x close

เที่ยวแบบสบาย ๆ ที่เชียงใหม่ ในหนึ่งวัน

ดอยสุเทพ

เชียงใหม่


เที่ยวแบบสบาย ๆ ที่เชียงใหม่ ในหนึ่งวัน (อสท.)

วิศาล น้ำค้าง : เรื่องและภาพ

          คอลัมน์ "ขับรถเที่ยว" ฉบับนี้อาจจะดูไม่เข้มข้นผจญภัยสักเท่าไหร่ เพราะสถานที่ที่ผมจะพาท่านผู้อ่านไปชมในคราวนี้ คือ อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย จังหวัดเชียงใหม่ นั่นเอง
    
          บนเส้นทางของนักบุญแห่งล้านนา ณ วันนี้ถูกลาดปูด้วยกรวดและยางจนเป็นถนนชั้นดีตลอดสาย เพื่อให้รองรับกับการเดินทางของผู้มาเยือน และของรถได้เกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋ง รถกระบะ หรือซิตีคาร์ ก็ไปกันได้อย่างสบาย ๆ ไม่มีปัญหา จึงนับเป็นเส้นทางที่เหมาะกับการขับรถพาเพื่อนฝูงหรือครอบครัวไปเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง เรียกว่าไปเช้าเย็นกลับได้อย่างสบาย ๆ ใช้เวลาไม่มาก

          ส่วนไฮไลต์ที่เราอยากจะกล่าวถึงในคราวนี้ คือสถานที่สำคัญ ๆ เช่น วัดพระธาตุดอยสุเทพวรวิหาร พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ และการไปชมวิถีชีวิตที่ บ้านม้งดอยปุย เป็นของแถม ดูว่าความเจริญจะกลืนกินอดีตไปมากน้อยสักเพียงใด โดยขับไปแวะชมกันไปเรื่อย ๆ ตลอดทาง

          จาก สวนสัตว์เชียงใหม่ คือจุดเริ่มต้นที่ผมและเจ้าไทเกอร์คู่ใจ พร้อมที่จะร่วมเดินทางปีนป่าย ตลอดเส้นทางที่คดเคี้ยว ลาดชันตามสัณฐาน แต่ละโค้งของสองข้างทางมีธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมแอบซุกซ่อนชวนให้เราค้นหาอยู่อย่างกลมกลืน
    



          นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2477 เมื่อ ครูบาศรีวิชัย ได้สร้างถนนเส้นนี้แล้วเสร็จ ดอยแห่งนี้ก็ดูเหมือนจะไม่เคยว่างเว้นจากผู้คนที่มาเยี่ยมเยือน ทั้งจากคนท้องถิ่นและแดนไกล เมื่อเรามาถึงที่นี่จึงควรจะแวะสักการบูชา อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย กันก่อนเป็นจุดแรก เพื่อน้อมรำลึกถึงบุญคุณของท่านและเพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเราเอง และจากตรงจุดนี้เราก็สามารถเดินไปเที่ยวชม น้ำตกห้วยแก้ว ที่ขึ้นชื่อของเมืองเชียงใหม่ได้อีกด้วย เดินแบบสบาย ๆ ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที เราก็มายืนที่หน้าน้ำตกกันได้แล้ว

          ออกจาก อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย มาสักสิบโค้ง ก็มาถึง น้ำตกวังบัวบาน ที่เคยมีตำนานเล่าขานเรื่องของความรักกันอีกแห่ง ผมขับผ่านมาอีก 1.5 กิโลเมตร ขวามือมีทางแยกเขียนว่า "3 กิโลเมตร น้ำตกมณฑาธาร" ที่นี่ถ้าใครชอบดูนกดูผีเสื้อและธรรมชาติละก็ไม่ควรพลาดเลยนะครับ แต่วันนี้ขอผ่านก่อนแล้วกัน เลยป้ายมาเพียงอึดใจ ซ้ายมือคือ วัดผาลาด ที่ปัจจุบันมีอีกชื่อว่า วัดสกิทาคา มีวิหารพระบรมธาตุ พระพุทธบาทสร้างใหม่ ประดิษฐานไว้ให้ผู้ที่ผ่านมาผ่านไปได้สักการะ ส่วนตัววัดกลับแอบซ่อนอยู่ที่ด้านล่าง เราต้องขับรถลงไปในหุบอีกนิดหน่อย บริเวณวัดเป็นที่ร่มครึ้ม เราจะพบกับเจดีย์ทรงพม่า พระประธานองค์ใหญ่ และพระพุทธรูปเก่าแก่อีกหลายองค์แอบอิงอยู่ที่ริมผา

          ผมขับรถชมป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้งขึ้นมาเรื่อย ๆ จนผ่านจุดชมวิวที่ 1 หอดูดาวสิรินธร จุดชมวิวที่ 2 น้ำตกห้วยรับเสด็จ และถึงโค้งขุนกันชนะนนท์ ตรงจุดนี้ควรต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ให้มาก เพราะเป็นทางโค้งที่ลาดชัน ควรจะใช้ความเร็วต่ำและเกียร์ต่ำทั้งขาขึ้นขาลง
    


          เมื่อมาถึง วัดพระธาตุดอยสุเทพวรวิหาร แล้ว ทางด้านซ้ายมือจะมีทางลงไปยังลานจอดรถที่มีบริเวณกว้างขวางสะดวกสบาย ส่วนการจะขึ้นไปกราบไหว้พระธาตุก็มีให้เลือกได้สองวิธี หนึ่งคือนั่งรถรางที่ทางวัดมีไว้บริการคนละ 20 บาท สองคือเดินขึ้นไปตามบันไดนาคกันเอง มีหลายคนเคยบอกผมว่าถ้าอยากได้บุญมาก ๆ ก็ต้องใช้วิธีเดินขึ้นไป 306 ขั้นเองครับ ครั้งหนึ่งผมขึ้นมารอถ่ายรูปตอนตีสี่กว่า ๆ วิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่สองรอบเพราะลืมฟิล์มไว้ในรถ พอได้ฟิล์มมาแล้วก็ยังถ่ายรูปไม่ได้อยู่ดี โถ...ก็เป็นลมล้มแปะอยู่กลางบันไดเสียก่อนสิครับ เอ...แต่การวิ่งขึ้นวิ่งลงนี่จะได้บุญมากกว่าการเดินหรือเปล่าก็ไม่ยักมี ใครมายืนยัน

          พระเจดีย์ที่สูงเด่นสง่าเปล่งประกายสีทองเมื่อต้องแสงแห่งนี้ ภายในมีพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรจุอยู่ นอกจากจะมีความสำคัญทางศาสนาและทางประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงใหม่แล้ว ผู้ใดที่ได้มากราบไหว้บูชาก็ถือว่าเป็นสิริมงคลกับชีวิต เราจึงไม่ควรพลาดเมื่อได้โอกาสขึ้นมาเช่นนี้

          เมื่อใจเราอิ่มบุญกันแล้ว แต่ท้องนี่สิกลับเพิ่งจะมาเริ่มหิว ที่ลานจอดรถก็มีร้านอาหารรอให้เราเลือกอยู่หลายร้าน แต่ส่วนตัวผมเองกลับชอบที่จะเตรียมอาหารใส่กล่องไปเองแบบง่าย ๆ เพราะเราไม่รู้ว่าจะหิวตอนไหน เรียกว่าเตรียมพร้อมไว้ก่อนดีกว่า
    

          ออกจาก วัดพระธาตุดอยสุเทพวรวิหาร ขับมุ่งตรงขึ้นไปอีกเพียง 5 กิโลเมตร ก็มาถึงประตูทางเข้า พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ภายในบริเวณของพระตำหนักนับเป็นสถานที่ที่งดงามและน่าเที่ยวชมเป็นที่สุด ยิ่งช่วงเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ เราจะมีโอกาสได้ชื่นชมไม้ดอกเมืองหนาว และกุหลาบอีกกว่า 274 สายพันธุ์ จากทั่วโลกที่แข่งกันบานอวดสีสันและส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ

          นอกจากนั้น เราจะได้เห็นกุหลาบพระนาม "ควีนสิริกิติ์" เบ่งบานล้อมรอบรูปปั้นกินรีอยู่ที่หน้าพระตำหนักใหญ่อย่างใกล้ชิด กุหลาบปิแอร์เดอรองซาร์ดและมารีโรสพุ่มใหญ่ก็บานโอบเลื้อยอยู่ตามเสาและกำแพงให้ชวนดู ส่วนกุหลาบพระนามจุฬาลงกรณ์และกุหลาบปาร์เตน็องสีชมพูก็ชูช่อเรียงรายอยู่ ในแปลงใกล้ ๆ บนพื้นที่กว่า 100 ไร่แห่งนี้ ถูกแต่งแต้มด้วยสวนไม้ดอกอยู่เกือบทั่วบริเวณ เราสามารถเดินชมดอกไม้และพระตำหนักต่าง ๆ เช่น พระตำหนักสิริส่องภูพิงค์ พระตำหนักพยัคฆ์สถิต พระตำหนักพฤกษาวิสุทธิคุณ พร้อมชมสวนสุวรีที่มีซุ้มกุหลาบโรซามัลติฟลอราที่สวยสุด ๆ พร้อมกับชมธรรมชาติโดยรอบได้อย่างไม่รู้เบื่อ การเข้าชมก็เสียค่าบำรุงสถานที่เพียงคนละ 20 บาท เท่านั้นเอง


          เมื่อรู้สึกว่าเราจะหอมฟุ้งไปทั้งตัวด้วยกลิ่นของกุหลาบแล้ว จึงเริ่มออกเดินทางเพื่อจะไปชมวิถีชีวิตที่ บ้านม้งดอยปุย กันต่อ ขับออกมาสัก 1 กิโลเมตร ก็จะพบกับทางแยกมีป้ายบอกว่า "บ้านม้งดอยปุย ๒ กิโลเมตร ไปทางซ้าย" อีกป้ายจะเขียนว่า "ลานกางเต็นท์ดอยปุย 4 กิโลเมตร ไปทางขวา" ผมเลยเลี้ยวขวาพาเจ้าไทเกอร์ตะลอน ๆ เข้าไปดูสักหน่อย ตลอดเส้นทางจะร่มครึ้มด้วยร่มเงาของป่าไม้ทั้งสองข้าง ทางค่อนข้างแคบ แต่ก็ไม่ขรุขระ นาน ๆ จะมีรถขับสวนออกมาบ้าง จึงควรขับด้วยความระมัดระวัง เข้ามาสัก 1.3 กิโลเมตร ก็มีจุดชมวิวให้เราจอดลงไปแวะดูหลังคาของ บ้านม้งดอยปุย กันก่อน ที่อีกเดี๋ยวเราจะขับย้อนลงไปเดินเที่ยวในภายหลังนั่นเอง

          เมื่อมาถึงลานกางเต็นท์ก็ได้พบกับเจ้าหน้าที่ของ อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย จึงทราบว่าลานกางเต็นท์แห่งนี้เพิ่งจะเปิดบริการมาได้เพียงไม่กี่ปี ถ้ามีเวลาหรืออยากจะนอนบนดอยดูสักคืน ก็ขับรถขึ้นไปติดต่อขอเช่าเต็นท์ได้ ทันที จะมีเจ้าหน้าที่และอาหารคอยบริการอยู่ตลอด ห้องน้ำสะดวกสบาย แถมมีศาลาชมวิวเมืองตอนกลางคืนให้ได้บรรยากาศอีกต่างหาก ถ้าหากมีเต็นท์มาเอง ทางอุทยานฯ คิดค่าสถานที่เพียงคนละ 30 บาท ต่อคน ต่อคืนเท่านั้น น่านอน...น่านอน เอ...แต่วันนี้ผมจะเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับนี่นา แหมเกือบใจอ่อนไปนอนเต็นท์เสียแล้วสิ ว่าแล้วจึงตัดใจหันหลังกลับแล้วมุ่งหน้ามาทาง บ้านม้งดอยปุย กันต่อ



          บ้านม้งดอยปุย ความรู้สึกแรกเลยที่มาถึงคือ ทำไมหาคนที่แต่งชุดประจำเผ่าเหมือนอย่างแต่ก่อนดูยากจัง ที่เห็นแต่งกันสวย ๆ ก็กลับกลายเป็นนักท่องเที่ยวสาว ๆ ที่มาเช่าชุดเพื่อไปถ่ายรูปกับสวนดอกไม้กันเป็นส่วนใหญ่ จึงดูเหมือนว่าจะเป็นอีกหนึ่งอาชีพ และเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของการยิงหน้าไม้ 3 ดอก 10 บาท ที่ครองแชมป์ทำรายได้ระดับโอทอปของหมู่บ้านแห่งนี้มาช้านาน
    
          แล้วที่นี่เขามีอะไรดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาสนใจกันล่ะ ผมแอบถามตัวเองอยู่ในใจ แล้วเบี่ยงเดินเท้าเข้าไปตามตรอกซอกซอยเล็ก ๆ เพื่อหลบหลีกร้านขายจิวเวอรี ร้านขายเสื้อผ้าสีสันทันยุคที่เปิดเกลื่อนกลาดเบียดเสียดกันแน่นอยู่สอง ข้างทาง เพื่อตามหาคนแก่ ๆ ชุดเก่า ๆ และสวนดอกไม้ที่เคยมีเด็ก ๆ แก้มแดงแต่งชุดม้งสวย ๆ มานั่งเล่นกันอยู่ แต่ความจริงที่ต้องยอมรับก็คือ ความเจริญมักจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นอดีตและยากแก่การหวนคืนจริง ๆ

คู่มือนักเดินทาง

          มาตามถนน ซูเปอร์ไฮเวย์ลำปาง-เชียงใหม่ให้วิ่งมาจนสุดทาง ถึงสี่แยกไฟแดง ให้เลี้ยวขวาไปทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วตรงไปเมื่อผ่านสวนสัตว์ คือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง

          อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย คือพระนักบุญแห่งล้านนาที่บุกเบิกสร้างทางขึ้นสู่ดอยสุเทพเมื่อปี พ.ศ.2477 โดยใช้เวลาสร้าง 6 เดือน ต่อมาชาวเมืองเชียงใหม่จึงได้สร้างอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยไว้เพื่อสักการบูชา

          พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เป็นพระตำหนักที่ประทับในวโรกาสที่เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับแรมที่จังหวัด เชียงใหม่เพื่อทรงเยี่มราษฎรในเขตภาคเหนือ ปัจจุบันเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชมได้ทุกวัน ไม่มีวันหยุด เวลา 08.30 – 16.30 น. จำหน่ายบัตรทุกวัน เวลา 08.30 – 15.30 น. ราคา 20 บาท (กรุณาแต่งกายสุภาพ) หมายเหตุ งดการเข้าชมระหว่างเสด็จแปรพระราชฐาน (สามารถสอบถามข้อมูลก่อนล่วงหน้าได้ที่โทรศัพท์ 05 322 3065, 05 393 7117 ในเวลาราชการ)

          วัดพระธาตุดอยสุเทพวรวิหาร เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญทางศาสนาและทางประวัติศาสตร์ของนคร เชียงใหม่มาช้านาน สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1927 ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานขององค์เจดีย์ ใต้ฐานพระเจดีย์มีพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรจุอยู่ ค่าบริการรถราง 20 บาท และ 50 บาทสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เปิดบริการตั้งแต่เวลา 06.00 - 21.00 น. ทุกวัน

          ลานกางเต็นท์ดอยปุย เป็นลานกลางเต็นท์ของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุยที่มีไว้เพื่อบริการนักท่องเที่ยว สามารถนำเต็นท์ไปเอง หรือเช่าเต็นท์ของอุทยานฯ ที่มีไว้บริการก็ได้ สถานที่กว้างขวาง สะอาด มีห้องน้ำและร้านอาหารสะดวกสบาย ติดต่อได้ที่ลานกางเต็นท์โดยตรง ค่าบริการ ถ้านำเต็นท์มาเองคิดคนละ 30 บาท ต่อคน ต่อคืน ค่าเช่าเต็นท์ 150 – 300 บาท นอนได้ 6 - 8 คน
    
          หมู่บ้านม้งดอยปุย เป็นหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าม้งที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขากลางดอยสุเทพ-ปุยมาช้า นาน สามารถนำรถเข้าไปได้ถึงที่ เดินชมวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวม้งได้อย่างใกล้ชิด ภายในหมู่บ้านสินค้าและของที่ระลึกจำหน่ายทั้งจากท้องถิ่นและจากภายนอก มีน้ำและอาหารจำหน่าย



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เที่ยวแบบสบาย ๆ ที่เชียงใหม่ ในหนึ่งวัน อัปเดตล่าสุด 16 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 15:47:55 1,424 อ่าน
TOP