สกล...อารยนครแห่งอีสาน (กรุงเทพธุรกิจ)
โดย : เบญจรัตน์ หงส์แก้ว
คืนฝนตก อากาศเย็นสบายอย่างนี้ คงไม่มีใครอยากตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืดเป็นแน่ แต่ภาระหน้าที่ที่ต้องดั้นด้นไปถึง สกลนคร
ดินแดนแห่ง อู่อารยธรรมในแอ่งสกลนคร ทำให้เช้าอันเชื่องช้ากลายเป็นเช้าตรู่ที่มีพลัง การผจญภัยน้อยๆ เริ่มขึ้นแล้ว....
คำว่า "สกลนคร" ชวนให้คิดถึง "หนองหาร" แหล่งน้ำธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความกว้างประมาณ 7 กิโลเมตร ยาว 18 กิโลเมตร พื้นที่รวมทั้งสิ้น 123 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมเขตการปกครองเทศบาลเมืองสกลนคร กับอีก 10 ตำบล ของอำเภอเมืองสกลนคร
จุดหมายแรกหลังจากที่เราไปถึงคือ วัดมหาพรหมโพธิราช ในชุมชนบ้านท่าวัด ต.เหล่าปอแดง อ.เมือง จ.สกลนคร เป็นวัดเก่าแก่ ที่ตั้งอยู่ริมน้ำหนองหารต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยทวาราวดี สมัยลพบุรี และสมัยล้านช้าง วัดแห่งนี้เป็นแหล่งค้นพบโบราณวัตถุ เช่น หม้อ ไห ถ้วย บาตร ดินเผา พระพุทธรูปที่มีอายุ 3,300-5,500 ปี
ปัจจุบันโบราณวัตถุเหล่านี้เก็บไว้ที่ พิพิธภัณฑ์วัดมหาโพธิราช ตัวพิพิธภัณฑ์เป็นอาคารไม้ 2 ชั้น เก็บรักษาวัตถุโบราณ และมีตู้กระจกบรรจุโครงกระดูกมนุษย์โบราณอายุป 4,000-5,000 ปี ฟอสซิลไม้กลายเป็นหินอายุประมาณ 1,000 ปี ยังมีเครื่องใช้ในบ้านที่ชาวบ้านช่วยกันบริจาคให้วัด เช่น กะโขม เป็นเครื่องครัวสมัยโบราณ
เมื่อชาวบ้านนึ่งข้าวเหนียวจนสุกก็จะตักข้าวเหนียวมาแผ่บนกะโขมเพื่อให้ข้าวเย็นก่อนจะนำไปรับประทาน กะโขม ยังเป็นอุปกรณ์ครัวบอกฐานะของบ้านหลังนั้นด้วย กะโขมที่ใหญ่แสดงว่าเป็นบ้านของคนที่มีฐานะ บนชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงอุปกรณ์ที่ใช้ในการทอผ้าอย่าง กะสวยทอผ้า เป็นกะสวยที่สลักลวดลายดอกไม้ แสดงถึงความประณีตของคนในสมัยก่อน
จากคำบอกเล่าของชาวบ้าน โบราณวัตถุเหล่านี้ขุดขึ้นมาจากบริเวณริมกำแพงวัดที่ติดกับหนองหาร ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ในปัจจุบันเจ้าอาวาสไม่อนุญาตให้ขุดวัตถุโบราณเหล่านี้ขึ้นมาอีกแล้ว เพราะกลัวว่าจะมีการลักลอบขุดจนกำแพงวัดพังลงมา และเพื่อให้โบราณวัตถุเหล่านี้อยู่คู่กับชุมชนบ้านท่าวัดต่อไป
เดินลงจากพิพิธภัณฑ์ ได้ยินเสียงนกร้อง เสียงลม จากริมหนองหาร ช่วยให้จิตใจที่ว้าวุ่นสงบเงียบลงไปได้ เดินในวัดด้วยจิตใจที่สงบจนมาหยุดที่ตราธรรมจักรที่สร้างขึ้นใหม่ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมน้ำของวัด ตราธรรมจักรสร้างขึ้นเพื่อบ่งบอกถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนา สร้างขึ้นจากเงินบริจาคของชาวบ้าน สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระเครื่อง ผ้ายันตร์ ของเก่าต่าง ๆ จากบรรพบุรุษของชุมชนแห่งนี้ น่าเสียดายที่ไม่สามารถขึ้นไปบนตราธรรมจักรนี้ได้ เพราะไม่อนุญาตให้ผู้หญิงขึ้นไป ถ้าอยากถ่ายภาพของตราธรรมจักรคงต้องให้ชาวบ้านแถวนั้นช่วยถ่ายให้
ผู้ใหญ่ชำนาญ ดาบสีพาย ผู้ใหญ่บ้านของชุมชนท่าวัด เล่าว่า สาเหตุที่เจ้าอาวาสให้สร้างตราธรรมจักรไว้ท่าน้ำของวัดที่หันหน้าไปยังหนองหาร เพราะเมื่อมองออกไปยังหนองหาร ฝั่งตรงข้ามของวัดจะเป็นโบสถ์คริสต์ ตั้งอยู่ในหมู่บ้านจอมแจ้ง ซึ่งเป็นชุมชนชาวคริสต์ นิกายคาทอลิก ตั้งถิ่นฐานมาพร้อม ๆ กับชุมชนท่าวัด บ่งบอกว่าชุมชนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งหนองหารแห่งนี้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด
หลังจากยืนชมทัศนียภาพของโบสถ์คริสต์ ก็ได้เวลาลงเรือชมความงามของหนองหาร ก่อนลงเรือก็ต้องสวมเสื้อชูชีพเพื่อความปลอดภัย เรือที่เรานั่งเป็นเรือที่ชาวบ้านดัดแปลงจากเรือใช้ออกหาปลาเพื่อมาบริการนักท่องเที่ยว เสียงติดเครื่องยนต์พลอยทำให้ตื่นเต้นไปกับสายน้ำที่อยู่เบื้องหน้า เรือแล่นไปทางด้านขวาของวัด พร้อมกับสายน้ำที่กระเซ็นมากระทบตัวตามแรงของเรือที่กระทบผืนน้ำ เรือเข้าเทียบที่ท่าน้ำ วัดศรีเชียงใหม่ บรรยากาศในวัดร่มรื่นด้วยเงาของร่มโพธิ์ที่แผ่กิ่งก้านสาขาคลุมบริเวณวัดเกือบทั้งหมด เดินมาถึงกลางวัดเห็นรั้วล้อมสีเหลืองปักล้อมเสมาหิน เสมาหินที่วัดนี้ไม่เหมือนเสมาหินที่อื่น เพราะเป็นเสมาหินที่ปักตั้งแบบเสมาคู่แสดงเขตพุทธาวาส เสมาหินในวัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 12-16 ในอดีตมีเสมาหินทั้งหมด 21 ใบ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปทำให้ปัจจุบันเหลือเสมาหินเพียง 16 ใบ
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2532 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงนำนักเรียนนายร้อยจปร..มาทัศนศึกษาเสมาคู่แห่งนี้ได้ทอดพระเนตรเห็นโบราณวัตถุในวัดกระจัดกระจายอยู่โดยรอบ จึงรับสั่งให้สร้างพิพิธภัณฑ์เพื่อใช้เก็บวัตถุโบราณ ไม่ให้ชำรุดเสียหายไปตามกาลเวลา พิพิธภัณฑ์จึงสร้างขึ้นและแล้วเสร็จ วันที่ 28 พฤษภาคม 2534
จากวัดศรีเชียงใหม่เราลงเรืออีกครั้ง แล่นเรือมาพักดื่มน้ำมะพร้าวน้ำหอมที่ชาวบ้านเฉาะมาให้ดื่มริมท่าน้ำ วัดดอนแก้ว พักดื่มน้ำมะพร้าวริมศาลาท่าน้ำของวัดไป ชมปลาแหวกว่ายในเขตอภัยทานของวัดไป พลอยทำให้เราหายเหนื่อย หายร้อนไปได้บ้าง ปลาที่อยู่ในวัดส่วนใหญ่จะเป็นปลาพื้นเมือง เช่น ปลากะได ปลานาง ปลาซิวแก้ว ดื่มมะพร้าวจนหมดลูกกำลังจะทิ้ง แต่ชาวบ้านที่เอามะพร้าวมาให้เราดื่มห้ามไว้ บอกจะให้กินเนื้อมะพร้าว จากนั้นก็จัดแจงผ่ามะพร้าวออกเป็น 2 ซีก แล้วใช้มีดทำช้อนจากลูกมะพร้าวให้เราได้ใช้ตักมะพร้าวกินเป็นอาหารว่างสด ๆ จากธรรมชาติ
โปรแกรมต่อไปคือชม โบสถ์คริสต์ ที่ชุมชนบ้านจอมแจ้ง ที่บอกไว้ในตอนแรกว่าตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดมหาโพธิราช ของชุมชนบ้านท่าวัด ชมความสวยงามของโบสถ์อยู่บนเรือ สักพักชาวบ้านผู้ทำหน้าที่ขับเรือให้เราก็ดับเครื่องยนต์ แล้วพายเรือพาเราเข้าไปในดงดอกบัว ที่บอกว่าดงดอกบัวคงจะไม่เกินความจริงจนเกินไป เพราะดอกบัวที่ขึ้นอยู่นั้นมีมากมายเหลือเกิน ทั้งดอกบัวพันธุ์พื้นบ้านอย่างบัวสีชมพู และดอกบัวที่ชาวบ้านนำมาปลูกอย่าง ดอกบัวขาว ดอกบัวฉัตร ดอกบัวเยอะแบบนี้เลยอดไม่ได้ที่จะเก็บไปถวายพระ
เก็บดอกบัวยังไม่ทันเสร็จ ก็ได้ยินเครื่องยนต์เป็นสัญญาณให้หยุดเก็บดอกบัว เพราะเป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว ชาวบ้านคนขับเรือกลัวเราจะร้อน จึงแล่นเรือมุ่งหน้าสู่วัดที่เรามาถึงเป็นที่แรกจอดที่ศาลาท่าน้ำ ชาวบ้านนำอาหารออกมาให้รับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย อาหารส่วนใหญ่เป็นปลาที่จับได้จากหนองหาร เช่น แกงเปอะหน่อไม้ และที่ขาดไม่ได้เมื่อมาถึงอีสาน คือ ข้าวเหนียว ส้มตำ
อิ่มหนำสำราญเสร็จแล้วขึ้นรถตู้มุ่งหน้าสู่ หมู่บ้านถ้ำเต่า ต.สามัคคี อ.อากาศอำนวย เป็นหมู่บ้านของชุมชนไทญ้อที่ชาวลาวกาวได้อพยพเข้ามาตั้งชุมชนใน พ.ศ.2455 รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หมู่บ้านแห่งนี้เป็นแหล่งผลิตครามเปียก เป็นครามที่ใช้ย้อมผ้า ชาวบ้านจะนำผ้าที่ย้อมได้ไปทอเพื่อใช้สวมใส่ในการทำนา เพราะผ้าย้อมครามมีคุณสมบัติพิเศษคือ ใส่แล้วเย็นสบาย ไม่ร้อน ระบายอากาศได้ดี ดูชาวบ้านทอผ้าไปได้สักพักอดไม่ได้ที่จะขอลองทอผ้าบ้าง สอดกะสวย ขยับกี่ทอผ้าได้ 3-4 ครั้ง ก็ต้องถอดใจ ให้ชาวบ้านทอต่อดีกว่า ขืนทอต่อไปผ้าผืนนี้คงจะไม่ออกมาเป็นลายที่สวยงามเพื่อชาวบ้านทอเป็นแน่
หมู่บ้านนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ผ้าทอครามสีน้ำเงินเข้มเท่านั้น ยังมีผ้าทอสีชมพู สีเขียว สีม่วง ที่ได้จากการย้อมใบไม้ที่อยู่ในหมู่บ้าน ถามว่าใบไม้อะไร ชาวบ้านก็ไม่ยอมบอก... คงต้องปล่อยให้เป็นความลับต่อไป นอกจากจะทอผ้าใช้เองแล้ว ชาวบ้านก็นำผ้าทอนี้ขายให้กับนักท่องเที่ยวอีกด้วย ตัดเป็นผ้าคลุมไหล่ ผ้าพันคอ เสื้อ กระโปรง ใครไปเยือนหมู่บ้านนี้ก็อย่าลืมอุดหนุนผ้าทอมือของชาวบ้านย้อมสีธรรมชาติ ราคาต่อรองได้
เช้าวันรุ่งขึ้น รถตู้คันเดิมพาเราเดินทางไป อำเภอเจริญศิลป์ ห่างจากตัวเมืองสกลนคร 95 กิโลเมตร ใช้เวลา 45 นาที ก็มาถึง ศูนย์ศิลปาชีพกุดนาขาม โครงการในพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ชมนิทรรศการและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องปั้นดินเผา มีตั้งแต่ตุ๊กตาขนาดเล็ก ชุดถ้วยกาแฟ จนไปถึงโถแจกันขนาดใหญ่ ทั้งที่เป็นสีสันหรือเคลือบแบบดั้งเดิม มุมที่นักท่องเที่ยวยืนชมและถ่ายรูปมากที่สุดคือ มุมเครื่องปั้นดินเผาเซรามิกที่มีพระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
บริเวณภายนอกมีโรงปั้น ให้ไปชมชาวบ้านกำลังใช้สมาธิวาดรูปลงบนงานปั้นดินเผาที่เผาเสร็จแล้ว เช่น งานวาดชิ้นเล็ก ๆ จนไปถึงงานขนาดใหญ่อย่างอ่างบัว ที่ต้องใช้คนวาดถึง 3 คน กว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาเกือบ 1 เดือน ลวดลายของเซรามิกบางชิ้นบอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของชาวอีสาน เช่นการทำนา การหาปลา พิธีบุญบั้งไฟ การหาปลา ยังมีงานหัตถกรรมอื่น ๆ อีกเช่น งานทอผ้าไหม วาดภาพบนผ้าไหม งานแกะสลัก
สถานที่สุดท้ายของการท่องเที่ยวครั้งนี้ คือ วัดคำประมง หรือ อโรคยาศาล ต. สว่าง อ.พรรณานิคม อโรคยาศาล หมายถึง สถานที่บำบัดรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบองค์รวม คือผสมผสานระหว่างการแพทย์แผนไทย(สมุนไพร) การแพทย์แบบแผน การแพทย์แผนจีน(การฝังเข็ม) สมาธิบำบัด ดนตรีบำบัด ธรรมะบำบัด มนตราบำบัด และอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นต้น
มาถึงแล้วต้องขึ้นไปกราบนมัสการเจ้าอาวาส พระอาจารย์ ปพนพัชร์ ภิบาลพักตร์นิธี(ลูกศิษย์ของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร) อโรคยาศาล ในส่วนที่รักษาผู้ป่วยมะเร็ง เป็นอาคาร 3 ชั้น รักษาผู้ป่วยอาการหนัก ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ส่วนด้านหลังเป็นส่วนของบ้านดิน 5 - 6 หลัง เป็นบ้านที่สร้างด้วยดินของวัด นำมาผสมกับหญ้าและฟาง ใช้ขวดแก้วมาเป็นส่วนประกอบเพื่อให้แสงสว่างสามารถลอดเข้ามาได้ ผู้ป่วยที่อยู่ในบ้านดินส่วนใหญ่เป็นผู้ที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ระหว่างทางที่จะเดินไปบ้านดิน เห็นผู้ป่วยกำลังอบตัวในตู้อบสมุนไพรเพื่อล้างพิษและรักษาอาการป่วยไปพร้อม ๆ กัน
สายฝนที่ตกลงมาหลังการเยี่ยมชมอโรคยาศาล เป็นสัญญาณของการบอกลาจังหวัดสกลนคร การท่องเที่ยวครั้งนี้แม้จะไม่ได้เป็นการเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามติดอันดับ แต่ก็ทำให้เข้าใจวิถีชีวิตของคนสกลนครที่ผูกพันกับสายน้ำ วิถีชีวิตแบบดั้งเดิม เช่น งานหัตถกรรม การทอผ้า และมีวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจ และเป็นที่ถ่ายทอดเรื่องราวความรู้ เป็นที่รักษาโรค ซึ่งอยู่คู่กับวิถีชีวิตของชาวอีสานและชาวไทยมาเนิ่นนาน
และทุกวันนี้ วิถีง่ายงามแบบดั้งเดิมยังดำเนินสืบเนื่องไป...
ขอขอบคุณข้อมูลจาก