เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ CasanovaTank สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
ภูชี้ฟ้า นับเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวสุดคลาสสิกอีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย เพราะไม่ว่าจะฤดูกาลไหน ๆ นักท่องเที่ยวต่างก็อยากไปสัมผัสกับความงดงามของ ภูชี้ฟ้า จังหวัดเชียงราย ที่ไม่ว่าเวลาใด ฤดูอะไร ความงดงามก็ไม่แพ้ เพราะฉะนั้น วันนี้กระปุกท่องเที่ยวเลยจะชวนเพื่อน ๆ ออกไปโลดแล่นกัน แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ "ภูชี้ฟ้า" กันอีกสักครั้ง
สำหรับ ภูชี้ฟ้า เป็นยอดเขาสูงที่สุดของดอยผาหม่น โดยยอดภูชี้ฟ้ามีลักษณะเป็นหน้าผาที่มีแหลมยื่นเข้าไปในอากาศ คล้ายกับว่าชี้ขึ้นไปบนฟ้า จึงถูกเรียกว่า ภูชี้ฟ้า ซึ่งยอดเขามีปลายแหลมยื่นหรือชี้ขึ้นไปบนฟ้าแปลกตา หากมองอย่างขบขันแล้วคล้ายกับตูดไก่ หากมองอย่างตั้งใจก็คล้ายสิงโตอ้าปาก ถ้ามองจากแผนที่จะพบว่าภูชี้ฟ้านั้นตั้งอยู่ปลายสุดทางทิศตะวันออกของจังหวัดเชียงราย เปรียบเสมือนเป็นชายแดนของประเทศที่กั้นระหว่างไทยและลาว ที่ตั้งอยู่บนระดับความสูง 1,700 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
บนยอดภูชี้ฟ้ายังมีทุ่งหญ้ากว้างประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม ด้านหน้าเป็นหน้าผาสูงมองเห็นหมู่บ้านเชียงตองในประเทศลาว มีจุดชมวิวยอดนิยมอยู่ 2 จุด คือ บริเวณยอดภูและบริเวณลานก่อนถึงยอด เราสามารถหามุมชมวิวและถ่ายภาพได้ตามใจชอบ โดยเฉพาะยามที่ดวงอาทิตย์ทอแสงรุ่งอรุณที่ขอบฟ้า ตัดกับทะเลหมอกสีขาวงดงามเบื้องล่างนั้นงดงามเกินบรรยาย จากนั้นอดใจรออีกสักนิด เพราะความงามของภูชี้ฟ้ายังไม่เลือนหาย ถึงแม้พระอาทิตย์จะขึ้นโด่งจนสายแล้วทะเลหมอกด้านล่างก็ยังหลงเหลือ พอให้มองเห็นวิวป่าเขาสลับซับซ้อนเป็นคลื่นสวยงามนับเป็นความงามอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ไม่ควรพลาดรอชม
เอ้า! พอรู้จักกับ "ภูชี้ฟ้า" กันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ได้เวลาไปเที่ยวภูชี้ฟ้าผ่านบันทึกการเดินทาง และภาพถ่ายสวย ๆ จาก คุณ CasanovaTank สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม กันแล้วจ้า ^___^
ออกเดินทางกันต่อเลยครับ จากเมืองเชียงรายก็วิ่งมาทางอำเภอเทิง เส้นทางก็ประมาณนี้
มองไปเห็นจุดหมายอยู่ไกล ๆ แล้วนั่น
ท้องฟ้ากับเมฆวันที่ไปเที่ยวนี่มักจะสวยกว่าวันทำงานปกตินะครับ...ว่าไหม ยิ่งตัดกับสีเขียวของแนวเขาด้วยแล้ว
โค้งไปมาตามเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้แล้ว แต่เราต่างก็มีจุดหมายของเรา
ที่ภูชี้ฟ้า ผมเลือกพัก ภูชี้ฟ้าโฮมสเตย์ (บ้านออย) ล่ะครับ เลือกโดยใช้ข้อมูลคุณชานมล้วน ๆ เลย นี่เป็นวิวหน้าที่พักครับ
อย่างที่คุณชานมว่าไว้ล่ะครับ ค่าที่พักหลักพัน แต่วิวนี่หลักแสน
นี่ล่ะครับ ที่พักคืนนี้ คุณออย เจ้าของแกใจดีมาก ๆ ที่พักพร้อมอาหารเย็นและเช้า อาหารก็เยอะเกิน แม้ว่าจะเป็นอาหารพื้น ๆ ธรรมดา แต่ก็รสชาติดี ขอซื้อน้ำแข็งไปแช่อาหารหน่อยแกก็ไม่ยอมคิดเงิน เอาเป็นว่าถ้ามาอีกก็จะมาพักที่นี่อีกแล้วกันครับ
แรกทีเดียวกะจะไปพักแถวบ้านร่มฟ้าทอง เพราะกะว่าบ้านร่มฟ้าไทยคงพลุกพล่านกว่า แต่ที่นี่อยู่ระหว่างทางไปพอดี คิดว่าดีแล้วที่เลือกพักที่นี่ ทิศนี้ตอนเช้ามีทะเลหมอกด้วยนะเออ ไหน ๆ มาถึงแล้วครับ แม้จะเป็นช่วงบ่ายแก่ แต่อย่าให้เสียเที่ยว จัดขึ้นไปชมภูชี้ฟ้ายามเย็นกันสักรอบก่อน นัยว่าไปดูเส้นทางด้วย เห็นว่าทางเดินลาดชันและลื่นพอสมควร เดี๋ยวขึ้นมาตอนเช้ามืดมองไม่เห็นจะนึกภาพไม่ออก
เก็บภาพซะก่อนเลย หากมาตอนเช้าคงไม่ได้ภาพแบบนี้เป็นแน่
นี่ล่ะครับ ทางที่เดินขึ้นมาประมาณ 750 เมตร เห็นทางเดินแบบนี้ อย่านึกว่าจะเดินชิล ๆ นะ จริง ๆ มันเหนื่อยกว่าที่ตาเห็น
ป้ายนี้ไม่ถ่ายไปคงถือว่ามาไม่ถึงภูชี้ฟ้าเป็นแน่ แสงแดดอ่อน ๆ ยามเย็น บนยอดภูชี้ฟ้า กับบรรยากาศที่แทบไร้ร้างผู้คน โรแมนติกมาก ๆ ครับ
มองลงไปด้านล่างคงเป็นแม่น้ำโขงครับ
ถ่ายภาพเก็บไว้ก่อนล่ะครับ เพราะเช้าพรุ่งนี้จะมองไม่เห็นข้างล่างแล้วล่ะ
ลงล่ะครับ ไว้ตอนเช้าค่อยขึ้นมาใหม่ จริง ๆ ในใจก็ลุ้นมาก ๆ ว่าจะเจอทะเลหมอกที่เรามาตามหาไหมนะ ที่บ้านนอแลยังไม่เต็มอิ่มเลย
พอจะลงก็เห็นว่าพระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี ไหน ๆ ก็อยู่เย็นขนาดนี้แล้ว ขอเก็บภาพพระอาทิตย์ลับขุนเขาที่ภูชี้ฟ้าหน่อยเถอะ
ใจนึงก็กลัวจะมืดเดี๋ยวลงลำบาก ไฟฉายก็ไม่ได้เตรียมมา แต่เอาน่าอุตส่าห์ดั้นด้นมาทั้งที จะหาโอกาสที่ภูชี้ฟ้าไร้ซึ่งผู้คนได้อย่างนี้ง่าย ๆ ที่ไหนกัน ดื่มด่ำบรรยากาศต่ออีกนิด
และแล้วดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าที่แนวสันเขา แต่สำหรับเราต้องรีบลงแล้วล่ะเดี๋ยวจะลำบาก ที่พลาดไม่ได้เมื่อมาถึงภูชี้ฟ้าครับ ต้องมีน้อง ๆ ชาวเขาที่แสนน่ารักมาแอ็คชั่นถ่ายภาพกับเรา จำคำพูดน้อง ๆ เขาได้ขึ้นใจเลยทีเดียว "พี่คะ ถ่ายรู่คู่กะเดะชาเขาหมายคะ แล้วเต่จะให้นะคะ" (ขอออกเป็นสำเนียงชาวเขานะครับ) ท่องซ้ำ ๆ กัน ฟังไปหลายรอบ เข้าซีรีเบลลัมกันไปเลย แอ็คชั่นน้องเด็ดมากครับ
กลับขึ้นมาอีกครั้ง ตอนตีห้าครึ่งครับ มืดมากมาย ต้องใช้ไฟฉายช่วยส่องทาง เดินอีก 750 เมตร เมื่อวานก็ขึ้นลงไปรอบหนึ่ง 1.5 กิโลเมตร วันนี้อีกรอบ ไม่เป็นไรครับ เพื่อสิ่งนี้ที่เราตั้งใจมา
เดินขึ้นไปดูด้านบนกันก่อน เห็นทะเลหมอกประมาณนี้เลย
มุมกว้างที่สุดเท่าที่สามารถเก็บภาพมาได้ จริง ๆ แล้วก็ยังค่อนข้างมืดอยู่เลย แต่เห็นแบบนี้แล้วยังไงก็คุ้มค่าครับ ต่อให้ต้องมานอนรอก็เถอะ
สมกับเป็นหนึ่งในสุดยอดทะเลหมอกของเมืองไทยจริง ๆ หากเราสามารถยกวิวตรงนี้กลับไปไว้ที่หน้าบ้านเราได้ก็คงจะดี
ด้วยความที่ยังค่อนข้างมืดอยู่ ยิ่งซูมเข้าไปเพื่อให้ได้ใกล้ชิดทะเลหมอกมากเท่าไหร่ นอยซ์ยิ่งกระจายมากเท่านั้น แต่ไม่เป็นไรครับ อย่าได้แคร์ เพราะเรามีฝีมือแค่นี้ 5555
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นทะเลหมอกอลังการและเป็นปุยคลื่นขนาดนี้ ถ่ายไปถ่ายมา เหมือนได้ภาพขาวดำยังไงไม่รู้
ในเมื่อเรายกภูชี้ฟ้ากลับไปบ้านไม่ได้ ก็คงทำได้แค่เก็บบันทึกภาพเอาไว้ดูวันหน้า
มาต่อกันครับ ยังอยู่ที่ทะเลหมอกภูชี้ฟ้า ที่แปลกใจมากคือทะเลหมอกของที่นี่ไม่ได้มีแต่ฝั่งด้านติดประเทศลาวด้านเดียวครับ ด้านอื่นก็มีทะเลหมอกเหมือนกัน ถ้าหันหน้าไปทางฝั่งลาว ภาพนี้คือที่ 3 น.
อันนี้ก็ที่ 8 น. ทะเลหมอกเยอะมาก หลายทิศเลย
จะว่าไปทะเลหมอกที่ว่าสวยแล้ว จะสวยยิ่งกว่าเมื่อมีแสงแดดสาดส่อง ทำให้เห็นความสวยงามของทะเลหมอกที่จับใจยิ่งนัก
ยามเมื่อปุยคลื่นของทะเลหมอกต้องกับแสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องลงมา หากเราสามารถกระโดดลงไปแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางปุยเมฆหมอกนี้ได้ก็คงจะดี (ส่งใจ) กระโดดลงไปกันเลยครับ
ผมบอกไม่ถูกเลยว่าการตามหาทะเลหมอกครั้งนี้มีความหมายกับผมมากแค่ไหน ด้วยความตั้งใจว่ามาร์คจุดชมทะเลหมอกในทริปไว้ตั้ง 4 แห่ง พอมาถึงที่นี่แล้วไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ ออกจะมากเกินที่คาดหวังไว้เสียด้วยซ้ำ
ถือเป็นโชคดีของผมด้วยส่วนหนึ่งที่ได้เห็นภาพทะเลหมอกที่สวยงามเช่นนี้ เพราะทะเลหมอกนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์ คนเราไม่อาจกำหนดได้ ให้วันนั้น วันนี้ จะเกิดหรือไม่เกิดเป็นทะเลหมอก ด้วยปัจจัยของสภาพอากาศ และที่สำคัญคือลม
เพราะแม้ว่าสภาพอากาศเหมาะสมที่จะเกิดเป็นทะเลหมอกมากแค่ไหน แต่หากมีลมแรงพัดทะเลหมอกให้ปลิวฟุ้ง ก็จะไม่เห็นเป็นทะเลหมอก แต่จะเห็นเป็นหมอกลงรอบ ๆ ตัวเราเท่านั้น ในเมื่อมีโอกาสได้พบเจอทะเลหมอกที่สวยงามขนาดนี้แล้ว ก็คงเก็บไปเพียงภาพถ่ายและความทรงจำครับ ทิ้งไว้เพียงรอยเท้า
ผมจะไม่มีวันลืมครับ ที่นี่ ภูชี้ฟ้า สุดยอดทะเลหมอกของเมืองไทยในใจผม หากมีโอกาส คงได้มาพบกันใหม่ ณ ที่แห่งนี้อีก ลาจากภูชี้ฟ้าที่ภาพนี้ครับ
ขาลงครับ สว่างแล้ว น้องชาวเขาตัวน้อยที่เป็นนางแบบเย็นเมื่อวาน ไปยืนอยู่บนหินก้อนใหญ่ แล้วก็ร้องเพลงท้องถิ่นชาวเขาขับกล่อมนักท่องเที่ยว แล้วก็มีน้องชาวเขาอีก 2 คนมาเป็นนางแบบแทน
ลงมาแล้วก็แวะทานอาหารเช้าของที่พัก แต่ทานตรงโซนบ้านร่มฟ้าไทย เพราะภูชี้ฟ้าโฮมสเตย์ (บ้านออย) มีร้านอาหารอยู่ที่นั่นด้วย แต่ถ้าจะทานที่บ้านพักเขาก็จะเอาลงมาให้นะครับ ระยะทางห่างกันประมาณ 2 กิโลเมตร จากนั้นก็กลับลงมาเก็บของที่ที่พักกันก่อนออกเดินทางต่อครับ
กลับลงมาแล้วก็มาดูวิวตรงหน้าที่พกัอีกที เอ๊ะ...เห็นอะไรอยู่ไกล ๆ
ไกลไปหน่อย แต่ไม่เป็นไรครับ ยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอดึงซูมเข้ามาได้ เอาให้ใกล้ที่สุดเท่าที่ทำได้ ก็ได้เท่านี้ล่ะครับ อย่างน้อยก็ยังมีทะเลหมอกให้เห็นได้จากโซนที่พักเลยทีเดียว วิวเขาดีจริงนะที่นี่ ลาภูชี้ฟ้าโฮมสเตย์ (บ้านออย) ที่ภาพนี้ครับ
ออกจากที่พักแล้ว ไหน ๆ ก็ไหน ๆ มาแล้วจะรีบเดินทางก็กระไรอยู่ หาที่เที่ยวแถวนี้อีกสักที่ดีกว่า แล้วเราก็เลือกมาที่นี่ครับ
ที่นี่ ดอยผาตั้ง ด้วยเห็นว่าระยะไม่ไกลมาก ไม่กี่ 10 กิโลเมตร ไม่น่าใช้เวลานานเท่าไหร่ แต่พอเดินทางไป อืม...ขาไปว่านานแล้ว เพราะโค้งเยอะ ถนนก็ไม่ค่อยดี ยิ่ง 2-3 กิโลเมตร ใกล้ถึง ทางยิ่งแย่ แบบว่าเฮ้ย...เปลี่ยนใจดีไหม แต่มันจะถึงแล้ว แต่นั่นยังไม่แย่เท่าขากลับครับ มุมนี้ใคร ๆ มาก็ถ่ายกัน แต่ไม่รู้เขาปีนไปถ่ายกันตรงไหน มันถึงจะไม่ติดหญ้ารก ๆ พวกนี้ หรือเขาเอากรรไกรตัดหญ้ามาตัดก่อนถ่าย
ดอยผาตั้ง ตอนที่ผมไปไม่มีทะเลหมอกครับ แต่มีหมอกลงอยู่แทบตลอด มาตามลม พัดมาแล้วก็ไป แล้วก็มาใหม่ อยู่อย่างนี้แทบตลอด แถมยังมีฝนปรอยลงมาอีก
ที่นี่มีเนินที่ชื่อว่าเนิน 102 และเนิน 103 ซึ่งผมก็ไปได้แค่เนิน 102 นั่นแหละ เพราะเนิน 103 ทางยังปิดไปด้วยหญ้าอยู่เลย คงต้องรอให้ปลาย ๆ ฤดูท่องเที่ยว ให้นักท่องเที่ยวเขามาบุกเบิกให้เส้นทางเปิดก่อน แต่ตอนนี้พฤติกรรมการท่องเที่ยวของผมยังลุยไปไม่ถึงจุดนั้น
เส้นทางเดินไปเนิน 102 ก็ประมาณนี้ล่ะครับ แต่ถ้าทางไปเนิน 103 ก็ประมาณนี้ แต่เป็นป่าหญ้าสูงท่วมอกปิดทางไว้หมดเลย
ที่นี่จะมีศาลาเล็ก ๆ สีแดง ซึ่งผมเข้าไปหลบฝนที่นี่ และได้ทราบประวัติของดอยผาหม่นก็จากบันทึกภายในศาลานี่ล่ะครับ ... ดอยผาตั้ง นี้ก็อยู่ติดกับประเทศลาวเหมือนกัน แต่สภาพอากาศปิดทำให้มองลงไปไม่ค่อยเห็นอะไร แต่บางจังหวะที่เมฆหมอกเปิด ก็จะมองลงไปเห็นวิวฝั่งลาว ซึ่งป่าไม้อุดมสมบูรณ์มาก
นี่ก็คงเป็นแม่น้ำโขงอีกเช่นเดียวกับภูชี้ฟ้า จังหวะหมอกเปิดไม่นาน แป๊บเดียวก็ปิดลงมาอีก
ลาจากดอยผาตั้งที่ภาพนี้นะครับ ขากลับจากดอยผาตั้งเจอประสบการณ์ย่ำแย่ ขามาที่ว่าช้าเพราะถนนไม่ค่อยดีและโค้งเยอะแล้ว ขากลับเจอฝนตกหนัก หมอกก็ลงจัดมาก ๆ อีก บวกกับโค้งเอย สภาพถนนเอย ไอ้ที่ว่าช้าตอนขามา ขากลับช้าลงไปอีก 2 เท่า เหนื่อยเลยครับ งานนี้ต้องค่อย ๆ คลาน
ทั้งนี้ ในช่วงปลายหนาวระหว่างเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ บนถนนจากภูชี้ฟ้าไปยังดอยผาตั้ง เราจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับความงดงามของดอกซากุระหรือนางพญาเสือโคร่ง สีชมพูบานสะพรั่งตลอดสองข้างทางงดงามเหนือคำบรรยาย นับเป็นสิ่งหนึ่งในเส้นทางบนภูเขาที่น่าอัศจรรย์และงดงามที่สุดของประเทศไทย และในช่วงปลายฤดูหนาวระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ที่ภูชี้ฟ้าจะสะพรั่งไปด้วยดอกเสี้ยวสีขาวสวยงามและตระการตา เราจะเห็นดอกเสี้ยวขึ้นสลับกับต้นพญาเสือโคร่ง แต่ดอกเสี้ยวจะออกดอกในช่วงปลายหนาวได้นานกว่า
ขอขอบคุณข้อมูลจาก