แบ็คแพ็กเที่ยวภูกระดึงครั้งแรก...คนเดียว ได้อะไรมากกว่าที่คิด
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณสมาชิกหมายเลข 1954351 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
ภูกระดึง ต้องไปเยือนสักครั้งจริง ๆ นะ...เราเชื่อว่าประโยคนี้เพื่อน ๆ หลายคนคงจะเคยได้ยินมาบ่อย ๆ จากปากคนที่เคยไปเที่ยวภูกระดึงแล้วนำกลับมาถ่ายทอดความน่าสนใจต่าง ๆ นานาให้เราได้ฟังกัน และวันนี้เพื่อเป็นการการันตีอีกครั้งเราเลยนำเอาบันทึกการเดินทางของ คุณสมาชิกหมายเลข 1954351 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่มีโอกาสได้แบ็คแพ็กไปเที่ยวภูกระดึงครั้งแรก...คนเดียว แล้วค้นพบว่าการได้ไปสัมผัสกับภูกระดึงทำให้ได้อะไรมากกว่าที่คิด อ๊ะ ๆ แต่จะได้อะไรบ้างนั้น ตามไปอ่านรีวิวกันเลยค่ะ
สวัสดีครับกระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผมในพันทิป ^^ ผมได้อ่านกระทู้ของเพื่อนคนอื่น ๆ มามากมาย เลยอยากจะแชร์ประสบการณ์ของตัวเองบ้าง ทริปนี้เป็นการขึ้นภูกระดึงของผม "ครั้งแรกและเป็นการขึ้นคนเดียวครับ" ช่วงขึ้นวันที่ 18-20 ธันวาคม 2557 (เพื่อนเบี้ยวแต่เรานี่ดิ ไหน ๆ ก็ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาได้สองเดือนแล้ว) เอาละครับเข้าเรื่องกันเลย Let\' Go...!! ผมนั่งรถสายขอนแก่น-เมืองเลย มาลงที่อำเภอภูกระดึง แล้วต่อรถสองแถวเข้ามาในเขตอุทยานฯ อีกคนละ 30 บาท มาถึงอุทยานฯ ตอนประมาณแปดโมงนิด ๆ เสร็จแล้วไปจ่ายค่าขึ้นภู ค่าพื้นที่เช่าเต็นท์ ส่วนเต็นท์ไปจองอีกทีข้างบน ส่วนใครจะเอาของไปฝากลูกหาบ กิโลกรัมละ 30 บาทครับ ตอนนี้หนาวมากครับ (สงสัยเพราะใส่ขาสั้นมาด้วยมั้ง เพราะคิดว่าเดินไปหน่อยคงร้อน ลูกหาบบางคนใส่แค่กางเกงตัวเดียว) เมือคืนถามเจ้าหน้าที่ เขาบอก 5 องศา O_O (ตลอดทริปนี้ใช้กล้องโทรศัพท์นะครับ พยายามเอาของไปน้อยที่สุด) ขนาดภาพ 4128x2322 บีบไฟล์เพื่อให้เอารูปลงได้ภาพเลยไม่ค่อยชัด
ได้น้ำสักขวด…Go...Go...08.30 น.
เส้นทางของเรายังอีกยาวไกล จุดหมายแรกตอนนี้ คือ ซำแฮก ที่เขาว่ากันว่าเป็นด่านแรกสุดทรหด
เดินไปเรื่อย ๆ คนเดียว ทักทายคนนูนคนนี้ไปบ้าง (คำถามที่โดนถามประจำคือทำไมถึงได้มาคนเดียว ?? -_-’ ) ถึงแล้วซำแฮก...!!! ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ไม่เหนื่อยเท่าที่คิด (ข้อดีของการไปคนเดียวคือความคล่องตัวสูง) พักถ่ายรูปแตงโมสักชิ้นแล้วไปต่อ Go...Go
คนพักซำแฮกเยอะ ทางเดินช่วงนี้เลยไม่ค่อยมีคนมีจะคุยกับใครดีล่ะ เห็นละ...เดินตามหลังกลุ่ม ๆ หนึ่งมาได้สักพัก เขามากัน 5 คน (มาครั้งแรกเหมือนกัน) เดินไปทักทายกับเขาหน่อยละกัน เผื่อได้เพื่อนเดินแก้เหงา เราเดินคุยกันไปเรื่อย ๆ ตอนนี้กลุ่มนี้มีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคน คือผมเอง :D เดินเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก ในที่สุดเราก็มาถึงหลังแป.....แล้วววววววว
จุดหมายต่อไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง ประมาณ 3 กิโลเมตรกว่า
รู้สึกว่าระยะทางตรงนี้เดินนานมาก....ถึงแล้วครับจุดบริการนักท่องเที่ยววังกว้าง
พอเรามาถึงตรงจุดบริการนักท่องเที่ยวให้เราติดต่อเรื่องเต็นท์ ถุงนอน ผ้าห่ม หมอน จ่ายตังค์เสร็จแล้วนำใบเสร็จไปยื่นรับของอีกอาคารที่ใกล้ ๆ กัน พร้อมบัตรประจำตัวประชาชน (วันที่คืนของเราก็จะได้รับบัตรของเราคืนครับ) ของเราสามารถเลือกเองเลยครับ ตามสบายกองเยอะมาก ส่วนผ้าห่มให้ไปเอาที่โรงเก็บผ้าห่มห่างจากจุดนี้ไปประมาณ 200 เมตร แล้วเต็นท์ว่างที่ไหน ชอบที่ไหน ก็จับจองเลยครับตามความชอบเราเลย (แนะนำพยายามอย่าอยู่ริมมากนะครับ ตอนกลางคืนลมจะแรงแล้วไม่มีทีบังจะหนาวมากครับ) ตอนนี้ว่างแล้วครับรอไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ ผาหมากดูก อย่างเดียวจะทำอะไรตามสบายครับ (ส่วนผมอาบน้ำครับ เย็นมาคงอาบไม่ได้แน่....หนาวชัวร์ เครื่องทำน้ำอุ่นเสีย ผมลองไปถามร้านอาหารที่เขามีน้ำอุ่น ค่าบริการ 70 บาท สุดท้ายน้ำเย็นครับ ^^ ยังกะน้ำเอาออกมาจากตู้เย็น) (อยู่ที่ศูนย์มีบริการชาร์จแบต 2 ชั่วโมง 20 บาท บริการถึง 22.00 น. หรือชาร์จฟรีตามร้านอาหารที่เราไปกินครับ)
ประมาณ 17.00 น. ไปชมพระอาทิตย์ตกดินกันครับที่ผาหมากดูก ใครไม่ชอบเดินเช่าจักรยานได้ครับค่าบริการเท่าไรไม่รู้เหมือนกัน (อย่าลืมพกไฟฉายติดตัวไปด้วยนะครับ เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก...พกติดตัวเลยตลอดทริป) แต่ระหว่างทาง.......กวางครับ หันมายิ้มให้ด้วย ^__^ ก่อนจะวิ่งเข้าป่าข้างทาง แต่อยู่แถวที่พักเราก็มีครับ กวางเจ้าถิ่นนอนอยู่แถวร้านอาหารบ้าง เดินป่วนเปี้ยนแถวเต็นท์เราบ้าง
หลังจากรีบเดินมาได้สักพักใหญ่ (กลัวไม่ทันพระอาทิตย์ตก) ถึงแล้วครับ....ผาหมากดูก
อยู่นี้ลมแรงและหนาวมาก ปากสั่นเลยทีเดียว ใส่ขาสั้นมาอีก T__T วิวอยู่ตรงผาหมากดูกสวยมาก
จบทริปวันแรกที่ผาหมากดูกครับ
วันที่สอง....รอดมาแล้วหนึ่งวัน ฮ่า ๆๆๆ (ผมตื่นขึ้นมาโทรศัพท์เย็นมากและชื้นเลยทีเดียว แนะนำเก็บไว้ในกระเป๋าเลยครับ) เมื่อคืนหลับเร็วน่าจะสองทุ่มกว่า แต่รู้สึกตัวบ่อยลมตีเต็นท์แรงมากเหมือนคนจะเปิด นอนเก็บแรงไว้ลุยวันนี้ ตื่นมาตีสีนิด ๆ เปิดเต็นท์ออกมาเท่านั้นแหละ ความเย็นสั้นสะท้านไปทั่ว 5 องศา ดาวตอนนี้สวยมากกกกกก...ไปล้างหน้า แปรงฟัน รอไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น แต่คนไปไหนหมด ทั้งเงียบทั้งหนาว เสร็จแล้วเข้าเต็นท์ต่ออยู่ข้างนอกไม่ไหว มานอนฟังเพลงรอถึงตีห้า เจ้าหน้าที่จะพาไป ตีห้าแล้วแต่เพื่อนที่มาด้วยกันยังไม่ตื่น ไปเรียกสักหน่อย เดินทางไปผานกแอ่นระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร เดินมาถึงแรก ๆไม่ค่อยมีคน หาทำเลดี ๆ แล้วไปนั่งขด สักพักหันกลับมาคนพรึ่บ...!!
ผานกแอ่น เวลาประมาณ 05.40 น.
รอมาจนสายสุดท้ายเมฆบังพระอาทิตย์ เช้าวันนี้ก็ไม่ค่อยมีหมอก เลยตัดสินใจพากันเดินทางกลับที่พัก
แยกไปไหว้พระก่อนกลับที่พัก ลานวัดพระแก้ว (ได้ยินเสียงกระดิ่งแล้วมันทำให้สบายใจมาก อยู่บริเวณนี้...กระดิ่งจะแขวนไว้ตามต้นไม้ต่าง ๆ เยอะพอสมควร)
เพื่อน ๆ ร่วมทริปผมเดินกลับที่พักแล้ว...แอบถ่ายข้างหลัง ^__^
ประมาณ 10.00 น. หลังจากเติมพลังทั้งคนทั้งโทรศัพท์เสร็จ พร้อมกับห่อข้าวกลางวัน เพราะทางนี้จะไม่มีร้านค้าจนกว่าจะถึงผาหล่มสัก ออกเดินทางกันต่อ จุดหมายผาหล่มสักประมาณ 9 กิโลเมตร เราใช้เส้นทางเดินเลาะไปตามป่าครับ เพราะจะได้แวะน้ำตก (บ่ายสามไปห้ามใช้เส้นทางนี้เพราะจะมีช้างป่าออกมาหากิน ถ้าสังเกตจะเห็นลวดไฟฟ้าล้อมไว้เพื่อกันสัตว์ป่า) อีกเส้นทางลัดเลาะริมหน้าผา เราจะใช้เป็นเส้นทางขากลับครับ Go...Go แวะไหว้พระ...ตีระฆังก่อน
ถึงแล้วน้ำตกถ้ำใหญ่เดินลงมารู้สึกถึงความเย็นเลย...ช่วงนี้น้ำจะน้อย คนที่จะมาชมน้ำตกต้องมาช่วงปลายฝนที่อุทยานฯ จะเปิดพอดี
ใบเมเปิล....!!! เห็นเฉพาะช่วงปลายธันวาคม-มกราคม
ถ่ายรูปและชมธรรมชาติเต็มที่ ได้เวลาขึ้นไปข้างบน ผมคิดเลยเหมือนซำแฮกเลย ขึ้นมาข้างบนถึงกับเหนื่อย ต่อไปจะไปน้ำตกธารสวรรค์ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันแต่หาทางเข้าไม่เจอ เลยเดินยาวไปสระอโนดาต ระหว่างทางเจอคุณลุงขายน้ำแถวนี้ด้วย ปั่นจักรยานมา ระหว่างทางไปสระอโนดาตเริ่มร้อนแล้ว ต้นไม้ใหญ่ไม่ค่อยมี แต่ก็มีลม นี่มันยังกับทุ่งสะวันนาเลย
เดินมาประมาณ 2 กิโลเมตรครึ่ง ถึงแล้วสระอโนดาต ตอนเย็น ๆ สัตว์จะลงมากินน้ำแถวนี้กัน....หลาย ๆ ตั้งเป็นจุดพักหรือกินข้าวกันแถวนี้ ผมนั่งพักแถวนี้ประมาณ 20 นาที แล้วก็ออกเดินต่อครับ
จุดหมายต่อไปน้ำตกถ้ำสอเหนือ มัวแต่ถ่ายรูป เพื่อน ๆเดินไปก่อนแล้ว ผ่านลำธารเล็ก ๆ น้ำเย็นสดชื้น
ถึงแล้วววววว....น้ำตกถ้ำสอเหนือ ช่วงน้ำเยอะคงสวยมาก ๆ เพื่อนนั่งพักข้างล่าง ส่วนผมหามุมถ่ายรูปครับ ลองเอาเท้าลงไปแช่น้ำแป๊บเดียวขาชาเลย น้ำเย็นเจี๊ยบ
ขึ้นไปข้างบนพักกินข้าวครับ ยื่นบนนี้เสียวเลย...สูงมาก
หลังจากที่พักกินข้าวเสร็จ บ่ายสองครึ่งออกเดินไปยังผาหล่มสักครับ จุดหมายสุดท้ายของวันนี้ จากจุดนี้ไปถึงผาหล่มสักประมาณ 3 กิโลเมตร (ตั้งเป้าไว้ห้าโมงเย็นต้องถึง)
ตอนนี้รู้สึกว่าเริ่มจะเจ็บนิ้วเท้าแล้วครับ เหมือนร้องเท้าจะกัด งานเข้าแล้วไง O__O สิ่งที่จำเป็นที่สุดในการเดินเริ่มจะเจ็บขึ้นมาแล้ว...ตอนนี้ก็เดินพยายามเอาเท้าลงพื้นให้เบาทีสุด หลีกเลี่ยงการสะดุดต่าง ๆ ต้องระวังแล้ว...เดินมาเรื่อย ๆ แทบจะไม่ได้พักก็มาถึงผาหล่มสัก ดูนาฬิกาบ่ายสามยี่สิบห้า โอ้...บร๊ะเจ้า.. !! เดินไม่ถึงชั่วโมง มาถึงเร็วกว่าที่คาดไว้เยอะ (คนก็เยอะพอสมควร รถจักรยานจอดเพียบ คนปั่นจักรยานมาคงเยอะ หวังในใจหวังว่าขากลับขอให้มีคนเดินเยอะ ๆ) หาที่นั่งพักได้ชามะนาวเย็น ๆ สักแก้ว 40 บาทเปรี้ยวจี๊ดดดดดด ร้านค้าแถวนี้ซื้อของแล้วสามารถยืมเสื่อไปปูนั่งได้เลย ได้แล้วก็ไปที่หาสร้างแลนด์มาร์ก (นอนรอ) เจ็บนิ้วเท้า ตอนกลับจุดพักไม่ไหวก็ต้องไหว 10 กิโลเมตร T__T
ระหว่างนอนรอก็ถ่ายรูปเล่นไป
ระหว่างนอนพักก็ถ่ายรูปเล่นไป
ยืนต่อคิวเพื่อที่จะถ่ายรูปตรงหน้าผา
นอนรอมากว่าสองชั่วโมงพระอาทิตย์เริ่มตกแล้ว ช่วงเวลาการตกเร็วมากประมาณ 10 นาทีได้
ตอนนี้คนเยอะมากครับ หามุมถ่ายรูปก็ยากละ
ในรูปใครไม่รู้...แต่ภาพนี้ลงตัวเลย ^^
ตอนนี้ก็หกโมงเย็นแล้วคนเริ่มทยอยกลับกันแล้ว เท้าตอนนี้ยังพอไหว (มั้ง) หลายคนกลับไปเอาจักรยาน น่าจะเกินครึ่งเลยของที่มา อากาศตอนนี้เริ่มเย็นแล้ว เดินมาได้สักพักเริ่มจะมืดแล้ว ตามทางเดินช่วงแรก ๆ จะมีแนวเขตลวดไฟฟ้ากั้นสัตว์ป่า (เจ้าหน้าที่จะปั่นจักรยานแล้วก็หยุดพักเป็นระยะ ๆ เพื่อดูแลนักท่องเที่ยวทุกคนให้กลับถึงที่พักปลอดภัย...เยี่ยม) หันไปมองข้างหลังสวยดี
ตอนนี้ใจเริ่มจะเจ็บนิ้วเท้ามากขึ้น...(เริ่มบ่นในใจเมื่อไหร่จะถึง) ต้องเดินเหยียบส้นมาตลอดเส้นทาง ร้องเท้าจะพังไม่สนขอให้ถึงที่พักเร็ว ๆ เดินมาประมาณสามชั่วโมงเห็นไฟเสาสัญญาณหรือเสาวัดสภาพอากาศสีแดง ๆ ดีใจมากใกล้ถึงที่พักละ เดินมาอีกประมาณ 30 นาที ก็มาถึงที่พัก เดินถ่ายภาพเลยมัว ๆ
เดินยาวไปหาอะไรกินก่อนเลย กะจะชาร์จแบตโทรศัพท์ด้วย (ระหว่างรออาหารก็คิดไปจะอาบน้ำดีไหม...เพิ่งมาถึงยังไม่ค่อยหนาว แต่พอนั่งไปเรื่อย ๆ ลมมาละ ความคิดเริ่มไขว่เขวละ...เอาไงดีเนี่ย..!!) ได้โจ๊กร้อน ๆ ใส่ไข่กับโอวัลตินร้อน ๆ หายเหนื่อยเลย แต่เท้ายังไม่หายเจ็บ T__T กินเสร็จสามทุ่มครึ่งพอดี สุดท้ายอาบก็อาบ นึกถึงเดินมาทั้งวัน แหม...น้ำเย็นเจี๊ยบบบบบบ แต่พออาบเสร็จร่างกายอุ่นขึ้นเลย ชาร์จแบตมาได้ 83% เยอะเลย นอนฟังเพลงในเต็นท์ (3G ในเต็นท์เป็นขาด ๆหาย ๆ) กว่าจะกลับก็เที่ยงคืนนนนนนน
จบทริปวันที่สอง....ต่อไปวันสุดท้ายละ วันลงเขา (เท้ายังเจ็บอยู่เลย)
วันที่สาม....ตื่นขึ้นมาประมาณหกโมงเช้านิด ๆ ทำธุระส่วนตัว เก็บของในเต็นท์เอาของไปส่งคืน
คนอื่น ๆ เริ่มทยอยเอาหมอน ถุงนอน ที่ปูรองนอนมาคืนกันที่จุดที่เรายืมมา ส่วนผ้าห่มก็เอาไปคืนอีกที่ ที่โรงเก็บผ้าห่ม (เอาไปเสร็จที่เรายืมมาเอาไปคืนด้วย)
เก็บของเสร็จทุกอย่างแบกเป้ขึ้นหลัง ไปหาอะไรเติมพลังก่อนจะลง (นิ้วก้อยเท้ายังเจ็บ เดินเหยียบส้นเหมือนเดิม) ประมาณเก้าโมงเช้าออกเดินทางกลับ...ลาก่อนภูกระดึง โอกาสหน้าเจอกันใหม่
ลูกหาบเดินขึ้นมาถึงจุดนี้เร็วมาก
คนเริ่มทยอยขึ้นมากันแล้ว
ถึงแล้วซำแฮกพักหาอะไรกินแถวนี้
เจ้าตัวนี้วิ่งแซงมาตั้งแต่ข้างบนมานอนอยู่ซำแฮกนี่เอง
ถึงแล้ว...ข้างล่างเกือบบ่ายโมง หลังบ่นในใจมาตลอดทาง ^__^
เท้าตอนนี้ระบมไปหมด พยายามจะใส่แต่ก็ยังใส่ไม่ได้ ยังต้องเหยียบส้นเหมือนเดิม ขึ้นรถสองแถวนั่งกลับ 8 คน ตกคนละ 37 บาท (เหมาคันละ 300) ถึงที่รอรถ...แยกย้ายกันกลับ
- สิ่งที่ได้หลังจากการขึ้นภูกระดึงคนเดียว ทำให้เราได้เพื่อนใหม่ ๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน บางคนมาจากภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ทุกคนที่ขึ้นไปเป็นกันเองหมดทุกคน รวมทั้งแม่ค้าและเจ้าหน้าที่ทุกคนเป็นกันเอง
- ครั้งต่อไปกล้าที่จะไปไหนคนเดียวโดยไม่ต้องรอใคร
- การใช้จ่ายในการขึ้นภูกระดึงครั้งนี้ประมาณ 2,000 บาท (อาหาร 60 บาท เพิ่มไข่ 10 บาท น้ำขวดเล็ก 30 บาท ใหญ่ 50 บาท อาหารได้เยอะอิ่มพอดี อร่อย (ผมกินร้านน้องโบว์ทุกวันเลย ป้าแกทำอาการอร่อยแต่ป้าแกอยู่คนเดียว บางครั้งป้าบอกตักเองได้เลย (โจ๊ก) อีกร้านแนะนำ ร้านขายปลาท่องโก๋ น้ำเต้าหู เครื่องดื่มต่าง ๆ อร่อย (จำชื่อร้านไม่ได้ อยู่แถวล่างสุด)
ไปเที่ยวคนเดียวไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เรามาคนเดียวเราต้องเข้าหาคนอื่นก่อน ยิ้มไว้ครับ สร้างมิตรภาพดี ๆ แล้วมิตรภาพจะอยู่กับเราเอง
จบทริป "ภูกระดึง" ครั้งแรก...คนเดียว Backpack 3 วัน 2 คืน ได้อะไรมากกว่าที่คิด....ลองมาสัมผัสกันครับ ^__^