"ถ้าหากจะศึกษารากฐานของคนชาติไหน ? ต้องไปสัมผัสและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของคนชาตินั้น" และประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้ชื่อว่ามีการอนุรักษ์วัฒนธรรมและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ไว้อย่างเข้มแข็ง ดังจะเห็นได้จากสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ รวมทั้งพื้นที่ของวัด และศาลเจ้าต่าง ๆ และ "Sawara (หมู่บ้านโบราณ ซาวาระ)" ก็เป็นอีกหนึ่งจัดหมายน่าเยือนของกรุงโตเกียวเช่นกัน
สำหรับ "Sawara (หมู่บ้านโบราณซาวาระ)" หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีอายุมากกว่า 200 ปี ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ของเมืองนาริตะ ห่างจากกรุงโตเกียวประมาณ 70 กิโลเมตร เดิมหมู่บ้านโบราณซาวาระ เคยเป็นหมู่บ้านที่เคยเจริญรุ่งเรืองในสมัยเอะโด (ค.ศ. 1603-1867) ในอดีตเป็นศูนย์กลางการขนส่ง สำหรับการจัดส่งข้าวเข้ามาในเมืองหลวง
ภายในบริเวณหมู่บ้านมีสะพานข้ามคลองจำนวนมาก และบ้านที่ถูกปลูกสร้างและยังคงไว้เหมือนบ้านหลังเดิมในอดีต ทำให้สามารถสัมผัสได้ถึงวิถีชีวิตของคนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี
เมื่อเดินทางเข้ามาภายในหมู่บ้านจะสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบของหมู่บ้าน ลักษณะบ้านเรือนที่ก่อสร้างด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีการพัฒนา บ้านเรือนให้กลายเป็นสถานที่ขายของที่ระลึก, ร้านอาหาร, ร้านกาแฟสไตล์วินเทจตามแบบฉบับญี่ปุ่น ซ่อนตัวแบบเนียน ๆ
บริเวณใจกลางหมู่บ้าน เราจะสังเกตได้ว่ามีคลองขนาดยาวที่เดิมใช้เป็นเส้นทางขนส่งสินค้า ซึ่งในปัจจุบันจะมีบริการนั่งเรือชมหมู่บ้านโบราณ โดยคนภายในชุมชน (ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ) เป็นอีกหนึ่งทางในการสร้างรายได้ให้คุณตา-คุณยายในหมู่บ้านนี้ได้เป็นอย่างดี
ในส่วนริมคลองจะเป็นถนนเส้นเล็ก ๆ สลับกับสะพานข้ามแม่น้ำ เราสามารถเดินเล่นชิล ๆ ชมต้นหลิวที่แผ่กิ่งก้านพลิ้วไหวไปตามแรงลมอย่างสวยงาม
ต้นลูกพลับ ผลไม้ที่หาทานได้ง่ายในประเทศญี่ปุ่น เพราะชาวญี่ปุ่นนิยมปลูกไว้ภายในบริเวณบ้านทุกหลัง แถมบางต้นมีผลสีส้มดกเต็มต้นเลย
บ้านบางหลังมีการอนุรักษ์ และเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชมรูปแบบบ้านไตล์ญี่ปุ่นในสมัยก่อนค่ะ
การเดินทางไปหมู่บ้านโบราณ ซาวาระ สามารถเดินทางจากสถานี สนามบินนาริตะ ไปยังสถานีนาริตะ แล้วเปลี่ยนใช้รถไฟตามแนว JR passใช้เวลาประมาณ 30 นาที จากสถานีนาริตะไปลงที่สถานีซาวาระ หรือเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 30 นาทีจากสนามบินนาริตะ
ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเลยค่ะ เพราะอยู่ใกล้ ๆ สนามบินนาริตะแถมยังจะได้สัมผัสวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นได้อีกด้วย (ดูรายละเอียดเพิ่มเต็มจากที่นี่ japan-guide.com)
ขยับไปเที่ยวใจกลางเมืองกับสถานที่ท่องเที่ยวสุดร่มรื่น และเต็มไปด้วยแรงศรัทธาอย่าง "Meiji Jingu (ศาลเจ้าเมจิ)"
แปะแผนที่ให้ดูกันก่อนว่าใหญ่มาก ๆ
ภาพจาก meijijingu.or.jp
ก่อนเข้าไปเรามาศึกษากันหน่อยว่ามีจุดไหน ? สำคัญและที่สำคัญมาก ๆ คือมีจุดที่ห้ามถ่ายรูปด้วยค่ะ ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเลยค่ะ
มารู้จัก "Meiji Jingu (ศาลเจ้าเมจิ)" กันก่อนดีกว่าค่ะ
สำหรับ "Meiji Jingu (ศาลเจ้าเมจิ)" สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่ดวงวิญญาณแด่สมเด็จจักรพรรดิเมจิ (Emperor Meiji) สวรรคตในปี ค.ศ. 1912 และจักรพรรดินีโชเกน (Empress Shoken) สวรรคตในปี ค.ศ. 1914 ซึ่งภายหลังที่ทั้งสองพระองค์สวรรคตไม่นาน ก็มีประชาชนชาวญี่ปุ่นที่ต้องการสร้างสถานที่รำลึกถึงคุณงามความดีของทั้ง 2 พระองค์ด้วยการบริจาคต้นไม้จากประชาชนกว่า 100,000 ต้น เพื่อสร้างป่าแห่งนี้ขึ้นด้วยจิตศรัทธา ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ศาลเจ้าแห่งนี้ก็ได้รับผลกระทบจากสงครามจนเกิดความเสียหายจำนวนมากและไม่นานก็ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1958 ด้วยงบประมาณจากการระดมทุนสาธารณะและการบริจาค
ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ของศาลเจ้าทำให้การเดินเที่ยวชมภายในต้องใช้เวลามาก แนะนำว่าเผื่อเวลาเดินเที่ยวกันประมาณ 1 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำนะคะ^^
เริ่มต้นจากจุดเดินทางจากประตูทางเข้าใกล้สถานี Meiji-jingumae เดินไปสักครู่จะพบกับเสา Torii (ซุ้มประตูทางเข้าศาลขนาดใหญ่) สีไม้ขนาดใหญ่
ปล. "Meiji Jingu (ศาลเจ้าเมจิ)" มีทางเข้าอยู่ 3 ทางแต่ประตูหลักที่นิยมเข้าก็ คือประตูใกล้สถานีรถไฟค่ะ
เดินชมความยิ่งใหญ่ผ่านเสา Torii ขนาดใหญ่เข้ามาก็จะพบกับทางเดินขนาดกว้างขวางปกคุลมไปด้วยความร่มรื่นของต้นไม้สีเขียวขนาดใหญ่ได้กลิ่นอายความสดชื่นของต้นไม้และอากาศเย็น ๆ ให้ความรู้สึกเดินสบาย ๆ ไม่เหนื่อยจนหอบหรือเหงื่อออกเลยค่ะ
เดินชมนกชมไม้มาได้สักพักก็จะเจอกับ ถังเหล้าสาเก หลากหลายแบบตั้งเรียงรายอยู่ริมทางเดิน (หนึ่งในแลนด์มาร์กที่ต้องแชะภาพเลยล่ะค่ะ) ซึ่งชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าต้องนำเหล้าสาเกไปบูชาเทพเจ้าตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษ
ยังไม่ถึงค่ะ...เดินต่อไปอีกเรื่อย ๆ จะพบเสา Torii อีกหนึ่งด้านจากนั้นเดินต่อไปยาว ๆ เลยค่ะ
ระหว่างทางจะสักเกตุได้ว่ามีจุดท่องเที่ยวอยู่ริมถนน ซึ่งนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางเข้าไปต้องเสียค่าเข้าชมเพิ่มค่ะ แต่เราจะไม่ยอมเสียตัง...และขอตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไปค่ะ
สักพักเราก็เจอเสา Torii ขนาดเล็กพร้อมรั้วไม้แล้วค่ะ ^^
ก่อนเข้าไปในศาลเจ้าหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมญี่ปุ่นกันก่อนด้วยการล้างมือด้วยน้ำเย็นเจี๊ยบ !! เริ่มจากมือซ้าย-ขวา บวนปากแล้วล้างด้ามกระบวย
นอกจาก "Meiji Jingu (ศาลเจ้าเมจิ)" แห่งนี้จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับกราบไหว้ขอพรแล้ว ที่นี่ยังเปิดให้คู่รักใช้เป็นสถานที่แต่งงานตามธรรมเนียมโบราณของชาวญี่ปุ่นอีกด้วยค่ะ
ขบวนแต่งงงานของคู่บ่าวสาวชาวญี่ปุ่น พร้อมญาติ ๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดีค่ะ
จุดเคารพศาลเจ้า...ขอย้ำกันสักรอบว่าบริเวณจุดทำความเคารพภายใน "Meiji Jingu (ศาลเจ้าเมจิ)" ห้ามถ่ายภาพ และส่งเสียงดัง เพราะจะเป็นการรบกวนผู้ที่เข้ามาเคารพศาลค่ะ
ส่วนด้านหน้าของจุดเคารพศาลจะมีต้นไม้ใหญ่ที่เบื้องล่างจะเต็มไปด้วยป้ายแผ่นไม้ และแผนกระดาษ สำหรับเขียนขอพร ซึ่งเรื่องที่นิยมขอก็คือ สุขภาพแข็งแรง ร่ำรวย และความรักค่ะ
ถือเป็นอันเสร็จการเดินเที่ยว "Meiji Jingu (ศาลเจ้าเมจิ)" ค่ะ
แต่สำหรับคนที่มีเวลาเหลือเยอะเดินทางเข้าไปโซนด้านหลังของศาลเจ้าอีกไกล ๆ หน่อยจะเป็นที่ตั้งของ Meiji Jingu Treasure Museum ค่ะ(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากที่นี่ meijijingu.or.jp)
อาคาร Homotsuden Honkan อาคารหลักของ Treasure Museum (ภาพจาก meijijingu.or.jp)
อาคาร Homotsu Tenjishitsu อาคารจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในญี่ปุ่น (ภาพจาก meijijingu.or.jp)
การเดินทางไปศาลเจ้าเมจิ สามารถนั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย C-Chiyoda Line, สาย F-Fukotoshin Line ลงสถานี Meiji-Jingumae หรือ นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line ลงสถานี Harajuku ทางออก Omote-sando ก็ได้เช่นกัน
ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์เพื่อน ๆ ที่กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวแบบสัมผัสวิถีชีวิตชาวญี่ปุ่น หรือจะเลือกอิ่มเอมกับธรรมชาติใจกลางเมืองไว้ได้เป็นอย่างดีค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
jnto.go.jp, japan-guide.com, meijijingu.or.jp
