าแค่ไหน ?
ผมเดินทางกลับมาจากที่นี่ด้วยความรู้สึกดี รู้สึกดีอย่างมาก ๆ กับทุก ๆ บรรยากาศในปีนั้น บรรยากาศของภูเขาสีเขียว ไอหมอกสีขาว และสายรุ้ง รวมถึงความทรงจำต่าง ๆ มากมาย แล้วผมก็บอกกับตัวเองในใจว่าปีหน้าในเดือนเดียวกันผมจะกลับมาอีกครั้ง โดยที่ผมยังไม่รู้เลยว่าสาเหตุที่ยาก กับเหตุผลที่ง่ายในอีก 365 วันจะเป็นอย่างไร ?
แล้วตอนนี้ก็ผ่านมาอีก 365 วัน ในเดือนสิงหาคม 2556 มันครบ 1 ปีพอดี ที่ผมได้รู้จักขุนเขาเมืองน่านผ่านสายตาตัวผมเอง ผมตัดสินใจกลับไปที่นี่อีกครั้ง แม้มันจะเป็นคำพูดที่บอกกับตัวเองในใจเมื่อปีก่อน แต่มันก็ได้ผล และได้ผลเสมอ ผมใช้เส้นทางอยุธยา ขึ้นนครสวรรค์ เข้าพิษณุโลก ขึ้นแพร่ ทะลุน่าน คิดถึงระเบียงบ้านที่มีวิวสวย ๆ คิดถึงอากาศเย็นสบายที่ไม่ได้รู้สึกอยากนอน ^^ คิดถึงห้องนอนที่มองเห็นวิวภูเขา คิดถึงทะเลหมอก คิดถึงต้นไม้สามต้น รู้สึกคิดถึงไปหมด
ผมจองบ้านพักที่นี่ล่วงหน้า 1 เดือน กับบ้านดอยแม่จอก 1 เพื่อให้แผนการเดินทางครั้งนี้ดีที่สุด ให้ทุกอย่างอยู่ในแผนในแบบที่ผมอยากได้ ผมตื่นตั้งแต่ตี 3 เตรียมตัวพร้อม และเดินทางออกจากบ้านเราตั้งแต่ตี 4 ในเช้าวันนั้น ขับรถเพลิน ๆ ไปถึงอุทยานแห่งชาติขุนสถานตอนประมาณเที่ยงพอดี พยากรณ์อากาศบอกกับผมว่า สามวันนี้ฝนจะตก 60-80% รู้สึกมันต้องดีแน่ ๆ ^^ ถ้ามันจะทำให้ความชื้นในแบบที่ผมชอบได้กลับมาทำงานอีกครั้ง
บรรยากาศตอนนี้ 4 โมงเย็นแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าฝนจะตก อากาศโปร่ง เมฆลอยต่ำจนเห็นเป็นสายหมอกวิ่งผ่านไปมา วิววันแรกในตอนเย็นอาจจะไม่ได้ถูกใจผม แต่มันก็เต็มที่แล้ว ^^
แล้วที่พักในคืนนี้ของผมคือ ดอยแม่จอก 1 มันเป็นที่พักในความทรงจำที่ดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของผมเลย ด้วยเหตุผลอะไรมากมายที่ผมรู้สึกดีกับที่นี่ในปีที่แล้ว ถ้าปีนี้จะกลับมาอีกครั้งก็ต้องดอยแม่จอก 1 เท่านั้น ถ้าไม่ได้บ้านหลังนี้คือเลื่อนไปก่อน !!!
ผมโทรจองตรงกับ อช.เลย ระบุวัน+ชื่อผู้จอง จำนวนคนเข้าพัก โดยจองล่วงหน้า 1 เดือน แล้วก็โชคดีที่วันที่ผมต้องการยังไม่มีใครจอง
มันเป็นบ้านพักที่สามารถมองเห็นวิวภูเขาและทะเลหมอกได้จากห้องนอน สามารถมองเห็นวิวแม้กระทั่งระนาบพื้นราบ หมายถึงถ้าเรานอนก็ยังมองเห็นภูเขาและทะเลหมอกได้เลย ตอนนี้ห้าโมงเย็นแล้วยังมีเมฆลอยต่ำ ๆ ให้ผมได้รู้สึกตื่นเต้น ^^
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติขุนสถานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นที่พักที่มี+แผนที่+การเดินทาง+เบอร์ติดต่อ dnp.go.th และ khunsathan.com
ผมรู้สึกเสียดายนิด ๆ ที่เย็นนี้ไม่มีวี่แววว่าฝนจะตก แค่คิดว่าฝนตกปุ๊บ แดดออกปั๊บ ทะเลหมอกลอยปุ๊บ ผมจะขับรถตะลุยวิวรอบขุนสถานให้อิ่มเลย !!! แต่แผนเย็นนี้ก็พลาดไป คงต้องลุ้นเช้าพรุ่งนี้
และอาหารเย็นนี้ คือ ข้าวผัดกระเพรากับไข่เจียว ที่เตรียมซื้อมาตอนผ่านจังหวัดแพร่แล้ว ^^ แค่นี้ก็อิ่มสบายท้อง
หลังจากทานข้าวเสร็จก็ราว ๆ เกือบหกโมงเย็น อยู่ดี ๆ ฟ้าที่สดใสได้เต็มไปด้วยลมแรงและพายุหมอก ผมก็ไม่รอช้ารีบเดินออกมาดูสายหมอก มันมาเยอะมาก ๆ ทั้งลมทั้งสายหมอก บรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงภายในเสี้ยวนาที เดี๋ยวฟ้าเปิด เดี๋ยวฟ้าปิด เดี๋ยวหมอกมา เดี๋ยวหมอกไป...แล้วสักพักฟ้าก็เริ่มร้องดังครึม ๆๆๆๆ เสียงดังทั่วดอยคล้ายแผ่นดินไหว เพราะเสียงดังมาก รู้สึกฟ้าร้องตรงเหนือหัวเลย มันใกล้มาก !!! รู้สึกกลัวว...
เลยรีบกลับเข้าไปยังห้องพัก เสียงลมดังมาก เสียงฟ้าร้องดังตลอด !!! แต่ฝนไม่ยักตก บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าอยากให้ตกไหม เพราะปีที่แล้วฟ้าก็ร้องแบบนี้ แล้วฝนก็ตกข้ามคืนถึงตอนสายอีกวันเลย จนมองอะไรไม่เห็น ไม่อยากนอยด์แบบปีก่อน และก็เป็นครั้งแรกที่ลืมสวดมนต์ขอให้เจอทะเลหมอก แล้วสุดท้ายผมก็เผลอหลับไป
เมื่อคืนบอกไม่ถูกว่าผมหลับสบายดีไหม เพราะฝนตกแรงมาก ราวกับพายุโจมตี มันเหมือนกับปีที่แล้ว ที่ฝนตกตอนเช้าแล้วตอนเช้าทะเลหมอกก็ฟุ้งไม่เห็นอะไร ครั้งนี้ฝนมาเหมือนเดิมแต่ตกหนักมากกว่า เสียงฝนกระทบหลังคาตั้งแต่ตีสามจนผมไม่ได้นอนเลย !!!
ฝนตกตั้งแต่ตี 3 ของเช้าวันนั้นไปจนตี 5 แล้วก็ตกปรอยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย ผมรู้สึกนอยด์ เพราะคิดว่าคงเหมือนปีก่อนแน่ แต่ก็เข้าใจธรรมชาติเพราะมันเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่ดี....รู้สึกต้องทำใจและทำใจ
แล้วสักพักราวตอน 06.30 น. ฝนก็หยุดตก แล้วทะเลหมอกก็เริ่มก่อตัวขึ้นมา ^^ ผมรู้สึกมันต้องเป็นทริปที่ดีที่สุดอีกครั้ง และตอนนี้ผมก็มั่นใจว่ามันจะต้องดีแน่ ๆ
ทะเลหมอกที่ผมมองเห็นได้จากห้องนอน บรรยากาศที่หาซื้อไม่ได้ ต้องมาหาเองต้องขับรถมาตั้ง 700 กิโลเมตร เพื่อมาที่จะได้เห็น รู้สึกดีใจที่มันไม่เคยผิดแผน อีกหนึ่งวันที่ดีที่สุดกับเช้าวันแรกที่เหมือนฝันไป
แล้วสักพักฝนก็ตกลงมาอีกระลอกหนึ่งแล้วก็หยุดไป ผมก็เชื่อว่านี่คือลางบอกเหตุที่ดีที่สุด ทะเลหมอกกับไอน้ำมหาศาลหลังฝนตกในแบบที่ผมอยากเห็นมันจะต้องสวย สวยแบบไม่คิดว่ามันแพ้ที่ไหน ?
ผมเดินย้อนกลับมาด้านบนที่อยู่มุมสูงอีกรอบ เมื่อวานตอนเย็นกะขึ้นมาแต่หมอกลงจนมองไม่เห็นอะไรตรงนี้ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นบ้านพักแบบไหน แต่คิดว่าเป็นบ้านพักเจ้าหน้าที่แน่นอน วิวดีอะไรขนาดนั้นมองเห็นวิวได้รอบตัวโดยประมาณก็ 290 .75 องศา
แม้จะเป็น 290.75 องศา ที่มองเห็นได้ แต่ผมรู้สึกได้เลยแค่องศาเดียวก็มีความสุขแล้วขอให้เป็นองศาที่ผมได้เห็นในสิ่งที่ผมรัก นั่นก็คือ ทะเลหมอกสีขาว ชุ่มฉ่ำแบบหน้าฝนตรงนี้มองไปทางด้านไหนก็เจอแต่วิวของขุนเขา ผมเดินไปเรื่อย ๆ รอบจุดชมวิวใกล้บ้านพักมุมนี้ก็สวย มุมนั้นก็สวย แต่มันไม่จบแค่นี้แน่
เพราะแผนในเช้านี้คือผมจะตะลุยขับรถไปรอบเส้นทางที่อยู่ในรัศมี 10 กิโลเมตร เพราะที่นี่มันจะเป็นวิวภูเขาตลอดเส้นทาง มันคงทำให้ผมได้เห็นวิวภูเขาและทะเลหมอกใหม่ ๆ และมันจะต้องทำให้น่าทึ่ง ท้าทาย และสนุกแน่ ๆ
แต่ตอนนี้ขอเก็บบรรยากาศวิวทะเลหมอกอีกสักพัก แล้วจะถึงเวลาลุยของผม เช้านี้ต้องระวังเล็กน้อย ถึงระวังให้มากขึ้น เพราะเมื่อวานผมไปเดินชมวิวรอบอุทยานฯ ตรงจุดชัน ๆ ห่างจากบ้านพักราว 300 เมตร มีทางให้ลงแบบดี ๆ แต่ผมไม่ ดันลงทางแนวชันเกือบตั้งฉาก แล้วร้องเท้าคงลื่น ผมกลิ้งลงมาแนวชันคล้ายหน้าผาเล็ก ๆ สูงประมาณสองเมตร ผมกลิ้งลงมามีแผลถลอกที่ขาและมือนิดหน่อย แต่แสบสันมาก !!! เลือดออกซิบ ๆ แต่ตอนที่ไถลกลิ้งลงมา มั่นใจว่ากล้องไม่เป็นไรแค่มันปลอดภัยผมก็สบายใจ เพราะตอนนั้นผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อันตรายอะไรแน่ ๆ เลยประคองกล้องไว้ก่อนเพราะถ้ากล้องฟาดไปกับพื้นซึ่งเป็นภูเขาหิน กล้องคงไม่เหลือแน่....สิ่งของบางอย่างมันมีคุณค่าอย่างบอกไม่ถูก ให้ซื้อใหม่รุ่นเดิมมันก็ไม่เหมือนตัวเก่าเหมือนกับความทรงจำไม่มีคำว่าทดแทน มีแต่คำว่าผูกพัน !!!!
หลังจากนอนชมวิวทะเลหมอกในบ้านพัก ผมก็ทำตามแผนในแบบที่วางกันไว้ นั่นก็คือ ขับรถออกมาสำรวจวิวด้านนอกที่นี่กัน เพราะถ้าใครได้มาที่นี่จะรู้ได้เลยว่าวิวระหว่างทางสวยงามมาก กับบรรยากาศวิวขุนเขา สีเขียวสดใส นี่ไงครับความทรงจำของต้นไม้สามต้น แต่ตอนนี้หมอกยังไม่มา ดังนั้น ผมเลยรีบผ่านไปก่อน แล้วค่อยเลี้ยวกลับมาเล่าความทรงจำในครั้งนั้น !!!!
มันรู้สึกดีมาก ๆ ที่ผมเลือกที่จะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ต้องบอกว่ามาถูกที่และถูกเวลาจริง ๆ กับการได้อยู่ในบรรยากาศที่ผมรู้สึกผูกพันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ^^ มันไม่เหมือนกับหนังหรือละครที่ดูซ้ำแล้วก็จับทางได้
ผมขับรถมาเรื่อย ๆ ถ้าจำไม่ผิดก็ออกมาจากตัวอุทยานฯ มาทางที่ไปทางอำเภอนาน้อย ระยะทางที่ออกจากตัวอุทยานฯ ก็ประมาณ 4-6 กิโลเมตร ขับรถไปเรื่อย ๆ ชมวิวไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็มาถึงจุดที่ผมอยากมาดูวิว มันเป็นวิวริมถนน ไม่ได้มีชื่อจุดชมวิวอะไรเลย ผมฝังใจกับตรงนี้มาก เพราะปีที่แล้วขับรถผ่านไปโดยไม่ได้แวะชมวิวอะไรเลย
ผมอยู่ตรงนี้นานมาก และเดินลงไปตามทางเล็ก ๆ ส่วนเพื่อนไม่มีใครยักกะตามมา ไม่เป็นไรผมลุยเดี่ยวได้สบายมาก ๆ ทำให้นึกถึงสมัยก่อนแค่จอดริมถนนแล้วก็เก็บภาพสวย ๆ ถ่ายรูปกันนิดหน่อย ได้โลโก้ Chanomworld* มาสักใบสองใบ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แต่คราวนี้ผมอยากลุยอีกนิด อยากเดินอีกหน่อย อยากรู้ว่าเวลามองวิวจากตรงโน้นมันจะเห็นเป็นวิวแบบไหนกัน ผมรีบเดินลงไปกลัวหมอกจะหายไปด้วย และรองเท้าแตะมันก็ลื่นได้ใจจริง ๆ ผมเลยถอดรองเท้าไว้ระหว่างทางเดิน แล้วเดินเท้าลุยกันไปในใจก็กลัวจะโดนทากดูดเลือดไหม เพราะเคยโดนมาแล้ว 3 รอบ กว่าเลือดจะหยุดนี่เล่นเอากดแผลอยู่นานเลย เดินไปเดินมาก็กลัวจะโดนเศษแก้วบาดไหม ? แต่สุดท้ายก็อยู่รอดปลอดภัยไม่มีแผลสักนิด เดินไปเรื่อย ๆ วิวก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แต่ตอนขาขึ้นนี่สิเล่นเอาหอบเลย
นั่นไงกระต๊อบตรงนั้น น่าจะทำให้บรรยากาศเบรคฟาสต์เช้านี้เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดแน่ ๆ เราเลยขับรถไปตรงนั้นห่างจากตรงนี้ไม่กี่ร้อยเมตร แต่ถ้าเดินต้องหอบแน่ ๆ
ที่นี่ทำให้เราได้เห็นวิวเขาที่สวยน่าทึ่งอีกมุมหนึ่ง เป็นไร่ข้าวโพดของชาวบ้าน และโชคดีที่นี่มีรางน้ำฝนเก็บไว้ในโอ่ง ทำให้ผมได้ล้างแขน ล้างขาที่เลอะโคลนดิน แล้วก็ได้เวลาอาหารมื้อเช้าที่เป็นขนมปังไส้สังขยาคนละ 1 ชิ้นใหญ่ ๆ พอแก้หิวไปก่อน กินขนมปังไป มองวิวแบบนี้ไปมันอิ่มยิ่งกว่าอิ่ม
ผมนึกถึงแผนเมื่อวานเย็นที่ฝนไม่ได้ตก ทำให้ผมไม่ได้ขับรถชมหมอกตอนเย็น ดังนั้น เช้านี้ผมจะเอาให้คุ้มในแบบที่ผมไม่ได้ทำเมื่อตอนเย็น อีกอย่างวันนี้ยังไม่ต้องรีบกลับยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ แต่ตอนนี้เรากลับไปยังจุดชมวิวเมื่อกี้ที่เราผ่านมาก่อน
จากจุดชมวิวตรงเมื่อกี้ผมขับรถกลับมามาทางตัวอุทยานอีกครั้ง เพื่อมายังจุดนัดพบกับต้นไม้สามต้น ต้นไม้สามต้นในความทรงจำของผม มันเป็นความทรงจำแบบไหน ผมอยากจะรู้ว่า 1 ปี มันเปลี่ยนไปแค่ไหน แล้วเรื่องเล่าเกี่ยวกับความหวังในตอนนั้นมันยังคงจะเป็นเรื่องเดียวกันได้ไหม
ผมจอดรถตรงริมถนนลาดยาง แล้วเดินลงมาตามทางชัน ๆ พื้นถนนจะเป็นหินผสมดิน ทำให้เดินง่ายไม่ติดโคลน ไม่น่าเชื่อเลยว่าทางแบบนี้จะมีไว้ให้รถวิ่งได้ ทั้งชันทั้งวิบาก !!!
อีกหนึ่งบรรยากาศที่ให้เราใกล้กันแค่เอื้อม อีกหนึ่งความผูกพันที่ยังคงคิดถึงอยู่เสมอ อีกหนึ่งปลายทางของขุนเขาทั่วเมืองไทย อีกหนึ่งความทรงจำที่ดีที่สุดที่เคยผ่านมา
ต้นไม้ในความทรงจำของผมยังอยู่ครบ มันอยู่รอดในแบบที่ผมยังคงมีชีวิตอยู่ ปีนี้ผมอยากจะเห็นมันในแบบมุมมองแบบใกล้ ๆ
ถ้ามาหน้าหนาวหรือหน้าแล้งผมคงไม่ได้เห็นบรรยากาศแบบนี้แน่นอน คงเป็นเขาหัวโกร๋นแห้ง ๆ แต่อย่าเข้าใจผิดว่ามีการบุกรุกป่า เพราะที่นี่แบ่งโซนพื้นที่ทำมาหากินของชาวบ้านกับเขตอุทยานฯ ไว้ชัดเจน มันดีที่หลังปี 2502 ที่เราได้มีการคุ้มครอง และกำหนดพื้นที่ป่าเป็นเขตป่าสงวนหรือเป็นอุทยานแห่งชาติ อย่างน้อยคนก็ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ยังไงก็ต้องทำมาหากิน ไม่ว่าจะทำงานค้าขายหรือเกษตรกรรมก็ต้องใช้ที่ทางทำมาหากินเหมือนกัน บางทีเราเห็นพื้นที่เขาหัวโกร๋นเวลาเดินทางไปเที่ยว อย่าตกใจไป !!! มันเป็นพื้นที่ทำมาหากินของชาวบ้านนะครับ ^^ คนกับป่าต้องอยู่ร่วมกันในขอบเขตที่ถูกต้องเราก็ยังสามารถรักษาคน รักษาป่า ไปพร้อม ๆ กันนะครับ
และนี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ยังถูกรักษาไว้ ต้นไม้ในความทรงจำของผมเอง มันเป็นชานมเวิลด์แน่ ๆ 1 ปีที่แล้วมันเป็นยังไง 1 ปีผ่านไปก็ยังเป็นแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ผมมองเห็นหรือสิ่งที่ผมรู้สึกได้
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมได้เคยเขียน กับเรื่องเล่ากาลครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ประมาณว่ามีต้นไม้สามต้น เติบโตอยู่บนเนินเขาของป่าแห่งหนึ่ง มันใช้เวลานานเท่ากับชีวิตเราที่จะเติบโตและยืนต้นได้ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้อาจจะมีบางต้นที่แข็งแรงไม่พอ แล้วก็หายไป ไหนจะความแห้งแล้ง ฝน พายุ ลมแรง แต่สามต้นนี้ยังคงอยู่ และเรียนรู้ที่จะเติบโต ผลิใบแตกผลเพื่อแสดงให้เห็นอะไรบางอย่าง และการที่มันอยู่รอดได้ทุกวันนี้ ความทรงจำที่ผ่านมาคงบอกอะไรได้มากมาย
แม้วันที่รู้สึกแย่ รู้สึกท้อแท้ แล้วเราก็นึกถึงเรื่องดี ๆ ที่เคยเกิดขึ้นมันก็ยังทำให้เรารู้สึกดี และอยู่รอดเติบโต เหมือนกับต้นไม้สามต้นนั้นได้เลย มองต้นไม้สามต้นแล้วก็หยุดเดิน หยุดคิดก็ชัตเตอร์ภาพ 1 ใบ คงเหมือนกับตอนที่เรากดรีโมททีวี ให้ภาพในหนังเรื่องหนึ่งหยุดนิ่ง แล้วก็ทำให้เห็นได้เลยว่าวัยเด็กที่ผ่านมาของเราสดใสแค่ไหน มันคงเหมือนต้นไม้สามต้นที่ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ก่อนหน้านั้นมันคงเป็นต้นไม้เล็กเติบโตจากเมล็ดพันธุ์พืชที่ไหนสักแห่ง แล้วก็เติบโตมาจนถึงวันนี้
แล้วสักพักเกือบ 9 โมงเช้า ผมก็กลับมาที่บ้านพักอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ใจดีมากต้มน้ำให้เราสำหรับมาม่าคัพที่เตรียมไว้ เป็นอาหารง่าย ๆ ในเช้าวันนี้ตอนนี้ฝนไม่ตก แต่หมอกเทลงมาแบบไม่เกรงใจกันเลย
ได้เวลาซดมาม่ากัน จะบอกว่าเป็นมาม่าคัพที่อร่อยเว่อร์มาก รสชาติดีสุดดดดด ได้กิน ได้ซดน้ำจากถ้วยแบบนี้มันอร่อยมาก
กินเสร็จแล้วก็ต้องนอนพัก บรรยากาศแบบนี้ขอหลบมานอนพักท้องและพักแรงในห้องนอนก่อน ลืมบอกไปว่าพวกเราเหมาที่นี่อีกครั้ง เพราะไม่มีกลุ่มไหนมาพักเลย ^^ บรรยากาศที่คล้ายกับความฝัน เหมือนกับฝันไปที่ได้มีโอกาสได้ใช้ชีวิตในแบบที่อยากทำ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันก็ยาวเพียงพอที่ผมจะไม่ลืมอีกหนึ่งช่วงเวลาดี ๆ ของวันนี้อย่างแน่นอน
หลังจากพักท้องนอนเล่นในห้องนอนราว ๆ 1 ชั่วโมง ตอนนี้ก็ประมาณ 10 โมงนิด ๆ หมอกยังไม่หายไปไหน คาดว่าวันนี้คงอยู่กับเราไปถึงเที่ยง ผมเซตเวลาไว้ว่าจะเช็กเอาท์ตอน 11 โมงเช้า ก่อนเดินทางไป อช.ศรีน่าน ต่ออีก 1 คืน ตอนนี้ได้เวลาสำรวจบรรยากาศรอบอุทยานฯ ที่นี่อีกครั้ง
ตอนนี้ผมกำลังปีนขึ้นมาทางยอดเขาด้านบนที่ผมเคยทำเมื่อ 365 วันที่แล้ว ด้วยการเดินขึ้น เขาตรงนี้มีทางขึ้นค่อนข้างชันและลื่นด้วย แต่ห้ามผมไม่ได้หรอก ยังไงก็จะไปให้ถึงที่สุด
ยิ่งเวลาได้ยืนอยู่บนที่สูงมันยิ่งตื่นเต้น มันสนุกอย่างบอกไม่ถูก ได้เห็นมุมมองอะไรใหม่ ๆ มุมมองที่หลายคนไม่ค่อยได้เห็นกัน แต่ต่อให้ยืนอยู่สูงแค่ไหนก็ยังคงมีบางอย่างที่รู้สึกเอื้อมไม่ถึงอยู่ดี
แต่บางทีก็รู้สึกเอื้อมถึงแต่เป็นแค่ช่วงเวลา บางทีกลับรู้สึกยิ่งไกลออกไป กับบางอย่างที่ผมเรียกว่า “โลกแห่งความฝัน” และด้วยเหตุผลของชีวิต อีกสองวันผมก็ต้องเดินทางกลับ กลับไปอยู่ในโลกของชีวิตที่ทำให้ชีวิตยังคงเดินไปได้ต่อ
เวลาในตอนนี้ 10 โมงเช้าเศษ มันคือนาฬิกาที่กำลังวนกลับมาในเวลาเดิม ๆ ที่ผมคุ้นเคย ถ้ามันจะหมุนย้อนหลังผมก็ยังจดจำมันได้ดี อย่างน้อยก็ 365 วันที่ผ่านมา ที่ผมได้เคยมา ณ ที่แห่งนี้
แต่ถ้ามันจะหมุนไปข้างหน้า ไปอยู่ในช่วงเวลาที่ผมคาดการณ์ไม่ได้...อาจจะเป็นอีก 1 เดือน 1 ปีหรือ อีก 10 ปีข้างหน้าอย่างน้อยที่สุด มันก็เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ดีที่สุด ที่ผมได้เคยเอื้อมถึง แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เคยผ่านมา และไม่เคยผ่านไป
แม้กระทั้งต้นไม้สามต้นนั้นก็ยังอยู่ในที่เดิม ๆ ที่ผมเคยรู้จักและไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น หรือไม่มีอะไรเกิดขึ้น....มันยังคงอยู่ในส่วนลึกที่ดีที่สุดที่ทำให้ผมยังคงรู้สึกดีได้เสมอ
มันอาจจะเหมือนกับรอยยิ้มของใครบางคนที่ไม่เคยหายไปไหน ทั้งที่มันก็ไม่เคยหนีไปไหน ? ที่ยังคงทำให้โลกใบนี้ของเรายังคงหมุนด้วยแรงบางอย่าง ที่จะทำให้เราพยายามมากขึ้น อย่างน้อยก็มากขึ้นกว่าเดิม !!!
และไม่ว่าตอนนั้นเราจะเอื้อมถึงหรือไม่ถึง ต้นไม้สามต้นนั้นก็ยังคงเติบโตต่อไปเหมือนกับนาฬิกาที่ยังคงหมุนไปพร้อม ๆ กับแสงแดดที่ร้อน ๆ สายฝน ลมหนาว และพายุที่พัดแรง กับอีกชีวิตของใครหลาย ๆ คนบนโลกใบเดียวกันนี้ ที่กำลังหมุนด้วยแรงอะไรบางอย่างอยู่รอบตัวที่เต็มไปด้วยความรู้สึกดี ๆ ที่จะยังคงคอยส่งอะไรบางอย่างไปยังปีต่อไป หรืออีก 365 วัน ต่อจากนี้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย
และในชีวิตของคนเรามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการมีชีวิต วันนี้มีชีวิตวันต่อไปอาจจะไม่ได้มีชีวิต วันนี้รู้สึกดีแต่พรุ่งนี้อาจจะไม่ได้รู้สึกดีก็ได้ วันนี้รู้สึกแย่พรุ่งนี้อาจจะรู้สึกดี วันนี้ฝนตกพรุ่งนี้อาจแดดออก วันนี้แดดออกพรุ่งนี้หิมะอาจจะตก วันนี้หุ้นตกพรุ่งนี้อาจรวยเป็นร้อยล้าน...วันนี้ชอบกินกระเพราพรุ่งนี้อาจเปลี่ยนไปชอบกินเส้นเล็กต้มยำ...วันนี้ไม่ว่าเราหรือใครก็เปลี่ยนแปลงไปได้หมด ไม่ว่าจะเป็นมุมมองแบบไหน
แต่ผมก็เชื่อว่ายังมีมุมมองอีกหลาย ๆ อย่างที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป...ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เรารัก สิ่งที่ทำให้เราผูกพัน หรือทำให้รู้สึกดีตลอดมา อาจจะติดดิน ไม่ติดดิน อาจจะติดหมอกหรือไม่ติดหมอก มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ อาจจะไม่มีสาเหตุที่ทำให้รู้สึกว่ามันยาก และไม่มีเหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่ามันง่าย ไม่มีพื้นฐานของความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกับภูเขาหรือไอหมอกสีขาว ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้
แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่แค่ว่าครั้งหนึ่งเราเคยรู้สึกแบบไหน ? และเคยยืนอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ต่างหาก !!!!!
https://www.facebook.com/chanomworld
http://pantip.com/profile/569090
Chanomworld*world of wonder
Photo by chanomkids : word by chanomworld*
(Khun Sathan National Park)-Na Noi, Nan#August 2013
แล้วพบกันใหม่-ชีวิตติดดิน หัวใจติดหมอก-อช.ศรีน่าน @ สิงหาคม 2556
ยิ่งเวลาได้ยืนอยู่บนที่สูงมันยิ่งตื่นเต้น มันสนุกอย่างบอกไม่ถูก ได้เห็นมุมมองอะไรใหม่ ๆ มุมมองที่หลายคนไม่ค่อยได้เห็นกัน แต่ต่อให้ยืนอยู่สูงแค่ไหนก็ยังคงมีบางอย่างที่รู้สึกเอื้อมไม่ถึงอยู่ดี
แต่บางทีก็รู้สึกเอื้อมถึงแต่เป็นแค่ช่วงเวลา บางทีกลับรู้สึกยิ่งไกลออกไป กับบางอย่างที่ผมเรียกว่า “โลกแห่งความฝัน” และด้วยเหตุผลของชีวิต อีกสองวันผมก็ต้องเดินทางกลับ กลับไปอยู่ในโลกของชีวิตที่ทำให้ชีวิตยังคงเดินไปได้ต่อ
เวลาในตอนนี้ 10 โมงเช้าเศษ มันคือนาฬิกาที่กำลังวนกลับมาในเวลาเดิม ๆ ที่ผมคุ้นเคย ถ้ามันจะหมุนย้อนหลังผมก็ยังจดจำมันได้ดี อย่างน้อยก็ 365 วันที่ผ่านมา ที่ผมได้เคยมา ณ ที่แห่งนี้
แต่ถ้ามันจะหมุนไปข้างหน้า ไปอยู่ในช่วงเวลาที่ผมคาดการณ์ไม่ได้...อาจจะเป็นอีก 1 เดือน 1 ปีหรือ อีก 10 ปีข้างหน้าอย่างน้อยที่สุด มันก็เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ดีที่สุด ที่ผมได้เคยเอื้อมถึง แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เคยผ่านมา และไม่เคยผ่านไป
แม้กระทั้งต้นไม้สามต้นนั้นก็ยังอยู่ในที่เดิม ๆ ที่ผมเคยรู้จักและไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น หรือไม่มีอะไรเกิดขึ้น....มันยังคงอยู่ในส่วนลึกที่ดีที่สุดที่ทำให้ผมยังคงรู้สึกดีได้เสมอ
มันอาจจะเหมือนกับรอยยิ้มของใครบางคนที่ไม่เคยหายไปไหน ทั้งที่มันก็ไม่เคยหนีไปไหน ? ที่ยังคงทำให้โลกใบนี้ของเรายังคงหมุนด้วยแรงบางอย่าง ที่จะทำให้เราพยายามมากขึ้น อย่างน้อยก็มากขึ้นกว่าเดิม !!!
และไม่ว่าตอนนั้นเราจะเอื้อมถึงหรือไม่ถึง ต้นไม้สามต้นนั้นก็ยังคงเติบโตต่อไปเหมือนกับนาฬิกาที่ยังคงหมุนไปพร้อม ๆ กับแสงแดดที่ร้อน ๆ สายฝน ลมหนาว และพายุที่พัดแรง กับอีกชีวิตของใครหลาย ๆ คนบนโลกใบเดียวกันนี้ ที่กำลังหมุนด้วยแรงอะไรบางอย่างอยู่รอบตัวที่เต็มไปด้วยความรู้สึกดี ๆ ที่จะยังคงคอยส่งอะไรบางอย่างไปยังปีต่อไป หรืออีก 365 วัน ต่อจากนี้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย
และในชีวิตของคนเรามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการมีชีวิต วันนี้มีชีวิตวันต่อไปอาจจะไม่ได้มีชีวิต วันนี้รู้สึกดีแต่พรุ่งนี้อาจจะไม่ได้รู้สึกดีก็ได้ วันนี้รู้สึกแย่พรุ่งนี้อาจจะรู้สึกดี วันนี้ฝนตกพรุ่งนี้อาจแดดออก วันนี้แดดออกพรุ่งนี้หิมะอาจจะตก วันนี้หุ้นตกพรุ่งนี้อาจรวยเป็นร้อยล้าน...วันนี้ชอบกินกระเพราพรุ่งนี้อาจเปลี่ยนไปชอบกินเส้นเล็กต้มยำ...วันนี้ไม่ว่าเราหรือใครก็เปลี่ยนแปลงไปได้หมด ไม่ว่าจะเป็นมุมมองแบบไหน
แต่ผมก็เชื่อว่ายังมีมุมมองอีกหลาย ๆ อย่างที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป...ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เรารัก สิ่งที่ทำให้เราผูกพัน หรือทำให้รู้สึกดีตลอดมา อาจจะติดดิน ไม่ติดดิน อาจจะติดหมอกหรือไม่ติดหมอก มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ อาจจะไม่มีสาเหตุที่ทำให้รู้สึกว่ามันยาก และไม่มีเหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่ามันง่าย ไม่มีพื้นฐานของความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกับภูเขาหรือไอหมอกสีขาว ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้
แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่แค่ว่าครั้งหนึ่งเราเคยรู้สึกแบบไหน ? และเคยยืนอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ต่างหาก !!!!!
https://www.facebook.com/chanomworld
http://pantip.com/profile/569090
Chanomworld*world of wonder
Photo by chanomkids : word by chanomworld*
(Khun Sathan National Park)-Na Noi, Nan#August 2013
แล้วพบกันใหม่-ชีวิตติดดิน หัวใจติดหมอก-อช.ศรีน่าน @ สิงหาคม 2556