x close

เที่ยวบ้านขุนสมุทรจีน หมู่บ้านภาพสะท้อนผลภาวะโลกร้อน






เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก รายการคู่เลิฟตะลอนทัวร์,  Youtube โพสต์โดย 4everKradonXD 

          มนุษย์เป็นผู้สร้างและทำลายได้ในคราวเดียว เป็นนิยามถึงการกระทำของมนุษย์ที่มีมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์... ที่ต้องกล่าวเช่นนั้นเป็นเพราะมนุษย์เช่นเรามีสมองและศักยภาพเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นที่ดำรงชีพอยู่บนโลก มนุษย์จึงได้คิดสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ พัฒนา ต่อยอดเพื่อสร้างเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกแก่มนุษย์ด้วยกันให้มากที่สุด ซึ่งในขณะที่มนุษย์ผันสังคมเข้าสู่ยุคที่ทำได้ทุกสิ่งตามใจคิด หวังเพียงสร้างความสบายให้แก่ตัวเอง โดยโยนภาระที่เหลือจากการสร้างสรรค์ ทั้งขยะที่ยากต่อการย่อยสลาย รวมไปถึงสารพิษและมลพิษทั้งหลายให้โลกแบกรับ กว่าจะตระหนักได้ว่า ตนเองมีสถานะเป็นผู้ทำลาย ก็เมื่อโลกประสบภาวะโลกร้อนและเริ่มอ่อนแอแปรปรวนเกิดกว่าที่มนุษย์จะคาดเดาหรือเอาชนะได้

          แม้ว่าทุกคนจะตระหนักได้ถึงปัญหาโลกร้อนที่เป็นของมนุษยชาติ แต่หลายคนก็ยังมองข้าม ด้วยเห็นเป็นเรื่องไกลตัว วันนี้ทางกระปุกดอทคอมจึงอยากให้ทุกคนได้ติดตามชมรายการ คู่เลิฟตะลอนทัวร์ ที่ออกอากาศไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา  เพื่อไปรู้จักกับหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งโดนผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ถูกคลื่นน้ำทะเลกัดเซาะจนพื้นดินกว่า 1.6 กิโลเมตรจมหาย และหมู่บ้านที่ว่านี้ก็มีชื่อว่า หมู่บ้านขุนสมุทรจีน













          หมู่บ้านขุนสมุทรจีน เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ในอำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครเพียง 20 กิโลเมตร เป็นชุมชนที่ได้ชื่อว่าใช้เรือในการสัญจรร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยการจะไปให้ถึงหมู่บ้านต้องเริ่มจากมาที่ท่าเรือป้าลี่ โดยมี พี่กีรติ ไกด์ชาวบ้านคอยนำทาง ซึ่งพี่ติ บอกว่า การมาที่นี่ถึงจะมีเงินร้อยล้านพันล้านก็ต้องเดินทางโดยเรือ มีเรือสำหรับรับส่งนักเรียน สำหรับโดยสาร ขนผลิตภัณฑ์จากทะเลออกมาทั้งหมด ในกรณีนักท่องเที่ยว เราก็มีเรือไว้บริการ และจุดแรกที่จะนั่งเรือไปเป็นวัดที่ไม่ใช่เกาะแต่อยู่กลางทะเล ชื่อว่า วัดขุนสมุทรธาราวาส หรือที่เรียกว่า วัดขุนสมุทรจีน

          โดยระหว่างนั่งเรือ พี่ติ ก็ชี้ชวนให้ดูถึงความอุดมสมบูรณ์ทางทะเลที่มีทั้งหอยกะพง ปู ปลา กุ้ง หอย มีต้นจากปลูกรายสองข้างทางให้ชาวบ้านได้ตัดไปใช้เพื่อป้องกันการกัดเซาะของบ้าน และยังมีนกมาอาศัยอยู่กว่า 200 ชนิดด้วยกัน แต่ยังไม่ทันจะไปถึงไหน พี่ติก็เรียกให้ลงมาเพื่อปั่นจักรยานต่อไปยังวัด ซึ่งจักรยานและโรงเรือนรวมทั้งห้องน้ำที่เห็นอยู่นี้ ได้มาจากการบริจาคของนักท่องเที่ยว ทั้งสองคู่รักพิธีกรปั่นจักรยานต่อไปจนถึงหน้าวัดสมุทรธาราวาสที่อยู่ท่ามกลางทะเล

          พี่ ติเล่าให้ฟังถึงสถานการณ์ที่น้ำทะเลกัดเซาะหมู่บ้านและวัดนั้นมีหลายสาเหตุ ส่วนหนึ่งมาจากคลื่นลมแรง ระดับน้ำสูงขึ้นอันเป็นผลจากธรรมชาติ 30 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 70 เปอร์เซ็นต์ เป็นฝีมือจากมนุษย์ของเรานี้เอง แบ่งออกมาเป็นหลายกรณีย่อยๆอีก












          “ เป็นเพราะเมื่อก่อนตอนที่ไม่มีเขื่อนเจ้าพระยา น้ำก็จะไหลลงมาพาตะกอนมาสะสมตรงปากแม่น้ำ แต่พอมีการกั้นเขื่อนตะกอนก็ตกเหนือเขื่อนไม่มาสะสมอีก นี่เป็นกรณีที่ 1 กรณีที่ 2 เรื่องของป่าชายเลย พอชาวบ้านเอามาทำนากุ้ง น้ำทะเลมันซัดทีเดียวก็หมดเป็นร้อย ๆ ไร่ จะเห็นว่าเราทำลายเขา เขาก็กลับมาทำลายเรา กรณีต่อมา คือ การทำประมงที่ผิดธรรมชาติ ใช้เรือคราดหอยนี่แหละ เขาจะเอาตะแกรงเหล็กใหญ่ๆ  โยนลงไป แล้วเอาเรือที่มีกำลังแรง ๆ มาคราด พื้นที่ที่เคยเป็นเลนทับถมอยู่ดี ๆ โดนตะกุยขึ้นมามันก็เลยไหลไปตามน้ำ "

          และจากการที่วัดถูกกัดเซาะหนักขนาดนี้จึงมีหลายคนถามว่า ทำไมไม่ย้ายวัด พี่ติก็ตอบให้ฟังว่า วัดเป็นศูนย์กลาง ศูนย์รวมของประชาชน ถ้าวัดอยู่ไม่ได้ ชาวบ้านก็อยู่ไม่ได้ เพราะสิ่งที่จะอยู่เหนือธรรมชาติได้ คือ ศรัทธาที่จะเอาวัดไว้ตรงนี้ ชาวบ้านจึงได้ตัดสินใจช่วยกันทำเขื่อนกั้นน้ำถึง 3 ชั้นด้วยกัน เอาไม้กระดานมายกให้วัดสูงขึ้นประมาณ 1 เมตร 20 เซนติเมตร พอทำเขื่อนกั้นน้ำ สถานการณ์ของวัดก็ดีขึ้น

          จากวัดสมุทรธาราวาส ก็เดินทางต่อไปยังป่าชายเลนทีอุดมสมบูรณ์ที่สุด มีอยู่ประมาณ 10 ไร่ ระหว่างทางจะผ่านอุโมงค์ต้นแสมที่คอยช่วยยึดหน้าดินให้ยังคงอยู่ ก่อนทางรายการจะพาไปพบกับผู้ใหญ่สมร ผู้ใหญ่บ้านที่ให้รับสมญานามว่า หญิงสู้กู้แผ่นดิน

          ทั้งนี้ ผู้ใหญ่สมร ได้เล่าให้ฟังว่า ถึงการโยกย้ายบ้าน ย้ายโรงเรียนหนีน้ำทะเล เพราะผู้ใหญ่เชื่อว่า ธรรมชาติไม่มีใครเอาชนะมันได้ แต่ทำยังไงเราถึงจะอยู่กับมันได้สำคัญกว่า ซึ่งผู้ใหญ่สมรคนนี้เองที่เป็นคนนำสถานการณ์ที่หมู่บ้านกำลังเผชิญไปให้ประชาชนภายนอกได้รับรู้ว่า โลกร้อนขึ้นทำให้คลื่นซัดแผ่นดินหายมีอยู่จริง และถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป น้ำทะเลอาจจะถึงกรุงเทพได้









          “ ก่อนจะไปเรียกร้อง เราต้องช่วยตัวเองก่อน รุ่นเรา กลุ่มของเราพอที่จะสู้ได้ ถ้าเราไม่สู้ใครจะสู้ ไม่งั้นมันจะพังไปถึงกรุงเทพฯ เราจะพาลูกพาหลาน อยู่กับธรรมชาติให้ได้ อยากให้การต่อสู้ไม่สูญเปล่า เราอยากให้ คนเห็นตัวอย่าง อยากให้เปลี่ยนพฤติกรรม ปลูกต้นไม้สักคนละต้นไหมวันนี้ งดใช้สิ่งที่ฟุ่มเฟือย อยากให้เป็นตัวอย่างว่า เราย้ายเป็นสิบรอบแต่เราก็ยังสู้ ”

          นอกจากหมู่บ้านขุนสมุทรจีนจะเป็นหมู่บ้านที่ทำให้ห็นภาพสะท้อนของปัญหาโลกร้อนได้อย่างชัดเจนแล้ว ทีนี่ยังมีศาลเจ้าพ่อหนุ่มน้อยลอยชายไปให้สักการะที่ชาวบ้านเชื่อกันว่า ศักดิ์สิทธิ์มากโดยเฉพาะถ้าขอเรื่องการเรียน หรือ เรื่องเกี่ยวกับเด็ก แต่เจ้าพ่อจะให้โชคกับคนนอกหมู่บ้าน มีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านที่เก็บรวบรวมข้าวของในสมัยราชวงศ์ชิง หรือสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่ค้นพบหลังการกัดเซาะของน้ำทะเล มีอายุกว่า 200 ปี







          ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ยังได้สร้างโฮมสเตย์และมีวังกุ้งวังปลาให้นักท่องเที่ยวสามารถมาจับหอยจับกุ้งแบบคนในชุมชนได้ โดยบรรดาสัตว์น้ำเหล่านี้จะเติบโต หาเลี้ยงตัวเอง สนนราคาอยู่ที่ คืนละ 500 บาทต่อคน มีอาหารทะเลสด ๆ ให้กินสามมื้อ

          จากเรื่องราวที่ได้ติดตามกันในวันนี้ หลายคนที่เคยคิดว่า ปัญหาเรื่องโลกร้อนเป็นเรื่องไกลตัวเหลือเกินนั้น ขอให้เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะความจริงแล้วมันเป็นปัญหาที่อยู่ใกล้เรามากเสียจนละเลยมันไปไม่ได้อีกแล้ว และทางเราก็หวังเพียงว่า หมู่บ้านขุนสมุทรจีนจะเป็นตัวอย่างให้ทุกคนได้ตระหนักถึงปัญหาที่ทั่วโลกต้องเผชิญ ...โปรดช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อไม่ให้ปัญหาโลกร้อนที่เกิดจากการกระทำของเราลุกลามมากไปกว่านี้นะคะ




เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เที่ยวบ้านขุนสมุทรจีน หมู่บ้านภาพสะท้อนผลภาวะโลกร้อน อัปเดตล่าสุด 28 มีนาคม 2555 เวลา 18:14:25 6,328 อ่าน
TOP