x close

เมือเบอร์ลิน...มนต์เสน่ห์ที่ยังไม่คลาย



เมือเบอร์ลิน...มนต์เสน่ห์ที่ยังไม่คลาย (Lisa)

          เมื่อเอ่ยถึงเมืองเบอร์ลิน ทำให้ระลึกถึงประวัติศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ 50 กว่าปีก่อน ในปี พ.ศ. 2492 ซึ่งทำให้ประเทศเยอรมนีถูกตัดออกเป็นสองส่วน มีการสถาปนาสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน จากเขตยึดครองทางตะวันตกเป็น 3 เขต ภายใต้การดูแลของสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส โดยรัฐประเทศใหม่นี้มีความผูกพันใกล้ชิดกับโลกตะวันตก ส่วนอีกรัฐหนึ่งคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี (จีดีอาร์) ทางทิศตะวันออกอยู่ภายใต้การดูแลของโซเวียต ต่อมาในปี พ.ศ. 2504 เป็นปีที่ก่อกำเนิดกำแพงเบอร์ลินขึ้นพร้อมทั้งปิดกั้นการคมนาคมภายในเยอรมันด้วยลวดหนาม และ "แนวมรณะ" ซึ่งมีกับระเบิดฝังอยู่ส่วนเมืองเบอร์ลินในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ถูกแบ่งครึ่งเป็นเบอร์ลินตะวันตกและเบอร์ลินตะวันออก ทำให้ชาวเยอรมันที่อาศัยอยู่ในเมืองเบอร์ลินตะวันตกเหมือนถูกปิดล้อมด้วยเยอรมันตะวันออก ซึ่งจากญาติกลายเป็นศัตรูกันทางการเมืองโดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้คนอพยพออกันมาก จนรัฐบาลเยอรมันตะวันตกในสมัยนั้นให้อภิสิทธิ์แก่ชาวเยอรมันที่อาศัยอยู่ในเมืองเบอร์ลินตะวันตกอย่างเช่น ชายชาวเยอรมันที่อาศัยอยู่ในเมืองเบอร์ลินตะวัตกได้รับการยกเว้นไม่ต้องเกณฑ์ทหาร เป็นต้น

          แต่กระนั้นก็ตามก็ยังมีชาวเยอรมันเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองเบอร์ลินตะวันตกน้อยมาก เบอร์ลินในสมัยนั้นจึงเปรียบเสมือนเมืองมืดที่มีชาวตุรกีอพยพเข้าไปอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งภายหลังที่เยอรมันตะวัตกและตะวันออกรวมประเทศกันจึงกลายเป็นปัญหาเรื่องเชื้อชาติ

          เมืองแห่งประวัติศาสตร์ พลิกชาติสู่ความรุ่งเรือง

          ก่อนที่เยอรมันตะวันออกและตะวันตกจะรวมประเทศกันนั้น การเดินทางโดยรถยนต์เพื่อเข้าไปเที่ยวเมืองเบอร์ลินตะวันตกค่อนข้างตื่นเต้นพอสมควร  เพราะต้องผ่านด่านเขตเยอรมันตะวันออกซึ่งค่อนข้างเข้มงวดกวดขันกันมาก การเข้าไปเที่ยวในเมืองเบอร์ลินตะวันออกสมัยนั้นก็เหมือนการผจญภัยอย่างหนึ่ง ความเจริญของบ้านเมืองยังล้าหลังกว่าเยอรมันตะวันตกมาก ผู้คนชาวเยอรมันตะวันออกหน้าตาเคร่งขรึม แต่มีน้ำใจกับนักท่องเที่ยวหากเข้าไปถามถนนหนทาง  และต้องรีบกลับออกจากเบอร์ลินตะวันออกก่อน 18.00 น. มีเวลาเที่ยวแค่หนึ่งวันที่ให้ความประทับใจไปอีกแบบ

          จึงเป็นที่น่ายินดีที่ในปี พ.ศ. 2532 เกิดการปฏิวัติโดยสันติของพลเมืองในสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน ซึ่งทำให้กระบวนการรวมประเทศเริ่มต้นขึ้น มีการเปิดกำแพงเบอร์ลินและเปิดเขตแดนภายในของเยอรมนี ในตอนเย็นวันที่ 9 พฤศจิกายน 2532 และวันที่ 23 สิงหาคม 2533 สภาประชาชนของสาธารณรัฐฯ ซึ่งได้ผ่านการเลือกตั้งเข้ามาโดยเสรี ก็ได้มีมติให้สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมันรวมตัวเข้ากับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน

          นับแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2533 เป็นต้นมาเยอรมนีหรือชื่อเต็มว่า สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมณีก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน มีรัฐใหม่เพิ่มขึ้น 5 รัฐ คือ รัฐเมคเคลนบวร์ก-พอเมอเรเนียตะวันตก รัฐบรันเดนบวร์ก รัฐแซกโวนี-อันฮันท์ รัฐทูริงเจีย และรัฐแซกโซนี เนื่องจากวันที่ 3 ตุลาคม เป็นวัน "รวมประเทศเยอรมนี" จึงถือว่าวันนี้เป็นวันชาติเยอรมัน

          เมืองเบอร์ลินทุกวันนี้จึงกลายเป็นเมืองหลวงที่พรั่งพร้อมด้วยมรดกทางด้านศิลปวัฒนธรรมจากทั้งสองภาค เป็นเมืองที่มีความทันสมัยด้านเทคโนโลยีมีชีวิตชีวาและสีสัน ซึ่งแตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง

          สถานที่ท่องเที่ยว

          หากใครที่เคยไปเที่ยวที่ โพทส์ดามเมอร์ พลัทส์ (Potsdamer Platz) เมื่อก่อนนี้ ถ้าได้เห็นสถานที่นี้ในปัจจุบันจะต้องประหลาดใจและตื่นตาตื่นใจ เพราะโพทส์ดามเมอร์ พลัทส์ ไม่เหลือเค้าอดีตอีกเลยหลังการรวมประเทศมีสิ่งก่อสร้างใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย กลายเป็นเมืองแห่งศิลปะหลากหลาย มีตึกรามบ้านช่องและสำนักงานที่ทันสมัย เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวมากมายนิยมมาเดินเที่ยวชมความทันสมัยของบ้านเมือง



          สำหรับนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ควรเริ่มต้นที่ประตูชัยบรันเดิ่นบวร์กเกอร์ (Brandenburger Tor) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเบอร์ลิน   และการรวมประเทศใกล้ ๆ กันก็คือ โรงสุดหรู "Adlon" ซึ่งไมเคิล แจ๊กสันเคยพักเมื่อปีที่แล้ว หากอยากสัมผัสความหรูหราก็ลองเข้าไปนั่งจิบกาแฟ หนึ่งถ้วยเพื่อสัมผัสบรรยากาศเริดหรูของโรงแรมชั้นหนึ่ง จากนั้นก็เดินเล่นชมสินค้าตามตู้กระจกที่คูดัม และขึ้นไปหอคอยโทรทัศน์ที่มีความสูง 200 เมตร ที่อเล้กซานเดอร์ พลัทส์ (Alexanderplatz) ข้างบนหอคอย คุณสามารถนั่งรับประทานอาหารหรือจิบกาแฟพร้อมชมทิวทัศน์ของเมืองเบอร์ลิน นอกจากนี้คุณไม่ควรพลาดการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ และแกลเลอรี่ เอกลักษณ์ของเมืองเบอร์ลินอีกอย่างหนึ่งก็คือ ละครคลาสสิก ละครสมัยใหม่ ไปจนถึงละครแสดงบนถนน ละครอุปรากร และละครเพลง

          อาหารและชีวิตกลางคืน

          ย่านใจกลางเมืองเบอร์ลินมักมีการจัดงานปาร์ตี้ ตรงหัวมุมมีร้านอาหารชาวร์เซิ่นราเบิ่น (Schwarzenraben) อดีตเป็นร้านอาหารพื้นเมืองของที่นี่ ปัจจุบันเป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดร้านหนึ่งนอกจากนี้ยังมีร้านคอนโนบเคอร์ (Kannopke) อยู่ที่เชินฮ้อยเซอร์ อาลี (Schoenhauser Allee) แต่ส่วนมากคนมักเลือกทานอาหารญี่ปุ่น สเปน หรืออินเดีย

          หลังอาหารก็ควรสัมผัสชีวิตกลางคืนของเมืองเบอร์ลิน ที่น่าชมก็คือ ไลฟ์แจซ (Live Jazz) เจ้าของก็คือนักแสดง เบ็น เบคเกอร์ (Ben Becker)

          เดินเล่นและช้อปปิ้ง

          แหล่งช้อปปิ้งย่านเมืองเบอร์ลินก็คือ ย่านถนนเทาเอ็นท์เซียน (Touentzien) ถนนคานท์ (Kant) ถนนฟริดริช (Friendrich) หรือ ซาวิกนี่ พลัทส์ (Savignyplatz) มีร้านบูติกมากมายให้เลือกซื้อหา และยังมี H&M สาขาส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทผู้ผลิตสินค้าแฟชั่นยักษ์ใหญ่ ซึ่งมีสินค้าทันสมัยมากมาย โดยเฉพาะเสื้อผ้าราคาถูกสำหรับวัยรุ่น นอกจากนี้ก็ยังมีห้างชริล (Schrill) ตั้งอยู่ที่ ถนนไบลบ์ทรอย (Bleibtreu) มีสินค้าทุกชนิดที่คุณต้องการ

          กีฬาและความสนุก

          หากอยากเล่นน้ำในเมืองเบอร์ลินก็สามารถทำได้ที่นี่มีทรายสีทอง (จากทะเลบอลติก) และนั่งเล่นบริเวณชายหาดที่ทะเลสาบวานเซ (Wannsee) ที่นี่คุณสามารถเล่นน้ำได้และให้ความรู้สึกเกือบเหมือนนั่งอยู่ริมทะเลจริง ๆ นอกจากนี้ก็ยังมีสถานที่เล่นน้ำของตุรกี ซึ่งอนุญาตให้เฉพาะสุภาพสตรีเท่านั้นและยังมีหอคอยที่มีความสูง 17 เมตร ในเขตมาร์ซาน (Marzahn) ให้คุณป่ายปีน

          ทุกปีดาราภาพยนตร์มีชื่อเสียงระดับนานาชาติพากันชุมนุมในเทศกาลภาพยนต์ระหว่างชาติแห่งเบอร์ลิน และเบอร์ลินยังเป็นศูนย์กลางการอุตสาหกรรมที่สำคัญด้วย อุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดก็คือ อุตสาหกรรมไฟฟ้า อาหาร เครื่องดื่ม ยาสูบ การผลิตเครื่องจักรกล อุตสาหกรรมเคมี และยังเป็นเมืองแห่งการประชุมระหว่างชาติชั้นนำอีกด้วย


          ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์สถานทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน
          ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
          Rayal Thai Embassy
          Lepsiusstr. 64-66, 12163 Berin
          Tel : (030) 79 48 10
          Fax: (030) 79 48 1 511
          Email: thaiber@snafu.de
          Website:http://www.thaiembassy.de/

 




ขอขอบคุณข้อมูลจาก 


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เมือเบอร์ลิน...มนต์เสน่ห์ที่ยังไม่คลาย อัปเดตล่าสุด 15 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 14:15:59 5,448 อ่าน
TOP