มนต์เสน่ห์...ลาซา ในจังหวะที่เวลาเดินช้าลง


ลาซา

ลาซา

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ zmeowx สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          เชื่อว่าถ้าเอ่ยถึง "ลาซา" (Lhasa) เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองทิเบตแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน หลาย ๆ คนคงมีรอยยิ้มที่มุมปาก พร้อมใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งจะไปยืนสูดความงามของเมืองนี้สักครั้งในชีวิต...จริงไหม ซึ่งลาซาตั้งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 3,650 เมตร จึงทำให้กลายเป็นหนึ่งในเมืองที่อยู่สูงที่สุดของโลก อีกทั้งยังงดงามไปด้วยทิวทัศน์ วัดวาอาราม และวิถีชีวิตของผู้คน รวมถึงเป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และศาสนาของทิเบต ^^ เอาเป็นว่าหากใครอยากไปเที่ยวลาซา ก็ตามไปเก็บข้อมูลจาก คุณ zmeowx สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่มีโอกาสไปเยือนดินแดนหลังคาโลกแห่งนี้กันก่อนดีกว่าค่ะ





          เนื่องจากตอนเราเตรียมตัวเดินทาง ข้อมูลภาษาไทยหาได้ค่อนข้างยาก กระทู้นี้พวกเราช่วยกันเขียนขึ้นเพื่อแชร์ข้อมูล และประสบการณ์จากการเดินทางบนหลังคาโลกให้เพื่อน ๆ ชาวบูลฯ (ไม่สันทัดเรื่องประวัติศาสตร์ค่ะ) หวังว่าข้อมูลของพวกเราจะเป็นประโยชน์กับใครที่กำลังวางแผนจะไปเที่ยวทิเบตกันนะคะ

ลาซา

          มันเป็นความฝันมาหลายปีแล้วว่าชีวิตนี้จะต้องไปเหยียบดินแดนหลังคาโลกให้ได้ แต่พออ้าปากชวนใคร "จะไปทิเบต ไปไหม?" ก็มีแต่คนส่ายหัว...Noooo... เอ๊ะ ! มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ สักวันหนึ่งฉันจะต้องไปให้ได้ และแล้ววันนี้ก็มาถึงค่ะ ทริปนี้พวกเรารวบรวมสมาชิกเสร็จสรรพได้ 4 คนค่ะ

          เหตุผลหลัก ๆ ที่เราโดนปฏิเสธมา ก็คือ

          1. ค่าใช้จ่าย...โห ! ทำไมแพงจัง ราคานี้ไปเกาหลีได้ 3 รอบเลยนะ (จริงค่ะ ไปทิเบตค่าใช้จ่ายเยอะแยะมากมาย ทำเอาพวกเรากระเป๋าเบาไปเลยค่ะ)

          2. วันลา...ไม่ไหวหรอกไปนานขนาดนั้นโดนไล่ออกกันพอดี (งานนี้ 12 วันเต็มค่ะ ปีนขึ้นหลังคาโลกทั้งที เราก็ขออยู่นาน ๆ หน่อย ไปให้ทั่ว เพราะไม่รู้ว่าอนาคต พวกเราจะได้กลับมาที่นี่อีกไหม)

          3. สุขภาพ...ไปแล้วจะเกิดอาการ High Altitude Sickness รึเปล่า? ได้ยินอะไรมานักต่อนัก น่ากลัวนะทิเบตเนี่ย !!!

          4. ห้องน้ำ... แค่ห้องน้ำเมืองจีนชื่อเสียงก็กระฉ่อนไปทั่วโลกแล้ว นี่ "ทิเบต" อีก มันจะย่ำแย่แค่ไหนล่ะเนี่ย ?!? โดยเฉพาะผู้หญิงนี่ไม่ง่ายเลยนะ

          5. อาหารการกิน...มีแต่เนื้อจามารี เนื้อแกะ เนื้อแพะ และฉันจะกินอะไรได้บ้างล่ะ ??

          แต่ละคนก็มีเหตุผลส่วนตัว อันนี้ไม่ว่ากันค่ะ...ลึก ๆ แล้วเราก็กลัว กลัวที่สุดคือ Altitude Sickness เพราะได้ยินมาว่าโรคนี้ไม่เข้าใครออกใคร เราจะไม่รู้เลยว่าเราจะแพ้รึเปล่าจนกว่าจะไปเจอด้วยตัวเอง ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว แพ็กกระเป๋าเลยแล้วกัน

          กำหนดการเดินทางของพวกเราคือ

          Day 1 >> Bangkok - Xi\'an (Airasia เน้นประหยัดค่ะ)
          Day 2 >> Xi\'an-TIBET, Lhasa (Fly)
          Day 3 >> Lhasa (Norbulingka, Sera Monastery)
          Day 4 >> Lhasa (Potala Palace, Jokhang Monastery)
          Day 5 >> Lhasa-Yamdrok Lake-Gyantse- -Shigatse
          Day 6 >> Shigatse-Tingri0EBC
          Day 7 >> EBC-Shigatse
          Day 8 >> Shigatse-Yangpachen Hotspring
          Day 9 >> Hotspring-Namtso Lake
          Day 10 >> Namtso Lake-Lhasa
          Day 11 >> Lhasa-Xining (Train)
          Day 12 >> Xining-BKK

          Tibet Permit

          และแล้วพวกเราก็ได้ Permit มาครอบครอง LET\'S GO~!!! ในใบนี้จะต้องระบุชื่อเมืองทุกเมืองที่อยู่ในโปรแกรมเรา ถ้าไม่ระบุก็ผ่านด่านเข้าเมืองไม่ได้ค่ะ ตอนแรกพวกเรามีแผนจะไป Sakya แต่ใบ Permit ไม่ได้ระบุไว้ก็เลยอดไป แต่ก็ไม่ซีเรียส เพราะทัวร์ของเรา คือ จ่ายหน้างาน อยากไปไหนค่อยจ่าย ไม่อยากไปก็ไม่ต้องจ่าย อย่างนี้สบายใจดีค่ะ

ลาซา

          Potala Palace พระราชวังที่สูงที่สุดในโลก (ภาพถ่ายจากดาดฟ้าโรงแรม)

ลาซา

          เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม...ฉันเก็บเอาไว้ให้เธอ

ลาซา

          การขอ Permit เข้าทิเบตไม่ใช่เรื่องยากค่ะ !!!

          ตั้งแต่เดือนเมษายน 2556 ทิเบตได้เปิดให้ชาวต่างชาติเข้าไปได้อีกครั้งหนึ่ง (ยกเว้นสัญชาติเกาหลีและนอร์เวย์) กฎเกณฑ์การเข้าทิเบตเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย ๆ ถ้าใครจะไปคงต้องเช็กข้อมูลอีกครั้งเพื่อความแน่ใจนะคะ เมื่อก่อนจะต้องขอ Permit เป็นกรุ๊ปอย่างน้อย 5 คนขึ้นไป และจะต้องเป็นสัญชาติเดียวกันเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาอนุญาตให้ลุยเดี่ยวได้แล้วค่ะ

          ก่อนที่จะขอ Permit ทิเบตได้เราต้องขอวีซ่าจีนก่อน (เวลาขอวีซ่าจีนห้ามระบุว่าเราจะไปทิเบตเด็ดขาดนะคะ ให้ระบุเมืองอื่น ๆ ที่เราจะต้องเปลี่ยนเครื่อง ขึ้นรถไฟอะไรก็แล้วแต่ค่ะ) พอได้วีซ่าจีนแล้วก็ส่งเอกสารต่าง ๆ ไปให้กับบริษัททัวร์ เพื่อดำเนินการขอ Permit ซึ่งเจ้าหน้าที่จะออกให้ 10-15 วันก่อนวันเดินทางเท่านั้น หลังจากที่บริษัททัวร์ได้ Permit มาแล้ว เขาก็จะต้องส่งเอกสารมาให้เราไปยังโรงแรมที่เราจะไปพักก่อนเดินทางเข้าทิเบต ถ้าเราเดินทางโดยเครื่องบิน เขาจะต้องส่ง Permit ตัวจริงมาให้เรา มิฉะนั้น เราจะขึ้นเครื่องไม่ได้ แต่ถ้าขึ้นรถไฟก็ใช้แค่สำเนา Permit ได้ค่ะ

          การไปทิเบตมันแพงตรงที่ว่าเราจะแบกเป้ลุยไปเองไม่ได้ ชาวต่างชาติทุกคนจะต้องซื้อทัวร์ บริษัททัวร์จะจัดการเรื่อง Tibet permit, โรงแรม, สถานที่เที่ยว, ไกด์ท้องถิ่น พร้อมรถและคนขับให้เสร็จสรรพ แต่เราสามารถเลือกได้ว่าต้องการโรงแรมประมาณไหน ต้องการไปเที่ยวที่ไหนบ้าง (ทุกที่มีค่าเข้าชมหมด) ไกด์ท้องถิ่นจะต้องจ้างเป็นรายวัน และตามจำนวนวันที่เราอยู่ในทิเบต ส่วนรถยนต์ถ้าเราไม่ได้ออกจากลาซาก็ไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ ก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปได้พอสมควรเลยค่ะ

          เราจะต้องระบุให้ชัดเจนว่าต้องการจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง เพราะ Tibet Permit จะอยู่ได้เฉพาะในลาซาและรอบ ๆ เท่านั้น ถ้าจะออกนอกลาซาและไปจนถึง Everest Base Camp จะต้องมี Permit ต่างหากอีก ถ้าไม่มีเราก็ไปไม่ได้ค่ะ

          อ่านข้อมูลอย่างละเอียดได้ที่ www.cafespinn.com (ขอขอบคุณ spinn cafe มา ณ โอกาสนี้ ที่ทำให้ทริปของเราสำเร็จอย่างราบรื่นค่ะ)

          ไปเที่ยวกันต่อเลยนะคะ...มุ่งหน้าสู่หลังคาโลก

          ตั๋วรถไฟในเมืองจีนจะเปิดให้ซื้อ 20 วันล่วงหน้าเท่านั้น ซึ่งตั๋วรถไฟขาไปลาซาจองยากมาก ๆ ค่ะ เพราะบริษัททัวร์จะใช้เส้นจองไว้แต่แรกแล้ว แค่เปิดให้จองไม่ถึง 5 นาที ก็แทบจะไม่มีตั๋วเหลือแล้วค่ะ ตอนแรกพวกเราอยากจะนั่งรถไฟจากซีอานไปลาซา แต่บริษัททัวร์จะบวกค่าบริการเพิ่ม พวกเราไม่ยอมจ่าย ฮ่า ๆๆๆ ก็เลยต้องนั่งเครื่องบินไป และกลับรถไฟ โดยให้เพื่อนคนจีนช่วยจองตั๋วผ่านอินเทอร์เน็ตให้ (เพราะจะต้องใช้บัตรเครดิตจีนซื้อเท่านั้น) ตั๋วรถไฟมีอยู่ 3 ประเภทค่ะ แบบ soft seat, hard sleeper (6 เตียง) และ soft sleeper (4 เตียง)

          พวกเรากลัวเจี๊ยวจ๊าวแล้วจะรบกวนชาวบ้านก็เลยเลือกแบบ soft sleeper ค่ะ 4 คน ปิดประตูตีแมว เอ้ย...ตีไพ่ 555

          กิจกรรมบนรถไฟ ก็คือ แทะเม็ดกวยจี๊, จับหมู, จับเข่าคุย และนอนค่ะ 24 ชั่วโมง ผ่านไปไวเหมือนโกหก

          สถานีรถไฟเมืองลาซา

ลาซา

          วิวจากห้องนอนของเรา

ลาซา

          ทางเดินในรถไฟจะมีเก้าอี้ให้สำหรับนั่งชมวิวด้วย

ลาซา

          อาหารที่ได้รับความนิยมสูงสุดเห็นจะหนีไม่พ้นมาม่าล่ะค่ะ บนรถไฟมีน้ำร้อนให้บริการตนเองตลอด 24 ชั่วโมง

ลาซา

          ตู้เสบียงจะขายอาหารเฉพาะในช่วงเวลาอาหารเท่านั้น นอกเวลามีเงินก็ซื้อไม่ได้นะคร๊าาาา

ลาซา

          (เกือบ) หยุดหายใจ...ในลาซา

          เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว ทิเบต คือ ดินแดนหลังคาโลก ลาซา...อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 3,650 เมตร (กทม. 1.50 เมตร) กฎการไปถึงวันแรก

          1. อย่าหักโหม ควรทำอะไรช้า ๆ หายใจลึก ๆ
          2. พักผ่อนให้เพียงพอ
          3. จิบน้ำบ่อย ๆ
          4. อย่าอาบน้ำ (การอาบน้ำอุ่น ไอน้ำในห้องน้ำจะทำให้ออกซิเจนที่มีน้อยอยู่แล้วยิ่งน้อยลงไปอีก)
          5. ไม่ควรนอนหลับ แต่หากิจกรรมเบา ๆ ทำ นั่งดูทีวี อ่านหนังสือ จิบชากาแฟก็แล้วแต่ (เพราะนอนหลับจะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง)

          เรื่องนี้ประมาทไม่ได้เลยจริง ๆ ค่ะ บางคนคิดว่าตัวเองร่างกายแข็งแรงดี แต่พอไปถึงทิเบตก็น็อกมาหลายรายแล้ว เพื่อนร่วมแก๊งคนหนึ่งเป็นชายฉกรรจ์วัย 30 ต้น ๆ แค่ปีนบันได 3 ชั้นก็รู้ผล เริ่มปวดหัว ปวดเบ้าตา อยากอาเจียน หน้าซีด แขนขาไม่มีแรง อาการที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเองก็เกิด โชคดีที่พวกเราเตรียม Diamox ไปด้วย ประเดิมเม็ดแรกไป แล้วนอนพัก 1 คืน รุ่งเช้าตื่นมาลั้ลลาได้เหมือนเดิม โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก

          ฟ้าใส...ในลาซา

ลาซา

ลาซา

          ตังถั่งเช่า สินค้าส่งออกดีเด่นของชาวทิเบต เป็นสมุนไพรที่ราคาแพงที่สุดในบรรดาสมุนไพรจีน แพงกว่าทองคำ ที่นี่ขายกันเป็นชั่ง (ครึ่งกิโลฯ) ราคาไม่ต่ำกว่า 10,000 หยวน (นี่แค่ราคาจากต้นทาง ปลายทางจะขายกันเท่าไหร่ล่ะนี่ ?!?)

ลาซา

ลาซา

          ทุก ๆ เช้าจะมีพ่อค้ามาประมูลซื้อขายกัน ยิ่งกว่างานเปิดท้ายขายของ

ลาซา

          วันนี้เราจะไปเที่ยวพระราชวังโปตาลากัน พวกเรามีเวลาแค่ 1 ชั่วโมง ในการเที่ยวชมภายในพระราชวังค่ะ ถ้าผิดเวลา ไกด์ก็จะต้องจ่ายค่าปรับ พวกเราทำเวลากันมาก ๆ ทำเวลาช้าาาา ทาชิ คุณไกด์ของเราก็เลยปล่อยพวกเราถ่ายรูปกันให้เต็มอิ่ม เขาจะต้องออกไปแสตมป์บัตรออกก่อนที่จะโดนปรับ เนื่องจากภายในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปได้ เลยมีแต่ภาพภายนอกมาให้ดูกันนะคะ ดูแล้วอลังการยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ลาซา

ลาซา

ลาซา

ลาซา

ลาซา

          อันนี้ถ่ายจากด้านหลังพระราชวังค่ะ

ลาซา

          Sera Monastery พวกเรานั่งรถเมล์จากในเมืองไปสุดสาย ประมาณ 30 นาที สนนราคา 1 หยวนค่ะ

ลาซา

          ทาชิบอกว่าบ่าย 2 จะมี Monk\'s debate ประมาณ "สนทนาธรรม" จะมีทั้งพุทธศาสนิกชนชาวทิเบตและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติไปรอชมกัน

ลาซา

          ตอนแรกก็งง ๆ ยังไงล่ะนี่ ทาชิอธิบายว่าพระท่านจะจับกลุ่มกันประมาณ 3-4 รูป รูปที่ยืนอยู่จะถามปัญหาธรรม พอถามเสร็จจะปรบมือ เชิญให้รูปอื่น ๆ ที่นั่งตอบ

ลาซา

          สิ่งที่ทำให้พวกเรามีความสุขทุกวันในทิเบต ก็คือ สีของท้องฟ้าหลังคาโลกนี่แหละค่ะ

ลาซา

          ผู้คนที่นี่มีความเชื่อความศรัทธาต่อศาสนาอย่างแรงกล้า

ลาซา

          นี่เป็นภาพที่เราจะเห็นได้ทั่วไปในทิเบต ไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออก ฝุ่นจะเยอะสักเพียงใด ก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนย่อท้อต่อความศรัทธาในหัวใจเลย...

ลาซา

          ออกมาจากวัดเจออาเฮีย 2 ท่านนี้ ขี่รถมาจากเสฉวน ระยะทางร่วม 2,000 กิโลเมตร ขอคารวะให้แก่ความพยายามและความแข็งแรงค่ะ

ลาซา

          Jokhang Monastery วัดนี้อยู่ใจกลางเมืองลาซา เป็นอีกที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด (แต่พวกเราพลาดไปแล้วค่ะ พวกเรายอมไม่ไปวัด เพื่อที่จะได้ไปเที่ยวบ้านทาชิ (ไกด์) กัน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าชาวทิเบตชนบทมีความเป็นอยู่กันยังไง คอยติดตามชมบ้านทาชิกันนะคะ)

ลาซา

          ผู้คนจะต้องมาจับจองพื้นที่กันตั้งแต่เช้า เพราะสายหน่อยคนเยอะมาก

ลาซา

          เนื่องจากไม่ได้เข้าไป รูปเลยน้อยมาก เอารูปเมืองลาซามาฝากแทนละกัน พวกเราค่อนข้างโชคร้าย ไปตอนที่กำลังปรับปรุงเมือง ถนนหนทางทุกเส้นไม่ว่าจะสายหลักหรือซอยเล็กซอยน้อยถูกขุดทุกกระเบียดนิ้ว เพื่อฝังท่อร้อยสายไฟ (ถ้าไปปีหน้าน่าจะทำเสร็จแล้วค่ะ คงจะสวยมาก ๆ ด้วย)

ลาซา

          ร้านขายวัตถุมงคล @ Barkhor Circuit

ลาซา

          ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน เราก็จะเห็นชาวทิเบตเดินโดยมือหนึ่งถือ Prayer Wheel อีกมือหนึ่งถือลูกประคำ คอยหมุนและนับไปเรื่อย ๆ

ลาซา

          อันเล็ก อันใหญ่ ก็แล้วแต่กำลังแขนของแต่ละคน ถ้าอันใหญ่ส่วนมากจะมีสายคาดเอวที่มีปลอกสวมเพื่อช่วยผ่อนแรงด้วย

ลาซา

          ณ ซอยแห่งหนึ่งที่ค้นพบโดยบังเอิญขณะหลงทางคืนแรกในลาซา

ลาซา

          กินอะไร...กินอะไร...กินอะไรเมื่อไปทิเบต ?!?! นี่เป็นปัญหาใหญ่ของคณะเราเลย คนหนึ่งทานมังฯ อีก 2 ไม่ทานเนื้อวัว เนื้อแพะ และเนื้อแกะ ดู ๆ แล้วน่าจะรอดแค่คนเดียว พวกเราจึงเตรียมเสบียงจากเมืองไทยไปนิดหน่อย เอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ก็เป็นจำพวกน้ำพริกต่าง ๆ และมาม่าถ้วย

          อยากจะบอกว่าอาหารที่นี่มีครบทุกอย่าง ที่พวกเรากลัวกันว่าจะไม่มีผัก ไม่มีหมู-ไก่ ก็มีให้กินจนอิ่มทุกมื้อ สรุปคือน้ำพริก กับมาม่าแทบจะไม่ได้ใช้เลย คิดว่าจะเป็นทริปลดน้ำหนัก เห็นทีคงจะยากแล้วค่ะ นี่มื้อแรกของพวกเรา เป็นอาหารทิเบตบนดาดฟ้าร้าน Mandala มองไปจะเห็นวัดโจคัง และ Barkhor Square อยู่ด้านล่าง บรรยากาศดีมว้ากกกก...แต่ลมแรงเหลือเกิน

          บะหมี่, ข้าวผัด, Yak Steak (สเต็กเนื้อจามารี), Momo (อาหารทิเบตคล้าย ๆ เกี๊ยวซ่า มีไส้จามารีและไส้ผัก), และสีแดง ๆ นั่นคือน้ำพริกนรกค่ะ ซ้ายล่างคงไม่ต้องอธิบายกันนะคะ ส่วนรูปขวาบนคือ Butter Tea เป็นชาเนยค่ะ ชาวทิเบตบอกว่าช่วยเรื่อง Altitude Sickness ได้ ก็เลยขอลองจิบดู รสชาติของมันคือเนยละลายแล้วผสมน้ำ...ไม่ไหวจะเคลียร์ค่ะ~!!!

ลาซา

          มื้อนี้ตามมีตามเกิดค่ะ มีร้านเดียวในละแวกนั้น มันคือ...ข้าวราดผัดผักหลากสี เยี่ยมเลย~!! ถือว่าประทังชีวิตไปได้ 1 มื้อ

ลาซา

          ส่วนอันนี้อาหารเสฉวนค่ะ ร้านอาหารจีนส่วนใหญ่ในทิเบตจะเป็นอาหารเสฉวน รสชาติน่าจะถูกปากคนไทยอย่างเรา ๆ มากที่สุดแล้ว รูปอาจดูไม่น่ากินแต่รสชาติเยี่ยมเลย

ลาซา

          นี่คือบะหมี่ 3 แบบของเรา 1.ไข่ 2.หมู 3.เนื้อ

ลาซา

          มื้อสุดท้ายในทิเบต พวกเราบอกทาชิขอ Local Food ทาชิเลยจัดหนักให้ หน้าตาไม่ค่อยดีนะคะ รสชาติ...แย่กว่าหน้าตาอีก 55555

ลาซา

          จานไหนราคาเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่ค่าเสียหายมื้อนี้ 196 หยวน (6 คน)

ลาซา

          บ้านทาชิอยู่นอกเมืองลาซา พวกเราต้องนั่งรถกันไปหลายต่อเลยกว่าจะถึง ทาชิบอกว่าหมู่บ้านนี้เป็นชาวทิเบต 100% เพราะว่าค่อนข้างจะชนบท มีแต่ชาวไร่ ชาวสวน จึงไม่มีชาวจีนมาปะปน ทำให้วิถีชีวิตชาวบ้านแถวนี้ยังคงรักษาความเป็นทิเบตบริสุทธิ์ไว้ได้ ประตูบ้านสไตล์ทิเบตแท้และดั้งเดิม

ลาซา

          มีเจ้าหลานตัวน้อยมาคอยต้อนรับ

ลาซา

          นี่น่ะหรือบ้านชาวไร่ ชาวสวน... บ้านสวยงาม ใหญ่โต แข็งแรง บริเวณบ้านกว้างขวางมาก ๆ

ลาซา

          ห้องรับแขกชาวทิเบตตกแต่งหรูหราซะเหลือเกิน

ลาซา

          อาหารว่างที่คุณแม่ทาชิเอามาให้พวกเราชิม Sweet Tea (ชานม), มันฝรั่งต้มจิ้มซอสพริก, ลูกอม, ลูกพลับตากแห้ง และที่พลาดไม่ได้คือชีสแห้ง

ลาซา

          ห้องพระใหญ่โตมาก...ทำให้เข้าใจเลยว่าชาวทิเบตให้ความสำคัญกับศาสนาถึงเพียงใด ภายในห้องพระจะมีเตียงไว้เพื่อพระสงฆ์เท่านั้น สำหรับเวลานิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีต่าง ๆ และจะต้องค้างคืนที่บ้าน (ห้องพระนี้แม้แต่เจ้าของบ้านก็นอนไม่ได้)

ลาซา

ลาซา

          จิตรกรรมฝ้าเพดานที่ทาชิวาดเอง

ลาซา

          หลังคาโลกยังสูงไม่พอ...ขอปีนหลังคาบ้านด้วยเลย ชาวทิเบตจะใช้ทรายโรยไว้บนดาดฟ้าเพื่อกันความร้อน เพราะที่ทิเบต แดดแรงมาก ๆ (เมฆฝนกำลังจะมาแล้ว)

ลาซา

          เจ้าหลานน้อยแสนซนอยากเล่นด้วย แต่คุยกันไม่รู้เรื่องสักกะคำ -_-"

ลาซา

          ส้วมแบบทิเบ้ตตตต...ทิเบต สะดวก สบาย เปิดฝาแล้วใช้ได้ทันที แถมไม่ต้องกดชัดโครกให้เปลืองแรงด้วย (บ้านเรายังไม่มีระบบนี้นะ)

ลาซา

          It\'s all about the JOURNEY, not the DESTINATION~!! และแล้วก็ถึงเวลาออกเดินทางสู่เทือกเขา Everest กว่าจะไปถึงต้องใช้เวลาถึง 2 วันเต็ม ๆ โชคดีจริง ๆ ยังมีหิมะให้เห็นอยู่ ท้องฟ้าก็เป็นใจ

ลาซา

          จุดหมายแรกของเรา Yamdroke Lake เป็น 1 ใน 4 ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของชาวทิเบต สวย...ใส...ไร้ที่ติจริง ๆ ค่ะ

ลาซา

ลาซา

          การเดินทาง...ไม่มีที่สิ้นสุด...

ลาซา

ลาซา

ลาซา

ลาซา

ลาซา

          เมือง Gyantse น้ำพักน้ำแรงของมนุษย์ ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน

ลาซา

ลาซา

          Tashilunpo Monastery, Shigatse (เมืองใหญ่อันดับ 2 ของทิเบต)

ลาซา

          Tsola Pass จะไป EBC ได้ผ่านแน่ ๆ พวกเราแขวนธงมนตราเอาไว้ที่นี่ด้วย

ลาซา

ลาซา

          เส้นทางของพวกเรา ไปอีก 3 ชั่วโมงข้างหน้า
         
ลาซา

          Middle of Nowhere

ลาซา

          ความเหนื่อยล้าก็หายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า Mt.Everest ในที่สุด...ฉันก็ได้มาพบเธอ~!! (ภาพนี้ถ่ายตอน 2 ทุ่มกว่า ๆ)

ลาซา

          ต้องขอบคุณเพื่อนร่วมทริปที่ทำให้พวกเรามีภาพสวย ๆ แบบนี้ค่ะ...

          Everest Base Camp อยู่ที่ความสูง 5,200 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ทำให้อากาศหนาวเหน็บ ลมแรงมาก ๆ แถมออกซิเจนก็เบาบางเหลือเกิน อย่าว่าแต่ห้ามออกแรงเยอะเลย แค่พูดเยอะ ๆ ก็หายใจแทบไม่ทันแล้วค่ะ เหนื่อยมาก ๆ จริง ๆ

ลาซา

          ค่ำคืนที่เหน็บหนาว...กับเขา EVEREST~!! เมื่อปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันเอาธงชาติทิเบตมาปักไว้ ทำให้จีนปิด Base Camp ไปเป็นเวลา 1 ปีเต็ม ทำให้พวกเราเกือบไม่ได้ไปเหยียบ Everest ซะแล้ว

ลาซา

          คืนนี้เราจะต้องค้างแรมกันที่ Tent Guesthouse No.11

ลาซา

          ภายในเต็นท์มี 6 เตียง (จะเรียกว่าเตียงได้ไหมนี่ ?!?) ต้องนอนเรียงแถวกัน ตรงกลางเป็นเตาต้มน้ำ โดยใช้ขี้เจ้าจามารีเป็นเชื้อเพลิง ช่วยให้ความอบอุ่นได้มากทีเดียว แต่เที่ยงคืนไฟจะดับ ข้างนอกอุณหภูมิติดลบแล้ว เป็นคืนอันหนาวเหน็บมาก เสื้อผ้าในกระเป๋ามีเท่าไหร่ก็ควักออกมาใส่จนหมด ผ้าห่มและหมอนที่มีให้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะผ่านการซักมานับแรมปี ผ้าห่มก็หนักมาก ๆ หนักพอ ๆ กับเบาะรองนอนได้ แต่เราก็จำเป็นต้องใช้มัน แถมออกซิเจนก็เบาบางมาก ๆ พอพลิกตัวทีหายใจแทบไม่ออก (ไม่ได้เว่อร์เลยค่ะ) พวกเราต้องตื่นมาปั๊มออกซิเจนกันกลางดึกหลายทีเลย

ลาซา

          เรื่องห้องน้ำก็ตัวใครตัวมัน เอ้ย !! ต้องบอกว่ามุมใครมุมมันถึงจะถูก พวกเราพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ที่สุดในชีวิตจริง ๆ" มันเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่าย ๆ เลยค่ะ ใครจะปฏิเสธลงว่านี่คือ...วิวห้องน้ำที่สวยที่สุดในโลก

ลาซา

          เริงร่า...ออนเซนบนหิมาลัย

          หลังจากที่ไม่ได้อาบน้ำมา 1 คืน พวกเราก็เริ่มคันเนื้อคันตัว ก็เลยขอให้ทาชิพาไปแช่น้ำพุร้อนออนเซนบนเทือกเขาหิมาลัยซะหน่อย ที่นี่อยู่ระหว่างทางจาก Lhasa ไป Namtso Lake ค่ะ ชื่อว่า Yangpachen Hotspring สนนราคาห้องละ 480 หยวน สระน้ำทั้ง indoor & outdoor pool เปิด 24 ชั่วโมง ห้องนอน...ดูดีเลยทีเดียว ในห้องน้ำมีอ่างจากุซซี่ให้ ถ้าเราไม่อยากลงไปแช่ในสระรวม จะแช่อ่างจากุซซี่ในห้องเราเองก็ได้ แต่ !!!!! น้ำในห้องจะเป็นน้ำร้อนหมด ไม่ว่าจะอ่างอาบน้ำ อ่างล้างหน้า หรือแม้แต่ชักโครก (ไม่รู้ใครเป็นคนคิด !!!) ไม่ทำก๊อกน้ำเย็นมาให้ผสมเลยรึไง ร้อนจนอาบน้ำไม่ได้ เราต้องลงไปอาบกันที่ห้องน้ำของสระว่ายน้ำ เวลาแปรงฟันก็ต้องรีบแปรงตอนเปิดก๊อกใหม่ ๆ ก่อนที่น้ำมันจะร้อนลวกปาก

ลาซา

          Outdoor Pool ว่ายไปดูวิวหิมาลัยไป มีความสุขที่ซู๊ดดดด.....

ลาซา

ลาซา

ลาซา

          อำลา...ลาซา...

          ที่พลาดอีกไม่ได้ก็คือ Namtso Lake เป็นอีก 1 ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ของชาวทิเบต อาณาเขตกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

ลาซา

ลาซา

          น้ำใส ไหลเย็น เห็นตัวปลา...

ลาซา

          หินตา หินยาย รึเปล่าหว่า ???

ลาซา

          พวกเราจะไปปีนเขาลูกนั้นกันค่ะ Tashi Island สูงไม่ใช่เล่นเลย

ลาซา

          หนทางช่างยาวไกลเหลือเกิน เหนื่อยแทบขาดใจ แถมลืมเอาออกซิเจนมาอีก (เพื่อน 2 คนนั่นเป็นซุนหงอคงรึไง เดินไวเกิ๊น)

ลาซา

          กว่าจะถึง~!!! คนตัวเท่ามดเลย

ลาซา

ลาซา

          มีการบูชาเขาควายริมทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์

ลาซา

          ศรัทธา...มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในลาซา

ลาซา

ลาซา

ลาซา

          น้องหนูแก้มแดง 高原红

ลาซา

          น้องหนูจมูกดำ เด็ก ๆ ที่ไม่สบาย นอนหลับไม่สนิท พ่อแม่จะพามาที่วัด และให้หลวงพ่อเจิมสีดำที่จมูกแล้วอาการก็จะดีขึ้น

ลาซา

          ผู้คนในลาซา

ลาซา

ลาซา

ลาซา

ลาซา

ลาซา

          ลาซา...ยามค่ำคืน (ถ่ายไว้ตอนหลงทาง)

ลาซา

          ชาวทิเบตบริโภคเนื้อแพะและเนื้อจามารีเป็นหลัก ทาชิบอกว่าคนทิเบตไม่ทานสัตว์น้ำ เพราะนั่นหมายถึงจะต้องฆ่าสัตว์จำนวนมาก แต่ถ้าล้มจามารี 1 ตัว สามารถทานกันได้ทั้งหมู่บ้าน

ลาซา



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
มนต์เสน่ห์...ลาซา ในจังหวะที่เวลาเดินช้าลง อัปเดตล่าสุด 18 กรกฎาคม 2556 เวลา 10:27:50 12,273 อ่าน
TOP
x close