x close

เปิดเส้นทางเรียนรู้อารยธรรมแห่งอดีตสู่ปัจจุบัน กับ 8 จังหวัดภาคอีสาน


            ภาคอีสาน ถือเป็นอีกหนึ่งภูมิภาคที่เต็มไปด้วยแหล่งอารยธรรมโบราณ และวิถีชีวิตเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์มากมาย วันนี้กระปุกดอทคอมมีโอกาสได้ไปร่วมทริปท่องเที่ยวกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เลยถือโอกาสมาพาเพื่อน ๆ ไปร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่กับ แหล่งท่องเที่ยว 8 จังหวัด ตั้งแต่จังหวัดสุรินทร์, ศรีสะเกษ, อุบลราชธานี, มุกดาหาร, นครพนม, อุดรธานี, ขอนแก่น และนครราชสีมา ว่าแล้วตามไปชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสวยงาม พร้อมตะลุยไปด้วยกันเลย 


ปราสาทศีขรภูมิ

ปราสาทศีขรภูมิ

ปราสาทศีขรภูมิ

ปราสาทศีขรภูมิ

ปราสาทศีขรภูมิ

            เริ่มต้นทริปเดินทางด้วยการเดินทางมุ่งสู่จังหวัดสุรินทร์ กับสถานที่ท่องเที่ยวที่ชื่อไม่ค่อยจะคุ้นหูกันมาสักเท่าไหร่ "ปราสาทศีขรภูมิ" โดย ปราสาทดังกว่างตั้งอยู่ในอำเภอศีขรภูมิ ประกอบด้วยปรางค์อิฐ 5 องค์ องค์กลาง คือ ปรางค์ประธาน และมีปรางค์บริวารล้อมรอบอยู่ที่มุมทั้งสี่บนฐานเดียวกัน สร้างด้วยหินทรายและหินศิลาแลง ตามความเชื่อเรื่องเขาพระสุเมรุ ซึ่งได้รับอิทธิพลของศิลปะขอมแบบบาปวนผสมแบบนครวัด ซึ่งภายหลังต่อมาได้ดังแปลงให้เป็นศาสนสถานในพระพุทธศาสนา และอีกหนึ่งความน่าสนใจของที่นี่ คือ ทับหลังที่ขึ้นชื่อว่ามีความงดงามเป็นอย่างยิ่ง คือ ภาพพระศิวนาฏราช (รูปพระอีศวรกำลังฟ้อนรำ) ท่ามกลางเหล่าทวยเทพ ทั้งพระพิฆเนศ, พระพรหม, พระนารายณ์ ร่วมเล่นดนตรี รวมทั้งการร่ายรำของพระนางกาลี ตามความเชื่อของชาวฮินดู เกี่ยวกับพลังของการดำรงชีวิตในจักรวาล ซึ่งหากพรอิศวรฟ้อนรำถูกจังหวะโลกก็จะสงบสุขไร้ภัยพิบัติ สำหรับ ปราสาทแห่งนี้เปิดให้เข้าชมได้ทุกวัน เวลา 08.00-16.00 น. โดยมีอัตราเข้าชมสำหรับชาวไทยราคา 10 บาท ส่วนชาวต่างประเทศ ราคา 30 บาท

ปราสาทวัดสระกำแพงใหญ่

ปราสาทวัดสระกำแพงใหญ่

ปราสาทวัดสระกำแพงใหญ่

ปราสาทวัดสระกำแพงใหญ่

ปราสาทวัดสระกำแพงใหญ่

ปราสาทวัดสระกำแพงใหญ่

             จากนั้นมุ่งตรงข้ามจังหวัดไปยังอำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีษะเกษ เยี่ยมชม "ปราสาทวัดสระกำแพงใหญ่" ตั้งอยู่ภายในวัดสระกำแพงใหญ่ เป็นปราสาทขอมขนาดใหญ่และสมบูรณ์ที่สุด สร้างขึ้นในสมัยบาปวน-บายน ในพุทธศตวรรษที่ 16 เพื่อเป็นเทวาลัยถวายพระศิวะตามความเชื่อของศาสนาฮินดู มีลักษณะเป็นพระปรางค์ 3 องค์ตั้งเรียงกันในแนวทิศเหนือ-ใต้ หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก ปรางค์ประธานตั้งอยู่ตรงกลางก่อสร้างด้วยหินทราย มีอิฐแซมบางส่วน บริเวณส่วนบนมีทับหลังจำหลักภาพพระอินทร์ทรงช้างบนแท่นเหนือหน้ากาล ส่วนปรางค์อีก 2 องค์ สร้างด้วยอิฐ มีส่วนประกอบตกแต่งที่เป็นหินทราย โดยสิ่งก่อสร้างทั้งหมดถูกล้อมรอบด้วยระเบียงคดรูปสี่เหลี่ยม ผืนผ้าก่อด้วยศิลาแลง และศิลาทราย กว้าง 54 เมตร ยาว 62 เมตร มีโคปุระ หรือซุ้มประตู ทั้ง 4 ทิศ ซึ่งปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็น วัดในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน

ซืนวาน

ซืนวาน

ซืนวาน

ซืนวาน

ซืนวาน

             หลังจากนั้นไม่นานก็ตรงไปยังจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อซึมซับบรรยากาศย้อนอดีตวันวานที่ "ซืนวาน" สถาน ที่ท่องเที่ยวที่เป็นเหมือน Community Mall แห่งใหม่ในจังหวัดอุบลราชธานี มีลักษณะเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวสีน้ำตาลเข้ม ท่ามกลางบรรยากาศการตกแต่งรอบตัวด้วยข้าวของเครื่องใช้เก่า ๆ รวมทั้งของเล่นสำหรับเด็ก ๆ ในอดีตอีกด้วย รวมทั้งสามารถชิม ช้อป ในร้านค้าที่ตกแต่งร้านด้วยบรรยากาศเก่า ๆ รวมทั้งเก็บภาพบรรยากาศความประทับใจด้วยการถ่ายรูปในบรรยากาศแนว ๆ อย่างตู้ไปรษณีย์สีแดง, รถยนต์โบราณ, สามล้อ, ชิงช้าสวรรค์ เป็นต้น สำหรับผู้สนใจสามารถเดินทางไปเยี่ยมชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-20.00 น. บริการฟรี รวมทั้งสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ เฟซบุ๊ก ซืนวาน

สามพันโบก

สามพันโบก



สามพันโบก


สามพันโบก

สามพันโบก

สามพันโบก

สามพันโบก

             วันที่สองเราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเดินทางไปยัง "สามพันโบก" แกรนด์แคนยอนเมืองไทย ความงดงามของแก่งหินขนาดใหญ่ กลางลำน้ำโขง ที่โดนแรงน้ำวนกัดเซาะจนทำให้กลายเป็นแอ่งหินขนาดเล็ก-ใหญ่จำนวนมาก โดยเราสามารถเลือกเส้นทางการท่องเที่ยวได้ 2 รูปแบบ คือ ขับรถไปที่สามพันโบก หรือนั่งเรือชมวิวล่องแม่น้ำโขงไปเรื่อย ๆ ระยะทาง 4 กิโลเมตร เพื่อชมความสวยงามริมสองฝั่งแม่น้ำโขง กับจุดแรก คือ "ลานหินสี" แหล่งท่องเที่ยวกลางแม่น้ำขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยหินที่มีความเงา แวววาว เมื่อต้องแสงพระอาทิตย์ พร้อมชมความมหัศจรรย์ของหินแจกัน, "หาดหงส์" เนินทรายขนาดกว้างใหญ่ ที่เกิดจากการพัดพาของน้ำ นำตะกอนทรายมาทับถมกัน, "ผาหินศิลาเดช" ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ในสมัยฝรั่งเศสเรืองอำนาจแถบอินโดจีน ที่ได้นำเรือจักรกลไอน้ำขนส่งสินค้าระหว่างหลี่ผี-เวียงจันทร์ มายังประเทศไทย พร้อมวัดระดับน้ำโขงด้วยการสลักตัวเลขที่หน้าผาหินเพื่อบอกระดับน้ำในแม่น้ำ โขง เพื่อความปลอดภัยในการเดินเรือ

สามพันโบก

สามพันโบก

สามพันโบก

สามพันโบก

สามพันโบก

สามพันโบก

สามพันโบก

สามพันโบก

สามพันโบก

              และล่องเรือมุ่งไปยัง "สามพันโบก" แอ่งหินขนาดกว้างใหญ่กว่า 3,000 แอ่ง ซึ่งหาดูได้เฉพาะในช่วงหน้าแล้ง ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-มิถุนายนเท่านั้น ลักษณะเป็นภูเขาหินตั้งอยู่กลางลำน้ำ เต็มไปด้วยแอ่งหินขนาดเล็กใหญ่ ถือเป็นความสวยงามตามธรรมชาติของหินที่ถูกน้ำกัดเซาะ ซึ่งจุดท่องเที่ยวสำคัญที่ไม่ควรพลาดของที่นี่ คือ สระมรกต แอ่งน้ำขนาดใหญ่ ที่ภายในมีน้ำที่มีตระไคร้สีเขียวอยู่ใต้พื้นน้ำ มองดูน้ำคล้ายสีมรกต, แอ่งรูปมิกกี้เมาส์ และเนินหินรูปหัวสุนัข ที่ถือเป็นจุดสำคัญสำหรับเก็บภาพความงามของสามพันโบกแบบสวย ๆ ได้

ภูผาเทิบ

ภูผาเทิบ

ภูผาเทิบ

ภูผาเทิบ

ภูผาเทิบ

ภูผาเทิบ

              "อุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ" จังหวัดมุกดาหาร มีลักษณะเป็นกลุ่มหินรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกัน วางซ้อนอยู่อย่างวิจิตรพิสดาร บนลานหินกว้าง เสมือนประติมากรรมธรรมชาติ โดยหินบางก้อนมีลักษณะโดดเด่น  ทั้งเครื่องบินไอพ่น รองเท้าบูท เก๋งจีน จระเข้ และสถูป เป็นต้น โดยฐานที่ตั้งของหินแต่ละก้อนมีขนาดเล็ก แต่หินที่ตั้งอยู่ด้านบนสามารถตั้งอยู่ได้จนที่นี่ได้ชื่อว่าเป็น Unseen Thailand อีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาด

ตลาดอินโดจีน

ตลาดอินโดจีน

ตลาดอินโดจีน

ตลาดอินโดจีน

              ต่อด้วย "ตลาดอินโดจีน" ตั้งอยู่บริเวณริม ถนนสำราญชายโขง อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร แหล่งรวมรวมสินค้าที่มาจากนานาประเทศ เช่น จีน เวียดนาม รัสเซีย และลาว รวมทั้งเป็นแหล่งเปลี่ยนผ่านสินค้าระหว่างชายแดนไทย-ลาว ซึ่งที่นี่เต็มไปด้วยสินค้า ของฝาก ของที่ระลึกมากมายจำหน่ายทั้งปลีกและส่ง เช่น เสื้อผ้า, เครื่องนุ่มห่ม, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ของที่ระลึก, ของอุปโภค-บริโภค รวมทั้งมีสินค้า OTOP ของจังหวัดมุกดารอย่างผ้าไหมมัดหมี่อีกด้วย นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีความแปลกตรงที่บริเวณอีกฝั่งของตลาดตั้งอยู่ชั้นใต้ดินติดริมแม่ น้ำโขงอีกด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาช้อปของฝากในราคา ย่อมเยา พร้อมทั้งยังได้สัมผัสวิถีชีวิตความเรียบง่ายของร้านค้าของชุมชนผ่านริมแม่ น้ำโขง

พระธาตุพนม

พระธาตุพนม

พระธาตุพนม

พระธาตุพนม

พระธาตุพนม

              วันที่สามเราแวะเดินทางไปท่องเที่ยวสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอย่าง "พระธาตุพนม" ที่เป็นเหมือนศูนย์รวมจิตใจของชาวจังหวัดนครพนม รวมทั้งชาวไทยภาคอื่น ๆ โดยมีความเชื่อที่ว่าเมื่อได้มานมัสการพระธาตุเพียงหนึ่งครั้งก็ถือเป็นมงคล แก่ชีวิตกันแล้ว และถ้ามาครบ 7 ครั้ง จะถือว่าเป็น "ลูกพระธาตุ" และเป็นสิริมงคลมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตเป็นอย่างมาก ซึ่งลักษณะขององค์พระธาตุเป็นมีฐานกว้าง 12.33 เมตร สูง 53.60 เมตร เป็นเจดีย์ทรงเหลี่ยมสูงขนาดใหญ่ ดูสง่างามภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และของมีค่ามากมายนับหมื่นชิ้น โดยเฉพาะฉัตรทองคำบนยอดพระธาตุมีน้ำหนักถึง 110 กิโลกรัม ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ควรพลาดอีกหนึ่งแห่งเลยก็ว่าได้

ศาลเจ้าปู่-ย่า

ศาลเจ้าปู่-ย่า

ศาลเจ้าปู่-ย่า

ศาลเจ้าปู่-ย่า

ศาลเจ้าปู่-ย่า
         
    ก่อนจะเดินทางไปเที่ยวกันต่อที่ "ศาลเจ้าปู่-ย่า" จังหวัด อุดรธานี เป็นศาลเจ้าของชาวจีนที่มีความใหญ่โตสวยงาม มีสวนหย่อมบริเวณริมหนองบัว บริเวณโดยรอบมีศาลาชมวิวกลางน้ำสองหลัง บรรยากาศร่มรื่นเหมาะสำหรับการท่องเที่ยวและพักผ่อน รวมทั้งเป็นสถานที่มงคลของชาวจีนสำหรับกราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล ทำให้ค้าขายเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง นอกจากนี้ บริเวณข้ามศาลปู่-ย่า ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์วัฒนธรรมไทย-จีนอุดรธานี ซึ่งเป็นศูนย์กลางรวบรวมอนุรักษ์ศิลปะ วัฒนธรรม วิถีบรรพชนและหลักปรัชญาของชาวไทยเชื้อสายจีนในจังหวัดอุดรธานี เช่น ภาพประติมากรรมนูนต่ำและอาคารที่ออกแบบในสถาปัตยกรรมแบบจีน รวมทั้งเป็นสถานที่ถ่ายภาพมุมสวย ๆ สไตล์จีน ซึ่งที่นี่เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 09.00-19.00 น.

พระธาตุขามแก่น

พระธาตุขามแก่น

พระธาตุขามแก่น

              ส่วนวันที่สี่เราออกเดินทางเข้าสู่จังหวัดขอนแก่น เพื่อนมัสการ "พระธาตุขามแก่น" ปูชนียสถานเก่าอันศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของภาคอีสาน ซึ่งมีตำนานเล่าขานกันมาว่า เป็นพระธาตุที่สร้างครอบต้นมะขามที่ตายไปแล้วเหลือไว้เพียงแก่น แต่กลับฟื้นยืนต้นแตกกิ่งก้านผิใบเขียวชอุ่ม ซึ่งภายหลังถูกใช้เป็นที่บรรจุอังคารธาตุของพระพุทธเจ้า สำหรับใครที่เดินทามานมัสการพระธาตุแห่งนี้จะได้รับอานิสงค์ในเรื่องความรัก จากร้ายกลายเป็นดี ความรักมั่นคงยืนยาว โรคภัยห่างหายเหมือนดังเช่นแก่นมะขามที่ตายแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกด้วย ครั้ง

Art of korat

Art of korat

Art of korat

Art of korat



Art of korat

Art of korat

Art of korat

              จากนั้นเราไปเยี่ยมชม "พิพิธภัณฑ์ศิลปะ 3 มิติ โคราช" (Art of Korat Mirage Museum) ฝีมือคนไทยแห่งแรกและแห่งเดียวของภาคอีสาน ที่จะชวนคุณมาพิศวงกับงานจิตรกรรม, ประติมากรรม และภาพพิมพ์รูปแบบต่าง ๆ ที่จะทำให้คุณกลายเป็นส่วนหนึ่งของมิติแห่งศิลปะ ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 88/8  ถนนสืบศิริ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา โทรศัพท์ 08 7260 3888, 0 4435 5288 เปิดบริการทุกวันเวลา 10.00-20.00 น. โดยอัตราค่าบริการสำหรับผู้ใหญ่ ราคา 180 บาท และเด็กราคา 120 บาท หรือสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ เฟซบุ๊ก Art Of Korat

วิหารเทพวิทยาคม

วิหารเทพวิทยาคม

วิหารเทพวิทยาคม

วิหารเทพวิทยาคม

              และวันสุดท้ายเราออกเดินทางนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใน "วิหารเทพวิทยาคม" หรือ "วิหารปริสุทธปัญญา" ตั้ง อยู่ภายในวัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา วิหารพระไตรปิกฎ ตั้งอยู่กลางบึงน้ำขนาดใหญ่กว่า 30 ไร่ เป็นอาคารลักษณะรูปหัวช้างเอราวัณ และมีลำตัวเป็นเต่าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 30 เมตร บริเวณตัวอาคารประดับด้วยเซรามิกโมเสกจำนวนมากที่สุดในโลก ภายในแบ่งเป็น 5 ชั้น ประกอบด้วย

วิหารเทพวิทยาคม

              ชั้นบาดาล (ชั้นใต้ดิน) เป็น สถานที่ตั้งของประติมากรรมโมเสกชั้นเล็ก ที่ละเอียดที่สุดของวิหาร ด้านในเป็นซุ้ม เพชร 7 สี มณี 7 แสง ซึ่งเป็นการบูชาลูกปัดสีต่าง ๆ เพื่อทำนาย ตามสถานะ การงานและอาชีพของบุคคลนั้น ๆ ส่วนบริเวณโดยรอบประกอบด้วย มังกร+ลูกแก้ว, พญานาค, ปลาอานนท์, จระเข้, พญาเต่า, ปลาม้าน้ำ และปะการังแดง

วิหารเทพวิทยาคม

วิหารเทพวิทยาคม

วิหารเทพวิทยาคม   
              ชั้นที่ 2 เป็นชั้นแสดง ภาพพุทธประวัติที่วาดโดยศิลปินที่มีชื่อเสียง และต้นโพธิ์อธิฐาน

วิหารเทพวิทยาคม

วิหารเทพวิทยาคม

วิหารเทพวิทยาคม

วิหารเทพวิทยาคม

              ชั้นที่ 3 เป็น ชั้นแสดง เรื่องราวของพระวินัยปิฎก และวิวัฒนาการของพระพุทธศาสนา หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพาน รวมทั้งเป็นส่วนแสดงนิทรรศการ พระราชาผู้ทรงธรรมเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯ และห้องโถงแสดงธรรม

วิหารเทพวิทยาคม

              ชั้นที่ 4 เป็น ชั้นจิตรกรรมที่แสดงเรื่องราวพระธรรมปิกฎ และพระธรรมขันธ์ บนเพดานซึ่งเป็นภาพวาดใบโพธิ์กว่า 84,000 ใบที่สอดแทรกหลักธรรมคำสอนเรื่องของความเพียร เรียนรู้ พระธรรม นอกจากนี้บริเวณโดยรอบยังมีภาพวาดแสดงถึงอารมณ์ต่าง ๆ ภายในจิตใจมนุษย์ด้วยการสื่อจากภาพวาดหลากหลายอริยบทอีกด้วย

วิหารเทพวิทยาคม

             ส่วนชั้นดาดฟ้า เป็น สถานที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปองค์ใหญ่ และรูปหล่อปิดทองคำหลวงพ่อคูณ ถือเป็นจุดสูงสุดที่ สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้รอบทิศทาง 360 องศาเลยทีเดียว เรียกได้ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตต้องเดินทางมาสัมผัสสถานที่แห่งนี้ให้ได้ ซึ่งที่นี่เปิดบริการทุกวันเวลา 08.00-17.00 น. รวมทั้งภายในวิหารยังกำหนดให้ใช้เทคโนโลยีใหม่ด้วย "บัตรเติมบุญ" ที่เริ่มความศรัทธาได้ตั้งแต่ราคา 30 บาทขึ้นไป ถือว่าทั้งได้ชมสถานที่สวยงาม พร้อมทั้งได้ทำบุญเสริมความเป็นสิริมงคลอีกด้วยจ้า


วิหารเทพวิทยาคม

              นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยวที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็น ภาคอีสานได้เป็นอย่างดี สำหรับเพื่อน ๆ ที่ไม่อยากพลาดการแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญเหล่านี้ ลองเดินทางไปสัมผัสดูสักครั้ง เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมและความเป็นมาของภาคอีสานอีกด้วยจ้า 

ขอขอบคุณ





เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เปิดเส้นทางเรียนรู้อารยธรรมแห่งอดีตสู่ปัจจุบัน กับ 8 จังหวัดภาคอีสาน อัปเดตล่าสุด 26 พฤษภาคม 2562 เวลา 15:00:03 4,539 อ่าน
TOP