บ้านดวงไฟ ที่เกาะตะเภาน้อย จังหวัดภูเก็ต

เกาะตะเภาน้อย


บ้านดวงไฟ ที่เกาะตะเภาน้อย (อ.ส.ท.)


ธเนศ งามสม...เรื่อง
ธเนศ งามสม, โสภณ บูรณประเพฤกษ์ และ ธีระพงศ์ พลรักษ์...ภาพ

          เมื่อตะวันคล้อยลับขอบฟ้า ตะเกียงประภาคารเกาะตะเภาน้อยก็เริ่มส่องแสง โดยมีนายประภาคาร หรือ "คนเฝ้าไฟ" คอยตรวจตราดูแล กว่า 100 ปีล่วงเลยผ่าน ประภาคารนี้ยังคงทำหน้าที่ "ดวงประทีปแห่งท้องทะเล" นำทางเรื่อลำน้อยกลับคนแผ่นดินแม่

เกาะตะเภาน้อย

1. เหมือนโลกอีกใบ

          คือความรู้สึกแรกที่ก้าวขึ้นเกาะเล็ก ๆ ขนาด 58 ไร่ ในทะเลอันดามัน เกาะภูเก็ตมองเห็นตรงขอบฟ้าทิศใต้ ถัดจากชายหาดรูปจันทร์เสี้ยวไปไม่ไกล คือ เกาะตะเภาใหญ่ ถึงกระนั้นก็เถอะ ก้าวแรกที่เหยียบยืนบนเกาะตะเภาน้อย อารมณ์รับรู้หนึ่งก็จู่จับโดยไม่ได้คาดหมายล่วงหน้า เหมือนโลกอีกใบ...

          เราอยู่ที่นี่ 4 วัน 4 คืน โดยขอปันพื้นที่จากนายประภาคาร 2 นาย ซึ่งต่อมาเราเรียกพวกเขาว่า "คนเฝ้าไฟ" กับหมา 3 ตัว นกแก๊กฝูงหนึ่ง และสรรพชีวิตที่เติบโตผลิดอกใบอยู่บนเกาะนี้มานับหมื่นวงรอบปี เราผู้มาเยือน 4 คน บนเกาะซึ่งแทบไม่มีใครมาพักค้างแรมคืน

          ขณะอยู่บนเกาะตะเภาน้อย พูดได้ว่าเวลาที่นี่หมุนไปอย่างเนิบช้า เรามองเห็นทุก ๆ องคาพยพคล้อยเคลื่อนเลื่อนไหล ตะวันส่องฉาย ปุยเมฆล่องลอย น้ำลงในยามสาย และขึ้นอีกครั้งในยามตะวันคล้อยเส้นขอบน้ำขอบฟ้า ในโมงยามเหล่านั้นเอง ที่ผมได้เรียนรู้สิ่งสำคัญลำดับแรก ๆ คือไม่ควรเรียกร้องสิ่งใดมากเกินสามัญ ไม่ควรเรียกร้องแดดสด ฟ้าคราม หรือห้ามพายุฝนฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ควรเรียกหาความคิดคำนึงจากใคร ๆ ในเมืองใหญ่แสนไกล...

เกาะตะเภาน้อย

          อยู่บนเกาะ ชีวิตเรามีจังหวะก้าวอยู่สองแบบด้วยกัน คือ ไม่ขึ้นภูเขาก็เลาะเลียบชายหาดลงทะเล ในยามเช้าฝูงนกแก๊กมักมาเยี่ยมเราตรงชานบ้านไม้ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม พันจ่าเอก สนิท แสงสุริยา นายประภาคารประจำเกาะ มักวางข้าวสุกไว้ให้พวกมันบนแป้นไม้ พอลวงบ่าย ผมจะตามพวกมันขึ้นไปบนภูเขา บางวันพวกมันพาฝูงไปหากินตามแนวหน้าผา ผมทำได้เพียงยืนมองแดดทอวับวาม นิ่งมองผีเสื้อและนกเล็ก ๆ บินร่อนใต้เรือนยอดไม้ บางเย็นผมพึงใจที่จะวางกล้องไว้ชั่วคราว ออกก้าวเดินไปบนชายหาดรูปจันทร์เสี้ยว ขณะเพื่อนบางคนใช้เวลาบนชิงช้าที่แขวนร้อยใต้ต้นมะขามใหญ่ บ้างก็อยู่กับตนเองเงียบ ๆ บนสะพานเทียบเรือซึ่งทอดยื่นออกไป บางเย็นเราดุ่มเดินขึ้นภูเขาไปกับคนเฝ้าไฟ ปีนขึ้นไปบนประภาคารเก่าแก่สีขาว เพี่อจะมองออกไปยังโลกภายนอก ซึ่งกว้างใหญ่เหลือเกินเมื่อเทียบกับเกาะที่เราอยู่เยือน

          ตกค่ำพวกเรา 4-5 คน นั่งล้อมวงกันที่ชานบ้านไม้ กินอาหารที่ทำกันขึ้นเองง่าย ๆ แลกเปลี่ยนเรื่องเล่า นั่งฟังเรื่องราวอันโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา และแง่มุมชีวิตมากหลากสีสันจากคนเฝ้าไฟ 4 วัน 4 คืน บนเกาะตะเภาน้อยไม่ถือว่ายากลำบากนัก เพื่อนบางคนเอ่ยทำนองว่า นับเป็นการรอนแรมที่น่าจดจำยิ่ง ที่ได้พบโลกอันเงียบสงบเย็นใจใน พ.ศ. นี้

          ผมเห็นด้วยกับเขา ระหว่างทำงานอยู่บนเกาะ ที่ถือว่ายากลำบากก็คงมีแค่เพียง หากปราศจากเสียงเครื่องปั่นไฟซึ่งดังกังวานในทุกค่ำคืนแล้ว เราก็ต้องจำทนฟังเสียงเต้นของหัวใจตนเอง

เกาะตะเภาน้อย

เกาะตะเภาน้อย

2. ประหนึ่งหอคอยอันโดดเดี่ยว

          คือโมงยามแรกที่ประภาคารเกาะตะเภาน้อยปรากฏ ณ หัวเรือเบื้องหน้า ลักษณะทรงสอบสูงขึ้นไป สีขาว ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา ชวนให้นึกถึงหนังสักเรื่อง บรรยากาศห่อห่มไว้ด้วยป่าดิบชื้น อีกทั้งมรสุมซึ่งพร้อมจะจมเรือทุกลำที่แล่นเฉียดเข้ามา ในวันแรกมาเยือน คลื่นหัวแตกม้วนเกลียวทั่วทะเลอันดามัน แดดจัดจ้า ทว่าบนภูเขาใจกลางเกาะกลับคลุมอยู่ด้วยเมฆทึมเทา

          ก้าวขึ้นบนเกาะ แหงนมองขึ้นไป ประภาคารสีขาวดูราวภาพลวงตาห้อมล้อมด้วยป่าดิบดั่งผืนพรมนุ่มหนา ในวันนั้นผมเลือกที่จะแหงนมอง "เขา" อยู่ไกล ๆ ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับเขาผ่านคนเฝ้าไฟที่อยู่ร่วมมานานนับสิบปี

เกาะตะเภาน้อย

          "ผมมาประจำเกาะนี้ครั้งแรกเมื่อปี 2535" เรือโท สุชิน รักชาติ นายประภาคารเกาะตะเภาน้อยเอ่ยพลางมองแสงวับวาบบนยอดเขา หากเปรียบเขาเป็นคน ถึงวันนี้ประภาคารเกาะตะเภาน้อยก็ล่วงเลยปลายวัยชราแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ. 2442 เขาถูกสร้างขึ้น ณ จุดสูงสุดบนเกาะนี้ หลังจากสร้างประภาคารแห่งแรกของไทยที่หินสัมปะยื้อ อำเภอสีชัง จังหวัดชลบุรี เมื่อ พ.ศ. 2434 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยภูมิประเทศดังกล่าว ใช้เวลาหลายปีด้วยความเหนื่อยยาก เขาจึงยืนตระหง่านด้วยความสูง 11 เมตร พร้อมติดตั้งตะเกียงดวงใหญ่ ซึ่งส่องนำทางแก่คนเดินเรือได้ไกลถึง 20 ไมล์ทะเล หรือ 23.70 กิโลเมตร ในทุกทิศทาง

          เคียงข้างประภาคาร มีการสร้างเรือนอาศัยของคนฟ้าไฟ อาคารชั้น เดียวทรงชิโน-โปรตุกีส ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาคารแรกของจังหวัดภูเก็ต
 

เกาะตะเภาน้อย

          "ยุคแรก ๆ นายประภาคารก็อยู่บ้านหลังนั้นละครับ ผมก็เคยอยู่ แต่พอเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าก็ไม่ต้องอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลาได้" พี่สุชินเล่า ขณะนั้นตะวันลับเส้นขอบน้ำไปแล้ว ดวงไฟประภาคารเริ่มทำหน้าที่ตามแสงสว่างที่ลดน้อยลง ฉายแสงวับวาบซึ่งเรียกว่า "วับหมู่สีขาว" เสมือนข้อความส่งไปยังคนเดินเรือทั้งหลาย

          ประภาคารแต่ละแห่งจะใช้ไฟ "วับ" ไม่เหมือนกันนะครับ มีทั้งวับหมู่และวับเดี่ยว และจะวับแตกต่างกันออกไป 256 ไฟ คนเดินเรือจึงต้องมีแผนที่เดินเรือ ซึ่งนอกจากทิศทาง ระดับน้ำ เกาะน้อยใหญ่ และโขดหินแล้ว ยังมี "ลักษณะ" ของไฟอธิบายไว้โดยละเอียด เช่น เมื่อแล่นเรือมาพบแสงวับหมู่สีขาว 6 วับทุก ๆ 15 วินาที นั่นหมายถึงเรือเข้าใกล้เกาะตะเภาน้อย อีกเพียง 30 ไมล์ทะเล ก็จะถึงผืนแผ่นดินใหญ่แล้ว

เกาะตะเภาน้อย


3. ดวงดาวเสมือนดวงไฟ ประดับประดาราตรีแห่งท้องทะเล


        โมงยามบนเกาะทุก ๆ วันดำเนินไปเช่นนี้ เมื่อตะวันลับลา สรรพสิ่งบนเกาะก็คล้ายหยุดเคลื่อนไหว มีเพียงเสียงเกลียวคลื่นกลืนกลบผืนทราย แมลงบางสายพันธุ์กรีดปีก และถ้อยสนทนาของพวกเราจากบ้านไม้หลังน้อย เรื่องเล่าจึงเป็นความรื่นรมย์เดียวที่เรามี ขณะขอบฟ้าทิศใต้ปรากฏเกาะภูเก็ตประดับดวงไฟหลากสี

        "ในหมู่นายประภาคารอย่างเรา ๆ ถ้าใครผ่านเกาะจวงมาแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวว่าที่ไหนจะลำบากอีก" พี่สุชินเริ่มเรื่องเล่า เป็นเหมือนปูมของคนเฝ้าไฟ ประภาคารเกาะจวงนับว่าเก่าแก่อันดับ 2 สร้างเมื่อ พ.ศ. 2440 ทว่าในความ "ยาก" แล้ว คนเฝ้าไฟยกให้ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยระดับปริญญาเอก ด้วยเกาะจวงตั้งอยู่ค่อนอ่าวไทย เขตอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จุดบรรจบของ "น้ำสามเส้า" กระแสน้ำไหลวนมาบรรจบกันสามสาย ที่ซึ่งท้องทะเลปั่นป่วนแทบทั้งปี

        "ที่นั่นคลื่นลมแรงตลอดละครับ จะขึ้นฝั่งทีก็ยากเหลือใจ ต้องไปกันสองคน ผลัดกันถือท้ายเรือ ดูลมดูคลื่น"

เกาะตะเภาน้อย

        จากเกาะตะเภาน้อย พี่สุชินไปประจำการที่เกาะจวงอยู่ 5 ปี ใช้ชีวิตเหมือนคนติดเกาะ มีเพียงทะเลกับกระโจมไฟเสมือนเพื่อนยาก วันเดือนผ่านไปด้วยการเดินขึ้นลงเขา ปีนขึ้นไปเติมน้ำมันตะเกียง เพี่อให้ดวงไฟวับวาบออกไปในรัศมี 29 ไมล์ทะเล ตลอด 24 ชั่วโมง ทุก ๆ วัน ตลอดทั้งปีมิให้ขาดหาย

        "เกาะจวงโดดเดี่ยว แต่ธรรมชาติยังบริสุทธิ์อยู่มาก ป่าสมบูรณ์ มีผึ้งหลวงรังใหญ่ มีฝูงฮังเล (ตะทวด) ตัวยาวเป็นเมตร รอบ ๆ เกาะก็มีหมึก มีฉลามชุกชุม" ทุกวันนี้เกาะจวงไม่มีคนเฝ้าไฟทำหน้าที่แล้ว เพราะถูกลดฐานะเป็น "กระโจมไฟ" ทำงานอัตโนมัติโดยพลังงานแสงอาทิตย์ และการควบคุมผ่านระบบออนไลน์

         ว่าด้วยความหมายของ "บ้านดวงไฟ" ถูกแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะด้วยกัน คือ ประภาคาร (Lighthouse) และ กระโจมไฟ (Light Beacon) ซึ่งความต่างหลัก ๆ คือ ประภาคารจะฉายแสงตลอดเวลา จึงต้องมีเจ้าหน้าที่ประจำการ ขณะกระโจมไฟจะมีเพียงนายช่างเดินทางไปตรวจตราตามวงรอบปี

         แรกเริ่มเดิมทีในกาลก่อนคนเดินเรือมีเพียงกระโจมไฟธรรมชาติอย่างเปลวไฟบนภูเขาไฟเป็นหมุดหมาย ต่อมาจึงคิดสร้าง "ดวงไฟ" โดยก่อกองไฟบนที่สูงที่เป็นจุดหมาย ต่อมาประภาคารแห่งแรกก็ถือกำเนิดขึ้น เมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช ณ แหลม incihisari ตำบล Troad หรือประเทศตุรกีในปัจจุบัน มีผู้คอยดูแลและเติมเชื้อฟืนตลอดเวลา ล่วงผ่านมากว่าสองพันปี ทุกวันนี้ประภาคารและกระโจมไฟยังถูกสร้างขึ้นเรื่อย ๆ ตามหมู่เกาะห่างไกล โขดหิน ปลายแหลม และปากแม่น้ำบนผืนแผ่นดินใหญ่ บางแห่งถูกยกระดับความสำคัญด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์ การเมือง เชื้อชาติ ขณะบางแห่งจำต้องลดฐานะลงเพื่อความเหมาะสมในการดูแล

         ดังเช่นประภาคารเกาะจวง ที่เปลี่ยนหน้าที่เป็นกระโจมไฟเมื่อ พ.ศ. 2540 ด้วยเหตุผลมากหลาย หนึ่งในนั้นคงมีเรื่องราวของสองพ่อลูก-นายประภาคารกับลูกสาวตัวน้อย ที่ผู้พ่อหายสูญไปกับพายุร้าย...


4. เราเรียกว่า "บ้านดวงไฟ"

        ที่เกาะตะเภาน้อย ตารางชีวิตเราแสนเรียบง่าย เช้า...ไม่รอคอยนกแก๊กก็ออกไปถ่ายภาพที่ชายหาด บ่าย ๆ เดินขึ้นภูเขา ไปเยือนประภาคารเก่าแก่ของคนเฝ้าไฟ ในวันที่สองผมขึ้นไปเยือนป้อมปืนด้านตะวันตกของเกาะ ป้อมนี้สร้างโดยทหารญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างใช้เกาะนี้เป็นจุดตรวจตราทะเลอันดามัน

        กาลเวลาล่วงผ่านป้อมปืนซึ่งเคยแข็งแกร่งเหลือเพียงซากฐาน รายล้อมด้วยหมู่ไม้และเรือนยอดสอดสาน ที่มั่นคงกว่าคงเป็นต้นตะแบกใหญ่ ซึ่งแผ่กิ่งสาขาประหนึ่งป้อมปืนโบราณ เช่นเดียวกับที่ชายหาด เนิ่นนานมาแล้วที่ชาวเลลงหลักสร้างเรือนอาศัย กระทั่งเกิดอหิวาตกโรคระบาด ผู้คนล้มตายดั่งใบไม้ปลิดปลิว พวกเขาจึงย้ายไปอาศัยบนฝั่งภูเก็ต สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือต้นมะขามใหญ่หลายคนโอบรอบ กับต้นมะพร้าวสูงชะลูดเคียงเรือนยอดไม้

เกาะตะเภาน้อย

        ระหว่างทางขึ้นภูเขา เรายังพบต้นยางพาราเก่าแก่ แซมแทรกอยู่กับไม้ป่าอย่างกลมกลืนน่าชม ยอดอ่อนของมันคืออาหารโปรดของฝูงนกแก๊ก ขณะต้นที่กำลังผลัดใบสีส้มแสดนั้นราวแต้มสีประดับประดาโลกใบน้อย ในวันสุดท้าย ผมขึ้นไปเยือนป้อมปืนอีกครั้ง และใช้ทางแยกขวาก้าว ขึ้นไปเยือนประภาคารสีขาว

        "เรามาช้าเกินไป" ผมบอกเพื่อน ๆ ขณะท้องฟ้าปกคลุมด้วยหมู่เมฆหนา

        เย็นวันนั้น ขณะตะวันจวนลับ เรา 3-4 คน ขึ้นไปเยือนยอดประภาคาร ทอดตาชมโลกกว้างเคียงข้างตะเกียงซึ่งกำลังจุดไฟฉายแสงวับวาบ ไกลออกไปทางทิศใต้ ปรากฏเกาะภูเก็ตประดับดวงไฟลานตา ถัดมาทางทิศตะวันออก-ด้านซ้ายปรากฏเกาะราชาใหญ่ เกาะไม้ท่อน เกาะยาวน้อยมองเห็นราง ๆ ตรงเส้นขอบฟ้า ขณะใกล้ ๆ เรายามนี้ บนยอดมะขามใหญ่ นกแก๊กคู่หนึ่งกำลังป้อนแมลงให้แก่กัน ดั่งสัญญาณว่าฤดูรักของพวกมันกำลังเริ่มต้นแล้ว

        "สวยงามใช่ไหมครับ ต้องขึ้นมาบนนี้ ถึงจะเห็นภาพแบบนี้" พี่สุชินเอ่ยพลางยิ้มสบายใจ พร้อม ๆ กับตะวันลาลับ ฝนก็พรมละอองโปรยปราย เรา 3-4 คน ยืนพิงขอบตะเกียงอย่างไม่อนาทรใด ๆ ภาพเบื้องหน้านั้นสวยงามเหลือเกิน โลกสีครามรายรอบนั้นก็งดงามยิ่ง

เกาะตะเภาน้อย

        "ตอนเป็นทหารเกณฑ์ผมได้ประจำทางเรือสุริยะ เป็นเรือแจกจ่ายเชื้อเพลิงและซ่อมบำรุงประภาคารทั่วทะเลไทย เราออกเดินทางคราวละ 7 เดือน จากตะวันออกไปตะวันตก จากอันดามันถึงอ่าวไทย" พี่สุชินเล่าขณะตรวจตราดวงไฟ

        "จนใกล้ปลดประจำการ ไม่รู้อย่างไร จะว่าผูกพันก็ใช่ ผมขอสมัครลงกองเครื่องหมายทางเรือ" แล้วนับจากนั้น เขาก็เหมือนคนเฝ้าไฟทั้งหลาย ผู้ใช้ชีวิตตามประภาคารต่าง ๆ กลางบรรยากาศโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาบนเกาะน้อยใหญ่

        "ประภาคารคือดวงประทีปแห่งท้องทะเล" พี่สุชินเอ่ยท่ามกลางความสงัดเงียบ ดวงไฟวับวาบทั้ง 6 ด้าน หมุนวนราวดวงดาวส่องฉาย ถึงตรงนี้ ผมไม่รู้แน่ชัดหรอกว่าดวงไฟข้าง ๆ ตัวมีความหมายมากเพียงใด ทว่าเมื่อนึกถึงนายประภาคารและลูกสาวตัวน้อยที่เกาะจวง นึกถึงยามที่ตนโดยสารเรือออกไปในท้องทะเล มันจะอ้างว้างสักเพียงใด หากเราล่องลอยอยู่ในทะเลโดยปราศจากแสงไฟสักดวง ปราศจากจุดหมาย...

เกาะตะเภาน้อย

  ขอขอบคุณ

         กองเครื่องหมายทางเรือ
         กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ
         เรือโท สุชิน รักชาติ, พันจ่าเอก สนิท แสงสุริยา นายประภาคารเกาะตะเภาน้อย
         คุณฐาพล สมสกุล และต้น, พี่ชาย สำหรับมิตรภาพ

         ทั้งนี้ ชมภาพเคลื่อนไหวเพิ่มเติมได้ เฟซบุ๊ก Tanes Ngamsom

  คู่มือนักเดินทาง

         เกาะตะเภาน้อย อยู่ในความดูแลของกองทัพเรือ เป็นเกาะเล็ก ๆ เนื้อที่ 58 ไร่ ห่างจากเกาะภูเก็ต 15 นาที โดยทางเรือ บนเกาะเปิดให้ผู้คนทั่วไปเที่ยวชม ทั้งประภาคารอาคารเก่าแก่สถาปัตยกรรมชิโน-โปรตุกีส ป้อมปืนทหารญี่ปุ่น และฝูงนกแก๊ก-นกเงือก ซึ่งอาศัยทำรังเลี้ยงลูกอยู่บนเกาะ

         เนื่องจากบนเกาะยังไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ หากต้องการพักค้างคืนจะต้องเตรียมอาหารและเต็นท์ไปให้พร้อม ไฟจะเปิดเป็นเวลาโดยใช้เครื่องปั่นไฟ
 
      การเดินทาง

         จากเกาะภูเก็ต ข้ามเรือสะดวกสุดที่ท่าเรือศุลกากร หรือที่ท่าเรืออ่าวขามโดยเช่าเหมาเรือ หรือสอบถามได้ที่ เรือโท สุชิน รักชาติ โทรศัพท์ 08 4625 9067



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก



ปีที่ 53 ฉบับที่ 8 มีนาคม 2556


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
บ้านดวงไฟ ที่เกาะตะเภาน้อย จังหวัดภูเก็ต อัปเดตล่าสุด 26 เมษายน 2556 เวลา 10:42:43 7,137 อ่าน
TOP
x close