เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ tounka สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
เพราะความเงียบสงบ แวดล้อมด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์ ยังไม่มีแสงสีปรุงแต่ง มีแหล่งดูปะการังที่สมบูรณ์สวยงาม อีกทั้งยังเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งวิถีชีวิตของชาวบ้าน จึงทำให้ "เกาะพยาม" เกาะใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมเล็ก ๆ ของจังหวัดระนอง น่าหลงใหลจนใคร ๆ ก็อยากลองไปสัมผัสสักครั้ง ดังนั้น วันนี้กระปุกท่องเที่ยวเลยขอนำเอาข้อมูลจากเดินทางไปเที่ยวเกาะพยามด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ ของ คุณ tounka สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่บอกเล่าความเป็นเกาะพยามได้อย่างละเอียดยิบ...มาฝากกัน
ทริปนี้ตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะไปเกาะเต่า-เกาะนางยวน เตรียมจองรถ-เรือ และที่พักแล้ว แต่คิดไปคิดมาต้องใช้งบเยอะ อย่างต่ำก็คนละ 4-5 พันบาท ด้วยความที่งบเที่ยวมีไม่มาก เลยเปลี่ยนจุดหมาย ข้ามฝั่งมาที่เกาะพยามแทน เพราะค่ารถ-ค่าเรือ-ค่าที่พัก ถูกกว่าเยอะมาก ความสวยงามอาจจะน้อยกว่า แต่พอได้มาจริง ๆ แล้ว ต้องบอกเลยว่า สวยกว่าที่คิด...
ผมรู้จัก เกาะพยาม ครั้งแรกก็จากที่มีคนมาโพสต์รูป The Blue Sky Resort ในพันทิปนี่แหละ ตอนนั้นยังคิดว่าบนเกาะมีรีสอร์ทแค่ที่เดียว และราคาแพงมาก แต่พอมาหาข้อมูลจริงจังแล้ว ก็ได้รู้ว่าที่นี่มีบังกะโลราคาถูกมากมาย ราคาเริ่มต้นแค่ 200-600 บาท ถ้าแบบติดทะเลก็แพงขึ้นมาหน่อย 800-1500 บาท หาดทรายที่นี่ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่ที่แน่ ๆ เป็นเกาะที่เงียบสงบมาก เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากไปเจอฝูงชนตามเกาะดัง ๆ ที่นี่ส่วนมากจะมีแต่ฝรั่งแบ็คแพ็กเกอร์ และมาเป็นครอบครัว
การเดินทาง (ไป)
ระยะทางจากกรุงเทพฯ ไประนอง ประมาณ 600 กม. ไกลพอสมควรสำหรับการขับรถไปเอง แถมช่วงจากชุมพรไประนองเป็นทางขึ้นเขาคดเคี้ยว กว่าจะไปถึงก็คงเหนื่อยพอสมควร ดังนั้น นั่งรถทัวร์ไปน่าจะสะดวกสุด จากสายใต้ใหม่ มีรถทัวร์ของ บขส./นิวมิตรทัวร์/โชคอนันต์ทัวร์/สมบัติทัวร์ งบเยอะหน่อยก็นั่งแบบ VIP ไปเลย ส่วนผมงบไม่เยอะ เลยเลือกไป ป.1 ของโชคอนันต์ทัวร์ ราคาปัจจุบัน 466 บาท สภาพรถโอเค แต่ขับไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าไปคราวหน้าคงเลือกสมบัติทัวร์ดีกว่าครับ
ขึ้นรถรอบ 20.20 น. ไปถึง บขส.ระนอง ประมาณตีห้า จะมีรถสองแถวเขียนว่า เกาะพยาม-เกาะช้าง ไปท่าเรือ หรือจะนั่งวินไปก็ได้ ราคาไม่แน่ใจ เพราะผมเลือกไปรถกระบะ เพราะตอนแรกอยากเหมารถไปเที่ยววัดหาดส้มแป้น แต่เวลาจำกัด ก็เลยไม่ได้ไป ลุงคนขับรถบอกราคาไปท่าเรือ คนละ 100 บาท ต่อเหลือคนละ 90 บาท
ท่าเรือข้ามไปเกาะพยาม คือ ท่าเรือเทศบาลตำบลปากน้ำ เรือมี 2 แบบ คือ เรือธรรมดา กับ เรือสปีดโบ๊ท สำหรับเรือธรรมดามีรอบ 09.30 น. กับ 14.00 น. ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ราคา 150 บาท เรือสปีดโบ๊ทมีรอบ 10.00 น. กับ 14.30 น. ใช้เวลา 40 นาที ราคา 270 บาท (แต่เห็นมีแบบ 350 บาทด้วย ต่างกันหรือเป็นราคาเก่า อันนี้ไม่แน่ใจครับ) คงไม่ต้องบอกว่าผมเลือกนั่งเรือธรรมดาแน่นอน รอบ 09.30 น. เรือแล่นค่อนข้างช้า เพราะบรรทุกข้าวของเครื่องใช้ที่ไปส่งให้ชาวบ้านบนเกาะด้วย นั่งหลับไปหลายตื่น 11.30 น. ก็มาถึงเกาะ
การเดินทาง (บนเกาะ)
การเดินทางบนเกาะ มีแต่มอเตอร์ไซค์เท่านั้นครับ ถ้าใครขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็น ก็นั่งวินให้ไปส่งที่บังกะโลที่พัก ถ้าขับเป็นก็เช่ามอเตอร์ไซค์ ราคาก็ไม่แพงเลย เกียร์ธรรมดาวันละ 150 บาทเท่านั้น (เกียร์ออโต้ไม่แน่ใจ แต่เวลามาเกาะผมจะเลือกเกียร์ธรรมดาไว้ก่อน เผื่อมีขึ้นลงเขาจะขับง่ายกว่า) ร้านเช่าก็มีเยอะ อยู่แถวท่าเรือ หรือที่บังกะโลส่วนมากก็จะมีให้เช่า
ถนนบนเกาะ ถ้าเป็นถนนเส้นหลัก จะเป็นทางคอนกรีต ขับง่าย ไม่ค่อยมีทางชันขึ้นเขามากเท่าไหร่ ยกเว้นทางไปอ่าวเล็ก ๆ หรือทางลงบังกะโล จะเป็นทางลูกรัง ขึ้นลงเนิน ต้องขับขี่ระวังเล็กน้อย
อ่าวใหญ่
หลังจากเช่ามอเตอร์ไซค์เสร็จ ก็หอบเป้ขึ้นเบาะ ขี่ไปแบบไม่รู้ทาง จองที่พักไว้ที่ อ่าวเขาควาย แต่หลงเลี้ยวไปทาง อ่าวใหญ่ ซะงั้น ก็เลยแวะลงไปถ่ายรูปก่อน
แค่สัมผัสแรกก็ต้องตะลึงในความสวยงามของทะเลที่นี่ หาดทรายกว้างงงงมาก น้ำทะเลเป็นสีน้ำเงินเข้ม ไม่คิดว่าจะเข้มขนาดนี้ แต่หาดที่อ่าวใหญ่แปลกอยู่อย่างนึง คือ ทรายจะเป็นสีดำผสมขาว ดังนั้น น้ำทะเลจะทั้งใสและขุ่น (แปลกมั้ย) เวลาน้ำลงจะเห็นริ้วทรายแปลกตา หาดที่นี่เล่นน้ำได้ ตอนเย็น ๆ จะมีฝรั่งลงเล่นน้ำกันเยอะ พื้นทรายมีทั้งนุ่มและแข็ง (แปลกอีกละ) เอามอเตอร์ไซค์ลงไปขี่ตรงทรายแข็ง ๆ ได้เลย
ถนนมาอ่าวใหญ่มี 2 ทาง คือ วิ่งมาจากท่าเรือ เลี้ยวซ้ายแรกจะเป็นทางมาด้านใต้ของหาด กับเลี้ยวซ้ายที่สอง (แยกโรงเรียน) จะเป็นทางมาด้านเหนือของหาด ที่พักบนหาดมีให้เลือกมากมายตลอดแนวชายหาด
ช่วงเวลาแนะนำ
ช่วงเช้า : ถ้าอยากเห็นท้องฟ้ากับน้ำทะเลสีเข้ม ต้องมาช่วงเช้าครับ เพราะพระอาทิตย์จะอยู่ด้านหลัง ถ้าเป็นช่วงน้ำลงจะเห็นริ้วทรายบนหาดสวยงาม
ช่วงบ่าย : อากาศค่อนข้างร้อน พระอาทิตย์ส่องเต็ม ๆ ถ่ายรูปทะเลไม่ค่อยสวย
ช่วงเย็น : ต้องมาดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ให้ได้ ยามเย็นจะมีฝรั่งออกมาเล่นน้ำ เดินเล่น ตามแนวชายหาด
ร้านแนะนำ
เฟรนส์ บังกะโล อยู่แถวด้านเหนือของหาด เหตุผลที่แวะก็เพราะขี่มอเตอร์ไซค์หาร้านนั่งชิล ๆ ตอนเย็น ที่นี่มีชานไม้ให้นั่ง ๆ นอน ๆ เล่น มีอาหารขาย เมนูแนะนำ แพนเค้กกล้วย ที่จริงมีชีสเค้กด้วย แต่เสียดายวันนั้นหมด
ข้อดี-ข้อด้อย ของอ่าวใหญ่
ข้อดี : หาดทรายกว้าง เล่นน้ำได้ มีคลื่นแรงบางช่วง ลมพัดเย็นสบาย ทะเลสวยตอนเช้า พระอาทิตย์ตกสวย มีที่พัก-ร้านอาหาร ให้เลือกเยอะ
ข้อด้อย : ทรายเป็นสีดำผสมขาว ทำให้น้ำขุ่นบ้าง ระยะทางจากท่าเรือมาค่อนข้างไกล (แต่ถนนดี)
อ่าวเขาควาย
มาต่อกันที่ อ่าวเขาควาย ผมจองที่พักไว้ที่ วิจิตรบังกะโล ราคาถูกสุดคืนละ 300 บาท อยู่ทางด้านอ่าวเขาควายใต้
อ่าวเขาควาย จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ อ่าวเขาควายใต้ กับ อ่าวเขาควายเหนือ ถ้าต้องการความสงบให้เลือกพักด้านใต้ เพราะด้านใต้มีที่พักแค่ 4-5 แห่ง ตอนกลางคืนเงียบสงบมาก ส่วนทางด้านเหนือจะค่อนข้างคึกคักกว่า เพราะตอนกลางคืนมีกิจกรรมมีเสียงเพลงดังมาถึงด้านใต้ คืนแรกที่ไปมีจุดพลุกันด้วย
ถ้าเทียบความสวยแล้ว อ่าวเขาควายอาจจะสวยน้อยกว่าอ่าวใหญ่ แต่ก็ถือว่าสวยไปอีกแบบ เม็ดทรายของที่นี่จะเป็นสีขาวละเอียด แต่มีดินโคลนบ้างเพราะอยู่ใกล้กับป่าชายเลน จุดเด่นของอ่าวนี้ คือ ความเวิ้งว้าง เวลาน้ำลงจะเดินออกไปจากฝั่งได้ไกลมาก เพราะหาดทรายจะค่อนข้างตื้น ถ้าเดินไปด้านซ้ายจะไปยังหมู่บ้านชาวมอแกนได้ แต่ผมไม่ได้ไปเพราะสู้แดดไม่ไหว
ช่วงเวลาแนะนำ
ช่วงเช้า : น้ำทะเลและท้องฟ้าเป็นสีเข้ม มุมถ่ายรูปแนะนำตรงด้านอ่าวเขาควายใต้จะมีโขดหินรูปร่างคล้ายซุ้มประตู
ช่วงบ่าย : เป็นช่วงน้ำลง เดินออกไปกลางอ่าว ให้ความรู้สึกเวิ้งว้างมากกกก
ช่วงเย็น : สามารถดูพระอาทิตย์ตกได้เช่นกัน แต่จะพระอาทิตย์ตกด้านข้างซ้ายของอ่าว อาจจะเห็นแค่แสงยามเย็น ไม่เห็นพระอาทิตย์ตกน้ำ
ร้านแนะนำ
ที่อ่าวเขาควาย ผมกินข้าวมื้อแรกที่ วิจิตรบังกะโล แค่มื้อเดียว เพราะราคาแพงและไม่ค่อยอร่อย จึงแนะนำให้ไปกินที่อื่นดีกว่า
ข้อดี-ข้อด้อย ของอ่าวเขาควาย (ใต้)
ข้อดี : บรรยากาศเงียบสงบ เดินลงไปในอ่าวได้ไกลมาก คลื่นไม่แรง
ข้อด้อย : ไม่ค่อยเหมาะแก่การเล่นน้ำ เพราะหาดตื้นมาก และเป็นดินโคลนบางจุด มีลมน้อย นั่งชิลไม่ค่อยได้เพราะค่อนข้างร้อน
วิจิตรบังกะโล
ที่พักราคาถูกบนเกาะพยามมีให้เลือกเยอะมาก แต่ละที่ก็บรรยากาศเงียบสงบ ผมสุ่มเลือกเอา โดยเลือกที่อ่าวเขาควายใต้ เพราะเห็นว่าน่าจะสงบดี ห้องพักมีให้เลือกตั้งแต่ราคา 300-1,500 บาท ราคา 800 ขึ้นไปจะติดหาด ส่วนราคา 300 บาทที่ผมพักนั้น ไม่ติดหาด แต่ก็ไม่ไกลหาดมาก
ที่พักบนเกาะพยามส่วนมากจะไม่มีไฟฟ้าใช้ตลอด 24 ชม. เพราะต้องปั่นไฟเอง สำหรับที่วิจิตรบังกะโล จะเปิดไฟเวลา 18.00 น. ถึง 06.00 น. คือมีไฟให้ใช้ตอนกลางคืน เปิดพัดลมได้แน่นอน ไม่ต้องกลัวร้อน ส่วนตอนกลางวันไม่ควรอยู่ในห้อง เพราะไม่มีไฟใช้ อากาศร้อนมาก
ที่พักถือว่าโอเค มีมุ้ง มีพัดลม มีผ้าเช็ดตัวให้ เตียง ผ้าปู ผ้าห่ม หอมสะอาด น้ำไหลปกติ ช่วงหัวค่ำอากาศอาจจะร้อน ถ้าไม่กลัวก็เปิดหน้าต่างนอนได้ แต่ถ้ากลัวตุ๊กแกเข้าก็ปิดหน้าต่างไว้ได้ เพราะช่วงหลังเที่ยงคืนอากาศจะเริ่มเย็น
คนดูแลของที่นี่จะเป็นฝรั่ง และคนงานชาวเมียนมาร์ พูดไทยได้ ตอนจองก็กรอกแบบฟอร์มในเว็บของที่นี่ แล้วมีอีเมลตอบกลับมาจากฝรั่งชื่อ Kris (น่าจะเป็นคนเยอรมัน เพราะในเว็บมีภาษาเยอรมัน) ว่าจองเรียบร้อยแล้ว ถ้าคอนเฟิร์มการจอง ให้โทรไปแจ้งก่อนวันพัก 3 วัน
ข้อดี-ข้อด้อย ของวิจิตรบังกะโล
ข้อดี : ห้องพักราคาไม่แพง สภาพดี บรรยากาศส่วนตัว เงียบสงบ มีฝรั่งมาพักเยอะ ส่วนมากเป็นครอบครัว มีเด็กเล็ก พนักงานที่เป็นชาวเมียนมาร์ สุภาพ บริการดี
ข้อด้อย : ห้องพักที่ไม่ติดหาด ไม่ค่อยโดนลม อากาศร้อน แต่อ่าวเขาควายไม่ค่อยมีลมอยู่แล้ว
อ่าวกวางปีป
ตอนที่หาข้อมูลก็ดู ๆ ที่อ่าวกวางปีปไว้เหมือนกันครับ แต่ที่พักบนอ่าวนี้มีแค่แห่งเดียว คือ กวางปีป รีสอร์ท ราคาห้องพักที่อยู่ 900-2,500 บาท เกินงบไปหน่อย และเส้นทางไปลำบากเล็กน้อย ก็เลยไม่ได้พักที่นี่ แต่ได้ยินมาว่าหาดทรายที่นี่สวย และเป็นแหล่งดำน้ำ ก็เลยลองขี่มอเตอร์ไซค์มากินข้าวที่รีสอร์ท
ทางไปอ่าวกวางปีป ขี่ขึ้นไปทางเหนือของเกาะเรื่อย ๆ ถนนจะค่อย ๆ แคบลง และกลายเป็นทางดินลูกรัง มีทางขึ้นลงเนินบางช่วง ชันสุดอยู่ก่อนถึงอ่าว แต่ไม่ค่อยโหดมากเท่าถนนบนเกาะเสม็ด พอขี่มาได้สบาย ๆ ถึงแล้วก็เดินลงมายังรีสอร์ท
ที่นี่ส่วนมากจะมีแต่ฝรั่งมาพัก หาดทรายของอ่าวกวางปีปเงียบสงบ และสวยงามมาก น้ำทะเลใส เล่นน้ำได้สบาย เรามากินข้าวมื้อเที่ยงกันที่นี่ เสร็จแล้วก็เช่าสน็อกเกิลลงเล่นน้ำ ที่จริงใต้น้ำก็ไม่มีอะไรให้ดูมาก ดำแบบขำ ๆ แค่ชั่วโมงเดียวผิวก็ไหม้เกรียมแล้ว
ช่วงเวลาแนะนำ
เนื่องจากผมไปที่นี่แค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง คือ 10.00 น. ถึง 12.30 น. เท่านั้น ก็เลยบอกไม่ได้ว่าที่อ่าวนี้ช่วงเช้ากับช่วงบ่ายบรรยากาศเป็นยังไงบ้าง เห็นพระอาทิตย์ขึ้น-ตกหรือไม่ เพราะอ่าวอยู่ทางด้านเหนือของเกาะ ต้องให้ผู้รู้มาแนะนำครับ
ข้อดี-ข้อด้อย ของอ่าวกวางปีป
ข้อดี : เงียบสงบ น้ำทะเลใส หาดทรายน่าจะสวยที่สุดบนเกาะพยาม ร้านอาหารของรีสอร์ทอาหารอร่อย ราคาไม่แพงมาก (มื้อนั้นเสียแค่ 240 บาท)
ข้อด้อย : การเดินทางมาลำบากเล็กน้อย ถนนไม่ค่อยดี ไปหาดอื่น ๆ ตอนกลางคืนลำบาก
อ่าวแม่หม้าย
เป็นที่ตั้งของท่าเรือ เมื่อข้ามมาถึงเกาะพยามแล้วต้องเจอกับอ่าวแม่หม้ายก่อน เป็นแหล่งรวมของร้านค้า ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ แต่หาดส่วนใหญ่จะเป็นโขดหิน ลงเล่นน้ำไม่ได้ บนหาดจะมีขยะค่อนข้างเยอะ ห่างออกไปไม่ไกลเป็นที่ตั้งของ วัดเกาะพยาม มีจุดเด่น คือ มีโบสถ์กลางน้ำ ถ้านั่งเรือมาก็จะเห็นโบสถ์ตั้งอยู่โดดเด่นก่อนถึงเกาะ
ช่วงเวลาแนะนำ
ช่วงเช้า : แน่นอนว่าต้องมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่อ่าวนี้ เพราะอ่าวหันหน้าเข้าทิศตะวันออก เดินลัดเลาะไปตามโขดหินและเนินทราย แต่ต้องระวังเศษแก้วที่มีเยอะมาก และบรรดาน้องหมาเจ้าถิ่นอาจจะออกมาเห่าเล็กน้อย
ช่วงบ่าย : ทะเลและท้องฟ้าฝั่งนี้จะเป็นสีเข้ม ส่วนที่เป็นหาดทรายจะเป็นสีส้มดูแปลกตา สวยงาม มีเสน่ห์แตกต่างจาก อ่าวใหญ่ และ อ่าวเขาควาย ทางฝั่งตะวันตก
ช่วงเย็น : จะได้เห็นแสงอาทิตย์อ่อน ๆ เล็กน้อย ตอนค่ำ ๆ ไปนั่งชิลตามร้านที่อยู่ชายหาด ก็มีให้เลือกเยอะ
ข้อดี-ข้อด้อย ของอ่าวแม่หม้าย
ข้อดี : พระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าสวยงาม เป็นแหล่งรวมของร้านค้า ร้านอาหาร
ข้อด้อย : บริเวณชายหาดมีขยะ และเศษขวดเศษแก้วเยอะมาก ถ้าไปเดินถ่ายรูปต้องระวัง
The Blue Sky Resort
ถึงจะไม่ได้มาพักที่นี่ เพราะราคาแพงมาก ค่าที่พักแค่คืนเดียว ก็พอ ๆ กับค่าทริปทั้งทริปนี้แล้วครับ (ค่าทริปจะสรุปในตอนท้าย) แต่ไหน ๆ ก็มาถึงเกาะพยามทั้งที ก็ขอลองแวะมาสักหน่อยแล้วกัน แต่แค่มาทานของว่างช่วงบ่ายก็พอ
ร้านอาหารของที่นี่ออกแบบได้สวยงามทีเดียว แล้วบรรยากาศก็ดีมาก แม้ว่าจะเป็นตอนบ่าย อากาศร้อน ๆ จากข้างนอก พอเข้าไปในหลังคาปุ๊บ เย็นสบายทันที นั่งเพลินกันไปเลย ราคาอาหารของที่นี่แพงกว่าร้านอื่น ๆ เมนูละ 20-30 บาท คือ ร้านทั่วไป ราคากลาง ๆ จะอยู่ที่เมนูละ 80-90 บาท แต่ที่นี่อยู่ที่ 100-120 บาท
สำหรับเมนูของว่าง ได้รับการแนะนำจากพนักงานว่าให้ลองชิม บลูบานาน่า ตอนแรกก็ไม่รู้จักว่าเป็นยังไง ก็เลยลองดู เป็นลักษณะคล้ายปอเปี๊ยะทอด ข้างในเป็นบลูเบอร์รีกับกล้วย อร่อยมาก แนะนำเลยครับ ราคา 140 บาท
ช่วงเย็นเรากลับมากินอาหารเย็นที่นี่อีกรอบ เพราะอยากถ่ายร้านอาหารช่วงหัวค่ำ อาหารรสชาติใช้ได้ ที่ร้านอาหารช่วงเย็นจะต่างจากช่วงบ่ายมาก ช่วงบ่ายบรรยากาศจะชิล ๆ มีแต่ฝรั่งมานั่ง แต่พอตกเย็นมีแต่คนไทยนั่งเต็มเกือบทุกโต๊ะ ก็เป็นคนที่มาพักที่นี่ เลยสงสัยว่าตอนกลางวันคนไทยหายไปไหนกันหมด ไปไหนก็เห็นแต่ฝรั่ง
ในส่วนของห้องพัก เมื่อไม่ได้พักที่นี่ก็เลยไม่ได้เข้าไปถ่าย แต่ช่วงที่ไปน้ำลงค่อนข้างเยอะ ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ (องุ่นเปรี้ยวนะเนี่ย) ถ้าจะมาพักที่นี่ต้องดูช่วงที่น้ำขึ้นเยอะจะสวยกว่า ช่วงไหนน้ำขึ้นน้ำลงเยอะ สอบถามกับทางรีสอร์ทได้ครับ
ช่วงเวลาแนะนำ
ช่วงเช้า : ตอนเช้าไม่ต้องไปไหนไกล ดูพระอาทิตย์ขึ้นจากหน้าที่พักได้เลย
ช่วงบ่าย : น้ำทะเลฝั่งนี้จะเป็นสีเข้ม มานั่งเล่นที่ร้านอาหาร บรรยากาศชิลมาก
ช่วงเย็น : แม้ไม่เห็นพระอาทิตย์ตก แต่บรรยากาศยามเย็นก็สวยงามใช้ได้
ข้อดี-ข้อด้อย ของ The Blue Sky Resort
เนื่องจากผมไม่ได้มาพักที่นี่ ก็เลยมิอาจบอกข้อดีข้อด้อยได้เต็มที่นัก เอาไว้มีโอกาสมาพักฟรีก่อนนะ
ร้านอาหารแนะนำ ห้ามพลาด! ร้านครัวคุณเก้า
สิ่งหนึ่งที่ต้องทำใจเวลามาเที่ยวเกาะก็คือ ค่าอาหารจะค่อนข้างแพงเป็นปกติ แต่ถ้าแพงแล้วอร่อยก็ถือว่าไม่เสียดายมาก บนเกาะพยามมีร้านอาหารหลายร้าน ถ้าเป็นร้านบรรยากาศดีริมหาด ราคาอาจจะแพง และรสชาติอาจจะงั้น ๆ (บางร้าน) แต่ร้านที่ไม่ได้ติดหาด แต่รสชาติดี ราคาไม่แพง ขอแนะนำร้านนี้เลยครับ ร้านครัวคุณเก้า
ร้านครัวคุณเก้า อยู่ระหว่างทางที่จะไปอ่าวใหญ่ (แยกโรงเรียน) ตรงไปเรื่อย ๆ จะผ่านทางแยกขวาไปอ่าวเขาควายใต้ เลยไปอีกนิดเดียว จะเจอร้านครัวคุณเก้าอยู่ทางด้านขวามือ เราแวะร้านนี้ครั้งแรกก็เพราะเห็นป้ายขายสมูทตี้ น้ำผลไม้ปั่น สั่งน้ำสตรอว์เบอร์รีปั่น รสชาติเข้มข้นมาก ราคาก็แค่ 50 บาท (ถือว่าถูกกว่าร้านอื่น) ก็เลยติดใจ จะลองมากินข้าวตอนเย็น
ราคาอาหารที่นี่ถือว่าไม่แพง เมื่อเทียบกับร้านอื่นบนเกาะ เมนูอย่างแกงจืดเต้าหู้ธรรมดา ๆ อยู่ที่ 50 บาท เมนูแนะนำเลยก็คือ ปลาราดพริก อร่อยจนน้ำตาแทบไหล
เสียดายที่ได้กินร้านนี้แค่มื้อเดียว เพราะวันต่อมากะว่าจะมากินอีก แต่เมื่อวานวันที่เรามากินขายดีจัดจนของหมด ปิดร้านนอนเลยครับ!
น้องหมาพาเพลิน
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมหลงรักเกาะพยามไปเลย ก็คือ บรรดาน้องหมา ๆ ทั้งหลาย ที่มีอยู่แทบทุกแห่งบนเกาะนี้ เรียกได้ว่าไปทางไหนก็เจอ ไปหาดไหนก็เจอ แล้วทุกตัวก็เป็นมิตรกับคนมาก แค่เราเดินไปก็พากันมาชวนเราไปเล่นด้วยแล้ว ตอนที่จะขึ้นเรือ เห็นมีลุงฝรั่งคนนึงถือถุงอาหารหมาไปด้วย ก็สงสัยว่าเอาไปทำไม พอมาถึงเกาะก็หายสงสัยทันที กลับไปคราวหน้าก็คงมีอาหารสำหรับหมาติดไปด้วยแน่นอน
ตัวแรกที่รู้จักกัน อยู่ที่อ่าวใหญ่ หน้าเฟรนด์บังกะโล เป็นน้องหมาสีน้ำตาล ยังเด็กอยู่เลย เดินถ่ายรูปอยู่ดี ๆ ก็เดินมากระดิกหางให้ ทำท่าเหมือนชวนเล่น แล้วก็วิ่งนำหน้าลงทะเลไปเลย ชอบโต้คลื่นมาก เห็นคลื่นแล้วกระโจนเข้าใส่ จนกลัวว่าจะโดนคลื่นซัดออกไป แต่ก็ไม่เกินความสามารถของเจ้านี่เลย
อีกแก๊งนึงที่ซ่ามาก อยู่ที่อ่าวเขาควาย เป็นหมาหนุ่ม 3 ตัว วิ่งลงน้ำไปจับปลา! วิ่งออกไปไกลมาก ไอ้เราก็ตามไปดูว่ามันทำอะไรกัน ที่ไหนได้ย่องลงไปจับปลา ใช้เวลาอยู่เป็นชั่วโมง จับไม่ได้สักตัว มีตัวนึงอยู่ ๆ ก็นั่งลงแช่น้ำทะเลซะงั้น แล้วก็มีตัวนึงตั้งใจจะจับปลาเพลินไปหน่อย จนน้ำเริ่มขึ้น อีก 2 ตัวขึ้นฝั่งกันหมดแล้ว เจ้าตัวนี้เหมือนหาทางกลับไม่เจอ หาเพื่อนไม่เจอ ต้องช่วยลุ้นเพราะน้ำขึ้นท่วมตัวแล้ว จนเพื่อนบนฝั่งเห่า เลยได้ยินเสียงวิ่งแจ้นกลับขึ้นฝั่งเลย
การเดินทาง (กลับ)
สำหรับขากลับ เรือมี 2 แบบเหมือนเดิม คือ เรือธรรมดา มีรอบ 08.30 น. กับ 14.00 น. และเรือสปีดโบ๊ท มีรอบ 09.00 น. กับ 13.00 น.
ปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะเลือกกลับเรือรอบบ่าย เพราะไปถึงตัวเมืองระนองเย็น ขึ้นรถทัวร์รอบค่ำ กลับถึงกรุงเทพฯ เช้า แต่เราไม่อยากกลับถึงกรุงเทพฯ เช้า ก็เลยเลือกกลับเรือธรรมดาตั้งแต่รอบ 08.30 น. ไปถึงฝั่ง 10.30 น. ขากลับที่ท่าเรือจะไม่มีรถสองแถว ถ้าต้องการไป บขส.ต้องไปรถกระบะรับจ้างเท่านั้น ราคาคนละ 70 บาท ถือว่าพอรับได้ครับ
ถ้าต้องการไปถึงกรุงเทพฯ ไม่เกินเที่ยงคืน ต้องนั่งรถทัวร์ช่วงบ่ายเท่านั้น ซึ่งโชคร้ายหน่อยที่รถทัวร์ ป.1 และ VIP ของทุกบริษัท จะมีรอบเช้าและมีอีกทีรอบค่ำเลย คือข้ามเรือกลับมาช่วงสาย ๆ ก็จะไม่มีรถกลับ ตอนแรกคิดไว้ว่าจะนั่งรถตู้จากระนองไปชุมพร ที่น่าจะมีรอบรถทัวร์ให้เลือกเยอะกว่า แต่ก็กลัวจะไปไม่ทัน ก็เลยจำใจต้องนั่งรถ ป.2
คงทราบกันว่าการเดินทางระยะไกล ควรหลีกเลี่ยงรถ ป.2 แต่ในเมื่อเวลาบีบบังคับ ก็เลยจำเป็นต้องนั่งรถเที่ยว 13.30 น. ใช้เวลากว่า 9 ชั่วโมง ในการนั่งรถที่แอร์ไม่ค่อยเย็น ยิ่งช่วงบ่ายยิ่งร้อน แต่จะค่อยยังชั่วเมื่อถึงตอนค่ำ เบาะนั่งแข็ง เจ็บตูด เส้นทางจากระนองไปชุมพรคดเคี้ยว ช่วงล่างรถแข็ง กระเด้งตลอดทาง แนะนำให้กินยาแก้เมารถ ช่วงแรก ๆ นึกว่าจะไม่ไหวซะแล้ว แต่พอนั่งไปได้ครึ่งทางก็เริ่มจะชาชิน ช่วงค่ำหลังจากแวะให้กินข้าวก็หลับยาว ถึงสายใต้ใหม่ 23.00 น.
ค่ารถ 360 บาท ถูกกว่า ป.1 ร้อยกว่าบาทเท่านั้น ดังนั้น ถ้าใครคิดจะขึ้นรถ ป.2 ด้วยความที่มันถูกกว่า ขอให้คิดใหม่ครับ เพราะถูกกว่ากันไม่เท่าไหร่ และต้องซื้อข้าวกินเองจานละ 35-40 บาท รวมแล้วก็ต่างกันไม่กี่บาท ถ้าจะขึ้น ป.2 จริง ๆ ต้องมีความจำเป็นเรื่องเวลา ที่ไม่อยากมาถึงกรุงเทพฯ เช้า แล้วต้องไปทำงานต่อ
สรุปค่าทริป
ค่าเดินทาง + ที่พัก
ค่ารถทัวร์ ป.1 ขาไป คนละ 466 บาท x 2 คน = 932 บาท
ค่ากระบะจาก บขส.ไปท่าเรือ คนละ 90 บาท x 2 คน = 180 บาท
ค่าเรือธรรมดาขาไป คนละ 150 บาท x 2 คน = 300 บาท
ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ วันละ 150 x 2 วัน = 300 บาท
ค่าน้ำมัน เติมครั้งเดียว ขวดละ 50 บาท = 50 บาท
ค่าที่พัก คืนละ 300 บาท x 2 คืน = 600 บาท
ค่าเรือธรรมดาขากลับ คนละ 150 บาท x 2 คน = 300 บาท
ค่ารถรถกระบะจากท่าเรือไป บขส. คนละ 70 บาท x 2 คน = 140 บาท
ค่ารถทัวร์ ป.2 ขากลับ คนละ 360 บาท x 2 คน = 720 บาท
รวมทั้งหมด = 3,522 บาท หรือ คนละ 1,761 บาท
ค่ากิน
มื้อที่ 1 มื้อเช้าวันแรก ร้านที่ท่าเรือ = 120 บาท
มื้อที่ 2 มื้อกลางวันวันแรก ร้านอาหารที่วิจิตรบังกะโล (บวกค่าน้ำเปล่า 3 วัน คิดบิลรวม) = 370 บาท
มื้อที่ 3 มื้อเย็นวันแรก ร้านครัวคุณเก้า = 310 บาท (บวกค่าสมูทตี้+น้ำเปล่า 65 บาท) = 375 บาท
มื้อที่ 4 มื้อสายวันที่สอง ร้านอาหารที่กวางปีปรีสอร์ท = 240 บาท (บวกค่าสน็อกเกิล 2 อัน 60 บาท) = 300 บาท
มื้อที่ 5 มื้อบ่ายและมื้อเย็นวันที่สอง ร้านอาหารที่ Blue Sky Resort = 330 + 385 = 715 บาท
มื้อที่ 6 มื้อเที่ยงวันที่สาม (วันกลับ) ร้านอาหารแถว บขส. = 170 บาท
มื้อพิเศษ แพนเค้กกล้วย+โค้ก ร้านเฟรนด์บังกะโล = 103 บาท
รวมทั้งหมด = 2,153 บาท หรือ คนละ 1,076 บาท
รวมค่าทริปทั้งหมดทั้งสิ้น = 5,675 บาท หรือ คนละ 2,837 บาท