

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณชานมชงเอง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก chanomworld
คนที่หลงใหลความงดงามของขุนเขาเขียวขจี ภาพของทะเลหมอกขาวโพลนที่ปกคลุมคลอเคลียยอดเขา หรือภาพวิวภูเขาที่กำลังโดนสายหมอกโอบล้อม อาจจะเป็นภาพที่ชินตาซะแล้ว แต่สำหรับคนที่ยังค่อยได้มีโอกาสได้เห็นภาพดังกล่าว ก็คงจะตื่นเต้นและรอคอยทุกครั้งเมื่อมีโอกาสจะได้พบเจอ เพราะขุนเขาและสายหมอกมีมนตร์เสน่ห์ดึงดูดผู้คนได้เสมอ เฉกเช่นเดียวกับ คุณชานมชงเอง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่มีโอกาสออกไปสัมผัสสายหมอกที่งดงามครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังอยากทักทายและพบเจอกับมันเสมอ ด้วยเหตุผลที่ว่า “ภูเขาก็ลูกเดิม ๆ แต่เชื่อไหมว่าแค่ยืนเอียงไป 1 องศา มันก็เป็นมุมมองใหม่ได้ทุกครั้ง ทะเลหมอกก็เหมือนกัน แค่ผ่านไป 1 วินาที มันก็กลายเป็นอีกเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งทันที”
ดังนั้น วันนี้เราจึงหยิบเอาบันทึกการเดินทางและภาพถ่ายสวย ๆ ของ คุณชานมชงเอง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม กับความทรงจำเกี่ยวกับภูเขาและสายหมอกมาฝากกันเช่นเคยค่ะ ^___^


แม้กระทั่งคำพูดหรือข้อความที่เคยส่งผ่านไป ก็ยังสามารถทำให้ความรู้สึกดี ๆ หรือไม่ดีหายไปได้เลย แล้วสุดท้ายคำว่าโอกาส ที่มันอาจจะบอกว่าแรงบันดาลใจต่อจากนี้อยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร มันจะเหมือนชีวิตของเราไหมที่บอกว่าต่อจากนี้ต้องทำอะไร วันข้างหน้าจะต้องรู้สึกแบบไหน ? หรือต้องวางแผนอะไร ? แล้วบางทีชีวิตก็ยากซับซ้อนเกินที่จะทำให้ทุกอย่างมันง่าย !!!! แต่สุดท้ายมันก็คงมีเหตุผลที่ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้ และเป็นไปได้อีกครั้งหนึ่ง
ผมตัดสินเดินทางอีกครั้งในคืนวันศุกร์ของเดือนกันยายนที่ผ่านมา (พ.ศ. 2556) มุ่งหน้าผ่านเขตนนทบุรี ทำความเร็วขึ้นจังหวัดอยุธยา ขับรถผ่านสายฝนในช่วงหัวค่ำแถวสระบุรี ผ่านลพบุรีขึ้นเพชรบูรณ์ แล้วคืนนั้นเราก็พักนอนโรงแรมที่ตัวอำเภอเมืองหล่มสักในตอน 5 ทุ่มเศษ
ผมตื่นนอนตอนตีสี่ครึ่งในเช้าวันนั้น...รู้สึกไม่ค่อยง่วง แต่เพลียมากเพราะต้องขับรถต่ออย่างต่ำ ๆ อีก 100 กิโลเมตร เพื่อให้ทันจุดชมวิวทะเลหมอกในตอนเช้า
ตลอดทางรู้สึกถนนเต็มไปด้วยน้ำขังริมถนน รู้สึกได้เลยว่าฝนน่าจะตกช่วงตอนตี 2-3 แน่ ๆ ถึงจะเพลียแต่แรงบันดาลใจที่จะไปถึงตรงนั้นอีก 100 กิโลเมตร น่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง สำหรับทางขึ้นเขาผมขับรถมาเรื่อย ๆ อีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงสถานที่ที่บอกว่าแรงบันดาลใจของผมอยู่ที่ไหน ชักอยากรู้จริง ๆ ว่าไอ้ความรู้สึกแบบนั้นมันจะเป็นแบบไหน ? เวลาที่ได้ยืนและมองดูอะไรบางอย่างตรงนั้น ? มันจะทำให้ความทรงจำที่จะเกิดขึ้นเป็นแบบไหน ? ผมชักตื่นเต้นแล้วละสิ !!!!!

ผมตัดสินเดินทางอีกครั้งในคืนวันศุกร์ของเดือนกันยายนที่ผ่านมา (พ.ศ. 2556) มุ่งหน้าผ่านเขตนนทบุรี ทำความเร็วขึ้นจังหวัดอยุธยา ขับรถผ่านสายฝนในช่วงหัวค่ำแถวสระบุรี ผ่านลพบุรีขึ้นเพชรบูรณ์ แล้วคืนนั้นเราก็พักนอนโรงแรมที่ตัวอำเภอเมืองหล่มสักในตอน 5 ทุ่มเศษ
ผมตื่นนอนตอนตีสี่ครึ่งในเช้าวันนั้น...รู้สึกไม่ค่อยง่วง แต่เพลียมากเพราะต้องขับรถต่ออย่างต่ำ ๆ อีก 100 กิโลเมตร เพื่อให้ทันจุดชมวิวทะเลหมอกในตอนเช้า
ตลอดทางรู้สึกถนนเต็มไปด้วยน้ำขังริมถนน รู้สึกได้เลยว่าฝนน่าจะตกช่วงตอนตี 2-3 แน่ ๆ ถึงจะเพลียแต่แรงบันดาลใจที่จะไปถึงตรงนั้นอีก 100 กิโลเมตร น่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง สำหรับทางขึ้นเขาผมขับรถมาเรื่อย ๆ อีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงสถานที่ที่บอกว่าแรงบันดาลใจของผมอยู่ที่ไหน ชักอยากรู้จริง ๆ ว่าไอ้ความรู้สึกแบบนั้นมันจะเป็นแบบไหน ? เวลาที่ได้ยืนและมองดูอะไรบางอย่างตรงนั้น ? มันจะทำให้ความทรงจำที่จะเกิดขึ้นเป็นแบบไหน ? ผมชักตื่นเต้นแล้วละสิ !!!!!

ผมขับรถมาเรื่อย ๆ ท่ามกลางความเพลียตลอดทาง ทำให้รู้ได้เลยว่าฝนตกลงมาพอสมควร ผ่านอำเภอหล่มเก่าแล้วก็ถึงเวลาขับรถปีนขึ้นเขา ทางไม่ชันมาก แต่ก็พอมีโค้งมีเลี้ยวให้รู้สึกต้องระวัง !!!!! แม้จะเป็นตอนตี 5 แต่วันนี้ผมเห็นพระจันทร์เกือบจะเต็มดวงเลย รู้สึกฟ้าเปิด มองเห็นฟ้า รู้สึกดีใจที่ฟ้าเปิด และวันนี้ต้องเป็นวันที่ดีอีกวันแน่ ๆ ผมขับรถผ่านไปถึงด่านซ้ายมองเห็นหมอกฝนกำลังก่อตัวที่เชิงเขา ก็ยิ่งมั่นใจว่ามันต้องดีแน่ ผมมาถึงด่านซ้ายเกือบ 6 โมงเช้า ไม่ได้แวะที่ไหน มุ่งหน้าเข้าอำเภอนาแห้ว วิวข้างทางสดชื่นมาก ๆ มองเห็นนาข้าวที่มีฉากหลังเป็นวิวเขามีหมอกคลุม ทำให้ผมนึกถึงภาพแม่กลางหลวงที่เชียงใหม่เลย กะจะแวะถ่ายรูปแต่ไม่มีเวลาแล้ว
สองข้างทางในวันนี้ทำให้ผมรู้สึกต้องมีลุ้นแน่ ๆ แต่พอขับไปจะถึง ไอ้ที่ว่าลุ้น ๆ มันก็ชักหายไป ผมแวะที่จุดชมวิวภูหัวห้อมก่อน เพราะวิวสวยมาก ยังจำฤดูหนาวปีนี้ได้เลยว่าผมเห็นทะเลหมอกที่นี่ มันสวยมาก ๆ จนคิดว่าหน้าฝนคงสวยไม่แพ้กัน ทำให้หน้าฝนปีนี้ต้องมีที่นี่สัก 1 บันทึกการเดินทาง

รอแล้วรออีก เห็นแต่หมอกทึบจนมองไม่เห็นอะไร ทำให้ผมขับรถอ้อมไปทางด้านหลัง...ไกลมาก ไปโผล่อีกโซนหนึ่ง นั่นก็คือ ที่ทำการภูสวนทราย บรรยากาศก็คล้าย ๆ กัน...ได้รูปเช้าวันนี้มา 4-5 ใบ นอยด์มาก ^^ แต่ยังไงทริปนี้คือตั้งใจมานอนที่นี่ ไม่ได้จองบ้านพักไว้ แต่ไปถามเจ้าหน้าที่ที่โซนภูหัวห้อมแล้วว่าวันนี้ยังว่าง ยังไงก็ลุ้นพรุ่งนี้ต่อ แบบทริปนี้ตกลงกันแล้วว่ายังไงก็นอนที่ภูหัวห้อม แต่วันนี้อากาศแบบนี้ ผมชักจะสับสนแล้วละสิ นั่ง ๆ มองดูบรรยากาศฝนปรอยหมอกคลุ้ง
อากาศเย็น !!!! และมันคงเป็นแบบนี้ทั้งวันหรือเปล่า ? ไม่ได้เตรียมใจมา และไม่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ด้วย แต่ตอนนี้ขอตัวลงจากรถไป กินขนมปังที่เตรียมไว้ กับหนังสือพิมพ์ที่แวะซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อ เฮ้อ...

วันนี้ดูแนวโน้มแล้วอากาศคงปิดตลอดวัน รู้สึกผิดแผนไปหมด เช้าแรกก็รวนซะแล้ว หลังจากนั่ง ๆ นอน ๆ รอ ๆ ที่ภูสวนทราย ฝนปรอย ๆ หมอกคลุ้งตลอดวันแน่นอน แถมเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นยังงี้ทั้งวันแน่ ๆ ผมก็มาคิด ๆ ว่าจะเอายังไงดี จะรอหรือจะไป ? เพราะเวลามีไม่เยอะ อยู่ดี ๆ แผนใหม่ก็เข้ามาในหัว...ผมยังคงจำได้เคยหาข้อมูลสถานที่ใกล้ตรงนี้ นั่นก็คือ สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้า ซึ่งอยู่ห่างจากภูสวนทรายไปทางตะวันตก เลาะเขาไปเรื่อย ๆ ประมาณ 30 กิโลเมตร

เคยเห็นในอินเทอร์เน็ตว่าสามารถมองเห็นวิวภูเขา แต่ปรึกษาเจ้าหน้าที่แล้วเขาบอกว่าบรรยากาศก็คงไม่แตกต่างกัน เพราะอยู่ใกล้กัน แต่ผมคิดว่ายังไงมาแล้วไปหน่อยดีกว่า ^^ 30 กิโลเมตรเอง จะแค่ไหนกัน ยังไงขากลับก็ต้องวนกลับมาภูสวนทรายอยู่ดี รอไปก็ไม่รู้เมื่อไหร่ ทะเลหมอกคงไม่มีแน่ ๆ ถือว่าไปให้ได้เห็น ^^ 30 กิโลเมตร บนเส้นทางภูเขาใช้เวลาพอสมควร ทางวกวน ชันไปชันมา แต่วิวสวยมาก ๆ วิวประมาณภูเขาที่น่าน-เชียงรายเลย แล้วก็มาถึงที่นี่จนได้

ที่นี่เป็นศูนย์รวมพรรณไม้ที่เกิดขึ้นจากพระราชดำริของมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการดำเนินงานของโครงการพัฒนา เพื่อความมั่นคงพื้นที่ ภูขัด ภูเมี่ยง ภูสอยดาว ตำบลบ่อภาค อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2542

ไปถึงทะเลหมอกก็แทบจะโบยบินไปหมดแล้ว ^^ ดีที่ยังพอได้เห็นอะไรแบบนี้ให้รู้สึกเข้าที่เข้าทาง นี่ยังไงครับแผนสำรองตอน 2 อย่างน้อยก็ได้เที่ยวมากขึ้น ได้เห็นบรรยากาศแตกต่างมากขึ้น อย่างน้อยก็แผนสำรองที่ทำให้เช้านี้ยังคงยิ้มได้

ไหน ๆ ก็มาแล้วผมใช้เวลาที่นี่พอสมควร นั่งพักและชมแปลงผัก ผลไม้ มีทั้งดอกกุหลาบพันปี แปลงสาธิตดอกกล้วยไม้ ดูเพลิน ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย บรรยากาศเงียบมาก คงเพราะอยู่ไกลมากเช่นกัน แล้วสักพักตอนประมาณสิบโมงเศษ ๆ ผมก็ขับรถกลับวนกลับไปที่ภูสวนทรายอีกรอบ ตลอดทางที่ภูสวนทรายยังคงเต็มไปด้วยหมอก อากาศปิดอย่างมาก มองอะไรไม่เห็นเลย ฝนปรอย...ทั้งที่บ้านร่มเกล้าแดดเปรี้ยง งงเหมือนกันห่างกันแค่ 30 กิโลเมตร อากาศต่างกันมาก ตอนนี้ผมกำลังคิดอีกแล้วว่าจะทำไงต่อ...แผนที่วางไว้จะเป็นอย่างไรดี ?


ตอนนี้ผมเหมือนอยู่ในทาง 2-3 แพร่ง จะเอายังไงดี แผนสำรองตอนนี้อยู่ไหน ? แผนแบบนั้นมันจะยังคงทำงานอยู่ได้ไหม ? ความคาดหวังมันบอกอะไรได้เยอะเลย ^^ บางทีมันก็บอกว่าทางที่เดินผ่านมา คือ ทางที่ใช่ แต่บางครั้งมันก็บอกว่าวันนี้ไม่ใช่ทางของเรา !! ผมรู้สึกมันกำลังสะท้อนอะไรบางอย่างออกมา ให้ผมได้คิด ได้นึกถึง และได้รู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง สัปดาห์นี้ผมควรจะอยู่นิ่ง ๆ แล้วทำงานแบบปกติไป สัปดาห์นี้ผมควรรอเวลาที่เหมาะสม รอเวลาที่ใช่ เพื่อให้ความคาดหวังในวันนั้นทำงานได้ดีกว่าวันนี้

วันนี้แผนเปลี่ยนไปเยอะ ผมนึกถึงวันที่ฟ้าสดใส อากาศดี ๆ มองเห็นทะเลหมอกในตอนเช้ามืด !!! มันเลยทำให้แผนการเดินทางยากนิดหน่อย ผมขับรถมาจากบ้านเมื่อคืนตอนห้าโมงเย็น ขับรถมาตั้ง 6 ชั่วโมง เพื่อที่จะได้นอนตอน 5 ทุ่ม แล้วตื่นแต่ตี 4 ครึ่ง เพื่อขับรถต่อมาถึงที่นี่ให้ทันในตอน 6 โมงเช้า ให้ตายเหอะที่ผมจะบอกว่าความคาดหวังเกินร้อย และไม่แพ้ทุกที่ที่เคยไป

เสียดาย เสียดาย แต่ไม่ได้รู้สึกเสียโอกาส !!!! อยู่ดี ๆ ผมก็นึกมาได้ว่านี่คือเวลาที่ผมมาเพื่อพักผ่อน หลังทำงานหนักวันละ 15-16 ชั่วโมงต่อวัน แบบไม่มีวันหยุดต่อเนื่องมา 21 วันเต็ม ผมมาพักสินะ มาอยู่ในบรรยากาศที่เลือกเอง แต่ถ้าวันนี้มันไม่ใช่สำหรับผม...ไม่เป็นไร แผนมีไว้ให้ท้าทาย แผนมีไว้ให้ทดสอบอยู่เสมอ และไม่ว่าผลทดสอบการเดินทางในครั้งนี้จะเป็นแบบไหน แต่ลึก ๆ ผมก็รู้สึกมันต้องมีอะไรดี ๆ คอยผมอยู่ที่ไหนสักที่ต่อจากนี้อย่างแน่นอน !!!!
ผมตัดสินใจเปลี่ยนแผนไม่พักที่ภูสวนทรายทันที มันอาจจะดูไม่ยุติธรรมสำหรับที่นี่ ^^ แต่ผมคิดว่าต้องมีวันที่ดีกว่านี้ เหมาะกว่านี้รอผมอยู่ ด้วยสภาพอากาศที่น่าจะเป็นแบบนี้ไปตลอดวัน หรือแม้กระทั่งพรุ่งนี้เช้า...ที่ทำให้ทุกอย่างซ้ำรอยเดิม

ผมขับรถจากภูสวนทรายผ่านจุดชมวิวข้างทาง มันเป็นศาลาริมถนนบนเนินเขาก่อนถึงด่านซ้าย พักรถ ชมวิวบรรยากาศพักหนึ่งที่ทำให้รู้สึกดีทุกครั้ง เวลาได้เห็นมุมมองจากบนที่สูง ๆ แล้วก็ขับรถมาสักพักก็มาถึง ตัวอำเภอด่านซ้าย เราแวะทานเข้ากันที่นี่...จำไม่ผิดผมกินผัดซีอิ๊วกับส้มตำจานหนึ่ง ตอนกินไม่เผ็ด แต่ตอนหมดจานเผ็ดลิ้นขึ้นมาทันที ท้องอิ่มแปล้ทำให้รู้สึกดีขึ้น เหมือนกับความทรงจำดี ๆ ที่เคยเกิดขึ้นตอนนั้นเลย ภูสวนทรายในครั้งแรกของผมตอนต้นปี พ.ศ. 2554 หนาวแบบหนาวมาก ด้วยทริปตามล่าลมหนาว !!! ผ่านมาอีกเกือบ 2 ปี ในช่วงกลางเดือนธันวาคม ของขวัญวันเกิดที่มาพร้อมกับทะเลหมอกที่นี่ มันสวยจนผมรู้สึก ที่นี่แหละสีสันของธรรมชาติ แล้วสักพักผมก็จ่ายค่าอาหารมื้อเกือบ ๆ เที่ยง ในราคาทั้งโต๊ะเกือบ ๆ สองร้อยบาท ^^ พร้อมแล้วสินะที่จะเดินทางอีกครั้งในแบบที่ผมคาดหวัง
แม้แผนในช่วงเช้าที่ผ่านมาจะดูผิดแผน ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ หลังจากท้องอิ่มเราก็เริ่มต้นเดินทางกันต่อ จริง ๆ เราตัดสินใจกันตั้งแต่ตอนสาย ๆ กันแล้วว่าเราคงได้ไปที่เดิมที่เราคาดหวังได้อีกครั้ง สุดท้ายมันก็มาลงที่นี่ ที่เดิมที่ผมคุ้นเคยกันมาก ผมบอกเพื่อนว่ามันตลกมากที่มาไกลถึงจังหวัดเลย แต่สุดท้ายก็กลับไปตายรังเก่าที่เดิม ^^ แต่นั่นก็คือความจริงของแผนสำรองทริปนี้ คืนก่อนหน้านี้ผมคิดแผนไว้สำหรับ 2 เช้า สำหรับทริป 2 วัน 1 คืน ให้มันสมบูรณ์ที่สุด ว่าเราอยากเห็นบรรยากาศตอนเช้าที่ไหนบ้าง และนี่เองที่ทำให้ผมต้องเดินทางช่วงดึกเสมอ

แผนคือ คืนวันศุกร์ตอนห้าทุ่มต้องมานอนที่หล่มสัก แล้วเช้าแรกเราอยากเห็นวิวทะเลหมอกที่ไหน ? ตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงเขาค้อหรือภูทับเบิกเท่าไหร่ เพราะปีนี้เห็นมาพอสมควร พลาดบ้าง เห็นบ้าง แต่มีตะหงิดเล็ก ๆ ตรงแคมป์สนโซนผาซ้อนแก้ว กับร้านกาแฟริมข้างทาง คืนชีวิตให้แผ่นดิน ที่ทริปหลังผมไปทีไรแล้วไม่ค่อยเห็นวิวทะเลหมอก ยังแวบ ๆ ว่าเช้านี้แวะที่นี่ก่อนดีไหม ? เพราะเมื่อคืนฝนตกหนักมาก ทะเลหมอกน่าจะมี แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะฟันธงว่าเราโฟกัสที่ภูสวนทราย ในบรรยากาศหน้าฝนที่ไม่เคยเห็น ถ้าเช้าแรกพลาด เช้าอีกวันต้องไม่พลาด มีโอกาสให้เราได้ซ่อมทริปอย่างแน่นอน เหมือนปักหลักแล้วก็ต้องปักหลักต่อไป มั่นใจในเซ้นส์ของตัวเองที่คิดว่าไม่ผิดแน่นอน

แต่ลึก ๆ ผมก็รู้สึกว่าถ้าเช้าแรกผมเห็นวิวที่ภูสวนทรายแบบสวยงาม ผมจะยังคงอยู่อีกคืนเพื่อเช้าอีกวันหรือ ผมเองไม่แน่ใจ แต่เพื่อนที่ไปด้วยบอกว่าไม่มีทาง !! สุดท้ายเรามีตัวเลือก 3 ที่ คือ ภูทับเบิก เขาค้อ หรือแคมป์สน ตอนนั้นไม่ได้คิดไปให้ไกลกว่าภูสวนทรายเลย เช่น ไปภูเรือหรือเชียงคาน เพราะคิดว่าสภาพอากาศคงไม่แตกต่างกันนัก อีกอย่างถ้านอนที่เพชรบูรณ์พรุ่งนี้จะได้ไม่เหนื่อยมากตอนขับรถกลับบ้าน สุดท้ายผมเลือกแคมป์สน ด้วยเพจเขาค้อที่ผมติดตามอยู่มันดึงดูดสายตามาก และต้องบ้านพักที่ร้านคืนชีวิตให้แผ่นดินเท่านั้น ผมอยากเห็นวิวที่สวยสุด ๆ อีกครั้งก่อนฝนจะหมดไป

ผมมาถึงร้านกาแฟคืนชีวิตให้แผ่นดินตอนบ่ายโมง ห้องพักว่าง แต่ที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้มา 3 วันแล้ว และก็ไม่แน่ใจว่าไฟจะมาตอนไหน เพราะอยู่ในช่วงการสร้างและขยายถนน !!!! และอีกอย่างเย็นนี้อยากทำหน้าที่ของคนไทยเชียร์สาวไทยให้ชนะสาวญี่ปุ่นเกาะติดจอ เอาละสิ ! มันต้องมีอะไรให้คิดตลอด แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกผิดหวังเท่าไหร่นัก

ผมยังจำน้ำตกหมอกในตำนานนี้ได้เป็นอย่างดี เคยเห็นแต่ในภาพ นาน ๆ เกิดที บางปีก็ไม่มี มันเป็นหมอกที่ไหลลงมาจากยอดเขาโซนนี้คล้ายน้ำตกหมอกที่ผมอยากเห็นมันมาก เอาว่ามากที่สุด มันเกิดขึ้นเมื่อเช้านี่เอง ถ้าแผนผมเช้าแรกที่นี่แล้วไปค้างภูสวนทรายมันคงลงตัวอย่างที่สุด...และในเมื่อวันนี้ไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ยังไม่รู้ว่าไฟฟ้าจะมาตอนไหน สุดท้ายผมต้องคิดหนักแล้วก็เดินจากที่นี่ไป

และสุดท้ายผมก็ไม่ได้จากไปไหนไกล แม้แผนจะรวนแล้วรวนอีกแต่มันพอแล้ว หลังจากตัดสินใจไม่พักที่ร้านคืนชีวิตให้แผ่นดิน เพราะไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ในช่วงการสร้างถนน ^^ ผมขับรถหาที่พักในโซนใกล้ ๆ แถวนั้นอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ได้ที่พักเดิมที่เคยพัก ใกล้ ๆ กับปากทางเข้าวัดผาซ้อนแก้ว นั่นคือ ภูฟ้าใสรีสอร์ท หลังจากเช็กแล้วว่าที่พักที่นี่ไฟไม่ดับ มีทีวี มีสัญญาณของช่อง 7 เพราะเย็นนี้เราจะทำหน้าที่ของคนไทยที่จะเกาะติดเชียร์สาวไทย และที่พักยังคงมีระเบียงมองเห็นวิวผาซ้อนแก้วได้ วันนี้เมฆเยอะเหลือเกิน อยากให้ฝนตกจริง ๆ


เพราะหลังจากฝนตกเราคงได้เห็นทะเลหมอกกัน สุดท้ายฝนก็โปรยลงมานิดหน่อยให้ได้ตื่นเต้นกัน สักพักหมอกด้านผาซ้อนแก้วก็ฟุ้งไหลลงมาผมเก็บภาพจากระเบียงบ้านได้ไม่กี่ภาพ หลังจากนั้นทุกอย่างก็จบ หมอกฟุ้งลอยตัวไป ผมตัดสินใจขับรถออกไปชมวิวเล่น เป็นทางขึ้นไปยังวัดผาซ่อนแก้วที่สามารถมองเห็นวิวภูเขาได้ยิ่งใหญ่มาก

A20-21

แล้วสักพักก็มีบางอย่างเริ่มต้นเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นจากอะไรบางอย่างที่ทำให้เช้าวันนั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง แล้วตามด้วยความเป็นไปได้ แล้วก็ผิดหวังอีก แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมตามหามาตลอดทริปกำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้งในตอนบ่ายสี่โมงเย็น



สายหมอกมาไม่นานก็หายไปแบบไวมาก ผมกับเพื่อนเลยขับรถไปที่จุดชมวิวกลางเขาค้อ ห่างจากตรงบ้านพักราว ๆ 25 กิโลเมตร ก็ใช้เวลาโดยประมาณ 30 นาที เพื่อไปหาอะไรทานกัน และชมตะวันลาลับขอบฟ้าในวันนี้...ผมแวะมาที่แทนรักทะเลหมอกรีสอร์ทเป็นที่แรก




แล้วสักพักผมก็ขับรถไปตรงจุดชมวิวกลางเขาค้อที่อยู่ติดถนน ตรงนี้มองเห็นวิวตะวันลับขอบฟ้าได้ดีมาก ๆ





แต่ตอนนี้ความคาดหวังบางอย่างกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง ให้เวลาแบบนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังมากมาย ผมรีบซื้อของกินไปกินที่บ้านพัก เพื่อให้ช่วงเวลาหัวค่ำวันนี้เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ความหวังทำงานอีกครั้ง ความคาดหวังที่ทำให้เราได้เห็นอะไรบางอย่าง และรู้สึกอะไรตั้งมากมาย

แต้มต่อแต้มที่สามารถพลิกความรู้สึกได้เลย จะทำให้เรารู้สึกดีก็แค่แต้มนั้น จะทำให้เราแย่ก็แค่แต้มนั้น 1 แต้ม ที่ดูน้อยแต่มีคุณค่ามากพอ และสุดท้ายแต้ม 1 แต้ม รวมกันเป็นหลาย ๆ แต้ม ก็ทำให้ทุกอย่างแข็งแกร่ง สร้างรอยยิ้ม และความภาคภูมิใจได้อย่างมหาศาล ขอบคุณที่ทำให้เรายิ้ม ขอบคุณที่ทำให้เรามีความสุขในช่วงเวลานั้น ^^

คืนนั้นสาวไทยก็ชนะญี่ปุ่นในการแข่งขันวอลเลย์บอลชิงแชมป์เอเชีย เพื่อนผมบอกก่อนการแข่งขันว่าถ้าคนไทยชนะ พรุ่งนี้เราต้องได้เจอ ต้องได้เห็นทะเลหมอกอย่างแน่นอน ผมก็เชื่อแบบนั้น อย่างน้อยความเชื่อก็ทำให้ผมทำได้ทุกอย่าง และทำให้ผมได้มาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ แต่ถ้ามันจะไม่ได้ผลอีกครั้ง ผมก็ขอแค่ว่าให้ความเชื่อนั้นยังคงอยู่ และไม่หายไปไหนจากความรู้สึกของผม หรือของใครหลายคนในโลกใบนี้


ผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตอนตีห้าครึ่ง ลุกขึ้นมาดูวิวที่ระเบียงบ้าน...เช้านี้มีหมอกลงบาง ๆ แต่ไม่มีทะเลหมอกในแบบที่ผมคาดหวัง แต่แค่นี้ก็ทำให้หายเหนื่อย ๆ ไปเลย

เราใช้เวลาเตรียมตัวเก็บของทุกอย่าง แล้วเช็กเอาท์ออกจากที่พักตอน 06.00 น. รู้สึกไม่ต้องรีบเท่าไหร่ เพราะจุดชมวิวอยู่ใกล้ๆ แต่พอเห็นหมอกขึ้นไวก็ต้องเร่งให้ทุก ๆ คนรีบกัน ผมขับรถออกจากบ้านพักซึ่งอยู่ริมถนน มุ่งหน้าไปยังร้านกาแฟคืนชีวิตให้แผ่นดินก่อน ห่างจากบ้านพักราว 4-5 กิโลเมตร เพื่อตามหาทะเลหมอกในแบบที่ผมคาดหวัง

บางทีการตามหาดูเป็นเรื่องยาก แต่การตามหาให้เจอเป็นเรื่องที่ยากกว่า ผมยังจำตอนเด็ก ๆ ได้เลยช่วงเรียน ปอ.5 ที่ผมกับพี่ชายต้องออกรีบออกจากบ้าน พร้อมกับไฟฉายในตอนตี 5 กว่า ทั้งที่ยังมืด เพราะไปหาเห็ดโคนกัน ^^ ลืมบอกไปว่าแต่ก่อนแถวบ้านเป็นสวน ทั้งพืชไร่และพืชผลไม้ มีดงป่ามะขามเทศที่ชาวบ้านชอบมาหาเห็ดโคนตอนปลายฝนกัน ผมมักจะเจอเห็ดโคนที่อยู่ใกล้ ๆ กับจอมปลวก บางทีมันก็ขึ้นตรงใกล้ ๆ กับต้นกล้วย บางทีมันก็อยู่ใต้ใบไม้ที่บางทีแยกไม่ออกด้วยซ้ำ จนมองข้ามไป..แต่ที่เจอเยอะ คือ ที่ป่ามะขามเทศ ที่มีขนาดประมาณ 4 ไร่ มันรกด้วยเถาวัลย์จนต้องเอามีดฟันต้นหญ้า ให้เป็นทางเล็ก ๆ เพื่อเดินไปได้ ไม่ได้รู้สึกกลัวผีหรือกลัวงูกัดเลย !!!!


ผมถือไฟฉายไปกับพี่ชาย แล้วก็เดินแยกกัน เพราะไม่อยากตัดหน้ากัน เราอยากมีผลงานไปอวดที่บ้าน เรามักเจอคนในหมู่บ้านมาหา ยิ่งต้องรีบหาให้เจอก่อน เพราะหลายคนมาตั้งแต่ตี 4 แต่ผมตี 5 ก็พอแล้ว มีครั้งหนึ่งผมเจอดงเห็ดโคนใกล้กับต้นกล้วย ค่อยเปิดใบไม้คลุมดินก็เจอทีละนิด ยิ่งเปิดใบไม้ที่ทับออกก็เจอไปเรื่อย ๆ สรุปวันนั้นผมใช้มีดพร้าขุดมันร่วมชั่วโมง ในพื้นที่มากกว่า 4-5 ตารางเมตร มันหนักหลายกิโลฯ เลย ถุงหิ้วที่เตรียมไปไม่พอ จนผมต้องถอดเสื้อแล้วห่อมันเอากลับบ้านไป แล้วก็ไปโรงเรียนสาย เป็นความภูมิใจอย่างมาก เหมือนเป็นฮีโร่ในวันนั้นเลย เพราะวันนั้นมีพี่ชาย น้า ๆ อีก 3 คน มีผมได้อยู่คนเดียว เป็นนัมเบอร์วัน ฮ่า ๆ ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในปีนั้น มันเป็นเรื่องที่นึกถึงทีไรก็อดอมยิ้มไม่ได้สักที

หลุดไปไกลเลย กลับมาที่คืนวันนั้นหลังจากที่เราภูมิใจกับชัยชนะของสาวไทย ผมก็หลับรวดเดียว ไม่ได้รู้สึกลุ้นอะไรมากกับบรรยากาศเช้านี้ จะเห็นทะเลหมอกก็เห็น ถ้าไม่เห็นก็ไม่เห็น เพราะมันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว แต่ผมก็มีแผนสำรองก๊อก 2 ถ้าเช้านี้ที่โซนผาซ่อนแก้วไม่มีทะเลหมอก ผมจะรีบขับรถไปตรงเขาค้อทันที…ผมเปิดผ้าม่านออกมาดูมีหมอกคลุมเขาที่ผาซ้อนแก้ว โอกาสของผมเปิดแล้ว และผมก็รู้สึกว่านี่สายไปใช่ไหมที่ผมจะได้เห็นทะเลหมอกสวย ๆ ของที่นี่ ผมตื่นสายหรือไงสำหรับคนที่ตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง !!! สายหมอกลอยเลื้อยข้ามถนนขึ้นมา บรรยากาศเริ่มฟุ้งไปด้วยไอหมอก...ในแบบที่ผมไม่ได้คาดคิดหรือคาดหวังแบบนี้


ผมยังจำคำพูดของเพื่อนที่บอกผมว่า "ถ้าคนไทยชนะ พรุ่งนี้เราต้องได้เจอ ต้องได้เห็นทะเลหมอกอย่างแน่นอน" แต่ตอนนี้มันกำลังฟุ้งและจางหายไป หรือแม้แต่ความรู้สึกที่บอกผมทุกครั้งว่า "ถ้ามันจะไม่ได้ผลอีกครั้ง...ผมก็ขอแค่ว่าให้ความเชื่อนั้นยังคงอยู่ และไม่หายไปไหนจากความรู้สึกของผม" และอย่างน้อยก็เคยมีวันที่ผมไปโรงเรียนสาย เพราะมัวแต่ขุดเห็ดโคนเอาไปอวดที่บ้าน แล้วเก็บความภูมิใจใส่ความทรงจำ แล้วก็ปั่นจักรยานไปโรงเรียน ด้วยความอิ่มใจไปทั้งวัน ^^

เมื่อผมขับผ่านหมอกที่กระจายหายไปไหนก็ไม่รู้ มาถึงตรงนี้ตอนเวลาประมาณ 06.15 น. ทุกอย่างมันผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าตั้งแต่วันที่ผมเริ่มต้นวางแผนทริปนี้ ผมปักหมุดที่จังหวัดเลย ณ ภูสวนทราย แล้วเช้าเมื่อวานผมก็ขึ้นไปถึงดอยนั้น แล้วเมื่อคืนผมก็นอนตรงแคมป์สน แล้วอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ผมก็กำลังจะกลับบ้าน ทุกอย่างเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา แล้วตอนนี้ทุกอย่างก็กำลังจะหายไป

ผมเองเป็นคนที่รักภูเขามาก ๆ รู้สึกหลงรักมัน และรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้เห็นทะเลหมอกสีขาว ยิ่งได้ใช้เวลาเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงมันแล้วละก็ มันยิ่งทำให้ผมมีความสุขจนบรรยายไม่ถูก ^^ มันเลยทำให้การเดินทางของผมทุกครั้งเต็มไปด้วยความท้าทาย การเฝ้ารอ การคาดเดา คาดหวัง และรอคอยการเปลี่ยนแปลงของทุกอย่างที่อยู่ต่อหน้าผม
และนี่ก็คงเป็นความจริงที่ทำให้ผมรู้จักตัวเองมากขึ้น และยังคงพยายามทำให้ทุกอย่างอยู่บนเส้นทางที่ผมรัก รู้สึกดี จนไปถึงความรู้สึกที่ผูกพันกัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งรอบตัว ภูเขา หรือทะเลหมอกสีขาว แต่ความจริงตอนนี้ตอนเวลา 06.30 น. มันจะเป็นความจริงตอนสุดท้ายที่บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ มากมายของการเดินทางในครั้งนี้ ที่บอกว่าถ้าจะบอกว่าสุขก็รู้สึกถึงความสุขขึ้นมา ถ้าบอกว่าเฉย ๆ ความเฉย ๆ ก็เดินเข้ามาทันที ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่สักพักกับหมอกที่ลอยพ้นฟ้าและฟุ้งหายไปในที่ไหนสักที่ แต่คงไม่ใช่ที่นี่ในตอนนี้

และด้วยเหตุผลบางอย่างที่เคยสอนผม มันยังคงทำให้ผมเฝ้าดูหมอกก้อนเล็ก ๆ ที่ครั้งหนึ่งมันก็เคยเป็นแบบนี้จากหมอกก้อนเล็ก ๆ กลายเป็นทะเลหมอกที่สวยงามที่สุดในปีนั้น และมันก็เคยเกิดขึ้น เกิดขึ้นในที่แห่งนี้ !!! ผมหันไปถามเพื่อนในตอนแรกว่ามันจะมีอีกไหม หรือมันจะมีเท่านี้...พวกเราทำได้แค่รอ รอ รอ เพื่อรอดูการเปลี่ยนแปลงของสายหมอกเส้นเล็ก ๆ ที่ซ้อนอยู่ในในหุบเขาที่อยู่ต่อหน้าพวกเรา แล้วสักพักผมก็บอกเพื่อนว่าไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม เพราะตอนนี้ทะเลหมอกมันเริ่มขยายตัวทีละนิด บางส่วนผุดเริ่มขึ้นมาใหม่อีกรอบหนึ่ง ^^


และตอนนี้ผมกำลังรู้สึกได้เลยว่าความผิดหวังตั้งแต่เมื่อวานเช้า ตอนบ่าย และตอนไหน ๆ ของทริปนี้มันกำลังกลายเป็นความผิดหวังอีกรูปแบบที่ผมจะเรียกมันว่า "ความผิดหวังที่กำลังหายไป"

และกำลังถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกดี ๆ ที่ผมคุ้นเคย ในแบบฉบับที่ผมอยากเห็นและอยากผูกพัน มันเหลือเชื่อนะครับที่จากก้อนหมอกเล็ก ๆ ในครึ่งชั่วโมงที่แล้วจะกลายเป็นคลื่นหมอกแบบนี้ ถ้าจะเรียกว่าปาฏิหาริย์ก็ไม่ผิดมากนัก เพราะมัน คือ สิ่งที่ทำให้ความผูกพัน และความรู้สึกดี ๆ ได้เดินทางมาพบกัน ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้ เวลานี้ ^^ ปาฏิหาริย์ที่ทำให้ความผิดหวังได้จางหายไป































ถึงตอนนี้ผมได้ลืมความผิดหวังไปแล้ว ความผิดหวังที่สร้างได้ด้วยปาฏิหาริย์ มันเป็นวันที่ดีที่สุดอีกหนึ่งวันของผมเลย


หลังจากชมทะเลหมอกที่ร้านคืนชีวิตให้แผ่นดิน ผมรอจนวินาทีสุดท้ายที่หมอกฟุ้งมองอะไรไม่เห็น แล้วขับรถย้อนกลับมาขึ้นด้านบนที่อยู่สูงกว่า


นั่นคือ จุดชมวิวิวที่อยู่บนทางขึ้นไปทางวัดผาซ้อนแก้ว มีศาลา มีจุดกางเต็นท์ อีกหนึ่งที่ที่ผมค้นพบ รู้สึกได้เลยว่าต่อไปที่นี่ต้องเป็นจุดชมวิวอันซีนอย่างแน่นอน


เชื่อไหม ? ผมขับรถไวมาก จากร้านคืนชีวิตให้แผ่นดิน แบบตะลุยคันเร่งมาเลย รีบดิ่งมาตรงนี้ จุดที่อยู่สูงมาก ๆ มากพอที่ผมจะได้เห็นอะไรที่ผมรัก และมีคุณค่าในแบบที่ผมรู้สึกเสมอ กับวิวทะเลหมอกที่ยิ่งใหญ่และสวยไม่แพ้ที่ไหน


แม้จะมาเขาค้อครั้งที่ 17 ในรอบ 3 ปี แต่มันก็มีอะไรใหม่ ๆ ที่ทำให้ผมได้เห็นอยู่เสมอ ภูเขาก็ลูกเดิม ๆ แต่เชื่อไหมว่าแค่ยืนเอียงไป 1 องศา มันก็เป็นมุมมองใหม่ได้ทุกครั้ง ทะเลหมอกก็เหมือนกัน แค่ผ่านไป 1 วินาที มันก็กลายเป็นอีกเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งทันที


มีหลายคนมักพูดเสมอว่าไปบ่อยจังไม่เบื่อหรือ ยังไม่เบื่ออีกหรือ ยังจะไปอีกหรือ ผมก็ไม่รู้จะตอบแบบไหนที่ทำให้คนที่ถามเข้าใจ ในเมื่อทุก ๆ 1 องศา ทุก ๆ วินาทีที่ผ่านไป มันก็เป็นความทรงจำอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ถ้ามันจะเป็นความทรงจำในรูปแบบเดิม ๆ ซ้ำซาก จำเจ แต่ผมก็เชื่อ เชื่อทุกครั้งที่ตัดสินใจมาที่นี่ว่ามันต้องมีรายละเอียดอะไรสักอย่างที่ทำให้ใครสักคนยังคงเดินทางมาที่นี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เวลาที่ผมเห็นทะเลหมอกบนภูเขาสูงผมรู้สึกยังไงหรือ ผมจะตอบละนะ...ผมรู้สึกกลับเป็นเด็กอีกครั้ง ความเป็นเด็กที่ผมพูดถึง นั่นก็คือ อยู่ตรงนั้นแหละ ทำอะไรก็ทำตรงนั้น ไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่ข้างหลัง และไม่ได้รู้สึกต้องมองอะไรไปข้างหน้า

ตอนเห็นทะเลหมอกผมก็มีความรู้สึกแบบนั้น ไม่มีอะไรเข้ามาในหัวให้ต้องคิดเยอะ ไม่ได้คิดว่าใครจะรักเรา ไม่รักเรา ไม่ต้องรับรู้ว่าโลกนี้กำลังจะแตกตอนไหน ไม่ต้องคิดว่าใครจะทะเลาะกัน น้ำมันจะขึ้นตอนไหน ไม่ต้องสนใจว่าสิ้นปีนี้จะมีเงินเก็บแค่ไหน ไม่ได้คิดว่าพรุ่งนี้จะทำยังไงกับชีวิตต่อ...นี่ละมั้งคำอธิบายที่ผมจะมีให้ ถ้ามีใครถาม

แล้วตอนที่ชอบที่สุดเวลาดูทะเลหมอก ก็คือ การตระเวนไปยังจุดชมวิวที่เห็นทะเลหมอก ยิ่งได้อยู่บนเส้นทางที่เห็นทะเลหมอก 2 ข้างทางแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่า ไอ้ตอนที่เรายังเป็นเด็ก ๆ แล้วหัดขี่จักรยาน ล้มกี่ครั้งก็ล้มไป แล้วสักพักเราก็เริ่มล้มน้อยลง และในที่สุดเราก็ขี่มันได้ นั่นละมั้งวินาทีในตอนนั้น ตอนแบบนั้นเลย !!!

แต่บางทีช่วงเวลานั้นมันก็นานจนนึกอะไรไม่ออก ว่าตอนที่อยู่บนอานจักรยานแล้วปั่นมันไปในลานสนามหน้าบ้านมันเป็นยังไงนะ ในตอนนั้นผมรู้สึกยังไง สนุกแค่ไหน แต่ตอนนี้ผมจำได้แล้ว มันเหมือนตอนนี้เลย

ไม่ว่าจะมีเหตุผลใดที่ต้องให้ตอบว่าใช่ แต่สุดท้ายภาพใบนั้นก็ยังคงทำงานเสมอ หลังจากที่ผมสนุกกับการได้โลดแล่นอีกครั้ง ไม่ได้มาหัดขี่จักรยานที่นี่ แต่ความรู้สึกของผมมันก็คล้าย ๆ กัน ตื่นเต้นและสนุกจนแทบจะลืมเรื่องทุกเรื่องที่เคยผ่านเข้ามาได้เลย ที่ผมมองเห็นตอนนี้ คือ วิวอีกด้านของวัดผาซ่อนแก้ว วิวภูเขาที่กำลังโดนสายหมอกโอบล้อม

มันเป็นบรรยากาศที่ผมบอกตรง ๆ เลยว่าผมไขว่คว้า จะใช้คำง่าย คือ พยายาม พยายามอย่างมาก ๆ เพื่อที่จะได้เห็นบรรยากาศแบบนี้ และแบบนี้เท่านั้น แล้วความพยายามของผมมันแค่ไหน ? ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่ผมรู้อยู่อย่างเดียวว่าผมต้องได้เห็นสักครั้งไม่ว่าทริปไหน ๆ ที่มาเขาค้อ วัดผาซ่อนแก้วที่ผมและใคร ๆ คุ้นเคยกันดี เป็นวัดที่สวยมาก ท่ามกลางขุนเขาที่งดงาม แล้วครั้งหนึ่งที่ผมเห็นภาพใบนั้น ภาพใบนั้นในโลกออนไลน์ที่ผมเห็นทะเหมอกเป็นฉากหลัง มันคือภาพใบนั้นที่ทำให้ผมพยายาม ^^ หลาย ๆ ครั้งที่ผมพยายามเพื่อที่จะได้เห็นแต่สุดท้ายก็พลาดหลาย ๆ ครั้ง แต่ก็เพราะเป็นภาพใบนั้นที่ยังคงทำงานอยู่เสมอ ที่คอยบอกว่าแรงบันดาลใจของผมอยู่ที่ไหน และคอยเติมความพยายามให้ผมในทุก ๆ วัน

มันเป็นวันที่ดีที่สุดอีกหนึ่งวันของเช้าวันนี้ วันที่ความรู้สึกของการไขว่คว้า ความพยายาม ความรัก และอะไรหลายอย่างได้มาอยู่ร่วมกันในสถานที่เดียวกัน กับอีกหนึ่งวันที่วัดผาซ่อนแก้วที่สวยที่สุดในความทรงจำของผม


ผมใช้เวลาชมทะเลหมอกที่นี่นานพอตัว และทะเลหมอก ก็เปลี่ยนแปลงเร็วมาก รวดเร็วแบบที่ผมรู้สึกเหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น และกำลังหายไปต่อหน้าต่อตาผมเลย ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนเย็นผมยังลุ้นอยู่เลยว่าไทยจะแข่งชนะไหม และลุ้นมาถึงเช้าวันนี้ว่าจะเห็นบรรยากาศแบบไหน จะมีทะเลหมอกไหม ถ้ามีจะสวยแค่ไหน

และไม่ว่าผมจะรู้สึกแบบไหน สุดท้ายแล้ว มันก็เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก ๆ ของธรรมชาติ ที่บอกว่าความไม่แน่นอน คือ ความแน่นอน และความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน ทุกอย่างอยู่ที่โอกาส ทุกอย่างอยู่ที่จังหวะ แต่ทุกอย่างเป็นไปได้ และยังคงเป็นไปได้เสมอ


และตอนนี้ความเป็นไปได้ของผมกำลังจะจบลง และกำลังหมดไปในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า เหมือนทุกอย่างกำลังกลับมายังจุดที่มันเคยเริ่มต้น เพื่อสะสมเรื่องเล่าและความทรงจำในวันต่อ ๆ ไป

และไม่ว่าครั้งหนึ่งที่ความทรงจำของผมไม่มีแบบนี้ ครั้งหนึ่งที่ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน ครั้งหนึ่งที่ความเป็นไปได้ คือ ความเป็นไปไม่ได้ และไม่ว่าตอนนั้นผมจะรู้สึกดีหรือไม่ดี แต่ที่นี่ยังคงเป็นปลายทางของผมเสมอ

จากจุดเริ่มต้นของการเดินทางในครั้งนั้น เดินทางมาถึงปลายทางในเช้าของวันนี้ ผมทำเหมือนเดิมในแบบที่ผมเคยทำทุกครั้ง นั่นก็คือ เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของทะเลหมอกจนไปถึงตอนสุดท้ายที่มันกำลังเริ่มกระจายตัว นี่เป็นสัญญาณที่บอกว่าการเดินทางในครั้งนี้กำลังจะจบลงในอีกไม่ช้านี้

ทุกอย่างรวดเร็วเหมือนกับว่าเพิ่งเริ่มต้นขึ้น คืนนั้นผมขับรถผ่านพายุฝน แล้วก็มีอะไรมากมายให้ผิดแผน ผิดหวัง และสุดท้ายก็มีบางอย่างที่เป็นไปได้เข้ามา ที่ทำให้ผมได้อยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดอีกครั้ง แต่ตอนนี้ทุกอย่างกำลังเดินมาถึงจุดสุดท้าย
หลังจากนั้นอีก 6 ชั่วโมง ผมก็เดินทางถึงบ้าน ทุกอย่างจบลง เหมือนกับหนังสือเล่มหนึ่งที่เราไล่เปิดดูไปจนถึงหน้าสุดท้ายของหนังสือเล่มนั้น แต่ก่อนที่จะปิดหนังสือเล่มนั้น ผมดันไปเห็นอะไรบางอย่างที่มุมด้านขวามือ มีตัวหนังสือเล็ก ๆ เขียนไว้คำหนึ่งว่า "ความภูมิใจ" แม้มันจะเป็นตัวเล็ก ๆ แต่ผมก็มองเห็นมันชัดเจน แต่ไม่เห็นมีอะไรอธิบายเพิ่มเติมไว้เลย ดูท่าจะไม่เข้าใจแน่ ๆ ว่าเขียนไว้ทำไมกัน

ใครเป็นคนคิดคำนี้แล้วไปเขียนอยู่ตรงนั้น แต่สักพักผมกลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก และไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกดี จะว่าไปก็ไม่รู้สึกแปลกนะว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น !!! อะไรที่เราไม่รู้สึกดี เรามักจะบอกถูกว่าทำไม แต่พอตอนที่รู้สึกดีเรามักบอกไม่ถูกว่าทำไม

จริง ๆ แล้วความภูมิใจมันไม่ใช่เรื่องของใคร แต่มันเป็นความรู้สึกของเราและเราเท่านั้น ไม่ว่าสิ่งที่เราทำจะเล็กหรือใหญ่ ^^ มันจะเกี่ยวข้องกับใคร หรือไม่เกี่ยวกับใคร จะมีประโยชน์กับใคร หรือไม่มีประโยชน์กับใคร จะตัดผมสั้นหรือไว้ผมยาว หรือจะทำให้กินข้าวอร่อยหรือไม่อร่อย จะเห็นทะเลหมอกหรือไม่เห็นทะเลหมอก มันก็ไม่ใช่ประเด็นและไม่ใช่อย่างแน่นอน

กับการเดินทางในครั้งนี้ ผมได้ทำในอย่างที่ผมอยากทำ และได้ทำมัน แม้จะผิดแผนไปบ้าง แต่มันก็ทำให้ผมได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่าง เพื่อที่จะได้ยืนอยู่บนเส้นทางที่ผมรัก ได้วางแผนเป็น ได้คิดเป็น ได้หาข้อมูลเป็น ได้พยายามมากขึ้น ได้ขับรถเดินทางเป็น ได้นอนต่างที่เป็น ได้ขับรถบนเขาเป็น ได้เห็นทะเลหมอกเป็น ได้ถ่ายรูปเป็นและได้สร้างความรู้สึกดี ๆ เป็น ได้สร้างความทรงจำทีดี ๆ เป็น นี่ละมั้งความภูมิใจอีกเรื่องหนึ่งของผม !!!!

และตอนนี้หรือตอนไหน ๆ ที่ผมมองไปข้างหน้า ผมก็จะภูมิใจในสิ่งที่เฝ้ามองหาและกำลังเกิดขึ้น หรือถ้าจะมองย้อนกลับไปในสิ่งที่ผ่านมา ผมก็จะภูมิใจในสิ่งที่ผมได้เคยทำและได้ทำมัน และไม่ว่าสิ่งที่เราทำจะอยู่ในความเป็นความจริง หรืออยู่ในความฝัน ขอให้เป็นสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชอบ หรือรู้สึกดี แค่นี้ก็ทำให้ "ความภูมิใจ" อยู่ได้ในทุก ๆ สถานการณ์รอบตัวเราเสมอ แม้กระทั้งหน้าสุดท้ายของหนังสือเล่มนั้น ที่ยังมีคำนี้อยู่ได้เลย ^^

https://www.facebook.com/chanomworld
http://pantip.com/profile/569090
Chanomworld* world of wonder
Photo by chanomniks : word by chanomworld*
Thailand # August 2010- September 2013
