ปากแพรก
ปากแพรก
ปากแพรก
ปากแพรก ถนนสายสั้น คืนวันทอดยาว (อสท.)
เรื่อง: ฐานกูร โกมารกุล ณ นคร
ภาพ: สาธิต บัวเทศ
ในแรกเช้าที่ถนนเล็ก ๆ สายหนึ่งยังคงความเคลื่อนไหว บ้านเรือนร้านค้าเต็มไม้ด้วยคืนวันแห่งการแลกเปลี่ยนผมย้อนคิดไปถึงวันเวลาที่ไม่เคยสัมผัสได้ด้วยตัวเอง ห้วงหนึ่งของสงคราม ความแร้นแค้น หรือกระทั่งสิ่งที่เรียกว่า "มิตรภาพ"
เกือบร้อยปีก่อน เรื่องราวเหล่านี้ปะปนอยู่บนถนนสายเล็กแสนเก่าแก่ริมแม่น้ำแควใหญ่ของเมืองกาญจนบุรีอวลอยู่ในอาคารโบราณแสนคลาสสิก ในดวงตาและถ้อยคำของผู้ที่ร่วมสัมผัสด้านหนึ่งของมันมา ทั้งที่เป็นความทรงจำและสิ่งที่บางคนอยากลืมเลือน
หลายวันกับที่นี่ ผมและเพื่อมักใช้ชีวิตไปซ้ำๆ บนความยาวร่วม 2 กิโลเมตรของถนนที่ชื่อว่าปากแพรก รอบด้านคืออาคารเก่าแก่ที่สร้างมาเนิ่นนาน รวมไปถึงสินค้าประดามีที่เติมเต็มให้ภาพความเป็น "ตลาด" ชัดเจน มีชีวิตชีวา บางสิ่งผ่านไปไม่สนใจการเคลื่อนหมุนของนาฬิกา หลายคนเรียกมันว่าการเปลี่ยนแปลง หากใครสักคนจะเก็บจำบางห้วงเวลาไว้ อาจไม่ใช่เรื่องของการเจ่าจม ไม่เข้าใจธรรมชาติของโลก
อาจเพราะบางนาที สิ่งเล็กๆ เหล่านี้ก็มีค่าเพียงพอกับการหวงแหน ดูแล และเก็บมันไว้เคียงคู่กับการพัดพาของวันเวลา
แดดสายของฤดูฝนอาบไล้แสงอุ่นๆ ทาบลงบนอาคารไม้ผสมปูนตรงปลายตลาดเก่า ลวดลายประดับอาคารชัดเจนละเอียดลออผู้คนมากมายคึกคัก และกลายเป็นส่วนหนึ่งของถนนปากแพรก ถนนสายเก่าแก่ที่สุด ที่บอกกับผู้มาเยือนเมืองกาญจนบุรีได้ว่า ที่นี่คือจุดต่อยอดความรุ่งเรืองเฟื่องฟูของเมืองกาญจน์อย่างจริงแท้
กาญจนบุรีเก่าแก่ด้วยชุมชนโบราณ แหล่งสืบค้นด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ตกทอดอยู่ในโบราณสถานและโบราณวัตถุมากมาย ทั้งบนภูเขา ผืนดิน หรือแม้แต่ในพิพิธภัณฑ์
ผ่านเลยต่อยอดมาจนก่อร่างสร้างเมืองเก่าที่ทุ่งลาดหญ้า ครั้งสมัยอยุธยาเป็นราชธานี หน้าประวัติศาสตร์ห้วงนั้นรับรู้ว่า กาญจนบุรีคือ เมืองหน้าด่านที่มีความสำคัญกับการอยู่รอดของไทย ด้วยอยู่ในเส้นทางของศึกสงครามระหว่างไทยกับพม่า เป็นสมรภูมิรบหลายครั้งหลายหน
จนเมื่อแผ่นดินรัตนโกสินทร์ ในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ตำบลริมน้ำแควใหญ่อย่างปากแพรก จึงกลายเป็นเมืองกาญจนบุรีใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2374 ป้อมปราการ กำแพงเมืองต่างๆ คือสิ่งตกทอดสู่คนรุ่นหลัง และที่สำคัญ การลงหลักปักฐานของผู้คนรายรอบล้วนก่อให้เกิด "เมือง" ขึ้นมาตามกาลเวลา
ผู้คนในย่านปากแพรกปะปนอยู่ทั้งคนญวนซึ่งโยกย้ายมาจากการอพยพเทครัวด้วยอิทธิพลของสงครามในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ รวมไปถึงคนจีนอพยพที่มีส่วนทำให้ปากแพรกมากไปด้วยบรรยากาศแห่งการซื้อขาย ก่อเกิดความเป็นย่านตลาดอันสำคัญที่สุดของกาญจนบุรีเรื่อยมา
ณ ริมฝั่งน้ำแควใหญ่ หลายอย่างปรับเปลี่ยนปะปน หากสิ่งที่ไม่เคยจางคลายล้วนถ่ายทอดอยู่ในชีวิตของพวกเขา ในเรื่องเล่าแห่งวันคืน ในตึกเก่าคร่ำที่เรียกว่าบ้าน
ทุกเช้าผมมักพบตัวเองอยู่แถวต้นถนนปากแพรก ในห้องแถวปูนสีเหลือง 3 คูหาที่บ้านสิทธิสังข์ ใครเลยจะพลาดบรรยากาศเช่นนี้ไปได้ ตึกเก่างดงามหลังนี้สร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.2463 สมัยรังกาลที่ 5 โค้งอาร์กที่ชั้นบนนั้นดึงสายตาให้ออกมายืนมองที่ฝั่งตรงข้าม มองไล่ตั้งแต่บานเฟี้ยม เห็นชัดไปถึงช่องลมเหนือกรอบประตูที่งามด้วยงานฉลุไม้เป็นลายเครือเถา รวมปีถึงภาพปูนปั้นลายก้านขดเพลินตา
ฝั่งตรงข้ามกันคือภาพปัจจุบันของโรงแรมสุมิตราคาร โรงแรมแห่งแรกของกาญจนบุรี ที่ทุกวันนี้ทั้ง 5 คูหาของห้องแถวไม้กลายเป็นร้านขายอาหารสัตว์ รวมไปถึงแยกห้องปล่อยเช่า ว่ากันว่าในอดีตสมัยที่ทางน้ำยังคึกคัก ที่นี่เป็นจุดรวมของคนมาติดต่อราชการ รวมไปถึงพ่อค้าไม้ที่ล่องลงมาจากแถบทองผาภูมิและสังขละบุรี
เราเดินเลาะเรื่อยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของถนนปากแพรก รอบด้านคือความหอมหวานของวันวานจากตึกแถวหน้าตาโบราณที่ขนาบข้าง ในห้องแถวปิดเงียบหลายหลังร้างรากิจการเดิมๆ ไป หากแต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคนอยู่ พวกเขาผ่านพ้นช่วงการค้าอันเฟื่องฟูของตน และนั่งมองความเป็นไปรวมถึงการเติบโตของคนรุ่นลูกหลานอยู่อย่างเงียบ ๆ
"ตลาดมาเติบโตสุดก็ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นละ" และเมื่อมาถึงบ้านบุญผ่อง แอนด์ บราเดอร์ คนในบ้านอย่างคุณป้าลำไย สิริเวชชะพันธ์ ก็ทำให้ผมรู้ว่า ที่ปากแพรกและไล่เลยไปถึงขุนเขารายรอบของเมืองกาญจน์ ล้วนผ่านห้วงเวลานั้นมาอย่างน่าจดจำ
เราคุยกันถึงคนที่มีชื่ออยู่ที่ป้ายหน้าตึกแถว 3 ชั้นหลังแรก ๆ ของปากแพรก บุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์ ตึกกึ่งปูนกึ่งไม้อันงามโอ่อ่าหลังนี้มีส่วนเสี้ยวของสงครามโลก ครั้งที่ 2 แฝงฝังอยู่
ส่วนของมิตรภาพ น้ำใจ และความอาทรต่อกันของเพื่อนมนุษย์
"ช่วงสงครามโลก พ.ศ.2485 ญี่ปุ่นเข้ายืดเมืองกาญจน์เพื่อสร้างทางรถไฟเชื่อไปพม่า ตอนนั้นบ้านเราเต็มไปด้วยทหารญี่ปุ่น ที่เข้ามากำหนดในเรื่องการค้า" ช่วงนั้นป้าลำไยซึ่งเป้ฯน้องสะใภ้ของบุญผ่องเพิ่งมารับราชการครูได้ไม่นาน เรื่องราวต่าง ๆ ล้วนมาจากคำบอกเล่าในเวลาต่อมา
ปากแพรกในยามนั้นคือแหล่งสินค้าอุปโภคบริโภคที่ "ใกล้" ที่สุด ของค่ายทหาร ร้านเค้ากลางตลาดหลายแห่งถูกผูกขาดการค้าขายกับญี่ปุ่น รวมถึงตึก 3 ชั้นของนายบุญผ่องหลังนี้ "เขาส่งหัวหน้าค่ายเชลยมารับสินค้า เขาสั่งอะไรมาเราก็รับและมาแบ่งการจัดหาให้ส่งไปถึงค่ายทั้งทางรถ ทางเรือ" โมงยามนั้นไม่มีใครรู้ว่าสงครามและภาวะ "กดดัน" เช่นนั้นจะยืดเยื้อยาวนานสักเท่าไร
"คนเรามันมีหัวใจน่ะ" ป้าลำไยพูดลอย ๆ เมื่อมองรูปที่เขยที่หน้าบ้าน
ใน พ.ศ. นั้นไม่มีใครรู้ว่า ชายที่ชื่อบุญผ่อง ทายาทของร้านสิริโอสถ จะกลายเป็น "วีรบุรุษสงครามของทางรถไฟสายมรณะ (A War Hero Named Boonpong of Deathrailway)" ในเวลาต่อมา "พี่เขาเห็นใจเชลยสงครามที่ต้องทุกข์ทรมานในค่าย ทั้งความอดอยากไข้ป่า รวมถึงความโหดร้ายของทหารญี่ปุ่น"
การช่วยเหลือเชลยศึกทั้งชาวออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ ที่ถูกเกณฑ์มาสร้างทางรถไฟเป็นไปอย่างเงียบเชียบภายใต้ภาพคลุมของการค้าขายกับค่ายทหาร หยูกยาถูกซุกซ่อนในแข่งผักยาสีฟัน เครื่องนุ่งห่ม เงินทองที่ให้หยิบยืมโดยไม่รู้ถึงโอกาสที่จะ "ได้คืน" มากไปกว่านั้นคือการส่ง "จดหมายลับ" ต่างๆ ที่ติดต่อกับองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือในกรุงเทพฯ อย่างองค์การลับวี (V. Men Club) ไปสู่เชลยศึก เหล่านี้คือความเสี่ยงภัยที่คนคนหนึ่งยินดีแลกเพื่อเห็นแก่คำว่าเพื่อนมนุษย์
แม้ในวันที่สงครามสิ้นสุด หลายคนก็ยังทึ่งกับการบอกพิกัดการทิ้งระเบิดทำลายสะพานข้ามแม่น้ำแคว อันเป็นจุดยุทธ์ศาสตร์สำคัญได้อย่างแม่นยำของฝ่ายสัมพันธมิตร "สะพานมันอยู่ในป่าในดงน่ะ ใครจะไปเห็นได้ชัด ตอนนั้นเชื่อได้ว่าพี่บุญผ่องต้องเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระเบิดลงถูกจุด"
หลังความโหดร้ายผ่านพ้น ในปากแพรกตกทอดอยู่ด้วยเรื่องเล่าแห่งสงครามตามความทรงจำของคนที่ร่วมผ่านมันมา บุญผ่องย้ายไปปักหลักที่กรุงเทพฯ ทำธุรกิจรถเมล์โดยสารก็จากรถร่วม 200 คันของกองทัพญี่ปุ่นที่เหลือจากศึกสงคราม ซึ่งทางฝ่ายสัมพันธมิตรมอบให้เป็นการตอบแทน
ยังไม่รวมถึงความซาบซึ้งในน้ำใจต่อคนเล็กๆ คนหนึ่งในถนนปากแพรก ที่ย้อนกลับมาเป็นเงินทองที่ได้รับการชดใช้ การได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือยศพันโทจากกองทัพอังกฤษ
ผมนั่งอยู่ตรงหน้าบ้านบุญผ่อง แอนด์ บราเดอร์ กับพี่น้องและลูกหลานเครือญาติของบุญผ่อง ด้านหน้าจัดแสดงเรื่องราวของความช่วยเหลือระหว่างคนไทยกับเชลยศึกในห้วงสงคราม
ในตึกแถวโบราณแสนสวยโอ่อ่าที่ชั้นบนมีช่องลมใส่กระจกทึบสีสวยนั้น มากอยู่ด้วยเรื่องราวของคืนวัน และทำให้เห็นว่า คนเรานั้นมีขนาดของหัวใจที่ยิ่งใหญ่เพียงไร
ถนนปากแพรกไม่กว้างนัก หากเป็นช่วงเวลากลางวันที่ร้านรวงต่างๆ เปิดค้าขายจะเรียกว่าแคบเลยก็ไม่ผิด จากฝั่งตรงข้ามบ้านบุญผ่องฯ ที่เป็นร้านบุญเยี่ยมเจียระไน (คุ้มจันทร์ศิริ) อันสวยงามโดยเด่นด้วยช่องโค้งตั้งรับเสาที่ระเบียงชั้นบน เราเดินผ่านความเก่าแก่กว่า 177 ปีของถนนเส้นนี้ไปอย่างมีชีวิตชีวา
"บ้านตึกแต่ก่อนนั้นสร้างดี ใช้ของดี มันเลยทนนาน" ในแสงสลัวของร้านชวนพานิช ผมเดินผ่านเข้าไปนั่งคุยกับลุงสุรพล ตันติวานิช ในวันที่เลขหลัก 5 มาเยือนชีวิต และตึกแถว 3 ห้องแห่งนี้ ดูแลเพาะบ่มตระกูลของเขามากว่า 5 รุ่น
"เดี๋ยวนี้ไม่ได้ขายของเหมือนรุ่นก๋งรุ่นเตี่ยแล้ว มันค่อยๆ จางไป" เป็นคำพูดที่คล้ายๆ กันของคนที่อยู่ในห้องแถวย่านตลาดของปากแพรก อาจคล้ายการค้าโบราณได้ซบเซา แต่จริงๆ แล้วคือคนรุ่นบรรพบุรุษล้วนผ่านการสร้างตัว และมั่งคั่งจนลูกหลานในปัจจุบันนั้น สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไม่ลำบากอะไรนัก
เข้ามานั่งอยู่ในร้านชวนพานิช ลุงสุรพลชี้ชวนให้ดูตู้สินค้าไม้สักใหญ่โตที่ติดอยู่กับผนัง เขาว่ามันไม่เคยมีปัญหาให้ต้องซ่อมแต่อย่างไร "ไม้พวกนี้ก็เหมือนกับที่ก๋งใช้สร้างบ้าน มาจากป่าเขาที่ทองผาภูมิโน่น"
นอกเหนือไปจากไม้ ปูนพอร์ตแลนด์ที่ต้องสั่งมาจากเมืองนอกก็เป็นที่นิยมในสมัยนั้น "บ้านใช้ปูนหล่อทั้งหลัง ใช้ใบเหล็กเสียบเป็นบล็อกแล้วหล่อปูนลงมาเลย ผนังหนามาก ไม่เย็นก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว" ตอนนั้นบ้านใหญ่โตทั้งหลังอย่างนี้ คนรุ่นก่อนใช้เงินสร้างไปถึง 9,000 บาท "เป็นเดี๋ยวนี้ก็หลายอยู่นะ"
เราคุยกันเรื่องบ้านของลุงอยู่อีกนาน หลายส่วนนั้นมีคำบอกเล่าอธิบายอย่างน่าทึ่ง ช่องตรงกลางบ้านที่เรียกว่า "แจ๊" นั้นไม่เพียงให้ลมระบาย แต่ยังมีไว้ขนถ่ายสินค้าขึ้นไปเก็บ "แต่ก่อนมีรอกโยงจากหลังคาเลย บ้านตึกมันขนข้าวของขึ้นลงลำบาก คนขนสินค้าลงเรือ เดินแป๊บเดียวก็ขึ้นมาหน้าบ้านเลย"
ลุงว่าแต่ก่อนแม่น้ำไม่ได้ไหลห่างบ้านและต่ำลงไปแบบนี้ "ก่อนหน้านี้มีคลองนอก คอลงใน สันดอนมันกว้าง หน้าน้ำมาทีก็รวมเป็นสายเดียว สมัยนายกเทศมนตรีนิทัศน์ ถนอมทรัพย์ นั่นละที่ถมตลิ่งให้มันกว้างออกไป บ้านเรือนขยายตัวไปอีกกว้าง แม่น้ำเลยไปอยู่ข้างล่างเขื่อนโน่น"
ติดกันคือร้านมาโนช ราดิโอ ที่เจ้าของร้านเป็นญาติของลุงสุรพล ซึ่งต่อมาไปเป็นสมาชิกสภาจังหวัด คือมาโนช ถนอมทรัพย์ "แต่ก่อนใหญ่ที่สุดในเมืองกาญจน์ ใครอยากทันสมัยก็มาที่นี่ละ" ทุกวันนี้ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทที่มี "สัมพันธภาพ" ระหว่างคนซื้อคนขายเช่นนี้หลงเหลืออยู่ไม่มากนัก ก็อย่างที่ลุงสุรพลว่า "มันเกิดมาแบเครือญาติ ไม่ใช่ตัวใครตัวมัน"
หากการก่อเกิดของย่านสักแห่งมีที่มาเช่นนี้ คงไม่แปลกที่ใครสักคนอาจไม่เลือกจากไปไหนแม้ในบั้นปลายชีวิตเลาะผ่านความคึกคักที่สุดของปากแพรกตรงจุดที่ถนนจากตลาดตัดมาเป็นสี่แยกเล็กๆ แยกซ้ายไปลงแม่น้ำ ส่วนแยกขวานั้น เป็นวันเวย์ มองเห็นกลุ่มตึกแถวในยุคหลังที่สร้างโดยตระกูลตันติวานิชเหยียดยาว ภายในล้วนสะท้อนความเป็นย่านตลาดใหญ่ ร้านแหวนพลอยเก่าแก่อย่างร้านอาภรณ์ผ่านพ้นคืนวันมาคู่กันกับคุณลุงคุณป้าที่ส่งยิ้มให้ผมทุกวัน
เราเดินมาหยุดอยู่หน้าโรงแรมกาญจนบุรีที่คร่ำเก่าทรุดโทรม แต่ตึก 3 ชั้นที่สร้างด้วยปูนพอร์ตแลนด์ทั้งหลังก็ยังขรึมขลังราวฉากหนังพีเรียดสักเรื่อง ว่ากันว่านี่คือโรงแรมที่เคยทันสมัยที่สุดในเมืองกาญจน์ ห้องพักทั้ง 14 ห้องนั้นเต็มแน่นอยู่เกือบตลอดปี
"50 กว่าปีแล้วที่ฉันเห็นโรงแรมนี้มา" คุณป้าวิไล นัยวินิจ ชวนผมเข้าไปนั่งที่บ้านฮั้วฮงที่ฝั่งตรงข้ามโรงแรม บ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ 2 ชั้นของคุณป้าสวยเนี้ยบ ไม่เคยห่างหายการดูแล เชิงชายที่หล่อเป็นปูนประดับนั้นน่ามองพอๆ กับบานประตูสีสวยเหยียดยาว 3 ห้องที่ชั้นสอง บนดาดฟ้ามีลวดลายและตัวอักษรจีนเขียนไว้ว่า "ตั้งฮั้วเฮง" อันหมายถึงผู้สร้างที่เป็นคนรุ่นปู่ทวด
"แต่ก่อนหน้าบ้านคึกคัก ใครมาเมืองกาญจน์ก็มาพักที่นี่" โรงแรมที่เรียกว่า "ทันสมัย" ที่สุดเมื่อ 50 กว่าปีก่อนนั้น เป็นที่รวมของข้าราชการ พ่อค้าไม้ รวมถึงขนกลุ่มน้อยที่ลงมาซื้อหาสินค้ากลับไปสู่บ้านป่าเมืองไม้แถบทองผาภูมิ "แต่ก่อนคืนละ 2 บาท 4 บาท นี่นานโขแล้วนะ" ยังมีภัตตาคารนำกรุงที่ชั้นล่างอีก ที่ป้าบอกกับผมว่า ใครแต่งงานที่นี่ถือว่าโก้ที่สุด "อาหารเหลาอย่างดี เสียงเฮฮาดังตลอดค่ำคืนเชียวละหลาน"
ถัดจากบ้านฮั้วฮงมาไม่ไกล ติดกันกับศิวภา ชุดห้องแถวสีแดงหม่นที่เก็บความสวยไว้ที่การก่ออิฐตามผนังและป้ายร้านแสนคลาสสิก ตรงข้ามกับก๋วยเตี๋ยวหมูเจ้าอร่อยของปากแพรก คือบ้านแต้มทอง ที่มีอายุราว 1๐๐ ปี สร้างมาแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อนช่างภาพหลงใหลและให้ความสำคัญกับซุ้มประตูแบบจีนตรงหน้าบ้าน เขาว่าเหมือนฉากในหนังภาพยนตร์กำลังภายในสักเรื่อง
ทุกวันเรามักมาพักการเดินเที่ยวปากแพรกกันที่บ้านหลังนี้ มันสวยงามและแลดูลึกลับเมื่อเทียบกับหลังอื่นๆ ด้วยกำแพง จั่วกระเบื้องมุงหลังคาคร่ำคร่า ว่ากันเจ้าของเดิมคือนายฮะฮ้อและนางแฉ่ง แต้มทอง สร้างบ้านตึกหลังแรกนี้ด้วยการพาช่างชาวจีนโพ้นทะเลข้ามมาสร้าง และปักหลักเปิดบ้านหลังนี้เป็นร้านค้าในชื่อยี่กงชี
ความเป็นย่านตลาดของปากแพรกลดการบีบอัดเมื่อเราเดินผ่านมาถึงกลุ่มบ้านโบราณ แม่น้ำโยนลมบ่ายขึ้นมาคลายร้อนหลังจากฟ้าอัดอ้าวเมฆฝนมานาน บ้านสุธีสวยเหงาอยู่ในรูปแบบบ้านทรงปั้นหยา มองผ่านซุ้มประตูขึ้นไปเห็นลายปูนปั้นเครือเถาตรงมุขหน้าจั่วแทรกคำว่า "ธนโสภณ" ไว้ตรงกลาง อันเป็นชื่อสกุลของนายโหงวฮก ธนโสภณ ผู้สร้างบ้านก่ออิฐถือปูนแสนโอ่อ่าหลังนี้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6
ถัดไปไม่ไกลบนฝั่งเดียวกันคือบ้านนิวาสแสนสุข บ้านไม้ทรงปั้นหยาที่เติบโตมาเคียงคู่กับบ้านสุธีในรั้วรอบขอบชิด สภาพสมบูรณ์ที่ได้รับการดูแลอย่างดีกลางความร่มรื่นนั้นบ่งบอกว่า ผู้ที่ต่อยอดดูแลล้วนให้ความใส่ใจกับบ้านอายุ 5๐ ปีหลังนี้เพียงใด
ถนนปากแพรกลากผ่านไปสิ้นสุดที่วัดเทวสังฆาราม หรือวัดเหนือ ห้องแถวแถบปลายๆ ถนนนั้น ปะปนกันไปทั้งเก่าคร่ำและที่ได้รับการดูแลเปลี่ยนผ่านมาถึงปฏิทินฉบับปัจจุบัน บางหลังเคยเป็นบ้านเช่าของนายทหารญี่ปุ่น ที่ภายหลังขุดพบอุโมงค์ลับที่ขุดจากในตัวบ้านออกไปจนถึงแม่น้ำแคว
ขณะที่ตรงปลายถนน ห้องแถวเล็กๆ ชั้นเดียวอย่างบ้านชิ้นปิ่นเกลียวก็สะท้อนรูปแบบของเรือนแถวเชิงช่างเวียดนามโบราณ และการปักหลักของคนญวนในปากแพรกไว้ตามโค้งประตู กระเบื้องดิน บานเฟี้ยม ที่มีอายุถึง 134 ปี ทุกส่วนโทรมทรุดซีดจาง ราวกับเป็นสิ่งสะท้อนความเป็นจริงและสัจธรรมของสิ่งที่เรียกว่ากาลเวลา
ผมใช้เวลาอีกสองสามวันบนถนนปากแพรก แวะไปตามห้องแถวและบ้านเรือนอีกหลายแห่งที่เก่าแก่ และมาไปด้วยคุณค่าทางสถาปัตยกรรมอย่างที่หลายคนให้คำจำกัดความ บางแห่งเปลี่ยนแปลงหน้าตาสินค้า บางหลังต่อยอดกิจการสู่รุ่นลูกหลาน และก็มีไม่น้อยที่ปิดเงียบ เหลือเพียงชีวิตผ่อนคลายด้านใน
ต่อหน้าแม่น้ำหนึ่งที่ไหลเอื่อยอยู่เบื้องล่างอย่างไม่เคยเหือดแห้งถนนสายหนึ่งเป็นตัวของตัวเองอย่างถึงที่สุดมา 177 ปี ใช่เพียงอาคารบ้านเรือนและส่วนประดับอันตกสะท้อนถึงคืนวันยาวนาน อย่างถึงที่สุด ข้างในนั้นอาจซ่อนอยู่ด้วยแววตาบางประเภท
แววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงหาอาทร และพร้อมจะมองเข้าไปในชีวิตที่ผ่านพ้นอย่างปีติสุข ไม่ว่าเรื่องราวนั้นจะดำเนินไปหรือจบลงเช่นไรก็ตาม
ขอบคุณ
คุณลำไย สิริเวชชะพันธ์ คุณสุรพล ตันติวานิช คุณวิไล นัยวินิจ และพี่น้องชาวปากแพรกทุกคน สำหรับข้อมูล มิตรภาพ และรอยยิ้มตลอดการทำงาน
คู่มือนักเดินทาง
รถยนต์ ไปตามถนนเพชรเกษมหรือไปตามถนนบรมราชชนนี ผ่านนครชัยศรี นครปฐม บ้านโป่ง ท่ามะกา ท่าม่วง ถึงจังหวัดกาญจนบุรี รวมระยะทาง 129 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง หรือช้างพิเศษเฉลิมมหานคร สอบถามเพิ่มเติมที่หมายเลขโทรศัพท์ 1543
รถโดยสารประจำทางปรับอากาศ ออกจากสถานีขนส่งสายใต้ รถปรับอากาศขั้นหนึ่ง (วิ่งสายใหม่ เส้นถนนบรมราชชนนีนครชัยศรี) ออกทุก 20 นาที เวลา 05.00-22.30 นาฬิกา รถปรับอากาศชั้นสอง ออกทุก 2๐ นาที มีบริการ 2 เส้นทาง คือ เส้นทางสายเก่า (ถนนเพชรเกษม-อ้อมใหญ่-นครชัยศรี) และเส้นทางสายใหม่ (ถนนบรมราชชนนี-นครชัยศรี) เวลา ๐5.10-21.00 นาฬิกา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กาญจนบุรีทัวร์ โทรศัพท์ 0 2435 5012 เว็บไซต์transport.co.th รถไฟ ออกจากสถานีรถไฟบางกอกน้อย วันละ 2 เที่ยว เวลา 07.40นาฬิกา และ 13.50 นาฬิกา แวะจอดที่สถานีกาญจนบุรี สะพานข้ามแม่น้ำแคว ท่ากิเลน สถานีน้ำตก ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย โทรศัพท์ 0 2411 3102 หรือ 1690 www.railway.co.th
ย่านเก่าปากแพรก เป็นชุมชนตลาดเก่าแก่ของกาญจนบุรีมากมาย เต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่ ที่ผสมผสานระหว่างศิลปะตะวันตก และตะวันออก ไว้อย่างงดงาม ภายใต้บรรยากาศการค้าขายอันเป็นจริงเป็นจัง มีชีวิตชีวา สามารถมาเดินเที่ยวเล่นได้ภายในเวลา 1 วัน โดยขับรถผ่านเข้ามากลางตัวเมืองกาญจนบุรี แยกซ้ายทางที่จะไปศาลหลักเมือง เมื่อพ้นแนวประตูเมืองเก่า ถนนปากแพรกจะตัดขนานลากยาวไปตามย่านเก่า ไล่เลยไปจนสุดทางที่วัดเทวสังฆาราม หรือวัดเหนือ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกาญจนบุรี โทรศัพท์ 0 3451 1200 และ 03451 2500
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ที่มา หนังสือ อสท. ISSN 0125 7226 ปีที่ 51 ฉบับที่ 2 กันยายน 2553