x close

ตะลุย Primo Piazza เขาใหญ่ ยลเสน่ห์อัลปาก้า ตามล่าหาของอร่อย




Primo Piazza เขาใหญ่



          ขอสวัสดีมิตรรักนักท่องเที่ยวกันอีกครั้งหลังจากที่กระปุกดอทคอมได้เคยพาไปเที่ยว Primo Piazza เขาใหญ่ แหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่ต้องไปโดน กันไปแล้ว วันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปเยือนที่นี่กันอีกครั้ง เพื่อสัมผัสกับสัตว์ขนปุยฟูสุดน่ารัก พร้อมกับลองลิ้มชิมรสอาหารเมนูใหม่ ๆ งานนี้รับรองว่าทั้งสนุก ประทับใจ และอิ่มหนำสำราญกันแบบสุด ๆ แต่ก่อนอื่นเรามาทำทบทวนความเป็นมาของที่นี่กันอีกสักครั้งก่อน 





          "Primo Piazza" (พรีโม เพียสซ่า) มีความหมายว่า "ลานจตุรัสพรีโม" โดยได้จำลองมาจากสถาปัตยกรรมของหมู่บ้านโบราณที่มีอายุกว่า 500 ปี ในแคว้นทัสกานี ประเทศอิตาลี ภายในมีกลิ่นอายของความเป็น Tuscun ที่น่าหลงใหล พร้อมถูกโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของผืนป่าเขาใหญ่ โดยก้าวแรกที่เข้ามาถึงทุกท่านจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและโรแมนติก เสมือนอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านทัสกานีในประเทศอิตาลีจริง ๆ สามารถเดินทางมาใช้ชีวิตเอกเขนกได้ทั้งวันไม่รู้เบื่อ ว่าแล้วก็มาออกสตาร์ทความอร่อยกันที่ร้านแรกเลยค่ะ







          ร้าน "Western Cuisine" เข้ามาก็จะพบกับความโอ่อ่าของร้าน บรรยากาศโล่งสบาย พร้อมกับมีสไตล์การตกแต่งภายในที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะบริเวณผนังมีการวาดรูปที่มีสีสันและลวดลายสุดคลาสสิกสะดุดตา น่านั่งทานอาหารกับคนรู้ใจเป็นที่สุด ซึ่งร้านนี้จะให้บริการอาหารแบบ "Western Homemade" ที่มีสไตล์โดดเด่นไม่เหมือนใคร พร้อมกับรสชาติสุดแสนอร่อยที่รังสรรค์จากเชฟยอดฝีมือที่หาทานได้ที่นี่ที่เดียว
 
          เมนูที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ "Tuna Nicoise salad" (ทูน่านิซัวสลัด) ทูน่าย่างเนื้อนุ่มชุ่มลิ้นและไข่ต้มรสเลิศ เสิร์ฟเคียงคู่มากับผักสลัด มะกอก มะเขือเทศ และมันฝรั่งที่คลุกเคล้าด้วยน้ำส้มแอปเปิลปรุงรสและเทาซันซอส เพิ่มความอร่อยเข้าไปอีกกับ "ค็อกเทล" สีสวยที่ทางร้านได้ครีเอทขึ้นมาใหม่เอาไว้ทานคู่กับเมนูนี้โดยเฉพาะ โดยมีส่วนผสมของเหล้ากอร์ดอน (Gordon) เหล้าดรัมบุย (Drumbuie) เพิ่มสีสันด้วยเฮลบลูบอยสีเขียว พร้อมกับหย่อนผลเชอร์รีสีแดงลูกโตลงไปตัดให้มีสีสันชวนรับประทานมากยิ่งขึ้น โดยรวมของเมนูนี้ขอบอกว่าอร่อยกลมกล่อมเข้ากันแบบสุด ๆ 10 ดาวไปเลยจ้า



          เมนูถัดมา "Lobster Bisque Soup" (ซุปกั้ง) ที่เสิร์ฟพร้อมกุ้งย่างหนึ่งตัว พร้อมด้วย Whipping foam สีขาวเนียนนุ่ม ซึ่งเวลาทานก็จะเคล้า Whipping เข้าไปด้วยเลย เพื่อให้ได้รสชาติของความมันและละมุนเพิ่มขึ้น คำแรกก็สัมผัสได้ถึงรสชาติที่หนักไปทางครีม หอมกลิ่นมันกุ้งมันกั้งขึ้นจมูกหน่อย ๆ มีการดับคาวด้วยบรั่นดีชั้นเลิศ และสำหรับใครที่ไม่ทานแอลกอฮอล์สามารถบอกปฏิเสธได้ เชื่อว่าใครได้ลองทานเมนูนี้รับรองจะต้องกลับมาซ้ำรอบสองเป็นแน่



          มาต่อกันที่เมนู "Beef Juniper" (สเต๊กเนื้อสันในออสเตรเลีย) กลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายสอแบบสุด ๆ จานนี้เป็นการรังสรรค์เนื้อสันในออสเตรเลียหมักกับเครื่องเทศแล้วนำไปย่างและอบร้อน ๆ เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งบด ซอสเพสโตและจูนิเปอร์ซอส กดไลค์รัว ๆ เลยจานนี้


 
          ปิดท้ายกันที่เมนู "Chicken Supreme" (อกไก่ซูพรีม) เป็นจานที่เรียกน้ำย่อยได้ไม่น้อย โดยเป็นการนำอกไก่ยัดไส้ชีสผักโขม พันด้วยเบคอน แล้วนำไปอบจนสุกหอม เสิร์ฟพร้อมกับมันฝรั่งต้มและซอสเกรวี่ถั่วแดง จานนี้รสชาติค่อนข้างดี หากใครที่กลัวเลี่ยนก็สามารถบีบเลมอนลูกโตด้านข้างเพิ่มความเปรี้ยวเข้าไปได้ หรือจะสั่ง "Fruit Punch" แบบ Non-Alcohalic รสเปรี้ยวอมหวานมาจิบให้สดชื่นแก้เลี่ยนกันได้ ซึ่งส่วนผสมหลัก ๆ ของแก้วนี้ก็จะมีน้ำส้ม น้ำสับปะรด น้ำเลมอน ผสมด้วยไซรัป แล้วน้ำไปเชคให้เข้ากัน ตกแต่งขอบแก้วด้วยส้มและมะนาวน่าทานสุด ๆ


 
          หลังจากที่อิ่มหนำสำราญจากร้าน Western Cuisine กันไปแล้ว ก็ขอออกมาเดินย่อยสักหน่อย ในนี้ยังมีร้านรวงอีกมากมายที่แอบซ่อนตัวอยู่ มาเดินไล่ดูกันทีละร้านเลยละกัน ร้านแรกเป็นร้าน "Souvenir Shop" ขายของที่ระลึกน่ารัก ๆ มากมาย ทั้งตุ๊กตาอัลปาก้า เสื้อยืดสกรีนลาย หมวก กระเป๋า สมุดโน้ต โปสการ์ด ร่ม ถ้วยกาแฟ ฯลฯ ซึ่งราคาก็สมเหตุสมผล สามารถซื้อไปฝากคนอื่นได้แบบไม่ต้องห่วงว่ากระเป๋าจะฉีก
 


          เดินเลือกดูอยู่นานก็ได้เวลาออกมาโฉบร้านต่อไปที่มีชื่อว่า "Primo Cafe" เป็นร้านขายเครื่องดื่มและขนมเค้ก บรรยากาศน่านั่งมาก ๆ โอ่อ่า ตกแต่งสวยงาม สามารถนั่งทานได้ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง หนาวนี้ใครที่อยากพาคนรู้ใจมาสวีทหวานแนะนำร้านนี้เลย สามารถนั่งจิบกาแฟ ละเลียดขนมเค้ก ชมวิวลานเพียซซ่าได้ตลอดทั้งวัน โรแมนติกสุด ๆ เสมือนนั่งจิบกาแฟอยู่ในประเทศอิตาลีอย่างไรอย่างนั้น
 






          แวะเข้ามาเก็บบรรยากาศร้านได้สักครู่ก็เริ่มทนไม่ไหวเห็นใครต่อใครเขากินเค้กกันอย่างเอร็ดอร่อย ก็เลยไปจัดมา 2 ชิ้น ฟาดเรียบไม่มีเหลือ ชิ้นแรกชื่อว่า "Red Velvet" สีแดงสดสะดุดตา เนื้อเค้กเนียนนุ่มละมุนลิ้น ไม่หวานจนเกินไป เนื้อครีมชีสรสชาติกลมกล่อมตัดกับรสของเนื้อเค้กได้เป็นอย่างดี จะทานคู่กับกาแฟหรือชาร้อน ๆ ก็อร่อยไม่แพ้กัน
 


          ชิ้นที่สอง "Gluten Free Fresh Fruit" ชิ้นนี้เนื้อครีมล้นเต็มปากมาก ๆ รสชาติออกเปรี้ยวนิด ๆ On Top ด้วยชิ้นส้มและแก้วมังกร อร่อยกลมกล่อมทั่วทั้งชิ้น ฟินสุด ๆ ขอบอก นอกจากนี้ที่นี่ยังมีขนมเค้กและเครื่องดื่มอีกหลากหลายเมนูให้เลือกทาน สั่งได้เลยอร่อยทุกอย่าง 



          นอกจากนี้โดยรอบยังมีร้านที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ "Wine Bar" ที่เป็นแหล่งรวมไวน์ชั้นดีที่นำเข้ามาจากฝรั่งเศส อิตาลี ออสเตรเลีย และเซาท์แอฟริกา "Ice Cream Corner" ร้านไอศกรีมสกู๊ปแสนอร่อยที่มีให้เลือกหลากหลายรสชาติ ฯลฯ 

          มาถึงไฮไลท์สุดเด็ดของที่นี่คือ "Barn" โซนที่รวบรวมเหล่าสัตว์สี่ขาขนปุยทั้งหลายเอาไว้ ทั้งเจ้าอัลปาก้าคอยาวตาโต (Alpaca) น้องแกะเมอริโน (Merino) สุดน่ารัก และดองกี้ (Donkey) ลาน้อยจอมซนที่เดินทางมาไกลจากประเทศออสเตรเลียเลยทีเดียว ซึ่งที่นี่มีเจ้าเมอริโนอยู่ประมาณ 30 ตัว อัลปาก้า 20 ตัว แบ่งเป็นตัวผู้ 10 ตัวเมีย 10 ส่วนเจ้าดองกี้น่าสงสารหน่อยมีกันแค่ 2 ตัวเท่านั้น ตัวผู้ 1 ตัวเมีย 1 ที่นี่เขามีการดูแลสัตว์เป็นอย่างดี เลี้ยงอยู่ในโรงเรือนที่มีอากาศถ่ายเท มีพัดลมช่วยระบายอากาศ สัตว์แต่ละชนิดอาศัยอยู่อย่างไม่เบียดเสียด มีอิสระ และจะถูกปล่อยให้ออกมากินหญ้า พร้อมกับยืดเส้นยืดสายออกกำลังกายในช่วงบ่าย 3 หรือ บ่าย 4 โมงเย็นของทุกวัน โดยช่วงเวลานี้นักท่องเที่ยวสามารถมาถ่ายรูปพร้อมกับให้อาหารแบบใกล้ชิดได้ อ้อ ! ขอเตือนนิดหน่อยว่าถ้าเจ้าอัลปาก้าตกใจหรือเกิดอารมณ์โมโหอาจจะเตะหรือถุยน้ำลายมาโดนก็ได้นะจ๊ะ ระวังกันด้วยล่ะ 

















          ถ่ายรูปกับให้อาหารเหล่าสัตว์ทั้งหลายจนอ่อนแรง เลยเดินมาพักรับลม เช็กภาพถ่ายของตัวเองสักพักแถว ๆ ตรอกหลังร้านกาแฟใกล้กับร้านอาหาร "Thai Fusion" พอหายเหนื่อยก็เข้ามาเก็บบรรยากาศร้านพร้อมกับถ่ายภาพอาหารเมนูใหม่ ร้านนี้ทางเข้าอาจจะเล็กหน่อยแต่เข้ามาแล้วถึงกับร้องว้าว ! เพราะร้านน่านั่งสุด ๆ บรรยากาศดีมาก ภายในตกแต่งได้ดีเลยทีเดียว มีกลิ่นอายของความเป็นอิตาเลี่ยนสุดโรแมนติก สามารถเลือกนั่งได้ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง บรรยากาศดีทั้งคู่







          ในส่วนของอาหารวันนี้มีเชฟฝีมือชั้นยอดมาแนะนำเราด้วย โดยเชฟบอกกับเราว่าเมนูที่จะแนะนำเป็นเมนูที่รังสรรค์ขึ้นมาใหม่และจะเปิดตัวในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งทางเราได้มีโอกาสมาเห็นและชิมก่อนใครนับเป็นบุญปากสุด ๆ 

          เมนูแรกที่เชฟภูมิใจนำเสนอคือ "Roasted duck" (เป็ดอบยอดผัก) เป็นการใช้เป็ดพะโล้มาทอดให้กรอบ จากนั้นก็นำไปอบอีกนิดหน่อย ส่วนยอดผักก็มีการใช้คะน้าฮ่องกง ผสมกับเหล้าจีนเล็กน้อย ราดด้วยซอสเต้าเจี้ยวขิงที่เป็นสูตรพิเศษของทางร้าน ซึ่งมีที่นี่ที่เดียวเท่านั้น รสชาติของจานนี้จะออกสไตล์จีนหอมเต้าเจี้ยวขิง เด็กทานได้ผู้ใหญ่ทานดี


 
          ถัดมาเป็นเมนู "Salmon Cake" (ทอดมันแซลมอน) ซึ่งเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้าน สามารถมาทานได้ที่นี่ที่เดียวอีกเช่นกัน เป็นเนื้อแซลมอนที่คลุกเคล้ากับพริกแกง ใบกะเพรา ใบมะกรูดซอย เสิร์ฟคู่กับสวีทชิลลี่ซอสและน้ำอาจาด รสชาติใช้ได้เลยทีเดียว
 


          มาต่อกันที่เมนู "Massaman Lamb" (มัสมั่นแกะ) หรือซี่โครงแกะผัดพริกไทยดำ เป็น New Zealand Lamb ที่นี่เขาใช้ของนอกเกรดพรีเมี่ยมเลยเชียวนะ ราคาก็สมน้ำสมเนื้อ จานนี้ก็อร่อยแต่แอบมีกลิ่นสาบเล็กน้อยพอทนได้
 


          ปิดท้ายกันที่ "ส้มตำปูนิ่มทอดกรอบ" รสแซ่บจัดจ้านโดนใจ จานนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบกินอะไรสบาย ๆ ไม่หนักจนเกินไป ไอเดียก็มาจากส้มตำทั่วไปนั่นแหละ แต่เพิ่มปูนิ่มกรอบ ๆ เข้ามาแทนแคบหมู อร่อยแปลกใหม่ดีเหมือนกัน ขอเตือนว่าจานนี้เผ็ดมาก ๆ ใครที่ไม่ทานเผ็ดสามารถบอกเชฟให้ลดจำนวนพริกลงได้นะจ๊ะ


 
          เรียกได้ว่ามาที่เดียวจบครบทั้งช้อป ชิม ชิล ซึ่งถ้าหากมาตอนกลางวันก็สามารถมาทานข้าว เดินเล่น ถ่ายรูป เลี้ยงอาหารแกะ ทานกาแฟอยู่ได้จนถึงเย็น แต่ถ้าเป็นวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ บริเวณลานเพียซซ่าจะเปลี่ยนเป็นลานดินเนอร์สุดโรแมนติก มีวงดนตรี Live Band มาเล่นเคล้าบรรยากาศแบบทัสกานี แต่ถ้าเป็นวันอื่น ๆ ที่ไม่ใช่วันศุกร์-วันอาทิตย์ จะมีวงดนตรีฝรั่งมาเล่น เป็น Live Music ลักษณะเป็นคอนเสิร์ตแบบฝรั่ง พร้อมกับมีโปรเจคเตอร์ฉายไปบนตึก ให้อารมณ์เสมือนนั่งอยู่แคว้นทัสกานีจริง ๆ 

          ใครที่สนใจก็แวะมาเที่ยวกันได้ โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวจะยิ่งได้บรรยากาศแบบสุด ๆ และที่สำคัญตอนนี้กำลังมีโปรโมชั่นสุดคุ้มด้วยคือ ซื้อ Voucher มูลค่า 1,000 บาท จำหน่ายในราคา 900 บาท ฟรีค่าเข้าประตูสำหรับ 2 ท่าน (ท่านที่เกินคิดท่านละ 100 บาท สำหรับผู้ใหญ่ และ 50 บาท สำหรับเด็ก) และสามารถใช้แทนเงินสดในร้าน Thai Fusion, Western Cuisine และ Primo Cafe (ไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และค่าเปิดขวด) เริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2557-31 มกราคม 2558 โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องใช้ภายใน 1 วัน ตั้งแต่เวลา 09.00-17.30 น. 

          น่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ อาหารก็แสนอร่อย สัตว์ตัวน้อยก็แสนน่ารัก รู้แบบนี้แล้วรีบ ๆ มาเช็กอินกันได้เลย ดินแดนแห่งความสุขท่ามกลางธรรมชาติแห่งนี้กำลังรอทุกท่านอยู่


          ที่อยู่  : 200/2 หมู่ 10 ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 30130

          เปิดบริการ : ทุกวัน วันอาทิตย์-วันพฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 09.00-22.00 น. วันศุกร์-วันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 09.00-24.00 น. 

          บัตรผ่านประตู : เวลา 09.00-17.30 น. ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท บัตรผ่านประตูเป็นส่วนลดค่าอาหารได้ 10% หลังเวลา 17.30 น. เปิดให้บริการเฉพาะร้านอาหาร ไม่เสียค่าผ่านประตู

          แผนที่การเดินทาง :

         
          สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : Primo Piazza โทรศัพท์ 08 1922 9000, 0 4400 9900-5 หรือ www.primopiazza.com, เฟซบุ๊ก Primo Piazzahttp://instagram.com/PrimoPiazza และ http://twitter.com/Primo_Piazza



 
ขอบคุณข้อมูลจาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ตะลุย Primo Piazza เขาใหญ่ ยลเสน่ห์อัลปาก้า ตามล่าหาของอร่อย อัปเดตล่าสุด 2 เมษายน 2567 เวลา 19:36:29 20,185 อ่าน
TOP