
การไปเที่ยวญี่ปุ่นเป็นความใฝ่ฝันของใครหลายคน แต่ความฝันนั้นมักจะต้องพับเก็บไปด้วยการมีปัจจัยเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ไหนจะตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่ากิน ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว ค่าเดินทาง ซึ่งยังไม่รวมค่าช้อปปิ้ง พอดีดเครื่องคิดเลขออกมาแล้วก็ถึงกับกุมขมับ ชาตินี้จะได้ไปเที่ยวดินแดนอาทิตย์อุทัยไหมหนอ ? แต่เชื่อหรือไม่ว่าไม่ต้องมีตังค์มากมายก็สามารถไปเที่ยวญี่ปุ่นได้ เพราะ คุณสมาชิกหมายเลข 1339811 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้รีวิวถึงการเดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นในราคาที่คุ้มค่ามาก ๆ โดยมีด้วยกันทั้งหมด 3 ตอน คือตอนที่ 1 : นอนสนามบิน ช้อปปิ้ง เล่นกับกวาง ตอนที่ 2 : KYOTO..ไปวัด ช้อป ชิล และตอนที่ 3 จะพาไปเที่ยว ไปกินในเมืองโตเกียว แต่จะสนุกสนานแค่ไหนไปชมกันเลยค่ะ






จะมีทั้งหมด 3 ตอน 4 เมือง | กระทู้นี้เป็นตอนที่ 3 นะคะ
ตอนที่ 1 : นอนสนามบิน ช้อปปิ้ง เล่นกับกวาง
ตอนที่ 2 : KYOTO..ไปวัด ช้อป ชิล
ตอนที่ 3 : ฮิปไปเรื่อยที่โตเกียว
*ขอชี้แจงอีกครั้งนะคะ*
กระทู้นี้อาจไม่เหมาะสำหรับคนที่รวยมาก ๆ นะคะ ข้ามไปได้เลยค่ะ ราคาที่แจ้งในหัวข้อกระทู้ รวมค่าตั๋วเครื่องบิน โรงแรม ค่ากินตามมื้อ ค่ารถทุกอย่างที่จ่ายไปทุกบาททุกสตางค์ แต่ ! ไม่รวมค่าขนมที่นอกเหนือจากอาหารในแต่ละมื้อ ประมาณพันนิด ๆ ไม่รวมค่าช้อปปิ้ง ซึ่งก็บาดเจ็บกันพอสมควร โรงแรมที่นอนสนามบิน 2 คืน เพราะเที่ยวบินที่ได้ถึงดึกและออกเช้ากลัวไม่ทันเลยนอน หากใครจะจองโรงแรมก็เพิ่มอีกคืนละพันเอง ถ้าถึงเร็วและออกไม่เช้านอนโรงแรมก็ได้ค่ะ
วันที่ 6 TOKYO
หลังจากนั่งรถบัสมาทั้งคืนจากเมืองหลวงเก่า ในที่สุดเราก็ถึงเมืองหลวงใหม่กันสักที รถบัสพาเราไปจอดที่ตึก Sunshine City ย่าน Ikebukuro ตอน 7 โมงเช้า ตรงเวลาเป๊ะ ต่อจากนี้พวกเราต้องเผชิญกับเรื่องราวที่ว่าด้วยเส้นทาง เส้นทาง และเส้นทางที่จะพาเราไปยัง Kimi Ryokan ที่พักของเรานั่นเอง ซึ่งก็อยู่ในย่านนี้แหละค่ะ จากแผนที่ที่เตรียมไปดูแล้วเกิดความงง ไม่รู้จะหันไปเริ่มต้นทางไหน แต่ดีนะที่เราลงทุนเช่า Wi-Fi Pocket ไปด้วย ก็เลยเปิด Google Map ช่วย สบายใจหายห่วง เดินลากกระเป๋าถึงที่หมายอย่างปลอดภัย แม้จะมีการโต้แย้งกันเรื่องเส้นทางกันเป็นระยะ เพราะแต่ละคนเลือกกันคนละเส้นทาง แต่สนุกดี

ถึงที่พักยัง Check in ไม่ได้...เช่นเคย เราฝากกระเป๋า ล้างหน้าแปรงฟัน แต่งหน้ากรีดตากันตามเรื่อง แล้วออกเดินทาง

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ อัพเดทก่อนใครที่เพจค่ะ
ตังค์นิดเดียว ก็เที่ยวได้
Blog จ้า : Kusjiontour.wordpress.com
จุดหมายวันนี้ Shopping รัว ๆ ไปมันทั้ง 3 ที่เลยนะ Nakameguro-Daikanyama-Shimokitazawa
เริ่มที่ย่าน Nakameguro ย่านน่ารัก ชิค ๆ ชิล ๆ มีลำโพงเปิดเพลงคลอตลอดการเดิน เพลินจริงเชียว ที่นี่เปิด 11 โมง มาเช้าได้ไม่เช็กเวลาอย่างเราก็เดินถ่ายรูปไปก่อน เวลาปิดประมาณ 5 โมงเย็นนะคะ




ร้านดอกไม้...น่ารัก

ดูร้านนี้สิ

การเดินทาง : วันนี้เราจะใช้ Tokyo Subway Pass นั่งไปได้ทุกสถานีที่มีสัญลักษณ์รูปตัว M ราคา 600 Yen ปกติราคา 710 Yen ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงลดราคา อาจเป็นเพราะช่วง Golden Week

ซื้อได้ที่ตู้ขายบัตรอัตโนมัติ วิธีคร่าว ๆ คือ
1. เปลี่ยนเป็นภาษา English อยู่ตรงขวาบนของจอ

2. กด One Day Pass ซ้ายมือ


3. เลือก Pass ที่จะใช้

4. กดรูปคนแทนจำนวนคน ซึ่งสามารถซื้อได้หลายใบ

5. เครื่องจะคำนวณให้ว่าคนละเท่าไร รวมเป็นเท่าไร แล้วก็หยอดเหรียญ หรือสอดแบงก์เข้าไป ถ้าเกินเดี๋ยวเครื่องจะทอนออกมาให้เอง...ฉลาดมาก
**จริง ๆ การใช้ Pass อะไรขึ้นอยู่กับแพลนของแต่ละคนว่าสถานที่ที่เราจะไปรถอะไรผ่านบ้าง เราลองคำนวณดูค่าโดยสารแต่ละเที่ยวแล้ว คิดว่า Pass นี้เหมาะกับแพลนวันนี้ของเรา เลยเลือกใช้ในวันนี้
เอาล่ะเริ่มจากสถานี Ikebukuro (M25) ซึ่งเดินจากที่พักไม่ไกล ๆ ขออวด

ขึ้นสาย Marunouchi ไป Transfer ที่สถานี Kasumigaseki (M15/H06) ประมาณ 20 นาที แล้วเปลี่ยนเป็นสาย Hibiya นั่งไปลงที่สถานี Nakameguro (H01)
เราจำทางออกไม่ ถ้าหาที่จดไว้ได้เดี๋ยวมาบอกอีกทีนะคะ เบื้องต้นให้ดูทางออกที่จะไป Main Street แล้วเลี้ยวซ้าย ก่อนเจอธนาคารเลี้ยวซ้ายอีกที แล้วเลี้ยวขวาที่ซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วก็จะเป็นเส้นยาวทั้งเส้นเลยค่ะ หาไม่ยากเดินนิดเดียวก็ถึงแล้ว เดินผ่านร้านราเมนหยอดเหรียญแล้วหิวขึ้นมาซะงั้น แวะสิคะ มื้อนี้หมดไป 580 Yen

วิธีการคือเลือกเมนูที่โดนใจ กดปุ่มแล้วก็หยอดเหรียญ จากนั้นก็เอาคูปองไปให้เจ้าของร้าน เขาจะเรียกให้ไปหยิบเมื่อทำเสร็จ น้ำเปล่าฟรีนะคะ


นอกจากจะชิค ๆ ชิล ๆ แล้ว ที่นี่ยังไม่มีร้านขาย Tokyo Bike ที่คนขายหล่อมาก แต่ไม่กล้าถ่ายมา เอารูปเราไปแทนนะ

ไปกับน้องอีกสองคน ไม่ต้องห่วงเรื่องของกิน และงานเค้กต้องมา ร้านนี้ดังเลยนะ ชื่อร้าน Patisserie Potager รูปหน้าร้านเบลอไปหน่อยนะคะ

แต่รูปเค้กชัดเจน เค้กอร่อย ทำจากผัก แต่กินแล้วไม่รู้สึกถึงผักเลย




ห้างนี้เป็นแหล่งรวมเสื้อผ้า ของเล่น อุปกรณ์ต่าง ๆ ของเด็กล้วน ๆ

มีแต่ร้านน่ารัก ๆ

แต่งตัวคุมโทนกันมาก

นายแบบเราก็คุมกับเขาด้วยสิ

พูดไปก็จะหาว่าคุย ทันทีที่เดินออกจากสถานีรถไฟก็มีแมวมองมาขอถ่ายรูปคุณต้น แฟนสุดหล่อของเรา เพื่อไปลงนิตยสาร อารมณ์ประมาณ Cheeze Magazine บ้านเรานั่นแหละค่ะ เขานึกว่าคุณต้นเป็นคนญี่ปุ่น ไอ้เราก็ไม่อยากจะขัดโอกาสโด่งดังในแดนปลาดิบของแฟน ก็เลยยอม ๆ ให้ถ่ายไป แฟนบอกเผื่อปูทางเข้าวงการ เอากับเขาสิคะ

ถ่ายเสร็จก็มีสัมภาษณ์นิดหน่อย เกี่ยวกับการแต่งตัว เสื้อ กางเกง กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา ยี่ห้ออะไรบ้าง ภูมิใจที่บางชิ้นบอกว่าเป็น Thai Brand

เอาล่ะ...หลังจากผ่านช่วงคนอวดแฟนไปแล้ว นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกวิธีการเดินทางเลย มา ๆๆ
การเดินทาง : จากสถานี Naka-Meguro เราจะนั่งรถไฟสาย Tokyu Toyoko/Minatomirai Line ประมาณ 1 นาที ก็ไปถึงสถานี Daikanyama ค่าตั๋ว 130 Yen หรือใครจะเดินไปก็ไปก็ได้นะคะประมาณ 10 นาทีค่ะ

พอออกจากสถานีก็เดินตาม ๆ เขาไปเลยค่ะ ไม่ต้องกลัวหลง สถานีเล็ก ๆ ร้านค้ามากมาย มีทั้งแบรนด์ตัวเองและแบรนด์นำเข้าที่คัดดีไซน์มาโดยเฉพาะ อย่างรองเท้าบางรุ่นหาจากไทยไม่ได้ จากที่อื่นไม่มี ก็มาเจอที่นี่ แบบเฮ้ยรุ่นนี้ไง ๆ เอาดิ ๆ ราคาเลยไม่ค่อยจะธรรมดา เป็นอันเจ็บตัวกันถ้วนหน้า จากภาพแค่ครึ่งทางของย่านนี้ เป็นไงล่ะนายแบบของเรา

เดินกันจนเมื่อยมาก เมื่อยจริง ๆ เพราะเดินกันมาหลายวันแล้ว เงินที่เตรียมมาช้อปก็เริ่มร่อยหรอ เราคงต้องไปต่อย่านอื่นก่อนจะล้มละลายกัน จุดหมายต่อไปก็คือย่าน Shimokitazawa ย่านนี้ขอเรียกว่าเป็นย่านเด็กแนว อารมณ์จตุจักรบ้านเรา ลงจากสถานีปุ๊บก็เจอวงดนตรีเปิดหมวกปั๊บ


ของมือสองเก๋ ๆ ก็มีขายมากมาย ข้างในมือสองล้วน ๆ

ของมือสองก็คัดกันมาแล้ว บางชิ้นนะ...เคยผ่านมือคนอื่นมาแล้วจริง ๆ เหรอเนี่ย



แต่งร้านกันเก๋ ๆ


ขอบอก MUJI สาขานี้ของเยอะมาก และที่สำคัญราเมนร้านนี้อร่อยขนาดที่ป้าข้าง ๆ สั่งเส้นมาเพิ่มเลย

เรานี่ซดจนเกลี้ยงไม่เหลือน้ำ ราคา 620 Yen

หน้าร้าน...พิกัดอยู่ซอยเดียวกับ MUJI เลยนะ

คุณพี่สุดหล่อ


ขอถ่ายร้านเขาอีก


การเดินทาง : จากสถานี Daikanyama นั่งรถไฟสาย Tokyu Toyoko/Minatomirai Line Local ไป Transfer ที่ Shibuya ประมาณ 3 นาที แล้วเดินในสถานีค่อนข้างไกลหน่อย (เพราะเป็นคนละค่าย) เพื่อออกไปขึ้นรถไฟจากสถานี Shibuya สาย Keio Inokashira Line EXP. ไปลงสถานี Shimokitazawa ค่าตั๋ว 260 Yen

ออกทางออก South

ต่อจากที่นี่ตามแพลนเดิมกะว่าจะไป Shinjuku แต่ด้วยสภาพร่างกายไม่ไหว และของเต็มมือจนช้อปไม่สะดวก เลยขอเลื่อนเป็นพรุ่งนี้แทน ขอไปนอนเอาแรงที่ Kimi Ryokan แป๊บหนึ่ง เดี๋ยวออกไปหาอะไรกินย่าน Ikebukuro
การเดินทาง : จากสถานีรถไฟ Shimokitazawa เราจะนั่งสาย Keio Inokashira Line Local กลับไป Shibuya เพื่อนั่งรถไฟใต้ดินกลับไปยังที่พัก ค่าตั๋ว 130 Yen ถึงสถานีรถไฟ Shibuya เดินลงรถไฟใต้ดินจากสถานี Shibuya (F16) ขึ้นสาย Fukutoshin ทางที่จะไป Kotake-Mukaihara ไปลงที่สถานี Ikebukuro (F09) ทางออก C6 เพื่อเดินเข้าที่พัก
หลังจากนอนพักเอาแรงกันแล้วก็ได้เวลาตระเวนราตรี ไม่ใช่ ๆ ตระเวนหาของอร่อย ๆ กิน เดินข้ามถนนจากที่พักก็เจอย่านแสงสีแล้ว ดีจริง ๆ เราเดินหาของกินแบบเดินไปเรื่อย แล้วก็มาสะดุดที่ร้านนี้ ด้วยความหิว และรูปหน้าร้านช่างน่ากินซะเหลือเกิน ก็เดินเข้าไปสิคะ...จะรออะไร

เข้าไปปุ๊บ...ตกใจค่ะ หน้าร้านเหมือนจะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นธรรมดา แต่พอเข้าไปปุ๊บหัวเหม็นทันที ข้าวหน้าปลาดิบใส ๆ กลายเป็นปิ้งย่างซะอย่างงั้น



แต่ไม่เป็นไรเข้ามาแล้วก็ชนแก้ว


ทุกโต๊ะที่เข้ามาทางร้านจะเสิร์ฟออร์เดิร์ฟให้ อย่าคิดว่าฟรีค่ะ ปฏิเสธไม่ได้ ตังค์ก็ต้องจ่าย อร่อยเลยอภัยให้ มื้อนี้หมดไป 1,690 Yen รวมเบียร์นะจ๊ะ

แต่ความอยากข้าวหน้าปลาดิบยังคงอยู่ ก็จัดไปเซตเล็ก เดี๋ยวพรุ่งนี้จัดอีกทีที่ตลาดปลา Tsukiji


กินเสร็จเดินย่อย หากิจกรรมเสียเงินจามตู้เกม

อุ๊ย ! นี่อะไร

จบค่ำคืนแรกที่มหานครโตเกียวแบบหัวเหม็นกันถ้วนหน้า กลับไปนอนกันดีกว่า พรุ่งนี้ต้องไปเดินละลายเงินเยนกันอีกหลายที่ นอน ๆๆ
ที่พัก : Kimi Ryokan เจอจาก www.booking.com แต่จองได้แค่ห้องเดียว เลยอีเมลส่วนตัวไปหาโรงแรมว่าอยากได้ 2 ห้อง เพราะมากัน 4 คน อยากพักที่เดียวกัน แล้วก็ได้มาค่ะ เย่ ๆ ราคาตกคืนละ 7,020 Yen ต่อห้อง ห้องหนึ่งกว้างประมาณ 2 เสื่อ กับวางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้อีก 2 ใบ

มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน เรียกได้ว่ากระเป๋าเสื้อผ้าใบเดียวเอาอยู่ ความสะอาดเราให้เยี่ยมเลยนะ ที่สำคัญใกล้รถไฟใต้ดินอีกแล้ว ที่นี่ฝากกระเป๋าไว้ได้นะคะ ถ้ามาก่อนเวลา Check in หรือกระทั่ง Check Out ไปแล้ว



วันที่ 7
เป้าหมายในวันนี้คือกินปลาดิบที่ตลาดปลา Tsukiji, เก็บแลนด์มาร์กสักที่หนึ่งแล้วก็ละลายเงินเยนกันต่อที่ Shinjuku และ Shibuya
เริ่มที่เป้าหมายที่ 1 หนีไม่พ้นเรื่องกิน จริง ๆ ไม่ได้อยู่ในแพลนแต่ด้วยความเร่งรีบทำให้ได้กินปลาดิบน้อยมาก ทั้งที่ความตั้งใจคือจะกินทุกมื้อ เลยต้องมาจัดให้ถึงที่แบบสด ๆ กันไปเลย ตลาดปลา Tsukiji เป็นตลาดค้าส่งปลาที่เป็นหนึ่งในตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก แบ่งเป็น 2 โซน คือส่วนภายนอกซึ่งมีร้านค้าปลีกและร้านอาหาร และส่วนภายในซึ่งเป็นบริเวณที่ร้านค้าส่งและประมูลปลา วันที่เราไปโซนข้างในปิด เราเลยหากินเอาโซนนอก
แผนที่จาก Google ค่ะ

การเดินทาง : วันนี้เราจะใช้ Pass : One-day Ticket for Tokyo Metro & Toei Subway ราคา 1,000 Yen เนื่องจากตามแพลนต้องไปสาย Toei ด้วย และบวกลบคูณหารแล้วซื้อพาสคุ้มกว่าซื้อเป็นเที่ยว ๆ วิธีการซื้อก็เหมือนกันเลยค่ะ เลื่อนขึ้นไปดูข้างบนนะคะ

จากสถานี Ikebukuro (Y09) นั่งสาย Yurakucho ขึ้นฝั่งที่จะไป Shin-Kiba ไป Transfer ที่สถานี Tsukishima (Y21/E16) ประมาณ 24 นาที แล้วเปลี่ยนเป็นสาย Oedo


ไปลงสถานี Tsukijishijo (E18)

ดูป้ายที่บอกว่าไปตลาดปลาได้เลยค่ะ

ถึงแล้ว...เย่

ข้างหลังคุณต้นจะเป็นโซนร้านอาหารค่ะ

มีทั้งแล่กันตรงนั้น ยืนกินกันตรงนั้น


และเป็นร้านนั่งซึ่งก็มีให้เลือกมากมาย ร้านนี้คนเยอะมาก ต่อแถวยาวไม่ขาดตอน

เรารอไม่ไหวเลยลองร้านนี้ อยู่ฝั่งตรงข้ามในซอกนี้ค่ะ เดินเข้าไปเลย

นี่คือหน้าร้าน มีสองฝั่งค่ะ

เรานั่งฝั่งซ้าย

และนี่ก็เมนูค่ะ รู้นะว่ารอคอย ถ่ายมาได้ 3 หน้า ดูกันเอาเองนะ



และนี่จานของเรา 1,985 Yen สด ๆ แน่น ๆ นุ่มลิ้น ละลายในปาก

จานเพื่อน ๆ บ้าง


กินอิ่มก็เดินช้อปปิ้งต่อสิคะ ข้างทางก็มีเรื่องให้เสียเงินอีก น้องส้มก็โดนไปจ้า

เป้าหมายแรก >> GOAL
เป้าหมายต่อไปวัด Sensoji หรือที่เราเรียกกันติดปากว่าวัด Asakusa เป็นแลนด์มาร์กที่ไม่ได้อยู่ในแพลนเลย แต่มันก็เช้าอยู่ไม่รู้จะไปไหน ก็เอาซะหน่อย อยากรู้เหมือนกันว่าถ้ามาช่วง Golden Week คนจะเยอะสักแค่ไหน
การเดินทาง : ใช้ Pass เดิมที่ซื้อเมื่อเช้านะคะ จากสถานี Tsukijishijo (E18)

นั่งสาย Oedo ไป Transfer ที่สถานี Daimon (E20/A09) ใช้เวลา 4 นาที สังเกตป้ายนะคะ เราจะไปสายที่ 2 กัน

แล้วเปลี่ยนสายเป็นสาย Asakusa ขึ้นทางที่จะไป Oshiage (SKYTREE) ไปลงสถานี Asakusa (A18) ไม่ต้องกลัวหลงค่ะ ในรถไฟก็มีป้ายบอกสถานีต่อไปเป็นภาษาอังกฤษ

ออกจากสถานีจะเป็นซอยแบบนี้

แล้วก็เดินออกไปเพื่อข้ามถนนไปยังวัด ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

มองไปทางขวาจะเจอ Tokyo Tower ด้วยนะคะ

ถึงแล้ว...คนหนาแน่นจริง ๆ

เข้าไปอีกนิด

ถ่ายกับแลนด์มาร์กสักหน่อย

มุมข้างก็สวย ... ความเห็นส่วนตัวล้วน ๆ ><

ใครใคร่ช้อปปิ้งเชิญซอยด้านหลังค่ะ

เดินเล่นถ่ายรูปแถว ๆ นั้นก็ได้มุมแปลก ๆ มาเช่นเคย

รูปนี้ไม่แปลกแต่เสียวมาก

ใครอยากให้หนุ่มหล่อล่ำพาเที่ยวก็ไปขึ้นที่ซอยข้าง ๆ วัดเลยนะ

รถเมล์น่ารัก

เห็นสตรอว์เบอร์รีแล้วเกิดแรงดึงดูด จำราคาไม่ได้ค่ะ แต่รสชาติจำไม่รู้ลืม

ขอจบกับภารกิจแลนด์มาร์กแต่เพียงเท่านี้ ไปช้อปปิ้งต่อกันเถอะ
Shinjuku กันเถอะ
การเดินทาง : ใช้ Pass เดิมที่ซื้อเมื่อเช้าเลยค่ะ...มันคุ้มมาก ๆ จากสถานี Asakusa (A18) ขึ้นสาย Asakusa ไปทางที่จะไป Nishi-Magome แล้วไปลงที่สถานี Higashi-Nihonbashi (A15) ใช้เวลาประมาณ 5 นาที ถึงแล้วก็ต้องเดินอีกนิดหน่อย ไปเปลี่ยนเป็นสาย Shinjuku โดยต้องเปลี่ยนเป็นสถานี Bakuro-yokoyama (S09) ขึ้นทางที่จะไป Shinjuku เรานั่งไปลง Shinjuku-Sanchome (S02) จะอยู่ใกล้ ๆ ห้าง ISETAN เราออกทางออก B3 ถ่ายรูปเล่นตามสถานีคืองานของเรา

อย่าลืมประทับตราล่ะ

ถึงแล้วก็ทางใครทางมันนะคะ แต่ไม่กี่วันก่อนเพิ่งไปเจอกระทู้หนึ่ง เสียใจที่ไม่เจอกันเร็วกว่านี้ เป็นแผนที่เดินช้อปปิ้ง...ลองเข้าไปดูกันนะ
http://pantip.com/topic/32596129
ขอบคุณเจ้าของกระทู้มา ณ ที่นี้ค่ะ
เขาว่าไป Shinjuku ต้องกินเครป ชมพู่กับส้มเจ้าเดิมไม่มีพลาด เอารูปมาฝากกันด้วยค่ะ

หน้าร้าน

เยอะแยะ ๆ

ส่วนใครชอบแบรนด์เนมมือสองลองร้านนี้ดูนะคะ

แล้วก็ร้านนี้...บอกพิกัดไม่ถูก เดินวนไปมาก็เจอครบทุกร้านตามลายแทงพี่ม้าฮี่ ๆ เลยค่ะ

พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินเงินยังไม่หมด เราต้องไปต่อกันใช่ไหม จุดหมายต่อไป Shibuya นะคะ
การเดินทาง : จากสถานี Shinjuku-Sanchome (F13) ขึ้นสาย Fukutoshin ไปลงสถานี Shibuya (F16) แป๊บเดียวถึงเลย ออกทาง Hachiko Exit จะเจอรูปปั้น Hachiko หมาน้อยในตำนาน

และต้องเจอคลื่นมหาชนที่ Scramble Crossing

สักหน่อยสิเรา

เบื้องหลังภาพที่ได้มา

ข้ามแยกได้ก็เริ่มกันเลยค่ะ

ไหวไหม

สู้ตายค่ะ

เย็นแล้ว เหนื่อยด้วย แก่แล้ว ไม่ฟิตเลย กลับเถอะ ๆ

กลับที่พักไปเก็บของยัดใส่กระเป๋ากันดีกว่า
การเดินทาง : จากสถานี Shibuya (F12) ขึ้นสาย Fukutoshin ไปทางที่จะไป Kotake-Mukaihara ไปลงที่สถานี Ikebukuro (F09) Exit C3 ใช้เวลา 14 นาที ใช้ Pass ใบเดิมจ้า
ระหว่างที่รอรถไฟ

ถ่ายภาพนี้มาแล้วมารู้ทีหลังว่าเขากันคนกระโดดฆ่าตัวตาย เพราะกระโดดกันเป็นว่าเล่นเลย ฮืออออออ หลอน

มีตู้สำหรับสาวน้อยน่ารักด้วยนะ

ก่อนออกจากสถานีก็จะกิน ร้านนี้คุ้น ๆ ใช่ไหมล่ะ

ถึง Ikebukuro แล้ว เจอห้างแถวที่พักก็จัดกันต่อ รูปนี้ถ่ายตั้งแต่เช้า มาถึงจริงคือมืดแล้ว

ชอบห้างนี้มาก มีของที่ตามหามาหลายวันด้วย...ติดตรงห้องส้วมห้องนี้แหละ จะให้พี่กดปุ่มไหนดีคะ ภาษาญี่ปุ่นล้วน ๆ มึนกันเลยทีเดียว

เดินกันจนขาเปลี้ย ย้ำว่าเปลี้ยกันมาก หาอะไรกินง่าย ๆ กันเถอะ เงินหมด รีบด้วย เดี๋ยวจะตกรถไฟไปสนามบิน เดินไปเดินมาเจอร้านหยอดเหรียญอีกแล้ว เยอะจริงเชียว
จานนี้ของเรา 580 Yen

นี่ของน้องอีกคน ส่วนคนอื่น ๆ ถ่ายไม่ทัน หิวกันเกิ๊น

กินเสร็จกลับไปเก็บของ ร่ำลาที่พักแล้วออกเดินทาง...ต่อ จุดหมายต่อไป Narita International Airport ที่รีบนี่ไม่ได้กลัวตกเครื่องนะคะ กลัวตกรถไฟเพื่อที่จะไปนอนสนามบินนี่แหละ หลายคนยังไม่เคยอ่านตอนแรก คืนนี้เราจะนอนสนามบินกันนะคะ เพราะพรุ่งนี้เราออก 9 โมง เผื่อเวลา Check in เวลาเดินทาง ก็กลัวจะไม่ทัน ก็เลยตกลงใจกันตั้งแต่กรุงเทพฯ นี่แหละค่ะว่านอนสนามบินเถอะ
การเดินทาง : ใช้ Pass เดิมนั่นแหละ คุ้มจนหยดสุดท้ายจริง ๆ Pass เดิมเพิ่มเติมแค่สัมภาระ คิดหนักว่าจะทำยังไงกับบางอย่างที่ยัดกระเป๋าไม่ไหวแล้วจริง ๆ

จากสถานี Ikebukuro (M25) ขึ้นสาย Marunouchi ไปทางที่จะไป Ogikubo ไป Transfer ที่สถานี Otemachi (M18/Z08) ใช้เวลา 14 นาที แล้วเปลี่ยนเป็นสาย Hanzomon ไปลงสถานี Oshiage (SKYTREE) (Z14) อีก 14 นาที จากสถานี Oshiage (SKYTREE) เดินในสถานีนั่นแหละค่ะ ไปเปลี่ยนเป็นรถไฟเพื่อจะไปสนามบิน รอบรถที่ดูมาจาก HyperDia คือรอบ 21.10 น. ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึง 15 นาที วิ่งสิคะวิ่ง
ซื้อตั๋วที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ ราคา 980 Yen

แล้วรีบไปรอรถที่ชานชาลาโดยเร็ว

จากสถานี Oshiage นั่งสาย Keisei Oshiage Line ไปลง Narita International Airport Terminal 2 เลยค่ะ ถึงแล้วจะมีรถเข็นให้ ไม่ต้องลากให้เหนื่อย

หลังจากนั้นก็ลงลิฟต์ไปหาที่นอน ซึ่งก็คือเก้าอี้เบาะยาว ๆ สีฟ้านั่นแหละค่ะ เหมือนที่สนามบินคันไซ เอามาต่อกันก็จะกว้างและนอนยืดเหยียดยาวได้สบายเลย มีห้องน้ำ มีที่ชาร์จแบตเตอรี่ฟรี ชั้น 4 มี 7-11 เผื่อใครหิว กินได้ทั้งคืนเลยค่ะ แต่ไม่ได้ถ่ายภาพมา วันนี้หมดแรงกันแล้วจริง ๆ นอนกันเถอะแก๊ง
ตื่นเช้ามาเป็นแสงสุดท้ายที่ญี่ปุ่นแล้ว ล้างหน้าแปรงฟันแล้วไป Check in AirAsia X จะมีห้องของตัวเอง เดินลากกระเป๋าเข้าไปเลยค่ะ ห้ามเอารถเข็นเข้าไปนะคะ เรื่องน้ำหนักกระเป๋าเจ้าหน้าที่ที่นี่เข้มงวดมากเลยนะคะ เกินนิดเดียวก็ไม่ได้ เราก็เอามาใส่ ๆ ไว้ที่ตัวจนพองเลยค่ะ แล้วก็ผ่านได้แบบพอดีเป๊ะ
เสร็จแล้วก็ไปเข้าแถวผู้โดยสารขาออก ช่วงที่เราไปคนค่อนข้างเยอะ แถวจะยาวหน่อย เข้าไปแล้วก็เจอคนไทยจำนวนมากซื้อของฝากกันอย่างบ้าคลั่ง จริง ๆ นะ ไม่ได้พูดเกินความจริงเลย เพราะพวกเราก็เป็นขนมฮิต ๆ นี่มือใครยาวสาวได้สาวเอานะ ไม่อย่างนั้นหมดแผงจ้า
หมดภารกิจของฝากและละลายเงินเยนก็เตรียมตัวบินลัดฟ้ากลับแผ่นดินแม่ มีวิวฟ้าใส ๆ มาฝาก แค่นั้นแหละ นอนละนะ...เจอกันประเทศไทย

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารีวิวในครั้งนี้จะพอมีประโยชน์แก่เพื่อน ๆ บ้าง สักนิดก็ดีใจแล้ว และพบกันใหม่เมื่อทริปใหม่เกิด
สามารถอัพเดทก่อนใครที่เพจค่ะ
ตังค์นิดเดียว ก็เที่ยวได้
Blog จ้า : Kusjiontour.wordpress.com
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณสมาชิกหมายเลข 1339811 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ Kusjiontour.wordpress.com