x close

ออสเตรีย ดินแดนแห่งขุนเขา




ออสเตรีย ดินแดนแห่งขุนเขา (e-magazine)

          สืบเนื่องจากชื่อตอน มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะออสเตรียถูกขนานนามว่า "ดินแดนแห่งขุนเขา" ก็เนื่องมาจากภูมิประเทศส่วนใหญ่ประมาณ 60% มีลักษณะเป็นภูเขาและเนินเขา อีกทั้งเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีเพียงเส้นทางแม่น้ำดานูบที่ไหลพาดผ่านไปยังสาธารณรัฐเช็กเท่านั้น แต่ถึงอย่างไร ออสเตรียก็เป็นหนึ่งในยุโรปที่มีทิวทัศน์อันงดงาม



          ออสเตรีย ตั้งอยู่ในทวีปยุโรปตอนกลาง มีกรุงเวียนนาเป็นเมืองหลวง ไม่มีทางออกสู่ทะเล แต่เป็นประเทศที่เป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างยุโรปตะวันออก กับยุโรปตะวันตก มีพรมแดนติด 8 ประเทศ คือ เยอรมัน สาธารณรัฐเช็ก สาธารณรัฐสโลวัค ฮังการี สโลเวเนีย อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ และลิกเตนสไตล์ นับว่าเป็นประเทศที่มีเพื่อนบ้านเยอะทีเดียว

          ออสเตรียมีพื้นที่เล็กกว่าประเทศไทยถึง 6 เท่า ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา และเทือกเขาส่วนใหญ่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 3,000 เมตร ยอดเขาที่สูงที่สุดในออสเตรียคือ โกรสซ์กล็อกเนอร์ (Großglockner) ที่มีระดับความสูง 3,798 เมตร จากระดับน้ำทะเล นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบที่กว้างใหญ่คือ ทะเลสาบนอยซิดเลอร์ ซี (Neusiedler See) ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดของออสเตรีย มีขนาดประมาณ 315 ตารางกิโลเมตร และยังมีทะเลสาบอื่นที่มีความสำคัญอีกหลายแห่ง



          อากาศของออสเตรียมีความแตกต่างกันตามระดับความสูงของพื้นที่ และอิทธิพลที่ได้รับจากภาคพื้นทวีป แต่สำหรับคนไทยก็เป็นอากาศหนาวมันทั้งปีนั่นแหละ เพราะอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ระหว่าง 6.7-8.9 องศาเซลเซียส หากจะไปเที่ยวออสเตรีย ควรไปช่วงเดือนพฤษภาคม- ตุลาคม เพราะอยู่ระหว่างช่วงฤดูใบไม้ผลิสู่ฤดูร้อน ฝรั่งเขาชอบนักชอบหนา บอกว่าอากาศอบอุ่น บรึ๋ย…มันก็คือหน้าหนาวบนยอดดอยบ้านเราดีๆ นี่เอง หากจะต่างกันก็ตรงที่ว่า เมืองไทยนั้นจะมีความชื้นมากกว่า

          เอาหล่ะ…ได้ข้อมูลมาประดับสมองกันพอสมควรแล้ว เตรียมปีกให้พร้อม แล้วบินข้ามทวีปกันเลย จุดหมายแรกของทริปออสเตรีย จะเป็นที่ใดไปไม่ได้นอกจากเมืองหลวง



          Vienna (เวียนนา) คือเมืองหลวงของประเทศออสเตรีย เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ และเป็นทั้งศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การปกครอง



          ครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ กรุงเวียนนาเป็นนครสำหรับชนชั้นขุนนางและบรรดาเจ้านายชั้นสูงเท่านั้น คนบ้านๆ อย่าได้ไปเหยียบ และเป็นเวลานานนับศตวรรษ ที่กรุงเวียนนาได้แผ่อำนาจการครองราชอาณาจักรเกรียงไกรไปทั่วแม่น้ำดานูบ จนมาในยุคปัจจุบัน กรุงเวียนนามีความเจริญอย่างรวดเร็ว และเป็นเมืองที่มีความทันสมัย มีแหล่งช็อปปิ้งใหญ่ๆ มากมาย แต่ก็ยังคงแฝงเร้นไปด้วยสถาปัตยกรรมที่สุดคลาสสิก อ่อนช้อย อันทรงคุณค่า เป็นการผสมผสานได้อย่างน่าชื่นชม บ้านเมืองเขาสวยจริงๆ



          จากเมืองใหญ่ที่มีแต่ความเจริญไปทุกจุดพาให้น่าชื่นชม เล่นเอาเท้าคู่ใจบ่นเมื่อย เลยอยากไปผ่อนคลาย ปล่อยกายใจฝากไปกับสายลมที่เมืองเล็กๆ กันบ้าง เลยบอกน้องเท้าทนอีกนิดนะ เดี๋ยวกำลังจะพาไปเข้าสปากันที่



          Burgenland (บูร์เกนลันด์) รัฐที่มีทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของประเทศออสเตรียคือ ทะเลสาบนอยซิดเลอร์ ซี (Neusiedler See) รัฐบูร์เกนลันด์ อยู่ทางตะวันออกของออสเตรีย และเป็นรัฐที่มีประชากรน้อยที่สุดของประเทศ แต่เราว่ามันเงียบสงบดีออก ธรรมชาติก็สมบูรณ์ งดงามไปด้วยขุนเขาที่โอบล้อม บูร์เกนลันด์เป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบ ช่างเหมาะกับสาวอารมณ์ติสอย่างเราเสียจริง เพราะบางครั้ง ก็อยากหลีกลี้หนีหน้าผู้คน ถึงแม้ว่าจะเป็นการท่องโลกต่างแดน แต่มันก็คือการพักผ่อนเพื่อรีชาร์ตตัวเอง นอกเหนือจากเอาตัวไปเบียดฝรั่งตัวโตอยู่ใจกลางจัตุรัส



          การได้เข้าถึงชีวิตคนท้องถิ่นต่างหาก ถึงจะเรียกว่าการมาเที่ยวอย่างแท้จริง เพราะมาเมืองเขาก็ต้องเรียนรู้และปรับตัวตามวัฒนธรรม ที่บูร์เกนลันด์มีตลาดนัดท้องถิ่นเล็กๆ ให้ได้สัมผัสวิถีชาวบ้าน พอตะวันคล้อยต่ำ อาทิตย์ยามอัสดงช่างสวยงามจับตา นั่งชมพอหอมปากหอมคอ แล้วเดินต่อไปยังสปาที่ขึ้นชื่อของที่นี่ แล้วมีคนกระซิบบอกว่า หากสบายตัวแล้วต้องมานั่งจิบไวน์ เพราะมันก็โด่งดังไม่แพ้กัน นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมผจญภัยที่หลากหลายตลอดทั้งปี เท่านี้ก็คงฉ่ำชื่นแล้วกับบูร์เกนลันด์



          และแล้วก็สบายตัว สบายใจ หายปวดเมื่อย เดี๋ยวขอจิบไวน์ก่อนหลับฝันดี พรุ่งนี้จะพาไปลุยต่อในเมืองใหญ่ อืม…ติสอีกและ เดี๋ยวเล็กเดี๋ยวใหญ่ เอาน่า…การเดินทางมันก็แบบเนี้ย ต้องปรับตัวปรับแผนกันตลอด เอาเป็นว่าเด็ดแล้วกัน



          เมื่อวันวานผ่านสู่วันใหม่ มาทำตัวให้แจ่มใส แล้วลุยกันต่อเลยดีกว่ากับอีกสองเมืองใหญ่ และหนึ่งพิพิธภัณฑ์สุดแปลก ที่แฝงไว้ด้วยความขบขัน หยิกแกมหยอก ขบกัดกันแบบพิลึกพิลั่น แนวคนชอบประชดประชันอะไรทำนองนั้น

          เมืองที่กำลังจะไปนี้ เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของออสเตรีย ส่วนจะมีอะไรน่าสนใจ และมีความงดงามขนาดไหนต้องไปดูกัน



          Salzburg (ซาลส์บูร์ก) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ของออสเตรีย และยังเป็นบ้านเกิดของคีตกวีระดับโลกอย่าง โวล์ฟกังก์ อมาเดอุส โมซาร์ท เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นหูกันดี ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง หรือทำนองดนตรีที่ไพเราะ อีกทั้งท่วงทำนองดนตรีของโมซาร์ทยังช่วยในการพัฒนาสมองของเด็กๆ อีกด้วย



          เมืองซาลส์บูร์ก เต็มไปด้วยงานศิลปะแบบบาโรค ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม และรวมถึงงานศิลปะแขนงอื่นๆ เรียกได้ว่าเป็นนครหลวงแห่งศิลปะบาโรคเลยทีเดียว จึงไม่แปลกที่เมืองนี้เป็นที่ชุมนุมของศิลปิน และเหล่าบรรดาผู้ที่หลงใหลในเสียงดนตรี นอกจากนี้ เมืองซาลส์บูร์กยังตั้งอยู่ริมแม่น้ำซาลซักค์ (Salzach) ซึ่งเป็นเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านเทือกเขาแอลป์ เพื่อที่จะข้ามไปสู่ประเทศเยอรมันนี เนื่องจากอยู่ติดชายแดนระหว่างสองประเทศพอดิบพอดี จึงทำให้มีธรรมชาติที่งดงามดุจดั่งภาพเขียน  อีกทั้งยังมีคูคลองพาดผ่านตัวเมือง เลยกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนออสเตรียและนักท่องเที่ยวทั่วไป ไม่ว่าจะมานั่งเล่นดนตรี หรือมานั่งละเลงสีบนผืนผ้าใบ ทำเอาคันไม้คันมือตามไปด้วย



          ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่เมืองซาลส์บูร์กส่วนใหญ่พูดภาษาเยอรมัน นั่นก็อาจเป็นเพราะอยู่ติดชายแดน อีกทั้งมีการเข้าออกของคนเยอรมัน จึงไม่แปลกที่ชื่อเมืองนี้จะมีความหมายว่าตามภาษาเยอรมันว่า "ปราสาทเกลือ" เพราะคำว่า ซาลส์ ในภาษาเยอรมันแปลว่า เกลือ หากแปลตามตัวก็อาจจะเป็นการเปรียบเทียบเรือขนเกลือจำนวนมากที่เปรียบเสมือนปราสาทนั่นแหละ เพราะสมัยก่อน ในดินแดนแถบนี้เป็นแหล่งค้าเกลือขนาดใหญ่ ซึ่งมันมีความจำเป็นมากสำหรับคนเมืองหนาว ที่ต้องมีเกลือเอาไว้ถนอมอาหาร หากในสมัยนั้นบ้านใดมีเกลือนี่นับว่ารวยพอๆ กับมีทองเลย ดินแดนแถบนี้เลยกลายเป็นดินแดนแห่งผู้มั่งมีตั้งแต่อดีตสู่ปัจจุบัน

          ออกจากเมืองใหญ่แล้วค่อยๆ ถลาบินเลียบลงจอดที่เมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรป เมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเมืองแห่งฮิตเลอร์



          Linz (ลินซ์) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรีย และเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นเมืองแห่งฮิตเลอร์ เพราะหากมาถึงเมืองลินซ์แล้ว ก็จะได้พบอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับฮิตเลอร์แน่ๆ เพราะพวกเขาคงไม่ซุกเรื่องราวต่างๆ สมัยนาซีครองอำนาจไว้ใต้พรมหรอก



          ถึงแม้ว่าฮิตเลอร์ไม่ได้เกิดที่เมืองลินซ์ แต่เขาก็มาพำนักอยู่ที่เมืองนี้เป็นเวลาถึง 9 ปี อีกทั้งยังคิดแผนการใหญ่อย่าง การที่จะสร้างเมืองที่ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดินาซีบนแม่น้ำดานูบ การที่จะสร้างโรงแรมระดับห้าดาวโดยให้ชื่อว่า "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" หรือหอระฆังขนาดสูงเพื่อเป็นที่เก็บศพของพ่อและแม่ และอีกมากมาย แต่ฮิตเลอร์ก็ไม่สามารถสร้างฝันทั้งหมดให้เป็นความจริงได้ หากใครชอบที่จะเรียนรู้เรื่องราวของผู้นำนาซีจอมเผด็จการคนนี้แบบถึงกึ๋น ต้องเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์อัพเพอร์ ออสเตรียน สเตท ที่เมืองลินซ์ เพราะจะมีการจัดแสดงเรื่องราวต่างๆ เมื่อครั้งนาซีเรืองอำนาจ พร้อมมีออดิโอไกด์คอยบรรยาย รับรองอิ่มสมอง

          เป็นเรื่องน่าแปลก ที่ผู้คนทั่วไปต่างพากันจงเกลียดจงชังผู้นำจอมเผด็จการคนนี้ แต่เมืองลินซ์กลับได้รับการคัดเลือกให้เป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรป แล้วทางตัวเมืองลินซ์เอง ก็ยังเอานามฮิตเลอร์มาเป็นตัวชูโรง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่สำหรับเราแล้วคิดว่ามันก็น่าสนใจดี ที่ได้รับรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ที่แสนสาหัสของดินแดนหนึ่งบนโลกใบนี้ แต่สำหรับคนยุโรปแล้ว ความรู้สึกมันต่างตรงที่ว่า พวกเขาได้รับความเจ็บปวดทรมานจากการกระทำที่ผ่านมาของผู้นำจอมเผด็จการ เหมือนแผลลึกในใจที่ยากต่อการลบเลือน ก็คงต้องรอดูว่า ลินซ์ จะสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้หรือไม่

          อิ่มสมองแบบหนักๆ บนความรู้สึกที่สนุกปนสลดใจอย่างบอกไม่ถูก แต่อดีตมันก็ผ่านไปแล้ว มาเริ่มต้นใหม่กันดีกว่านะลินซ์ เมื่อภาระกิจในเมืองลินซ์เสร็จสิ้นจึงซอยเท้า ลั้น ลา ต่อทันทีที่พิพิธภัณฑ์สุดพิลึก



          Nonseum (นอนเซียม) คือพิพิธภัณฑ์ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากกรุงเวียนนาออกมาประมาณหนึ่งชั่วโมง ในแฮร์นบามการ์เทน (Herrnbaumgarten) ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนสาธารณรัฐเช็ก



          เป็นหมู่บ้านที่มีความพิลึกทั้งการแสดงออก และนิสัยของชาวบ้าน ประมาณว่าเป็นหมู่บ้านของกลุ่มคนที่มีอารมณ์เสียดสี และชอบประชดประชันแบบแปลกๆ แต่ก็อัธยาศัยดีนะ บางทีก็ดีเว่อร์ ในหมู่บ้านนี้มีพิพิธภัณฑ์นอนเซียม ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมสิ่งประดิษฐ์ที่ไม่มีใครต้องการ อืม…แค่ฟังคอนเซ็ปก็รู้แล้วว่าแดกดัน เอาแค่ว่าเพียงก้าวเท้าเข้าไปยังหมู่บ้านนี้ก็รู้สึกถึงความแปลกแล้ว ก็มีอย่างที่ไหน บ้านอะไรเนี่ย เล่นเอาเทคไทมาขึงเป็นราวแขวนติดผนังเป็นร้อย นี่กำลังประชดอะไรอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้ ยังมีพวกถุงเท้า ที่ถูพื้น อะไรอีกมากมาย เออ…ดีแฮะ จะว่าไปก็น่าสนใจ เพราะเป็นการระบายออกที่ไม่ต้องเดือดร้อนใครดี



          โบกมือบายออสเตรียด้วยความมึนงงกับหมู่บ้านพิลึก แล้วเซบายให้จอมเผด็จการ ขอบคุณที่ทิ้งเรื่องราวมากมายให้ได้ศึกษา ทั้งที่มันยังคงความเจ็บปวด แต่ในวันนี้ขอบอกว่าออสเตรียได้เปลี่ยนไป ความสดใสและความรุ่งเรื่องได้เข้ามาแทนที่ แล้วโอกาสหน้าคงได้เจอกันอีก


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
และ


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ออสเตรีย ดินแดนแห่งขุนเขา อัปเดตล่าสุด 10 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 15:28:17 30,875 อ่าน
TOP