x close

หมุนชีวีให้ช้าลง กับบ้านสวนในอัมพวา

อัมพวา

อัมพวา

อัมพวา

อัมพวา


หมุนชีวีให้ช้าลงกับบ้านสวนในอัมพวา ภาค 1 (e-magazine)

          ในช่วงที่ฟ้าฝนยังคงคึกคะนอง เชื่อเลยว่าบรรดาคนชอบเที่ยวหรือเหล่ามนุษย์ชีพจรลงเท้า คงต้องคิดกันหนักกันหน่อยว่า จะออกเดินทางไปเยี่ยมเยือน ณ ที่แห่งหนใดจึงจะสุขสมใจแบบไม่กลัวฝน ซึ่งโจทย์ที่ว่านี้นับว่า ยาก! ที่จะหาคำตอบโดน ๆ แต่ในที่สุด เราก็พบกับสถานที่ง่าย ๆ ไม่ไกลจากเมืองกรุง ที่จะทำให้ทุกหัวใจชุ่มฉ่ำกับธรรมชาติ และวิถีชีวิตแบบช้า ๆ แต่มีสไตล์กับ "อัมพวา" จังหวัด "สมุทรสงคราม" 

          หลายคนมีโอกาสได้ไปท่องเที่ยว ตลาดน้ำอัมพวา แต่ถามหน่อยเถอะว่า "คุณเคยไปสัมผัสกับชีวิตริมคลองแบบอัมพวาดั่งเดิมแล้วหรือยัง" เพราะการได้ออกไปชาร์ตแบตในชั่วข้ามคืนที่ริมตลิ่งของท่าน้ำแม่กลอง จะทำให้ความสุขเพิ่มมากขึ้น จนไม่อยากเชื่อเลยว่า นี่คือดินแดนที่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 70 กว่ากิโลเมตร แต่ทั้งโอโซนและความบริสุทธิ์ยังมีให้ดื่มด่ำอย่างชุ่มปอด

          สำหรับทริปนี้ เราเริ่มจากการนัดเจอสมาชิกทั้ง 5 คน ที่ห้างดังในย่านพระราม 2 ในเวลาประมาณ 10.00 น. ของเช้าวันเสาร์ จากนั้นจึงค่อย ๆ ขับรถลอยลมอย่างเอ้อระเหยไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งเมื่อถึงเข้าสู่จังหวัดสมุทรสาคร เราขอแนะนำให้ ลดกระจกรถลงเล็กน้อย เพื่อให้กลิ่นคาว ลมเค็มของนาเกลือเข้ามาประทะกับผิวกาย ให้เป็นเหมือนเครื่องกระตุ้นต่อมพริ้มให้ตื่นตัว พอที่จะพบกับอีกด้านของอัมพวา

          หากถนนหนทางของเส้นพระราม 2 ไม่แออัดมานัก ระยะเวลาในการขับรถกินลมจากเมืองหลวงไปถึงตลาดน้ำอัมพวา ให้เต็มที่เลยก็เพียงชั่วโมงเศษ ๆ ซึ่งเป็นระยะเวลาเดียวกับขับรถจากบางนาไปสยามสแควร์ ด้วยเส้นสุขุมวิท ดังนั้น ลองเที่ยวไกลขึ้นอีกนิด แต่ความสุขมากขึ้นเป็นกอง 

          จุดหมายแรกของเราในวันนี้ คือ ตลาดน้ำอัมพวาในยามเที่ยงวัน ซึ่งงวดนี้ก็เหมือนกับทุก ๆ ครั้งที่เคยไปสัมผัส นั่นคือความเจาะแจะจอแจของผู้คนมากหลาย ที่มีทั้งกิน เที่ยว เดิน ขาย กันแทบทุกย่างก้าว แต่เพราะความเบียดเสียดนี่แหละ ที่เป็นเสน่ห์ของตลาดน้ำแห่งนี้ 

อัมพวา

          "ปั้นจั่น" คือร้านอาหารไทยโบราณที่ชาวคณะขอไปโดนเป็นจุดแรก สำหรับเมนูที่แสนจะธรรมดา และอาจราคาแพงไปสักนิดกับมื้อเที่ยงในต่างจังหวัด แต่เมื่อทุกรายการอาหารถูกจัดวางลงบนโต๊ะไม้ตัวโต ที่มีร่มเงาของบ้านทรงเก่าบดบังแสงแดด ก๊วนของเราก็ถึงกับอึ้งในความแปลกใหม่ เพราะอาหารแต่ละจานมีส่วนผสมที่ไม่เหมือนกับของเก่าที่เคยกินมา ข้าวคลุกกระปิ ที่มีทั้ง ไข่เจียว ชะอมสด หมูหวาน กุ้งแห้งชั้นดี และเครื่องเคียงอื่น ๆ กับรสชาติที่จัดจ้าน ทำให้ความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้ง ยิ่งได้ชาโบราณรสชาติเข้ม ๆ แต่หอมนมซะมันย่องเข้ามาเบรกความฉุน ได้ส่งผลให้เมนูนี้ต้องขอกระทืบไลค์ให้แรง ๆ 

          หลังจากอิ่มท้องแล้ว ก็ถึงเวลาออกตามล่า บ้านพักหลังเล็ก ๆ (ขอสงวนนาม) ซึ่งเป็นรีสอร์ทสไตล์บ้าน ๆ ที่อยู่ริมคลองประดู่ในจังหวัดราชบุรี แต่อยู่ตรงข้ามกับอำเภออัมพวาแบบที่เรียกได้ว่า แค่เดินข้ามสะพานก็ไปถึง แต่ทว่ากว่าจะไปถึงจุดหมายก็เล่นเอาหมดน้ำมันไปหลายลิตร เพราะเส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยว เข้าซอยเล็กออกซอยน้อยจนมึนกันทั้งคันรถ แถมเจ้าถนนที่จะพาเราไปยังบ้านพัก ยังไม่ต่างกับจังหวัดเชียงราย ที่มากเลี้ยวจนคนขับยังแอบเอียน แต่ในความคดก็ยังมีความสุขของ 2 ข้างทาง ที่เต็มไปด้วยสวนมะพร้าวและวัดวาที่ดูวิจิตรงดงาม 

          หลงอยู่ในพงอยู่ราวครึ่งชั่วโมงกว่า ในที่สุดสมาชิกทั้ง 5 หน่อ ก็พบเจอกับเจ้าของบ้านสวน ที่ต้องขับรถออกมารับบรรดาไก่อ่อนอย่างเรา ๆ ซึ่งก่อนจะเข้าเช็คอิน หากที่พักของคุณอยู่ติดริมน้ำและสามารถทำอาหารได้อย่างเรา ขอแนะนำให้ซื้อของทะเลสด ๆ จากตลาดเข้าไปเลย เพราะการชิลกันริมน้ำในช่วงค่ำคืน จะเป็นสุดยอดกิจกรรมที่คุณต้องไม่พลาด 

อัมพวา

          เมื่อไปถึงที่พักแล้วก้าวเท้าลงจากเก่งคันงาม พวกเราทั้ง 5 ก็ต้องปากค้างกับอากาศดี ๆ ที่ไม่น่าเชื่อเลยว่า ตอนอยู่ที่ตลาดน้ำจะมีอุณหภูมิร้อนจนเกือบเป็นลม แต่พอมาถึงบ้านพักที่อยู่ห่างออกไปเพียง 12 กิโลเมตร กลับมีทั้งความเย็นและความร่มรื่นอย่างกับอยู่บนยอดดอยสูง 

          บ้านไม้หลังริมสุด ที่ด้านหน้าอยู่ติดกับคลองประดู่ ส่วนด้านข้างมีสวนมะพร้าวเป็นแบล็คกราวด์ แถมท้ายกับเครื่องทำน้ำอุ่น อาหารเช้า เตาปิ้งย่าง เครื่องปรับอากาศ และความสะอาดระดับเอคลาส ซึ่งถือเป็นที่พักที่คุ้มเกินคุ้มกับราคา 1,800 บาท ต่อคืน สำหรับ 5 ชีวิตคนเมือง 

          สิ่งแรกที่ก๊วนคนชอบเที่ยวของเราได้ทำก็คือ วางกระเป๋าแล้วนั่งเรียงหน้ากระดาน เพื่อเหม่อมองล่องน้ำสีใส ๆ ที่ไม่ทันไรก็มีนกจับแมลงอกส้มท้องขาวตัวสีฟ้าสด บินผ่านหน้าด้วยความรวดเร็ว เสียงกรี๊ดเพราะนกน้อยนานาพันธุ์แบบดังพอเป็นพิธีของสาว ๆ ได้ทำให้บรรยากาศที่เงียบสงบของชุมชนริมฝั่งตื่นขึ้นอีกครั้ง ณ เวลานั้น ความรู้สึกสบายทั้งร่างกายและจิตใจหมุนวนอยู่รอบตัวของเราทุกคน 

อัมพวา

          ก่อนจะออกไปสำรวจ ตลาดน้ำอัมพวา อีกครั้ง เพื่อรอเวลาร่องเรือชมหิ่งห้อย ตลาดน้ำในยามเย็นยังคงเต็มไปด้วยฝูงชนจากกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง เสียงเพลงครวญเบา ๆ จากเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่มีบรรดาคนรุ่นเดอะจับไมค์ให้ความสุข สามารถสร้างรอยยิ้มเล็กให้กับใบหน้าพวกได้ไม่น้อย อาหารการกินในเวลานี้ ดูเหมือนว่าจะมีมากเป็นสองเท่าตัวจากตอนกลางวัน ซึ่งทำให้หลายคนเพลินกับการชิมความแปลกใหม่ ของกับข้าวท้องถิ่นจนพุงแทบกาง

          ในที่สุดก็เป็นเวลา 20.30 น. พวกเราพาร่างกายกับหัวใจ ลงเรือหางยาวลำเล็กที่คลองแควอ้อม ซึ่งเป็นคลองสายจ้อยที่มีเพียงนักท่องเที่ยวไม่กี่คนเท่านั้น ที่จะได้เข้ามาเยี่ยมเยียนความงามของหิ่งห้อยในคลองนี้ ทั้งสองข้างฝั่งน้ำคือ ความมืดมิด จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่า คนอัมพวามักนอนแต่หัวค่ำ หรือชอบประหยัดไฟกันแน่ ตลอดระยะทางการล่องเรือจึงแทบไม่มีแสงไฟนีออนให้ได้เห็น เพราะแม้แต่บ้านดนตรีไทยที่มีเสียงซออู้ดังโหยหวย ก็มีเพียงเงาตะคุ่ม ๆ นั่งบรรเลงเพลงรักแบบไม่คิดจะเปิดไฟ 

อัมพวา

          ก่อนที่เรือน้อยจะมุ่งหน้าออกไปสู่ห่วงเวลาอันสงบ พวกเราได้ถามนายท้ายว่า จริงหรือไม่ที่ปัจจุบันนี้ อัมพวามีแต่ไฟต้นคริสมาสต์แทนความงามของหิ่งห้อย ซึ่งคำตอบที่ได้คือ ไม่จริง เพราะชาวบ้านหลายคนต้องอดตาหลับขับตานอน กับเสียงเครื่องยนต์ที่เหล่าคนเมืองแห่แหนกันมา จนต้องออกอุบายลวงเพื่อที่คนท้องถิ่นจะได้หลับสบาย และมีแรงตื่นไปทำงานในรุ่งเช้า 

          เสียงสนทนายังไม่ทันจะจบลง เสียงของเครื่องยนต์ก็ดับพร้อมกับลำพูต้นแรกที่ชูช่อกิ่งก้านใบ โดยมีเจ้าหิ่งห้อยน้อยประดับอยู่แทบทุกซอกมุม ไม่ต่างกับไฟประดับระยิบระยับบนต้นคริสมาสต์ในบ้านเรา เพียงแต่หากคุณได้สังเกตดูดี ๆ แสงไฟเหล่านั้นจะเคลื่อนที่แทบทุกเวลา เป็นเหมือนกับไฟเย็นในวัยเด็กที่เราชอบนำมาวาดเป็นลวดลายบนอากาศ 

          ความเย็นค่อยเข้าปกคลุมร่างของนักท่องเที่ยวทั้ง 5 อีกครั้ง เมื่อหัวเรือเริ่มพาเราไปผจญภัยในยามค่ำคืนกันต่อกับสถานีถัดไป ซึ่งแต่ละจุดมีหิ่งห้อยน้อยใหญ่โบยบินอยู่เต็มพุ่มไม้ ช่างเป็นภาพประทับใจที่มีเพียงดวงไฟของหิ่งห้อยกับสายน้ำเย็น และสองข้างทางที่มืดมิดอันมีแต่ความเงียบสงบ ซึ่งคุณไม่สามารถหาดูได้จากที่ไหน นอกจากที่นี่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น 

          หลังจากผ่านไปชั่วโมงเศษ การเดินทางของอีกโลกที่เร้นลับก็จบลง ค่ำคืนนี้คุณลุงเจ้าของบ้านพักได้ออกมารอรับพวกเราถึงท่าเรือ โดยบรรดาเตาปิ้ง จานชาม และน้ำแข็งหลอดก็พร้อมรอให้เราได้เริ่มสังสรรค์กันในยามค่ำคืน ก่อนจะปิดท้ายราตรีนี้ด้วยบทสวดมนต์ ที่ฟังชัด ๆ ว่า "พุทโธ ธัมโม สังโฆ"






ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info
ติดตามบทความ ท่องเที่ยว หรืออ่าน แมกกาซีน


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
หมุนชีวีให้ช้าลง กับบ้านสวนในอัมพวา อัปเดตล่าสุด 24 มิถุนายน 2565 เวลา 11:04:38 1,540 อ่าน
TOP