ข้อมูลและภาพประกอบโดยกระปุกดอทคอม
วันนี้กระปุกท่องเที่ยวจะพาเพื่อน ๆ ไปสัมผัสอีกหนึ่งจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามไม่แพ้ใคร อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอีกด้วย นั่นคือ สุพรรณบุรี เมืองอู่ข้าวอู่น้ำของไทยอันเก่าแก่ มีประวัติศาสตร์และเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่นี่ อีกทั้งยังสืบทอดวัฒนธรรมของอดีตกาลมาอย่างต่อเนื่อง
โดยทริปนี้เราได้ร่วมเดินทางไปกับ ก๊อก แก๊ก ทัวร์ Unseen Destination ซึ่งมี นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และคณะผู้บริหารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นำเที่ยวด้วยตัวเอง โดยพาไปเคาะประตูบ้านและให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ในฐานะเป็นเจ้าบ้านเปิดประตูบ้านต้อนรับ พร้อมกับเป็นมัคคุเทศก์นำชมแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งการจัดแคมเปญ ก๊อก แก๊ก ทัวร์ Unseen Destination เพื่อเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ นำไปจัดรายการนำเที่ยวในพื้นที่ของตนเองต่อไป
สำหรับการเดินทางนั้น เราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า มีจุดมุ่งหมายปลายทางอยู่ที่ ตลาดร้อยปีเก้าห้อง อำเภอบางปลาม้า ตลาดเล็ก ๆ ในชุมชนเก่าแก่ที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยของความสมบูรณ์แห่งหนึ่งในลุ่มแม่น้ำท่าจีน เป็นห้องแถวตั้งเรียงรายอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน อายุประมาณ 100 ปี และคำว่า "เก้าห้อง" นำมาจากชื่อ "บ้านเก้าห้อง" ซึ่งเป็นบ้านของ "ขุนกำแหงฤทธิ์" ตั้งอยู่ริมแม่น้ำข้างวัดลานคา และอยู่ตรงข้ามตลาดเก้าห้อง มีลักษณะเป็นบ้านเรือนไทยฝาปะกน ภายในบ้านแบ่งออกเป็นเก้าห้อง
นอกจากนี้ สิ่งที่ถือเป็นไฮไลท์อย่างหนึ่งของที่นี่ ได้แก่ หอดูโจร หรือ ป้อมปราบโจร โดย นายบุญรอด สร้างขึ้นเพื่อเอาไว้ซุ่มดูโจรที่มักบุกเข้ามาปล้นตลาดในสมัยนั้น มีลักษณะเป็นหอก่ออิฐถือปูน กว้าง 3x3 เมตร สูงราวตึก 4 ชั้น และฝาผนังจะมีรูขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 นิ้ว มีไว้สำหรับรับแสงสว่างภายใน และเอาไว้เสียบปืน ชั้นบนซึ่งเป็นดาดฟ้าสามารถมองเห็นทัศนียภาพทั้งทางน้ำ ทางบก บริเวณตลาดเก้าห้องได้ทั้งหมด
แหม...เดินเล่นกันมาเหนื่อยแล้ว ก็ได้เวลาหาอะไรกินแล้ว ซึ่งที่ตลาดเก้าห้องมีของกินขึ้นชื่อมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ขนมไข่ปลา, ขนมปลาโบราณ, ปีกไก่ยัดไส้, ขนมค้างคาว, ขนมเปี๊ยะสูตรโบราณ ร้านตั้งกุ้ยกี่, ไส้อั่ว ร้านบุญชู, กาแฟโบราณ, ราดหน้า และกวยจั๊บเก้าห้อง ฯลฯ
เดินเล่นชิล ๆ และกินอิ่มท้องแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะไปนมัสการ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย อำเภอบางปลาม้า พระอริยสงฆ์เกจิดังเมืองของสุพรรณบุรี ที่เปี่ยมล้นด้วยเมตตาธรรม ในตำนานผู้หยั่งรู้ชะตาเกิด สามารถย่นระยะทาง การสื่อสารสนทนากับสัตว์นานาชนิดได้ โดยเฉพาะสุนัขและแมว ที่วัดนี้จึงแก้บนหลวงพ่อเนียมด้วยอาหารของสุนัขและแมว เช่น ปลาทูเลี้ยงแมว อาหารสำเร็จรูปของสุนัข ซึ่งท่านมรณภาพในลักษณะคล้ายพระพุทธรูปปางไสยาสน์
จากนั้นเราเดินทางไป อุทยานมังกรสวรรค์ และหมู่บ้านมังกรสวรรค์ ณ ศาลเจ้าหลักเมืองสุพรรณบุรี พร้อมกับสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในศาลหลักเมือง สร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยแต่เดิมน่าจะเป็นอาคารทรงไทย ภายในประดิษฐานเทวรูปพระนารายณ์สององค์คู่กัน สลักจากหินสีเขียว สวมหมวกทรงกระบอกศิลปกรรมสมัยลพบุรี ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2507 คณะกรรมการศาลเจ้าพ่อหลักเมืองได้ปรับปรุงซ่อมแซมศาลหลักเมืองใหม่ และยังคงรูปแบบอาคารซึ่งเป็นอาคารทรงไทยไว้ภายในอาคารทรงตึก ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนอีกด้วย หลังจากนั้นก็มีการซ่อมแซมก่อสร้างเรื่อยมาจนปัจจุบัน
ก่อนจะเข้าไปชม พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร (อุทยานมังกรสวรรค์) สร้างขึ้นจากความคิด นายบรรหาร ศิลปอาชา โดยได้เริ่มออกแบบและจัดทำพิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกรขึ้นบริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมืองจังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อนำเสนอเรื่องราวความเป็นมาของชาวจีนในประเทศไทย ตลอดจนประวัติศาสตร์และอารยธรรมจีน เพื่อเป็นอนุสรณ์การเจริญสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ครบ 20 ปี โดยลำตัวมังกรภายนอกออกแบบอย่างถูกต้องตามลักษณะความเชื่อของคนจีนแต่โบราณ ภายใต้ตัวมังกรเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร ซึ่งห้องจัดแสดงเรื่องราวด้วยเทคนิคนำเสนอทันสมัยจำนวน 20 ห้อง
ต่อมาเราก็ไปเดินเที่ยว หมู่บ้านมังกรสวรรค์ ซึ่งถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ โดยจำลอง "เมืองลีเจียง" ในสาธารณรัฐประชาชนจีน เมืองเก่าแก่โบราณและงดงามจนได้รับแต่งตั้งให้เป็นเมืองมรดกโลกมาตั้งไว้ที่นี่ ภายในหมู่บ้านมังกรสวรรค์ตกแต่งคล้ายกับหมู่บ้านโบราณของเมืองจีน แต่ละหลังก็เป็นสถานที่ที่ให้บริการแตกต่างกันไป ทั้งร้านสำเพ็ง (ขายของที่ระลึก), โรงเตี๊ยม, โรงหนัง, โรงนวด และศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมจีนโบราณ นอกจากนี้ ยังมีกังหันน้ำพ่อลูกและหอชมวิว 360 องศา ให้ได้สัมผัสอุทยานมังกรสวรรค์ในมุมสูงอีกด้วย
ก่อนจะปิดท้ายทริปกับการไปสัมผัสวิถีชีวิตพี่น้องชาวไทยพวน ณ บ้านโพธิ์ศรี อำเภอบางปลาม้า ซึ่งเป็นชุมชนหมู่บ้านต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียงและคนดีศรีสุพรรณ พร้อมกับเยี่ยมชมหัตถกรรมจักสานที่มีชื่อเสียง เนื่องจากชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพหัตถกรรมจักสาน รวมถึงชมการนุ่งห่มแต่งกายไทยพวน การปรุงอาหารไทยพวน การต้อนรับบายศรีสู่ขวัญ ร่วมนั่งรับประทานอาหารพื้นบ้านพาแลง ไทยพวน และร่วมฟ้อนรำวงแคนประยุกต์บ้านโพธิ์ศรีกันอย่างสนุกสนาน ^^ อ๊ะ ๆ ยังไม่หมดเท่านั้นนะ เพราะที่บ้านโพธิ์ศรียังให้บริการที่พักแบบโฮมสเตย์ท่ามกลางธรรมชาติที่สมบูรณ์อีกด้วย
เอาเป็นว่าหากมีเวลาก็ลองหาโอกาสแวะเวียนมาเที่ยวสุพรรณบุรีกันดูนะจ๊ะ เพราะมีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากแบบหลายสไตล์รอต้อนรับอยู่ ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานสุพรรณบุรี โทรศัพท์ 0 3553 6030, 0 3553 5789 หรือเว็บไซต์ www.เที่ยวภาคกลาง.com
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
และ