เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ bigsolution สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
ใครยังไม่เคยไป "ภูกระดึง" ยกมือขึ้น...ใครไปแล้วอยากไปอีกยกมือขึ้น ? ไม่ต้องแปลกใจเลยหากจะมีคนยกมือขึ้นพร้อมหน้าพร้อมตา เพราะดินแดนแห่งนี้มีมนตร์เสน่ห์ในตัวเอง ใคร ๆ ก็อยากไปสัมผัส เหมือนกับบันทึกการเดินทางของ คุณ bigsolution สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่มาถ่ายทอดความรู้สึกผ่านตัวหนังสือและภาพถ่าย ถึงความประทับใจในการไปเยือนภูกระดึงอีกครั้ง แต่จะงดงามขนาดไหนนั้น ไปชมกันเลย...
ทริปการเดินทางที่ประทับใจ วันเดินทาง 13-15 ธันวาคม 2556 อุปกรณ์ Nikon Coolpix L310
ทริปนี้ผมตั้งใจมากเป็นพิเศษเพราะมีการวางแผนล่วงหน้าไว้ตั้งครึ่งปี โดยเฉพาะน้อง ๆ ที่ทำงานผม ซึ่งไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ส่วนตัวผมนั้นเคยมาแล้วเมื่อห้าปีก่อน แต่ก็ยังตื่นเต้นบ้าง ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
พวกเราออกเดินทางคืนวันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม เนื่องจากเลิกงานกันค่ำ จึงต้องนั่งรถจากกรุงเทพฯ ไปลงที่ขอนแก่น เพื่อต่อรถจากขอนแก่นไปที่ภูกระดึง มาถึงขอนแก่นตอนตีสี่ครึ่ง และนั่งรถเที่ยวตีห้าจากขอนแก่นมาถึงอำเภอภูกระดึงราว ๆ 07.20 น. ลงตรงตลาดภูกระดึงเลย มีนักท่องเที่ยวมารอรถสองแถวขึ้นภูกระดึงเกือบสิบคนได้ และพวกเราก็นั่งรถสองแถวแดงต่อไปยังอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ค่าโดยสารคนละสามสิบห้าบาท จากนั้นก็จ่ายค่าธรรมเนียมค่าเข้าอุทยานฯ จองเต็นท์และจัดการเรื่องของที่จะให้ลูกหาบแบกให้ เสร็จแล้วอย่าลืมไปไหว้ศาลเจ้าปู่ภูกระดึงก่อนออกเดินทางนะครับ เรียบร้อยแล้วเรามาออกเดินทางกัน
ด่านแรกเป็นป่าเต็งรังใบไม้กำลังเปลี่ยนสี ทางขึ้นช่วงซำแฮกค่อนข้างชัน แค่ด่านแรกทำพวกเราหอบแฮก ๆๆ ไปตาม ๆ กัน
ทริปนี้ผมตั้งใจมากเป็นพิเศษเพราะมีการวางแผนล่วงหน้าไว้ตั้งครึ่งปี โดยเฉพาะน้อง ๆ ที่ทำงานผม ซึ่งไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ส่วนตัวผมนั้นเคยมาแล้วเมื่อห้าปีก่อน แต่ก็ยังตื่นเต้นบ้าง ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
พวกเราออกเดินทางคืนวันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม เนื่องจากเลิกงานกันค่ำ จึงต้องนั่งรถจากกรุงเทพฯ ไปลงที่ขอนแก่น เพื่อต่อรถจากขอนแก่นไปที่ภูกระดึง มาถึงขอนแก่นตอนตีสี่ครึ่ง และนั่งรถเที่ยวตีห้าจากขอนแก่นมาถึงอำเภอภูกระดึงราว ๆ 07.20 น. ลงตรงตลาดภูกระดึงเลย มีนักท่องเที่ยวมารอรถสองแถวขึ้นภูกระดึงเกือบสิบคนได้ และพวกเราก็นั่งรถสองแถวแดงต่อไปยังอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ค่าโดยสารคนละสามสิบห้าบาท จากนั้นก็จ่ายค่าธรรมเนียมค่าเข้าอุทยานฯ จองเต็นท์และจัดการเรื่องของที่จะให้ลูกหาบแบกให้ เสร็จแล้วอย่าลืมไปไหว้ศาลเจ้าปู่ภูกระดึงก่อนออกเดินทางนะครับ เรียบร้อยแล้วเรามาออกเดินทางกัน
ด่านแรกเป็นป่าเต็งรังใบไม้กำลังเปลี่ยนสี ทางขึ้นช่วงซำแฮกค่อนข้างชัน แค่ด่านแรกทำพวกเราหอบแฮก ๆๆ ไปตาม ๆ กัน
แม้อากาศด้านล่างตีนเขาจะเย็นสบาย แต่พอเราเดินมาได้สักพักจะรู้สึกร้อนจนอยากจะถอดเสื้อเดินทันที อาจจะเพราะเราต้องใช้พลังงานในการเดินขึ้นเขาอย่างหนักก็เป็นได้ แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคในการเดินทางเลย เพราะคนที่มาที่นี่ตั้งใจมาอย่างเต็มที่ แม้หนทางจะลำบากแต่ก็พร้อมที่จะลุยกันต่อไป
ผ่านแต่ลำซำก็จะมีร้านค้ามาคอยบริการอาหาร เครื่องดื่ม ราคาก็ไม่ได้จะแพงมากนักเมื่อเทียบกับความลำบากที่ต้องแบกหามมาขายให้นักท่องเที่ยว แม่ค้าใจดีเชิญชวนให้เรานั่งพักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยเดินทางกันต่อ พวกเราจะได้พบรอยยิ้มตลอดการเดินทาง
แม่ค้าบอกว่าวันนี้นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะกว่าทุกวันหยุดที่ผ่านมา (ทีแรกผมนึกว่าช่วงวันหยุดติดต่อกันอย่างวันพ่อคนจะเยอะเสียอีก...แต่ไม่เลย) หลายคนมาเป็นกลุ่มใหญ่ บางคนมาคนเดียว บ้างก็มาเป็นคู่ นับเป็นบรรยากาศการเดินทางที่แสนสนุกและอบอุ่นกว่าที่ใดที่เคยไปสัมผัสมา พักผ่อนเอาแรงด้วยน้ำแข็งใสแล้วมาเดินทางกันต่อ ไต่ระดับความสูงไปเรื่อย ๆ สองข้างทางเป็นป่าไผ่และต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่ม สร้างความสดชื่นให้สายตาตลอดการเดินทางครั้งนี้ มีหกล้มบ้าง มีลื่นบ้าง มีช้าบ้าง พวกเราก็ต้องรอและก้าวไปพร้อมกัน
กลุ่มพวกผมมากันสี่คน เดินทางแบบสบายๆ เพราะถึงซำไหนก็ถ่ายรูปทุกครั้ง แบบว่ากล้องพร้อม นายแบบนางแบบพร้อม เลยเดินถึงหลังแปช้ากว่ากลุ่มอื่น ๆ (จริง ๆ เดินช้าด้วยแหละ) มาถึงซำแคร่ โหดไม่เบาเพราะต้องขึ้นบันไดเหล็กแถมยังต้องปีนป่ายไปตามหินก้อนใหญ่อีกด้วย ชนิดแบบว่าเมื่อไหร่จะถึงหลังแปสักที เสียงนักท่องเที่ยวขาลงก็จะให้กำลังใจพวกเรามาตลอดการเดินทางว่าอีกนิดเดียว ใกล้ถึงหลังแปแล้ว พร้อมลุยเดินทางกันต่อเลย ในที่สุดพวกเราก็มาถึงหลังแปใช้เวลาเดินเท้า 5.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเกือบห้าชั่วโมง พักเอาแรงแล้วมาเดินทางกันต่อ อีกแค่สามกิโลเมตรเท่านั้นก็จะถึงวังกวางกันแล้ว ระหว่างการเดินทางจากหลังแป เราจะได้พบกับบรรยากาศการเดินทางที่แสนจะประทับใจอีกครั้ง หลายกลุ่มเดินเล่นแบบสนุกสนาน บ้างก็หยอกล้อกันไปตลอดการเดินทาง ทั้งกลุ่มเด็กมัธยมและกลุ่มนักศึกษา หรือแม้แต่คู่รักที่ใช้ที่แห่งนี้เป็นบทพิสูจน์ความรัก
ขอยกนิ้วให้บรรดาลูกหาบ มีทั้งลุงป้า น้าผู้หญิง น้าผู้ชาย ที่แข็งแรงกันมาก ๆ ถ้าไม่มีพวกเขาเราจะแบกของมาเองได้ไหมนะ เก่งจริง ๆ ครับ
และแล้วพวกเราก็เดินทางมาถึงจุดบริการนักท่องเที่ยววังกลางกันแล้ว ภารกิจพิชิตยอดภูกระดึงก็ได้บรรลุไปบ้างแล้วส่วนหนึ่ง แต่นี่ยังไม่จบเป็นเพียงจุดเริ่มต้นใหม่สำหรับการเดินทาง ณ หลังแปแห่งนี้ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางเป็นจุดศูนย์กลางในการให้ข้อมูล การจ่ายค่าเช่าเครื่องนอน และชาร์จแบตเตอรี่อีกด้วย (แต่ผมเลือกชาร์จแบตเตอรี่ที่ร้านอาหารเพราะฟรี)
เปิดตัวทีมงานผู้พิชิตภูกระดึง
รอต่อคิวที่หลังแปไม่ไหว คนเยอะจริง ๆ ขอแนะนำถ้าไม่ติดใจอะไรมาก ผมว่าป้ายที่หน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกลางก็ดูดีเหมือนกัน แถมมีต้นสนสองใบเป็นฉากหลังให้ด้วย เสียอย่างเดียวไม่ได้อยู่ริมหน้าผาเท่านั้นครับ
จ่ายค่าเครื่องนอน และเลือกทำเลที่ตั้งเต็นท์ได้แล้ว พวกเราก็มาเดินสำรวจรอบ ๆ จุดกางเต็นท์ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง ทั้งดูแหล่งอาบน้ำ ห้องน้ำ และอาหารการกิน อากาศบนยอดภูกระดึงเริ่มเย็นตั้งแต่ยังไม่ค่ำ ต้องรีบคว้าเสื้อกันหนาวมาใส่อีกครั้ง หลังแปยังคงไม่ต่างจากห้าปีที่แล้ว ยังคงเหมือนเดิม บรรยากาศยังคงเดิม แต่มีร้านค้าเพิ่มมากขึ้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง
เดินกันมาทั้งวัน ผมบอกน้อง ๆ ว่าวันนี้เราจะไม่ไปชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดุก เพราะพรุ่งนี้จะไปชมที่ผาหล่มสักครั้งเดียว และวันนี้ควรจะพักผ่อนเอาแรงก่อนดีกว่า แต่ก่อนอื่นยังพอมีเวลาเหลือบ้าง พวกเราไปไหว้องค์พระพุทธเมตตากันก่อน จากนั้นค่อยกลับมาอาบน้ำและอิ่มอร่อยกับมื้อเย็นที่แสนหิวจนแสบท้อง พวกเราเลือกจิ้มจุ่มชุดใหญ่ และมาม่าที่เตรียมไปกันเอง ยิ่งค่ำยิ่งเย็นพวกเราจำต้องแยกย้ายกันไปนอนพักผ่อนและจะต้องตื่นตีสี่ เพราะเรามีภารกิจอีกครั้งวันพรุ่งนี้เช้า
สายลมหนาวพัดมาแล้ว พระจันทร์ส่องแสงยามค่ำคืน แม้คืนนี้พระจันทร์จะไม่เต็มดวง แต่ก็ยังพอให้แสงสว่างกับพวกเราได้บ้าง
หลับสบายทั้งคืน มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกตอนตีสี่ เริ่มได้ยินเสียงผู้คนเริ่มคุยกันมากขึ้น ได้ยินเสียงคนเดิน นั่นบ่งบอกให้รู้ว่าหลายคนพร้อมที่จะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นกันแล้ว ไม่รอช้ารีบไปล้างหน้าแปรงฟันและเดินตาม ๆ กันไป ที่สำคัญต้องไปเป็นกลุ่มใหญ่ ต้องพกไฟฉาย หากลืมเอามาก็เดินไปกับเพื่อนๆ ที่มีมาและกลุ่มใหญ่จะได้อบอุ่นและปลอดภัยดี เพราะยังเช้ามืดและอีกอย่างช้างป่ายังหากินในเส้นทางที่เราเดินอีกด้วย มาถึงผานกแอ่นหลายคนจับจองพื้นที่รอชมและถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
พระอาทิตย์เริ่มมาแล้ว แม้อากาศจะเย็นแค่ไหน แต่ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านมาทุกขณะ
อรุณเบิกฟ้า นกกาโบยบิน ได้เวลาพวกเราเดินทางกลับมาที่เต็นท์แล้ว เดินตามคนอื่น ๆ มาเรื่อย ๆ ก็มาพบกับลานพระแก้ว เป็นลานหินกว้าง มีหญ้าแคระสีทอง ผมก็ไม่ยักกะเห็นพระแก้ว มีแต่พระยืน ผู้รู้บอกทีครับ (ลืมอ่านประวัติที่นี่)
เดินมาเส้นนี้ก็จะโผล่กับร้านค้าพอดี มาเริ่มมื้อเช้าก่อนออกเดินทางตามอัธยาศัย ใครชอบแบบไหนก็เลือกได้ตามสบาย ของผมเป็นขนมปังปิ้งกับน้ำเต้าหู้เกือบร้อน และก็บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชามหนึ่งก็เดินทางต่อได้แล้ว
กลับมาที่เต็นท์เตรียมน้ำดื่มใส่เป้ให้พอไม่หนักมาก ข้าวห่อสำหรับมื้อเที่ยงด้วยก็ดี ถ้าเราหิวระหว่างทาง เสื้อกันหนาวสักตัว ไฟฉายด้วย เพราะวันนี้พวกเราจะไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหล่มสักกัน แต่ก่อนอื่นเราจะไปตามหาใบเมเปิลแดงกันก่อน ต้องเดินตามจุดต่าง ๆ ในแผนที่ เริ่มที่แรกน้ำตกวังกวาง แต่ไม่มีน้ำ เลยใช้เวลาที่นั่นไม่นานนัก พวกเราต้องเดินผ่านป่าสนสองใบจำนวนมาก บรรยากาศสองข้างทางดีไม่น้อย
ต้นสนสองใบหลายต้น ต้นใหญ่ทีเดียว
เดิน ๆๆๆ ต่อไป พวกเราจะไปที่น้ำตกเพ็ญพบใหม่ เพราะผมจำได้มาเมื่อห้าปีที่แล้ว ที่นี่มีใบเมเปิลกำลังแดงเลยทีเดียว ขอไปแอบดูหน่อยสิว่ามาวันนี้จะแดงให้ผมได้ดูไหม และแล้วผมก็ได้พบต้นเมเปิลที่น้ำตกเพ็ญพบใหม่ กำลังแดงฉานเลยทีเดียว แดงได้ใจจริง ๆ
มาเจอแบบนี้ทั้งทีก็ต้องมีตื่นตาตื่นใจกันบ้าง ถ่ายรูปที่นี่เก็บไว้เป็นที่ระลึกกันเพลินเลย แล้วก็ลองไต่ลงมาด้านล่างของน้ำตกกันบ้าง ก็จะพบกับต้นเมเปิลอีกต้น ใบกำลังแดงเต็มต้นเหมือนกัน
ยังไม่พอแค่นี้ ครั้งก่อนที่ผมเคยมาจำได้ว่าที่น้ำตกถ้ำใหญ่ มีใบเมเปิลอีก และที่นั่นใบจะร่วงหล่นตามโขดหินและสายธารให้เห็นกันสวยงามกว่านี้อีกหลายเท่า และแล้วพวกเราก็เดินทางกันต่อไปตามริมธารน้ำเรื่อย ๆ มีป้ายบอกตลอดทางและมีคนเดินไปยังจุดหมายเดียวกันอีกมากมาย หากใจเย็นอยากได้ภาพถ่ายกับใบเมเปิลสวย ๆ ให้ช้า ๆ ให้คนออกจากที่นั่นหมดก่อน เราก็จะได้ภาพสวย ๆ กับใบเมเปิล เดินลัดเลาะมาเรื่อย ๆ ผ่านน้ำตกโผนพบ และอีกสองน้ำตกผมจำไม่ได้แล้ว เพราะใจจดจ่อที่น้ำตกถ้ำใหญ่เพียงเท่านั้น ใช้เวลาไม่นานก็เดินทางมาถึงแล้วน้ำตกถ้าใหญ่ ที่ไม่มีน้ำตกเลย
แต่ช้าก่อน ผมไม่ได้มาเล่นน้ำนี่นา ผมมาดูใบเมเปิลที่นี่ งั้นก็มาชมกันเลยครับว่าใบเมเปิลที่น้ำตกถ้ำใหญ่ในวันที่ 14 ธันวาคม มีเยอะแค่ไหน
เก็บภาพหมู่เป็นที่ระลึกก่อนออกเดินทางกันต่อ
พวกเรานั่งพักทานข้าวที่นี่เพียงสิบนาทีเท่านั้น เพราะการเดินทางไปผาหล่มสักห่างจากที่นี่ราว ๆ หกกิโลเมตร หากเดินช้าอาจจะค่ำก่อนก็เป็นได้ รีบจ้ำอ้าวเดินทางกันต่อ เดินขึ้นมาทางราบอีกครั้ง ผ่านป่าสนสองใบ ที่น่าใจหายเมื่อพบกับต้นสนหลายต้นถูกไฟป่าเผาทำลายเหลือเพียงตอสีดำ
แวะนั่งพัก แช่เท้าในน้ำเย็น ๆ ที่สระอโนดาตกันก่อนออกเดินทาง
คราวนี้ถึงจุดเปลี่ยนแล้ว ออกจากสระอโนดาตแล้วเดินทางมาได้สักพักก่อนถึงน้ำตกถ้ำสอเหนือ พวกผมตัดสินใจไม่ไปตามน้ำตกแต่เลือกเลี้ยวซ้าย เพื่อไปยังผาแดง แล้วค่อยเดินเลาะไปตามริมผาไปที่ผาหล่มสัก ไม่มีใครมาเส้นนี้เลย มีแค่พวกผมสี่กัน เดินผ่านป่าสนมาเรื่อย ๆ ด้วยใจหวั่น ๆ ว่าจะเจอกับตัวอะไรหรือเปล่า เพียงแค่สองกิโลเมตรก็คิดไปไกลได้ แต่ในที่สุดพอมาถึงผาแดงก็ค่อยโล่งใจ นั่งพักกินแตงโมชิ้นละสิบห้าบาทให้สดชื่นก่อน แล้วค่อยเดินทางต่ออีกสามกิโลเมตรก็ถึงผาหล่มสักแล้ว อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่เดิน คือ เช่าจักรยานปั่นนั่นเอง ราคาเช่าผมไม่รู้ อันนี้แอบถ่ายของคนอื่นมา
ป่าสนที่นี่เป็นเสน่ห์อีกอย่าง ทำให้เพลินเพลินตลอดการเดินทาง
และแล้วความพยายามของพวกเราก็สำเร็จแล้ว พวกเรามาถึงผาหล่มสักแล้ว
มีคนมารอชมพระอาทิตย์ตกดินกันอย่างมากมาย วันนี้พระอาทิตย์ขี้เล่นชอบหลบตามก้อนเมฆ อาจได้ชมพระอาทิตย์ไม่เต็มอิ่มมากนัก แต่ก็สร้างความประทับใจให้ทุกคนได้ เพราะกว่าจะเดินทางมาถึงจุดนี้ต้องผ่านอุปสรรคมาพอสมควร อีกภารกิจที่เสร็จสิ้น ได้นำรอยยิ้มและความประทับใจมาให้ เสน่ห์ของภูกระดึงยังคงตราตรึงใจตลอดไป หนทางที่ก้าวผ่านมาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แผ่ผ่านหนามไผ่มาจริงๆ ล้มบ้าง แต่ก็ยืนขึ้นใหม่เพื่อมาให้เห็นกับตา ที่สำคัญมิตรภาพและความทรงจำยังเกิดขึ้นได้ที่นี่ หลายคนสมหวัง หลายคนผิดหวัง บทพิสูจน์ความรักและมิตรภาพยังเป็นอมตะเสมอ ที่ภูกระดึงแห่งนี้
ผมว่าช่วงมีน้ำน่าจะสวยนะครับ มีน้ำตก แต่ผมกลัวทากครับ เพราะขนาดไปหน้าหนาวยังสังเวยเลือดให้มันไปแล้ว ตื่นเช้ามาเจอรอยเลือดแห้งแล้วที่ขา ส่วนหน้าหนาวชอบตรงที่อากาศเย็น และมีใบเมเปิลให้ดูด้วย เดินเที่ยวไม่ร้อนมาก ค่ำไว พระอาทิตย์ตกไม่สวยเท่าไหร่ น้ำตกก็หายไปแล้ว
แต่ท้ายสุดแล้ว ยังไงที่แห่งนี้ก็มีเสน่ห์ทุกฤดูการเดินทางครับ ความหวังและมิตรภาพเกิดขึ้นที่นี่เสมอ