



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณชานมชงเอง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก chanomworld
สำหรับคนที่กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว ๆ ไม่ว่าจะฤดูไหน ๆ เรามี 3 ขุนเขาอันยิ่งใหญ่อย่าง ภูลังกา ดอยแม่ตะมาน และดอยอินทนนท์ มาฝากกัน จากบันทึกการเดินทางของ คุณชานมชงเอง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้ออกเดินตามความฝัน ไปหาความงดงามของขุนเขาและทะเลหมอกอันตระการตา พร้อมเก็บมาเล่าเป็นประสบการณ์ดี ๆ ให้เราได้ชมกัน

การเริ่มต้นอะไรบางอย่างอาจดูเป็นเรื่องที่ยาก แต่สิ่งที่ยากกว่า คือ การไปให้ถึงปลายทาง เพื่อที่จะเจอสิ่งที่ยากที่สุด ในแบบที่เราไม่คุ้นเคย กับความเป็นไปได้ในแบบที่เราคาดหวัง !!! ภูลังกา...ในความทรงจำที่ผ่านมาของผมดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะมันเริ่มที่ความง่ายและจบที่ความยากเสมอ 2 ทริปที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2010-2013 ก็เป็นแบบนั้น ความรู้สึกต่อที่นี่ก็เป็นแบบค้าง ๆ คาใจมาตลอด
>>>>>> ภูลังกา...ดอยแม่ตะมาน ...ดอยอินทนนท์ มกราคม 2557 <<<<<<


ทริปนี้บอกใครไม่ได้...เพราะว่ามันเป็นความลับ เพราะถ้าไม่อยากให้มันล่ม ผมต้องลุยเดี่ยว และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นทริปลุยเดี่ยวไปคนเดียวครั้งที่ 3 ของผมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ^_____^


ผมเดินทางในตอนเที่ยงครึ่งของวันพุธ ระยะทาง 770 กิโลเมตร ทำให้ผมรู้สึกพลาดเรื่องเวลา ผมมาถึงแพร่มืดไปหน่อยตอนเกือบ 1 ทุ่ม รู้สึกจะเอาไงดีกับชีวิต...วันนี้ฟ้าปิดมืดตื๋อเลย ผมรู้ว่าผมจะต้องไปให้ใกล้ภูลังการีสอร์ทที่สุด แต่ผมจะไม่นอนที่นั่นเพราะสองครั้งนอนตื่นมาไม่เจอทะเลหมอก...รู้สึกต้องแก้เคล็ด


ผมตัดสินใจออกจากแพร่ เข้า อ.สอง ไปทางลัด มันลัดระยะทางได้ 100 กว่ากิโลเมตรเลย เมื่อเทียบกับไปทางสายหลักที่ดูปลอดภัยกว่า จากเส้นทาง อ.สอง เข้า อ.เชียงม่วน จุดหมายคือไปหาที่พักที่ อ.ปง เพราะจะใกล้ภูลังการีสอร์ทมากที่สุด มันเหมือนผมตัดสินใจไม่ดีเท่าไหร่ เพราะถ้าไม่มีระบบนำทางในสมาร์ทโพน บอกได้เลยว่าตายแน่ หลงแน่ !!!! ทางโค้งไปโค้งมา ขึ้นเขาบ้าง และที่สำคัญเปลี่ยวสุด ๆ ไม่มีรถสวนหรือตามมาสักคัน...หมู่บ้านก็อยู่กันห่าง ๆ ปิดไฟมืดตื๋อเลย

ความกลัวเข้ามาทำงานนิด ๆ แต่ผมก็เดินหน้าต่อ ผมนึกถึงหนังเรื่องหนึ่งในตอนนั้น เรื่องโจรดักรถและฆาตกรรม แปลกมาก ๆ ที่คิดถึง ผมนึกถึงตัวเองว่าจะทำไงดี ใครจะช่วยเรา !!! ถ้าเจอแบบนั้นเราจะตายไหม จะยังไงดี ขับมาเรื่อย ๆ ก็ฟุ้งซ่านอีก เพลงที่ฟังก็ชวนคิด นึกถึงคนที่เคยมาด้วย เพื่อนร่วมทริป !!!! และอะไรตั้งเยอะ ความคิดมันป่วนไปป่วนมา แต่ทริปนี้มันพิเศษนะ...ผมอยากได้มัน อยากได้ มันเหมือนเอาแต่ใจ...แต่ช่างเถอะ มาถึงนี่แล้วมีหลายจุดที่ก่อนโค้งไม่มีป้ายบอกล่วงหน้า มีจังหวะหนึ่งที่พอขึ้นทางชัน ในตำแหน่งสูงสุดแล้วเข้าโค้งเลย ผมหลุดโค้งตรงนั้นทันที ดีที่ประคองรถมาได้...และไม่มีรถสวนมา !!!!




แต่ช่างเถอะ ผมคิดว่ามันต้องแบบนี้แหละ และคิดว่าไม่เป็นไรคงต้องรอวันถัดไป งวดนี้ผมวางแผนไว้ว่าจะรอได้มากสุด 3 เช้า ยังไงก็จะต้องเจอให้ได้ ผมจะเอามาให้ได้ !!!! แต่เหมือนมีปาฏิหาริย์อย่างงง ๆ ตอนที่ฟ้าเปิดมันก็เป็นภูลังการีสอร์ทในแบบที่ผมฝันถึง ฝันอยากจะไปให้ถึง ฝันอยากจะเห็นให้ได้ มันเป็นความพยายามครั้งที่ 3 ที่สำเร็จ และผมก็บอกกับตัวเองเบา ๆ หลายครั้ง . 3 Time Lucky...I am not Looser !!!!

3 Time Lucky .. I am not Looser !!!! 3 Time Lucky .. I am not Looser !!!! 3 Time Lucky .. I am not Looser !!!! 3 Time Lucky .. I am not Looser !!!!


ประโยคนี้มันอัดแน่นเข้าไปอยู่ในความรู้สึกของผม ผมมองว่าทริปนี้ คือ เกม และผมต้องเล่นกับมัน และไม่ว่าจะแพ้หรือชนะผมก็อยากจะเล่น ผมไม่อยากอยู่เฉย ๆ ให้ทุกอย่างมันผ่านไปในแบบที่เราเคยรู้สึก หรือไม่เคยรู้สึกก็ได้ และถ้าความรู้สึกมันจะผ่านไปในเวลาแบบนั้น ผมควรจะดีใจ จะเสียใจ หรือจะรู้สึกแบบไหน ?





ภูลังกาวันนี้คงสวยที่สุดในแบบที่ผมได้เคยเห็น ผมใช้เวลาอยู่ด้านบนรีสอร์ทอยู่พักใหญ่ และผมก็เริ่มทำแบบที่ผมชอบ ขับรถไปริมทาง ฟังเพลง และมองหาบรรยากาศในแบบที่ผมรัก ผมขับรถลงมาจากรีสอร์ท ใกล้ตรงปากทางเข้าก็มาเจอจุดชมวิวที่อยู่ติดกับรีสอร์ทเลย ^^


ผมยังจำได้ทริปก่อนเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ผมยังบอกตัวเองเลยว่าตรงนี้ถ้ามีทะเลหมอกต้องสวยที่สุดในแบบที่ หลาย ๆ คนได้เห็นมา










ผมไม่รู้หรอกว่าผมควรจะรู้สึกแบบไหน ? ความทรงจำของภูลังการีสอร์ท 2 ครั้งก่อนได้หายไป และถูกแทนที่ด้วยความทรงจำที่ดีที่สุดในแบบที่ผมเฝ้ารอและฝันถึง ^^ พร้อม ๆ กับความทรงจำของหมวกใบนั้น ที่กำลังค่อย ๆ จางหายไป



ผมยังจำภาพนั้นได้ดีเลย มันเป็นภาพภูลังกาที่ชวนฝันที่สุด แม้มันจะไม่ชัดแต่มันคือความทรงจำของที่นี่ ในแบบที่ผมอยากได้ อยากมี อยากสัมผัส เหมือนกับใคร ๆ หลายคนที่ได้มาเห็นทะเลหมอกของที่นี่

ตอนนั้นผมวางแผนไว้เลยว่าถ้าเช้านี้ภูลังกาไม่มีทะเลหมอกผมจะนอนต่อที่นี่อีก 1 คืน และถ้าเช้าที่สองยังไม่มีทะเลหมอกอีก ผมก็จะอยู่ต่ออีก 1 เช้า ให้โอกาสกับที่นี่ 3 เช้าด้วยกัน

แต่ตอนนี้มันสำเร็จแล้วกับ 3 Time Lucky ในแบบฉบับของผม รู้สึกสบายใจและเริ่มคิดว่าจะเอาไงต่อ จะไปที่ไหนดี หรือจะขับรถกลับบ้านเลย !!!!!!





ผมมุ่งหน้าออกจากภูลังการีสอร์ทตอน 09.30 น. แล้วก็แวะจอดรถทานขนมปังไส้สังขยาที่ผมซื้อมาจากเซเว่นฯ แล้วผมก็อัพภาพที่ถ่ายด้วยสมาร์ทโฟน เลือกภาพนั้น ภาพที่สวยที่สุดลงในเพจ Chanomworld*

ผมขับรถไปเรื่อย ๆ ไม่มีแผนอะไรตายตัว ใช้เวลาอยู่ในรถ ฟังเพลง และก็ไปเรื่อย ๆ แค่ได้นึกถึงปลายทางของเช้าวันพรุ่งนี้ผมก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก




เช้านั้นผมตื่นแต่ตี 4 เช็กเอาท์ออกแล้วขับรถไปยังจุดนัดพบ เพื่อเปลี่ยนรถเป็นโฟร์วีลลุยขึ้นดอยแม่ตะมาน ตี 4 ครึ่ง ดอยแม่ตะมาน...หนึ่งในความทรงจำของผม
















ถ้าบ้านเอเฟรม คือ ตัวแทนของแรงบันดาลใจ จุดชมวิวตรงนี้คงเป็นตัวแทนของความทรงจำ มันอาจจะเป็นความหมายที่ดูซ้ำไปซ้ำมา แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะกลับมาที่นี่อีกครั้ง




ปีนั้นผมเดินมาจากบ้านเอเฟรมในตอนเย็น มานั่งรอดูพระอาทิตย์ค่อย ๆ ลับขอบฟ้าไป มันเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปีนั้นเลย กับการได้เห็นแสงสุดท้ายของวันที่สวยที่สุด


ปีนี้ผมขึ้นมาแม่ตะมานตั้งแต่เช้ามืด ตีสี่ครึ่ง คงอยู่ได้เต็มที่สุด ก็คือ 10 โมงเช้า ^^ มันอาจจะไม่เต็มอิ่มแบบปีก่อนที่ขึ้นมาค้างคืน แต่สำหรับทริปแบบนี้มันก็พิเศษมากพอ มากพอที่จะบอกว่าอะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมมาที่แห่งนี้ ทำไมสถานที่แห่งนี้ถึงเป็นความทรงจำของผม กับความทรงจำที่จะคอยบอกว่าครั้งหนึ่งผมเคยอยู่ไหน จนไปถึงวันที่ยังมาไม่ถึงว่าผมจะรู้สึกแบบไหนและคิดถึงอะไรอยู่ ^^


แล้วก็ถึงเวลาที่ผมต้องลงจากดอยแม่ตะมานราว ๆ ตอน 10 โมงเช้า กับ 5 ชั่วโมงบนนั้น 5 ชั่วโมง ที่ทำให้เวลาเมื่อ 2 ปีก่อน ได้วนกลับมา แล้วบอกว่าครั้งหนึ่งผมเคยอยู่ที่ไหน ? และรู้สึกแบบไหนกัน แล้วผมก็ขับรถต่ออีกครั้ง รู้สึก 2 จิต 2 ใจ นึกถึงภูลังกาของเมื่อวาน ที่เหมือนกับความฝัน ฝันที่ทำให้ความพยายามถึง 3 ครั้งได้สำเร็จลง มันเป็น 3 Time Lucky ในแบบที่ผมไม่แพ้แล้ว นึกถึงดอยแม่ตะมาน ดินแดนที่งดงามที่สุดของผม สถานที่ที่เป็นตัวแทนของแรงบันดาลใจในครั้งนั้น กับเรื่องราวความทรงจำที่จะไม่มีวันหายไป
2 เช้า กับมุมมองที่ผมอยากเห็น
2 เช้า กับสถานที่เก่า ๆ เวลาแบบเดิม ๆ
2 เช้า กับเรื่องราวใหม่ ๆ บนความทรงจำสายเก่า ๆ
รู้สึกสบายใจ และพร้อมแล้วที่จะเดินทางกลับบ้าน แต่พอถึงทางแยกบายพาสเลี่ยงตัวเมืองเชียงใหม่ ผมกลับเลี้ยวขวามุ่งหน้าเข้าสู่ อ.จอมทอง เพื่อมุ่งหน้าไปสถานที่ที่อยู่สูงที่สุดของประเทศเรา >>>>>>>ดอยอินทนนท์ <<<<<<<<



ผมขับรถมาถึง อ.จอมทอง ตรงปากทางขึ้นดอยอินทนนท์ราว ๆ บ่ายโมง ลืมไปเลยยังไม่ได้กินอะไร เห็นปั๊มมีร้านอาหาร เดิน ๆ ดูเห็นปลาดุกผัดเผ็ดแบบแห้ง ของชอบเลย ผมถามว่า พี่ครับข้าวร้อนไหม ? แม่ค้างงไป 3 วินาที ผมเลยบอกว่า เอาปลาดุกกับพะโล้ ขอแบบแห้ง ๆ ขอปลาดุกเยอะ ๆ และมันก็อร่อยมาก ^^ จบจากปลาดุกก็เติมด้วยชานมปั่นเย็น ๆ ให้สดชื่น ตอนแรกกะว่าจะหาที่นอนกลางวันและขอดูทีวี นอนอ่านหนังสือ กะจะหาที่พักที่ อ.จอมทอง แล้วตอนตีห้าค่อยขับรถขึ้นไปยอดดอย จู่ ๆ ก็มีสปายจากแดนไกลมาบอกว่าให้ไปดูนางพญาเสือโคร่งก่อน ^^ มันอยู่ไม่ไกล ไปก็ไป !!!!! เดี๋ยวค่อยกลับมานอนก็ได้

ขับมาเรื่อย ๆ รู้สึกเลยว่านางพญาเสือโคร่งเต็มไปหมดเลย สองข้างทางตรงนั้น ตรงนี้ มันเยอะไปจนรู้สึกไม่ค่อยตื่นเต้น ไม่เหมือนตอนเดือนก่อนที่ไปอ่างขาง เจอต้นสองต้นก็ดีใจ รู้สึกเป็นงั้นไป ^^ และผมก็มาถึงจนได้ ตามที่สปายแนะนำให้มากับอ่างเก็บน้ำงาม ๆ กับบรรยากาศที่สวยที่สุดของบ่ายวันนั้น มันก็อร่อย ๆ เหมือนตอนที่เราหิว หิว หิวมาก จนนึกถึงปลาดุกผัดเผ็ดในตอนนั้น >>>>ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี


หลังจากปลาดุกผัดเผ็ดย่อยเกือบหมดแล้ว คงใช้ไปเยอะตอนที่ตะลุยดูนางพญาเสือโคร่ง พลังงานผมก็หมด เลยวนลงหาที่พักดีกว่า ได้ที่หนึ่ง จอดหน้าที่พักแล้วโทรไปถาม ราคา 1,500 บาท แต่บอกว่ามาคนเดียวลดให้เหลือ 1,000 บาท แต่ไว้ก่อน รู้สึกจ่ายได้แต่ขอดูทำเลอื่นก่อน วนไปดูตรงแม่กลางหลวง เงียบสงบ มีอินเทอร์เน็ตด้วย แต่ไม่มีทีวี จาก 1,000 บาท ลดเหลือ 500 บาท ^^ ก็ตรงใจ สบายกระเป๋า ตกลงเอานี่ละกัน อากาศตอนหัวค่ำเย็นมาก ไม่อยากอาบน้ำเลย หนาวจับใจ ออกไปดูอุณหภูมิ 14 องศา หนาวไปไหนครับ สักพักแม่บ้านเอาข้าว เอาน้ำมาส่งที่ระเบียงบ้าน กินได้นิดหน่อย เพราะมันเลี่ยนด้วยไขมัน น้ำมันเยิ้มเลย เลยซัดทาโร่ไปอีกหน่อย....ก็อิ่มพอดี ผมใช้เวลาเล่นเน็ตเบา ๆ สัญญาณดับ ๆ ติด ๆ อ่านหนังสือที่เตรียมมา โทรคุยกับเพื่อน ๆ แล้วก็โม้เรื่องทะเลหมอกที่ภูลังกา...โม้เรื่องดอยแม่ตะมานว่าสวยแค่ไหน ?? อยากให้ผ่านคืนนี้ไปไว ๆ จะได้กลับบ้านแล้ว รู้สึกอิ่ม รู้สึกเต็มที่ รู้สึกพอแล้วกับทริปที่เพิ่งนึกได้ว่าพรุ่งนี้วันเด็กนี่หว่า ก็ผ่านช่วงเวลานั้นมานานแล้วจริง ๆ ทริปนี้คงเป็นของขวัญวันเด็ก...ที่มันไม่สำคัญว่าใครให้อะไรเรา แต่มันสำคัญว่าเรา จะให้อะไรตัวเราเองมากกว่ามั้ง ^^

แล้วผมก็ขับรถลงมาจากดอยอินทนนท์ มาถึงบ้านด้วยระยะทาง 720 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมงนิด ๆ ผมขับรถลงมาทางจอมทอง ผ่านบ้านโฮ่ง เข้าลี้ ลงเถิน ทะลุตาก เข้าสายหลัก

ทั้งที่ผมยังจำได้เลยว่าผมตื่นแต่ตี 4 ครึ่ง เช็กเอาท์ตั้งแต่ตีห้านิด ๆ ก็ขับรถจากแม่กลางหลวง ขึ้นไปจุดที่จะเดินบนเส้นทางกิ่วแม่ปาน ผมได้คนนำทางเป็นลุงคนหนึ่ง...ดูใจดี


เช้านั้น...ผมก็รู้สึกว่าทะเลหมอกไม่มีแน่ แต่ไม่เป็นไรไปลุ้นอีกฟากที่กิ่วแม่ปาน ผมเดินไปกับลุงสองคน โดยใช้ไฟฉาย มันยังมืดอยู่เลย พูดทีควันออกจากปาก อุณหภูมิเช้านี้ก็ 4 องศา ช่วงแรกที่เดินขึ้นเขารู้สึกเหนื่อยมาก คอแห้ง หายใจไม่ทัน รู้สึกเดินไวไป เลยต้องหาจุดพักตามจุด แต่พอเข้าทางราบก็สบายเลย ^^


แล้วกิ่วแม่ปานครั้งแรกของผมก็ประมาณนี้ หมอกบาง ๆ แต่ผมก็ไม่ได้นอยด์เท่าไหร่ รู้สึกเต็มที่กับทริป 2 วันที่ผ่านมา ^^ ผมอยู่ที่นี่นานกว่ากลุ่มอื่น ใช้เวลาสบาย เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของสายหมอก ได้แต่หวังว่ามันจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น

แปลกแต่จริงที่ผมรู้สึกพลาดอะไรบางอย่างไป กิ่วแม่ปานที่ดูยิ่งใหญ่ผ่านตาผมมาถึง 3 ปี 3 ปีที่ผมไม่เคยได้มายืนบนถนนสายนี้ มันพิเศษในแบบที่ผมมองข้ามมันไป



3 เช้า 3 วัน 3 คืน กับการเดินทางครั้งนี้ ถ้ามันเป็นเรื่องเล่ามัน ก็คือ สิ่งที่ผมได้ทำ และถ้ามันเป็นความทรงจำ มัน ก็คือ สิ่งที่ผมได้รับกับการเดินทาง 60 กว่าทริปในรอบ 3 ปีครึ่ง ครั้งนี่ก็เป็นทริปลุยเดี่ยวครั้งที่ 3 ของผม ^^ ตลอด 3 คืน 3 วัน และ 3 เช้าในการลุยเดี่ยว มันคงไม่ได้หมายถึงการไปเที่ยวเพียงคนเดียว แต่มันหมายถึงอะไรก็ไม่รู ที่บางทีตอบไม่ได้ว่ามันคือรูปแบบและเส้นทางแบบไหนกัน ?



และไม่ว่ามันจะคืออะไร ????????? จะเป็นแค่หมวกเบอร์ 31 มันก็สามารถเป็นความทรงจำในตอนสุดท้ายได้เหมือนกัน เหมือนกับความทรงจำที่บอกว่าสัญญา คือ สัญญา สัญญาที่บอกว่าความทรงจำคือความทรงจำ...ที่มันสามารถเติมเต็มบางอย่างที่เคยหายไปให้กลับมา ให้เหมือนกับบ้านเอเฟรมที่จะอยู่แบบนั้นตลอดไป


แล้ววันหนึ่ง...วันที่เราได้ทบทวนอะไรบางอย่าง มันอาจจะหมายถึงมุมมองที่เราอยากเห็น เป็นมุมมองของสถานที่เก่า ๆ เวลาแบบเดิม ๆ จะเป็นเรื่องราวใหม่ ๆ บนความทรงจำสายเก่า หรือจะเป็นปลาดุกผัดเผ็ดที่ยังหอมอยู่แบบนั้น อาจจะเป็นตอนเด็ก ๆ ที่ผ่านมาหลายสิบปี หรือจะเป็นตอนที่ไปเดินหอบบนกิ่วแม่ปานก็ได้

บอกแล้วไง มันไม่เหมือนตอนที่มีใครถามอะไร...แล้วเราตอบได้หรือตอบไม่ได้ และถ้ามันเป็นข้อสอบก็ไม่ใช่เรื่องที่จะบอกว่าทำได้ ได้ทำ หรือทำไม่ได้.....



เพราะถ้ามันคือความทรงจำ มันก็อาจหมายถึง สิ่งที่ผ่านเข้ามา ผ่านเข้า ผ่านออก ผ่านเข้า ภายใต้ของระบบสั่งการของสมองเมื่อเรานึกถึง แต่ถ้ามันเป็นความหมายของประสบการณ์ล่ะ !!! ความหมายแบบนั้น คงต้องผ่านขบวนการคิด ใช้ความตื่นเต้น และท้าทายเข้าไปอีกหน่อย ^^ ใส่ความมุ่งมั่นและความพยายามเข้าไปอีก



