
"อ่างทอง" จังหวัดขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มภาคกลาง ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร สามารถเดินทางไป-กลับได้ภายในวันเดียว มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีความสวยงามน่าสนใจมากมายถึงกว่า 200 วัด
วันนี้เราเลยจะชวนเพื่อน ๆ เดินทางไป "ไหว้พระ 9 วัด อ่างทอง" ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคลกันค่ะ
วันนี้เราเลยจะชวนเพื่อน ๆ เดินทางไป "ไหว้พระ 9 วัด อ่างทอง" ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคลกันค่ะ

ภาพจาก ททท.
ภายในพระอุโบสถสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้โปรดเกล้าให้จิตรกรส่วนพระองค์ และนักเขียนในโครงการศิลปาชีพ เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังไว้อย่างงดงาม ซึ่งประกอบด้วย ภาพไตรภูมิ ภาพเรื่องมหาชนก ภาพลายรวงข้าว สัญลักษณ์ของจังหวัดอ่างทอง ภาพเรื่องสงครามยุทธหัตถี เป็นต้น โดยมีภาพผลมะม่วง 4 ผล ซึ่งเป็นฝีพระหัตถ์อยู่บนผนังโบสถ์ทางด้านซ้ายมือด้วย
นอกจากนี้ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปประธานเป็นหินทรายปั้นปูนปิดทองทับ พระประธานองค์นี้ชาวบ้านเรียกว่า "หลวงพ่อยิ้ม" เพราะมีพุทธลักษณะคล้ายพระกำลังอมยิ้ม เป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้น ปางมารวิชัย นั่งขัดสมาธิราบ
2. วัดอ่างทองวรวิหาร

ภาพจาก ททท.
3. วัดม่วง

ตั้งอยู่ที่ตำบลหัวสะพาน อำเภอวิเศษชัยชาญ เดิมทีเป็นวัดร้าง สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปี พ.ศ. 2230 แขวงเมืองวิเศษชาญ ซึ่งเคยได้เป็นเมืองหน้าด่าน ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต่อมาในปี พ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาได้เสียกรุงให้แก่พม่า พม่าได้เผาผลาญบ้านเมือง วัดวาอาราม และพระพุทธรูปไปเป็นจำนวนมาก สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือซากปรักหักพังของวัดวาอารามและพระพุทธรูปที่อยู่บนเนินมีต้นไม้ใหญ่จำนวนมาก
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2525 ท่านพระครูวิบูลอาจารคุณ (หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ) ได้มาปักกลดธุดงค์เห็นว่าบริเวณนี้เคยเป็นวัดร้างจึงน่าปฏิบัติธรรม แต่ขณะปฏิบัติธรรมได้ปรากฏนิมิตเห็นองค์หลวงปู่ขาว และหลวงปู่แดง มาบอกว่าให้ท่านได้ช่วยก่อสร้างวัดม่วงขึ้นมาใหม่ เพราะท่านพระครูเป็นผู้มีบารมี ที่สามารถจะก่อสร้างบูรณะวัดม่วงขึ้นมาใหม่ได้ด้วย และในบริเวณวัดร้างนี้จะมีศิลาขาวและศิลาแดงอยู่ คือองค์ของหลวงปู่ขาวและหลวงปู่แดง ซึ่งต่อมาท่านพระครูวิบูลอาจารคุณได้มีการปั้นองค์พระครอบศิลาขาวและศิลาแดงไว้ โดยเรียกนามว่าหลวงปู่ขาวและหลวงปู่แดงจนถึงปัจจุบันนี้

ในปี พ.ศ. 2526 ท่านพระครูวิบูลอาจารคุณ ได้มีการเริ่มบูรณะและได้สร้างเสนาสนะต่าง ๆ ขึ้น โดยได้รับการบริจาค ทั้งเงินทำบุญ และทำบุญด้วยแรงงาน ร่วมกันดำเนินงานในการก่อสร้าง จนกระทั่งวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2527 กระทรวงศึกษาธิการ มีการประกาศยกฐานะให้วัดม่วงซึ่งเคยเป็นวัดร้างให้เป็นวัดที่มีพระสงฆ์ และเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2529 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระราชทานวิสุงคามสีมาให้แก่วัดม่วงเป็นต้นมา
ในปี พ.ศ. 2534 ท่านพระวิบูลอาจารคุณ ได้ร่วมพลังจิตอธิษฐานร่วมกับประชาชนผู้มีจิตศรัทธาทั่วประเทศ ได้สมทบทุนสร้างพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อน้อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และราชวงศ์จักรี มีพระนามว่า "พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ" มีหน้าตักกว้าง 62 เมตร สูง 93 เมตร
4. วัดต้นสน

ภาพจาก topten22photo / shutterstock.com
นอกจากนี้ยังประดิษฐานพระพุทธรูปปางสะดุ้งมาร พระนามว่า "สมเด็จพระพุทธนวโลกุตตรธัมมบดีศรีเมืองทอง" หรือเรียกชื่อย่อว่า "สมเด็จพระศรีเมืองทอง" ขนาดหน้าตักกว้าง 6 วา 3 ศอก 9 นิ้ว สูง 9 วา 1 ศอก 19 นิ้ว หล่อด้วยโลหะทั้งองค์ลงรักปิดทอง พระราชสุวรรณโมลี เจ้าอาวาสวัดต้นสนเดิมเริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ. 2516 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงประกอบพิธีสวมเกตุสมเด็จพระศรีเมืองทอง เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2528 นับเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะขนาดใหญ่ที่สุดองค์แรกและมีพุทธลักษณะที่สวยงามมากอีกองค์หนึ่ง
5. วัดจันทรังษี

ภาพจาก ททท.
วัดจันทรังษี ตั้งอยู่ที่ตำบลหัวไผ่ อำเภอเมืองอ่างทอง มีพื้นที่สองฝั่งถนน ฝั่งทิศตะวันออกมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนนิยมเรียกว่า "หลวงพ่อโยก" และฝั่งตะวันตกของถนนเป็นที่ตั้งของพระมหาวิหารจัตุรมุขพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด) องค์ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างด้วยโลหะปิดทองคำเหลืองอร่ามทั้งองค์มีความงดงามมาก ขนาดหน้าตักกว้าง 6 เมตร 9 นิ้ว สูง 9.9 เมตร เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2539 สร้างโดยพระธรรมรัตนากร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นผู้จุดประกายการก่อสร้าง นอกจากนี้ท่านยังได้สร้างองค์สมมุติพระโพธิ์สัตว์อวโลกิเตศวรเจ้าแม่กวนอิม ปางพันมือ สี่หน้า สูง 5 เมตร 8 นิ้ว แกะสลักจากไม้หอมขนาดใหญ่ จากประเทศจีน โดยได้อัญเชิญเข้ามาประเทศไทยประดิษฐาน ณ วัดจันทรังษี ในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2552
6. วัดป่าโมกวรวิหาร

ตั้งอยู่ที่ตำบลป่าโมก อำเภอป่าโมก ภายในวัดมีพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่งดงามมากองค์หนึ่งของเมืองไทย องค์พระก่ออิฐถือปูนปิดทอง มีความยาวจากพระเมาลีถึงปลายพระบาท 22.58 เมตร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย มีประวัติความเป็นมาเล่าขานกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้ลอยน้ำมาจมอยู่หน้าวัด ราษฎรบวงสรวงแล้วชักลากขึ้นมาประดิษฐานไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำ พงศาวดารกล่าวว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชก่อนที่จะยกทัพไปรบกับพระมหาอุปราชา ได้เสด็จมาชุมนุมพลและถวายสักการบูชาพระพุทธไสยาสน์องค์นี้ สิ่งที่น่าสนใจในวัดนี้นอกจากพระพุทธไสยาสน์แล้วยังมี "วิหารเขียน" ซึ่งเล่ากันว่า ผนังวิหารด้านที่หันออกสู่แม่น้ำมีแท่นสูงเข้าใจว่าเป็นแท่นที่เคยมีกษัตริย์เสด็จประทับยืนบริเวณนั้น, มณฑปพระพุทธบาท 4 รอย และหอไตร เป็นต้น
7. วัดไชโยวรวิหาร หรือวัดเกษไชโย
ภาพจาก topten22photo / shutterstock.com
วัดไชโยวรวิหาร หรือวัดเกษไชโย (ชื่อที่ปรากฏในพื้นที่คือ วัดเกษไชโย) ตั้งอยู่ตำบลไชโย อำเภอไชโย ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2433 ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวงเมื่อปี พ.ศ. 2430 เดิมทีเป็นวัดราษฎร์ สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาไม่มีประวัติแน่ชัดว่าใครสร้าง แต่มาปรากฏชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไปเมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังโฆษิตาราม ได้มาสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขึ้นเมื่อรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ประมาณปี พ.ศ. 2400-2405 ซึ่งขณะนั้นท่านยังดำรงสมณศักดิ์พระเทพกวี
"พระมหาพุทธพิมพ์" หรือ "หลวงพ่อโต" แห่งวัดไชโย เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวอ่างทองและจังหวัดใกล้เคียงให้ความเลื่อมใสศรัทธามาก มีพุทธลักษณะเป็นศิลปะรัตนโกสินทร์ ปางสมาธิ ขัดสมาธิราบ ขนาดหน้าตัก 8 วา 7 นิ้ว ก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทอง ด้วยเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโตเป็นที่ประจักษ์กันดีในหมู่ชาวเมืองอ่างทองที่เคารพนับถือ กล่าวกันว่าผู้ที่ก่อกรรมทำชั่วไว้มากจะไม่สามารถเข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อโตได้ เนื่องจากเมื่อเข้าใกล้องค์พระจะเห็นว่าหลวงพ่อโตกำลังจะล้มลงมาทับ
8. วัดขุนอินทประมูล

นอกจากนี้ภายในบริเวณวัดยังมีซากโบราณสถานวิหารหลวงพ่อขาว ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงแค่ฐาน ผนังบางส่วนและองค์พระพุทธรูป และในศาลาอเนกประสงค์ มีศาลรูปปั้นขุนอินทประมูลและโครงกระดูกมนุษย์ ขุดพบในเขตวิหารพระพุทธไสยาสน์เมื่อปี พ.ศ. 2541 ลักษณะนอนคว่ำหน้า มือและเท้ามัดไพล่อยู่ด้านหลัง เชื่อกันว่าเป็นโครงกระดูกขุนอินทประมูลแต่บ้างก็ว่าไม่ใช่

แต่สิ่งที่เป็นไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งของวัดขุนอินทประมูล คือพระอุโบสถที่มีขนาดใหญ่ถึง 3 ชั้น และมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น บันไดเลื่อนและลิฟต์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาทำบุญที่วัด
9. วัดบ้านพราน

ภาพจาก ททท.
วัดบ้านพราน ตั้งอยู่ที่ตำบลศรีพราน เป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 900 ปี สร้างในครั้งใดไม่ปรากฏ มี "หลวงพ่อไกรทอง" พระพุทธรูปหินทรายแกะสลักปางสมาธิ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด ซึ่งถือเป็นศาสนวัตถุที่ทรงคุณค่าทั้งทางด้านประวัติศาสตร์และทางด้านจิตใจ ประดิษฐานอยู่ที่วิหารหลวงพ่อไกรทอง ซึ่งเป็นวิหารทรงเก๋งจีน ศิลปะยุคใหม่รัตนโกสินทร์ จำลองเป็นเก๋งจีนบนเรือสำเภา พาหนะที่อัญเชิญหลวงพ่อไกรทองมาประดิษฐานยังวัดบ้านพราน นับแต่สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
ทั้งนี้มีประวัติเล่าต่อกันมาว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นผู้สร้างที่เมืองสุโขทัย แล้วถอดเป็นชิ้นมาประกอบที่วัดบ้านพรานเพื่อให้เป็นพระประธาน แต่ผู้สร้างวัดต้องการสร้างพระประธานขึ้นเอง จึงได้สร้างวิหารเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป ชาวบ้านเรียกว่า "หลวงพ่อไกรทอง" ไกร หมายถึง จีวร สังฆาฏิ สบงของหลวงพ่อไกรทอง เล่ากันต่อ ๆ มาว่าเมื่อถึงวันดีคืนดี เวลาเที่ยงคืน ไกรจะลุกเป็นไฟสว่าง โชติช่วง บอกนิมิตอันดีต่อผู้พบเห็น เชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์สามารถคุ้มภัยแก่ผู้ไปสักการบูชา