สำหรับคุณผู้อ่านท่านไหนที่กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวดี ๆ ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยความสงบ ความสดชื่น หรือสถานที่ที่สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้แบบอันลิมิตเพื่อเป็นการให้ของขวัญกับตัวเองในการพักผ่อนหลังจากต้องทำงานอย่างเคร่งเครียดมาตลอดทั้งปีแล้วล่ะก็ ลองไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั่วโลกที่ทางเว็บไซต์ travel.nationalgeographic.com ได้แนะนำไว้กันไหมเอ่ย เพราะเขาได้แนะนำแต่ละสถานที่ซึ่งแม้จะเห็นเพียงแค่ภาพและคำบรรยายเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นก็ชวนให้คุณ ๆ รีบไปจัดกระเป๋ากันแทบไม่ทันเลยทีเดียว
ฉะนั้นแล้ว เราไปดูกันดีกว่าว่า ทั้ง 20 สถานที่ท่องเที่ยวทั่วโลกของปี 2011 ที่เว็บไซต์ travel.nationalgeographic.com แนะนำมานั้น จะมีที่ไหน และสวยงามน่าไปมากน้อยขนาดไหนกันบ้าง..
1. กรุงอูลานบาทาร์ ประเทศมองโกเลีย (Ulaanbaatar, Mongolia)
มองโกเลีย ดินแดนแห่งตำนานทะเลทรายโกบี อีกหนึ่งประเทศของโลกที่มีอารยธรรมหลาย ๆ อย่างที่ควรค่าแก่การไปเยี่ยมชมอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็น การสัมผัสวิถีชีวิตขนานแท้ของชนเผ่ามองโกเลีย การนอนในกระโจมแบบดั้งเดิม รวมถึงสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ที่สำคัญ ๆ ของประเทศ ทั้ง จตุรัสซัคบาทาร์ (Sukhbaatar Square) อนุสรณ์สถานที่ทำขึ้นเพื่อระลึกถึง "ซัค บาทาร์" ผู้ประกาศอิสรภาพแก่มองโกเลีย ในปี 1921 รวมถึงอนุสรณ์สถานแห่งการต่อสู้ไซซาน (Zaisan Memory Hill)
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีที่อื่น ๆ ที่น่าสนใจมากมาย ทั้ง พระราชวังฤดูหนาวของข่านโบกด์ (Winter Palace of Bogd Khaan) พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ วัดกานดาน (Gandan Monastery) ศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธในประเทศมองโกเลีย และเทศกาลใหญ่ระดับประเทศอย่าง "เทศกาลนาดัม" เป็นต้น
2. ทะเลสาบพลิทวิเซ่ ประเทศโครเอเชีย (Plitvice Lakes, Croatia)
ทะเลสาบพลิทวิเซ่ (Plitvice Lakes) ตั้งอยู่ที่เมืองลิก้า (Lika) เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเป็นธารน้ำไหลบนหินปูน มีชั้นน้ำตกอยู่มากถึง 16 ชั้น ซึ่งแต่ละชั้นยังมีความงดงามของธรรมชาติ ที่สวยงามจนสามารถสะกดสายตาของผู้ที่มาเยี่ยมชมได้อย่างอยู่หมัด โดยทะเลสาบมีลักษณะทอดตัวยาวไปตามแนวร่องระหว่างเทือกเขา และมีเขื่อนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ขวางกันทะเลสาบเป็นช่วง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากพวกมอส สาหร่าย และแบคทีเรีย ที่ก่อตัวเป็นเปลือกแข็งห่อหุ้มสลับกันไปเป็นชั้น ๆ แถมยังมีน้ำตก "เวลิกิ สแล็พ" (Veliki Slap) น้ำตกที่ใหญ่และสูงกว่า 70 เมตร ตั้งตระหง่านอย่างยิ่งใหญ่อีกด้วย
นอกจากนั้นแล้ว ทะเลสาปพลิทวิเซ่ แห่งนี้ ยังแวดล้อมไปด้วยป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์ เป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด อาทิเช่น หมีสีน้ำตาล นกอินทรี และนกชนิดอื่น ๆ อีกกว่า 140 สายพันธุ์ ซึ่งเหตุนี้เอง จึงทำให้องค์การยูเนสโก้ได้ประกาศขึ้นทะเบียน อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิทวิเซ่ ให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 1979 อีกด้วย
3. เกาะซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี (Sardinia, Italy)
เกาะซาร์ดิเนีย ถือเป็นเกาะที่มีความใหญ่เกาะหนึ่งในประเทศอิตาลี มีพื้นที่โดยประมาณที่ 24,090 ตารางกิโลเมตร โดยที่เกาะแห่งนี้จะเป็นสถานที่ยอดนิยมในการมานอนอาบแดดของชาวยุโรปมาก ๆ โดยจุดเด่นของที่นี่ก็คือความงามของธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำทะเลสีฟ้าครามและหาดทรายขาวสวย ๆ ฉะนั้น จึงอาจจะบอกได้เลยว่าเกาะซาร์ดิเนีย คืออีกหนึ่งสวรรค์ของผู้ที่ชื่นชอบท้องทะเล รวมถึงชื่นชอบการดำน้ำเป็นชีวิตจิตใจ
แต่สำหรับใครที่ไม่อยากเล่นน้ำทะเล หรืออาบแดดให้ร้อนล่ะก็ ที่นี่ก็จะทำให้คุณประทับใจเช่นกัน เพราะคุณสามารถดื่มไวน์ชั้นเลิศ ซึ่งถือเป็นสินค้าส่งออกชั้นนำของอิตาลีแบบดั้งเดิมจากเกาะซาร์ดิเนียนี้ได้แบบไม่อั้นอีกด้วยนะ.. จะบอกให้
4. แทสมาเนีย ประเทศออสเตรเลีย (Tasmania, Australia)
แทสมาเนียถือเป็นรัฐที่มีขนาดเล็กที่สุดในประเทศออสเตรเลีย แต่แม้จะเล็กที่สุด แต่ก็ยังถือว่าเป็นรัฐที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่อยู่ไม่น้อย โดยที่รัฐนี้จะมีสถานที่ธรรมชาติมากมาย ทั้ง พื้นที่ลุ่มน้ำ อุทยานสัตว์ป่า ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ และอื่น ๆ อีกมายมากมายสารพัด อย่างไรก็ดี สถานที่แห่งนี้มักจะเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวในการมาทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การชมธรรมชาติ การปีนเขา เพราะสภาพอากาศที่นี่ดีและสดชื่นมาก ๆ ซึ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกายนั่นเอง
นอกจากความงามทางธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์ต่าง ๆ แล้ว ที่แทสมาเนีย ยังเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่น่าสนใจมาก ๆ เพราะเป็นที่ตั้งของศูนย์วัฒนธรรมชาวพื้นเมืองอะบอริจิน (Tiagarra Aboriginal Centre) รวมถึงหอศิลป์ต่าง ๆ อีกเยอะแยะเต็มไปหมด
5. ฟยอร์ด ประเทศนอร์เวย์ (Fjord, Norway)
"ฟยอร์ด" (Fjord) คืออ่าวแคบ ๆ ที่อยู่ระหว่างหน้าผาสูงชัน ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะแผ่นดินของธารน้ำแข็งเข้าไปในหุบเขาสูงชันและคดเคี้ยวไปมาตามชายฝั่ง ซึ่งตามปกติแล้ว ฟยอร์ด จะมีให้เห็นตามประเทศต่าง ๆ ในแถบสแกนดิเนเวีย แต่สำหรับ ฟยอร์ด ของประเทศนอร์เวย์นั้น ถือเป็นฟยอร์ดที่ได้รับการรับรองจากหลาย ๆ เสียงว่ามีความสวยงามที่สุดแล้ว เพราะทิวทัศน์ข้างทาง เช่น ภูเขาสูง น้ำตก และบ้านเรือนของผู้คนนอร์เวย์ ก็สิ่งที่ดึงดูดสายตานักท่องเที่ยวมาก ๆ
สำหรับช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศมักจะมาที่นี่ ก็คือ ในช่วงเดือนมิถุนายนและกรกฏาคม ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่ได้มาสัมผัสกับบรรยากาศของพระอาทิตย์เที่ยงคืนนั่นเอง
6. ประเทศอุรุกวัย (Uruguay)
ลัดเลาะไปยังประเทศในโซนอเมริกาใต้กันสักนิด โดยเฉพาะประเทศอุรุกวัยด้วยแล้ว จัดเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ถ้ามีโอกาสสักครั้งหนึ่งก็น่าจะไปเยี่ยมเยือนให้ได้ เริ่มตั้งแต่ที่เมืองมอนเตวิเอโอ้ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอุรุกวัย ก็มีสีสันและความน่าสนใจคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้ว เพราะที่นี่จะมีเสียงของกลอง "Candombe" และการออกลีลาท่าทางการเต้นแบบสนุกสุดเหวี่ยงจริง ๆ
นอกจากนั้นแล้ว ชายหาดของที่นี่ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ถึงขั้นที่ว่ามีหัวศิลป์มาสร้างงานศิลปะบนหาดทรายเอาไว้อีกด้วย ซึ่งหลาย ๆ คนที่ได้เคยไปสัมผัสกับอุรุกวัยมาแล้ว ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า จะต้องกลับไปที่นั่นให้ได้อีกครั้งแน่นอน
7. เมืองชิมลา ประเทศอินเดีย (Shimla, India)
เมืองชิมลา เป็นเมืองหลวงของรัฐหิมาจัลประเทศ (Himachal Pradesh) โดยจุดเด่นหลัก ๆ ของเมืองนี้ก็คือเรื่องของสถาปัตยกรรมอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ตามแบบตะวันตกดั้งเดิม ตามด้วยรีสอร์ทมากมายที่มีอยู่เต็มหุบเขา ซึ่งนี่เองจึงทำให้ที่เมืองชิมลานี้ เป็นสถานที่ตากอากาศที่นิยมของคนอินเดียและนักท่องเที่ยวมากมาย เนื่องจากมีสภาพอากาศที่ดีตลอดทั้งปีแบบอย่าบอกใครเลยเชียว
ที่สำคัญ ยังมีรางรถไฟที่พาดผ่านสถานที่สวยงาม ๆ มากมาย เช่นอุโมงค์กว่า 102 อุโมงค์ รวมถึงสะพานหลาย ๆ แห่งที่สูงจากพื้นดินกว่า 1,420 เมตรอีกด้วย ขณะที่ในฤดูหนาวก็จะมีหิมะปกคลุมและเหมาะแก่การเล่นสกีอีกต่างหาก นี่เองจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมที่นี่ถึงได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางไปกันแบบไม่ขาดสายตลอดทั้งปีเลยทีเดียว
8. แคว้นเมสซิเนีย ประเทศกรีซ (Messinia, Greece)
ที่นี่รู้จักกันดีในชื่อของสถานที่ซึ่งผลิตน้ำมันมะกอกชั้นดีส่งออกไปทั่วโลก แต่นอกเหนือจากน้ำมันมะกอกอันเลื่องชื่อแล้ว ที่แคว้นเมสซิเนีย ยังมีอีกหลาย ๆ อย่างที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถาปัตยกรรมสวย ๆ ทั้งอาคารบ้านเรือนและโบสถ์ตามแบบฉบับของกรีซ รวมถึงโขดหินสวย ๆ พร้อมกับน้ำทะเลสีใส ๆ ที่ใครเห็นแล้วก็อดใจที่จะไม่กระโจนตัวเองลงน้ำไม่ได้จริง ๆ และด้วยความสวยงามแบบนี้เอง เลยทำให้แคว้นเมสซิเนียเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเหล่าบรรดานกสายพันธุ์ต่าง ๆ กว่า 270 สายพันธุ์อีกด้วยนะเออ
9. ประเทศโดมินิก้า (Dominica)
นับได้ว่าเป็นประเทศที่น้อยคนนักจะรู้จักหรือได้ยินชื่อกัน แต่ใครก็ตามที่ได้เคยไปดินแดนแห่งนี้แล้วก็จะรู้ดีเลยว่า ความสวยงามทางธรรมชาติในประเทศนี้ คือ สื่งล้ำค่าที่ควรค่าแก่การมาเยี่ยมชมมาก ๆ จริง ๆ เพราะสำหรับประเทศโดมินิก้าแล้ว เหล่าบรรดาชั้นน้ำตกน้อยใหญ่ รวมถึงผืนป่าอันเขียวขจี คือสิ่งที่ดึงดูดให้ใครหลาย ๆ คนได้ต้องตาต้องใจกันมานักต่อนักแล้ว
ขณะที่อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของที่นี่ ก็คือ ทะลสาบน้ำพุร้อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งมีอุณหภูมิของน้ำสูงถึง 92 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว และเมื่อปีนขึ้นไปบนเขาสูง ๆ ก็จะสัมผัสได้ถึงความสวยงามของพื้นที่ทั้งหมด และสภาพอากาศอันบริสุทธิ์ที่หาจากที่ไหนไม่ได้เลยนะ
10. ประเทศนามิเบีย (Namibia)
สำหรับคนที่ชื่นชอบในความเป็นธรรมชาติแบบลุย ๆ แอดเวนเจอร์หน่อย ๆ แล้วล่ะก็ นามิเบียคือหนึ่งในสถานที่ที่คุณห้ามพลาดโดยเด็ดขาด เพราะที่นี่จะทำให้คุณได้ไปสัมผัสกับเหล่าบรรดาสิงสาราสัตว์ และทะเลอันสวยสดงดงาม ทั้งนี้ สถานที่หลัก ๆ ที่ห้ามพลาดโดยเด็ดขาดเมื่อได้ไปเยือนนามิเบียก็คือ อุทยานแห่งชาติเอโตชา (Etosha National Park) เพราะพื้นที่ในอุทยานแห่งนี้จะทำให้คุณ ๆ ได้เรียนรู้การชีวิตของสัตว์ป่านานาชนิด ซึ่งคุณจะได้เห็นสัตว์ใหญ่ต่าง ๆ แบบใกล้ชิด ทั้ง ฝูงช้าง ยีราฟ แรดดำ สิงโต และอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วนเลยด้วย
11. ประเทศลาว (Laos)
ไปต่อกันที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างประเทศลาวกันบ้าง สำหรับประเทศลาวนั้น ถือเป็นประเทศที่มีมนต์เสน่ห์ที่น่าหลงใหลมาก ๆ ประเทศหนึ่งของทวีบเอเชียเรา เพราะด้วยระบอบธรรมเนียมประเพณี ความน่ารักด้านการใช้ภาษาและการแต่งกาย รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่คงไว้ซึ่งความเป็นธรรมชาติ ไม่มีการแต่งแต้มหรือตกแต่งใด ๆ ให้เกินงาม จึงทำให้ผู้คนมากมายอยากที่จะไปสัมผัสกับความสงบเรียบร้อยของประเทศลาวกันมากมาย
สถานที่สำคัญ ๆ ในลาวที่ไปแล้ว ต้องเดินทางไปเยือนให้ได้ก็มีมากมายหลายที่ ไม่ว่าจะเป็น "วัดพระธาตุหลวง" ศาสนสถานที่สำคัญที่สุดของประเทศลาว "ประตูชัย" อนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้เสียสละชีวิต ในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ "ดินแดนสี่พันดอน" บริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากมีแม่น้ำโขงไหลผ่านกลางและเกิดเกาะแก่งเป็นจำนวนมาก และที่อื่น ๆ ทั่วประเทศอีกมากมายเต็มไปหมด
12. เกาะโคดิแอค อลาสก้า (Kodiak Island, Alaska)
ข้ามทวีปไปยังอลาสก้ากันบ้าง สำหรับที่นี่แล้ว ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ของโลกนี้ ที่ยังคงไว้ซึ่งความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ อันจะเห็นได้จากฝูงหมีที่ออกมาหาอาหารให้เห็นกันอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในช่วงเดือนกรกฏาคม สิงหาคม และเดือนกันยายนด้วยแล้วล่ะก็ จะถือเป็นช่วงเวลาที่เจ้าหมีทั้งหลายจะออกปรากฏตัวให้เห็นกันเพียบ นอกจากนั้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ห้ามพลาดเลย ก็คือเรื่องของการจับปลาแซลม่อน แหล่งอาศัยชั้นดีที่อุดมไปด้วยปลาแซลม่อนตัวโต ๆ มากมาย และปูอลาสก้าอันเลืองชื่อ ซึ่งเป็นอาหารทะเลระดับโลกอีกด้วย
13. สก็อตติช ไฮแลนด์ส (Scottish Highlands)
สก็อตติช ไฮแลนด์ส เป็นดินแดนทะเลสาบภูเขาอันกว้างใหญ่ของแดนวิสกี้ มีจุดเด่นและความสวยงามทางธรรมชาติที่น่าไปสัมผัสมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บรรยากาศของเมฆหมอกที่ปกคลุมไปทั่วภูเขา ทะเลสาบที่มีแสงแดดสาดส่องสวยงาม หน้าผาสูงชันอันแข็งแกร่งที่ตั้งตระหง่านอย่างยิ่งใหญ่ และชายหาดสวย ๆ ที่เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจเป็นที่สุด
ทั้งนี้ หากใครที่ชื่นชอบการเล่นกีฬา และอยากจะเข้าถึงความเป็นสก็อตแลนด์แล้วล่ะก็ ที่นี่ก็มีการละเล่นพื้นเมือง รวมถึงการแต่งตัวตามแบบฉบับสก็อตติชให้คุณ ๆ ได้เห็นและได้ลองสวมใส่ด้วย และขอแนะนำว่าช่วงเดือนพฤษภาคมเรื่อยไปจนถึงกลางเดือนกันยายน ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าไปเยือนที่นี่มาก ๆ เพราะเป็นช่วงเวลาที่อากาศดีและมีกิจกรรมสนุก ๆ มากมายรอให้คุณได้ไปสัมผัสอยู่เยอะทีเดียว
14. ประเทศตูนิเซีย (Tunisia)
แม้ว่าเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา จะมีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองครั้งใหญ่และดุเดือดเกิดขึ้นในตูนิเซีย แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ความสวยงามของประเทศและความเป็นตูนิเซียนั้น ลดน้อยลงไปแต่อย่างใด สำหรับตูนิเซียแล้วถือเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมอันหลากหลาย อีกทั้งยังมีเทศกาลต่าง ๆ ไว้รอต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ตลอดทั้งปีอีกด้วย
สถานที่สำคัญ ๆ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์สำคัญของตูนิเซียเลยก็ว่าได้นั่นก็คือ โอเปร่าแห่งชาติ ในเมืองตูนิส ที่มีความใหญ่โตอลังการไม่แพ้ที่อื่น ๆ ในโลกเลย นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีสิ่งสวย ๆ งาม ๆ อีกมากมายทั้ง สถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือน การขี่อูฐชมทะเลทราย และการพักผ่อนแบบชิล ๆ ริมชายทะเล
15. เกาะปาลาวัน ประเทศฟิลิปปินส์ (Palawan, Philippines)
เกาะปาลาวัน เป็นหนึ่งในเกาะของประเทศฟิลิปปินส์ ที่มีความสวยงามและเป็นที่นิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจากยุโรป เป็นเกาะที่มีลักษณะป่าฝนในเขตร้อนชื้น ประกอบด้วยถ้ำน้อยใหญ่ มีหาดทรายละเอียดสีขาว ที่นี่คุณสามารถมีชายหาดที่เป็นส่วนตัวของคุณเองได้อย่างสะดวกสบาย อยากนอนกลิ้งไปกลิ้งมา หรือนอนอ่านแดดนิ่ง ๆ อ่านหนังสือไป ฟังเพลงด้วยก็คงเพลิน
16. ชายฝั่งทะเลดำ (Black Sea Coast, Crimea)
ชายฝั่งทะเลดำแห่งนี้ เป็นสถานที่มีความสวยงามในแบบที่เรียบหรูและเป็นส่วนตัวมาก ๆ เพราะด้วยบรรยากาศแวดล้อมที่เงียบสงบ สภาพอากาศที่เย็นกำลังดี และทิวทัศน์โดยรอบของน้ำทะเลที่ใสสะอาด ตัดกับท้องฟ้าสีคราม เลยทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่สวย ๆ ที่น่ามาเที่ยวจริง ๆ
17. คาบสมุทรกาสเป้ เมืองคิวเบ็ก (Gaspe Peninsula, Quebec)
คาบสมุทรนี้ตั้งอยู่ในเขตประเทศแคนาดา และถือว่าเป็นคาบสมุทรที่มีความอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของโลก อันจะเห็นได้จากฝูงนกจำนวน 250,000 ตัวที่บินมาทำรัง รวมถึงธรรมชาติโดยรอบทั้งโขดหิน น้ำทะเล และการออกจับปลาของชาวประมงแคนาดา และหากใครที่ชื่นชอบการพายเรือคายัค ล่องเรือแคนู ปีนเขา หรือขี่ม้าชิล ๆ ดูสภาพแวดล้องและสูดอากาศที่บริสุทธิ์ล่ะก็ ช่วงที่เหมาะสมที่สุดที่จะมาทำกินกรรมและสัมผัสบรรยากาศเหล่านั้น ขอให้มากันในช่วงประมาณเดือนมิถุนายนถึงกันยายน จะดีที่และเหมาะสมที่สุด
18. เกาะชิโกกุ ประเทศญี่ปุ่น (Shikoku, Japan)
เกาะชิโกกุ เป็นเกาะที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาสี่เกาะหลัก ๆ ของประเทศญี่ปุ่น โดยพื้นที่ส่วนใหญ่บนเกาะชิโกกุ ประกอบไปด้วยภูเขาสูง - ต่ำ สลับกับที่ราบ อีกทั้งยังเป็นเกาะแห่งตำนานของนกกระยางและบ่อน้ำพุร้อน โดยมีบ่อน้ำพุร้อน "โดโงะ" ซึ่งเป็นบ่อน้ำพุร้อนที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นตั้งอยู่ที่นี่อีกด้วย แถมด้วยสวนใหญ่สวย ๆ ตามแบบฉบับของญี่ปุ่น ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสวนที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ก็มีให้เห็นอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน
19. ประเทศปาปัวนิวกินี (Papua New Guinea)
ปาปัวนิวกินี เป็นประเทศในแถบโอเชียเนีย และเป็นประเทศที่มีการปกป้องและรักษาวัฒนธรรม รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติของตัวเองได้ดีมาก ๆ ซึ่งนั่นส่งผลให้ที่ปาปัวนิวกีนี มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันเป็นมนต์เสน่ห์ให้สถานที่แห่งนี้ ดูมีหลาย ๆ อย่างให้น่าค้นหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผู้คน วิถีชีวิต สถานที่สวย ๆ งาม ๆ และอื่น ๆ อีกมากมายสารพัด
ทั้งนี้ ปาปัวนิวกินี ถือเป็นประเทศที่มีชนเผ่าต่าง ๆ อาศัยอยู่เยอะแยะมากมาย แถมยังมีภาษาให้ได้พูดคุยกันมากกว่า 800 ภาษาเลยทีเดียว ขณะเดียวกันก็ทำให้มีประเพณีของชนเผ่าต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไปมากถึง 200 ประเพณีเลยด้วย
20. เคอร์ดิสถาน ประเทศอิรัก (Kurdistan, Iraq)
เคอร์ดิสถานเป็นเขตปกครองตนเอง ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิรัก และจัดได้ว่าเป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์อยู่พอสมควร เพราะด้วยสภาพของพื้นที่โดยรอบที่เป็นเทือกเขา และมีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน รวมทั้งอุณหภูมิแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ จึงทำให้เกิดความสมดุลทางทรัพยากรธรรมชาติมาก ๆ เลยทีเดียว
สำหรับสถานที่หลัก ๆ ซึ่งถือเป็นสถานที่เชิดหน้าชูตาของเคอร์ดิสถานก็มีอยู่หลายที่เหมือนกัน ทั้ง ป้อมปราการเออร์บิล (Erbil’s historic citadel) มัสยิดขนาดใหญ่ ซากปรักหักพังของป้อมปราการซาลาฮัดดิน (Salahaddin’s Fortress) หมู่บ้านของชาวบ้านบริเวณเทือกเขาซาโกรส และสถานที่อื่น ๆ อีกเยอะแยะมากมาย
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
darioendara.com , ellenrooney.com , e-accom.com , blog.realtravel.com , bestourism.com , fjordnorway.com , destination360.com , smashingtops.com , shimlatravel.com , max-cdn.loyarburok.com , igogreece.com , cache.virtualtourist.com , caribbeancruiselinedestinations.com , dominicanewsonline.com , thetravelword.com , namibian.org , symbiosis-travel.com , world-pictures.nl , thesunonhisback.files.wordpress.com , tourims.info , fishwithjd.com , visitourscotland.co.uk , totalwallpapers.com , traveltourist.net , travel-destination.net , divephotoguide.com , virtourist.com , affordableworldtravelandtours.com , images.fineartamerica.com , easyvoyage.co.uk , img4.coastalliving.com , travel.prwave.ro , media.kunst-fuer-alle.de , tropicalparadise.net , echeng.com , sulaimany.net , darbaru.com