


เขาล่อน บ้านของสมเสร็จในเขตเขาบรรทัด (อสท)
ปิยะฤทัย ปิโยพีระพงศ์...เรื่อง
บารมี เต็มบุญเกียรติ...ภาพ
เสียงลมพัดพรูผ่านกิ่งใบไม้แคระดังครืน ๆ ราวกับเสียงคลื่นทะเลคลั่งปลุกฉันให้ขยับถุงนอนลง แล้วลืมตามองฟ้าสีส้มหม่นอย่างตื่นตะลึง แสงสีส้มสวยนั้นราวกับร่ายมนต์เรียกร่างในถุงนอนอุ่นให้ลุกออกไปประชันหน้ากันโดยไร้แมกไม้เป็นม่านกั้น มนต์ธรรมชาติปลุกเรา...คนไกลจากเมืองกรุง ให้ละที่นอนบนเดินอุ่น แล้วเดินไต่เลียบลาดไหล่เขามายืนอยู่บนยอดที่มีหินกองก่ายเกย เพื่อสูดอากาศสดสะอาดในห้วงยามเข้าตรู่ และเสพความงามของแสงแรกแห่งวันอย่างอิ่มเอิบใจ
ฉันยืนเท้าแรงลมเย็นเยียบ ฟังเสียงคลื่นใบไม้ มองฟากฟ้าที่แปรเปลี่ยนสีไปทีละน้อย จากส้มหม่นจัดค่อย ๆ กลายเป็นทองเรื่อเรืองแล้วจางสีเป็นเหลืองอ่อนตัดกับสีฟ้าแจ่ม เมื่อมองไล่สายตาขึ้นไปโทนสีจะค่อย ๆ ปรับเฉดเข้มขึ้นจนกลายเป็นสีน้ำเงินสด โดยมีริ้วเมฆขาวสะอาดม้วนตัวตีโค้งเป็นวงแหวนประดับฟ้าเหนือขุนเขาสลับซับซ้อน
พร้อม ๆ กับการแสดงแสงสีของธรรมชาติที่เกิดขึ้นอยู่รอบตัว ฉันเงี่ยหูคอยฟังเสียงสวบสาบที่อาจดังจากพุ่มไม้แคระในหุบต่ำลงไป บางที...หนึ่งในเจ้าของบ้านอาจกำลังและเล็มอาหารเช้าอยู่ไม่ไกล ไม่แน่...เจ้าของบ้านร่างอวบสีขาวสลับดำ อาจออกมากัดกินพุ่มใบที่ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำค้างให้เราเห็นก็เป็นได้ ฉันหมายถึง "สมเสร็จ" สัตว์ป่าที่หลายคนเคยเห็นพวกมันออกมาหากินอย่างสบายใจ ในบริเวณที่เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของบ้านอันกว้างขวางของพวกมัน และบริเวณนั้นก็คือบริเวณนี้
ย้อนกลับไปเมื่อวันวาน วันที่ฉันก้าวจากรถลงสู่เขต บ้านคลองหรั่ง ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางแวดล้อมของขุนเขาบรรทัด ในอำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ใครคนหนึ่งชี้ให้ดูยอดเขาแหลมที่ตระหง่านอยู่เบื้องหน้า "โน่นไง ยอดเขาล่อนที่เราจะเดินไป" ใครคนนั้นสำทับให้มั่นใจว่าไม่ผิดจุดหมายแน่

เขาล่อน หรือ เขาล้อน หรือ เขาโล้น ล้วนหมายถึง "ยอดเขาแหลมยอด" นั้น มันตั้งอยู่ใน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด ซึ่งมีเนื้อที่ 791,847 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของ 4 จังหวัด คือ พัทลุง ตรัง สตูล และสงขลา ส่วนเขาล่อนครอบคลุมเพียงพื้นที่บางส่วนของ 2 จังหวัด คือ พัทลุง และ ตรัง โดยสามารถตั้งต้นเดินได้จากทั้ง 2 จังหวัด แต่เราเลือกเดินขึ้นจากทางด้านพัทลุง จังหวัดเล็ก ๆ ที่นักท่องเที่ยวหลายคนแทบไม่นึกถึง ทั้ง ๆ ที่พัทลุงมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่เข้าขั้น "ต้องไป" หลายแห่ง เช่น ทะเลน้อย และรวมถึงเขาล่อนที่เรากำลังจะไต่ทางชันขึ้นไปสู่ยอดเขา ณ ความสูงประมาณ 1,250 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง นี้ด้วย
"ชื่อ เขาล่อน เพี้ยนจากคำว่า เขาโล้น ครับ" หนุ่มลูกหาบไขข้อข้องใจเกี่ยวกับชื่อเสียงเรียงนามที่เรียกต่างกันไป เขาบอกว่าเพราะบนยอดเขาไม่มีต้นไม้ใหญ่ปกคุลม ชาวบ้านจึงเรียกมันว่า "เขาโล้น" ขณะที่บางคนออกเสียงเป็น "เขาล้อน" ฉันเคยได้ยินที่มาอีกอย่างว่า เขาล่อนย่อมาจาก "ล่อนจ้อน" ซึ่งก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือบนยอดเขานั้นไร้ไม้ใหญ่ ราวกับเป็นยอดเขาล่อนจ้อนเปล่าเปลือย สำหรับทางด้านตรัง มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "ภูผาเมฆ" เพราะเมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาจะพบม่านขาวบางเบาของเมฆ และหมอกปกคลุมตลอดเช้าเย็น
ทว่าไม่ใช่เพียงทิวทัศน์งาม พรรณไม้สวย ที่ทำให้ใครหลายคนบากบั่นเดินทางไปถึงยอดเขาล่อน ไฮไลท์ของยอดเขาโล้นเลี่ยนไร้ไม้ใหญ่นั้น แท้จริงอยู่ที่การได้พบเจอ "สมเสร็จ" สัตว์ป่าเห็นยาก ตัวอ้วนปึ้ก สีขาวดำ ที่ว่ากันว่าพบเจอตัวได้ไม่ยากนักบนยอดเขาอาบเมฆหมอกนั้น
แดดสายสาดแสงเมื่อเราจัดข้าวของจำเป็นลงเป้เรียบร้อยและพร้อมออกเดิน ได้ทุ่นแรงกันเล็กน้อยด้วยการขึ้นรถปิคอัพไปลงที่ ลานน้ำตกวังน้ำปลิว ซึ่งนับว่าสุดทางที่รถยนต์จะขึ้นต่อ จะมีก็แต่ทางลำลองลูกรังแสนแคบที่มอเตอร์ไซค์ควบขึ้นได้ ทางสายนี้เป็นทางเดินที่ชาวบ้านใช้เพื่อไปกรีด-เก็บน้ำยางพารา รวมทั้งเป็นทางเดินของนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจไต่สู่ยอดเขาล่อนด้วย
เส้นทางช่วงแรกนั้นนับว่าเดินสบาย ๆ เพราะรอยทางชัดและไม่รกเรื้อ จนเมื่อพ้นแนวสวนยางพาราเข้าสู่ ลาลอด ซึ่งเป็นช่องผาอันเกิดจากหินก้อนใหญ่ล้มเลื่อนเคลื่อนพิงกัน ก็เป็นเวลาที่อยากพักพอดี ในหลีบหินด้านหนึ่งมีเสียงน้ำไหลแว่วมาเบา ๆ มันเป็นแหล่งน้ำใสสะอาดที่เราสามารถกรอกน้ำใส่ขวดดื่มได้ และยังมีอีกเสียงหวานใสฟังแล้วรื่นใจ คือเสียงร้องของนกกางเขนน้ำหลังแดง ซึ่งแม้ไม่เห็นตัว แต่ก็ทำให้คนรักนกที่ร่วมทริปมาด้วยยิ้มแฉ่งเลยทีเดียว

ทางเดิน "ป่า" ของจริงรออยู่หลังจากไต่หินขึ้นจากบริเวณลาลอด เริ่มจากเดินเลาะเลียบไหล่เขาที่ด้านหนึ่งคือหุบลึกอันปกคลุมด้วยต้นไม้รกครึ้ม บนทางเดินปูลาดด้วยใบไม้แห้งสุมก่ายกองเหยียบย่ำลงไปแต่ละก้าว ก็เกิดเสียงกรอบแกรบตามมา บนทางราบนั้นไม่มีปัญหา ทว่าเมื่อใบไม้แห้งร่วงสุมชุมนุมกันอยู่บนทางชัน ก็พานทำให้เราเดินลื่นไถลกันคนละพรืดสองพรืดโดยไม่ทันตั้งตัว มื้อเที่ยงของวันแรกอยู่ที่ริมห้วยต้นไทร ซึ่งสายน้ำไหลลดหลั่นผ่านระดับหินกลายเป็นน้ำตกใสแจ๋วเย็นชื่นใจ เป็นทั้งที่ล้างหน้าตาและเนื้อตัวหลังจากเหงื่อไหลไคลย้อยกับหนทางชันกันมากว่า 2 ชั่วโมง อีกทั้งยังเป็นแหล่งน้ำให้เราดื่มและกรอกเก็บใส่ขวดอีกด้วย นั่งพักเหนื่อย ณ จุดนี้ ยังได้ดูผีเสื้อปีกสวยบินร่อนไปมา ก่อนโฉบลงเกาะบนหินชุ่มมอสหรือบนกิ่งไม้ เพลินใจเพลินตาไปตาม ๆ กัน
หลังจากหยุดพักกินข้าว ทางไต่ขึ้นสู่ยอดเขาก็ชันดิกยิ่งกว่าเดิม แม้จะจำได้ว่าข้อมูลของสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่าบอกไว้ว่าความชันแถบนี้อยู่ที่ 20 - 30 องศา แต่ฉันกลับคิดว่ามันน่าจะเขยิบไปถึง 45 องศาก็เป็นได้ ฉะนั้น เมื่อไม่อยากทดท้อใจก็ไม่ควรแหงนเงิบดูหนทางที่ทอดสูงชันขึ้นไปราวกับไม่รู้จบ เลือกมองแค่บริเวณรอบตัวชนิดที่ไม่ต้องแหงนเงยคอตั้งบ่าจะดีกว่า เพราะมีพรรณไม้ป่างาม ๆ ให้ชื่นชมคลายเหนื่อย ทั้งไม้ดอก ไม้ใบสวยสดใสอิ่มเอิบชื่นตา
นาฬิกาบอกเวลาล่วงเลยบ่ายสามเมื่อเราไต่ลงสู่หุบธารน้ำใส ซึ่งเรียกกันว่า ทับดาน อันเป็นที่ผูกแปลค้างแรมของเราในคืนแรก แม้แสงแดดยังไม่ทันจางหาย ทว่าเมื่อคนนำทางคำนวณเวลาที่จะต้องเดินไปยังยอดเขาล่อนแล้ว ก็คาดว่าจะถึงยามเย็นย่ำค่ำมืด ซึ่งลำบากลำบนในการตั้งแคมป์ จึงตัดสินใจปักหลักกันริมธารใสไหลเย็น อันเป็นลำธารสุดท้ายที่เราพบก่อนขึ้นสู่ยอดเขาสูง

คืนค่ำนั้นบนฟ้าดารดาษด้วยแสงดาวระยิบระยับเมื่อมองผ่านม่านร่มไม้ อีกทั้งยังมีเสียง "วัก ๆ" ของเขียดว้าก สลับกับเสียง "ติ๊ก-ติ๊ก-ติ๊ก" ของปาดแคระป่า เสียงหรีดหริ่งเรไรผลัดกันระงมจากมุมโน้นมุมนั้น รวมกับเสียงสายน้ำไหลผ่านแก่งหินดังแว่วจากหุบธาร ท่ามกลางอากาศเย็นสบายกำลังดี ถ้าจะมีคนนอนไม่หลับเพราะแปลกที่แปลกทางกับบรรยากาศเช่นนี้...ใครคนนั้นย่อมไม่ใช่ฉันแน่
เช้าวันต่อมา เสียงธรรมชาติ ทั้งนก แมลง และลมพัดใบไม้พรูพลิ้วเป็นทำนองดนตรี คือนาฬิกาปลูกที่ไม่กรีดเสียงเกรี้ยวกราด อีกทั้งกลิ่นควันไฟที่เพิ่งถูกก่อเพื่อต้มน้ำชงกาแฟ ทำให้ฉันลุกจากเปลอย่างสดชื่น ปลายทางของเราคงอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก เพราะหนุ่ม ๆ ที่เป็นทั้งคนนำทางและลูกหาบบอกว่าเดินอีก 2 ชั่วโมง ก็ถึงยอดเขาล่อนแล้ว
หลังอาหารเช้า เราจึงเดินกันอย่างสบาย ๆ เริ่มด้วยการไต่กลับขึ้นสู่ทางชันที่เราผ่านลงมาเมื่อบ่ายวันวาน ทว่าความสบายกลับมลายไปสิ้น เมื่อข้ามขึ้นมาถึงลาดเขาแล้ว คนนำทางพาไต่ตัดขึ้นไปอีกทางหนึ่ง ดูเหมือนจะชันไม่ต่างจากหนทางที่ผ่าน ๆ มาเลย รอยทางบางช่วงดูไม่ชัดเจนนัก ถ้าไม่เจนจัดการเดินป่าก็พานจะหลงได้ง่าย ๆ แล้วฉันก็หลุดจากการเกาะกลุ่ม กลายเป็นเดินลำพังในผืนป่ากว้างใหญ่ ซึ่งเมื่อเลียบเลาะไหล่เขา แล้วก้าวสู่สันเขาที่เรียงรายด้วยต้นเสม็ดแดง ก็รู้สึกราวกับว่าผืนป่านี้มีเราเพียงคนเดียว แถมการเดินเดี่ยวยังทำให้อดคิดครึ้มไม่ได้ว่า สมเสร็จอาจโผล่ออกมาให้เห็นก็เป็นได้

แต่ก็ได้แค่คิดฝันลอย ๆ เพราะในที่สุดทีมหลังก็ก้าวมาทัน เราเดินเรื่อย ๆ สบาย ๆ ไปสมทบกับกลุ่มม้าเร็วเดินไวตรงจุดชมวิวบนไหล่เขา มองเห็นขุนเขาเขียวครึ้มและผืนป่าแน่นขนัดเบื้องล่างกระจ่างตา หลังจากผ่านสันเขา ดงเสม็ดแดง เราพากันไต่ ๆ ๆ ๆ ทางชันดิกที่ยังพอมีร่มไม้ใบบังขึ้นไปบนลานโล่งเล็ก ๆ ที่เปิดมุมมองรอบตัวให้เห็นเทือกทิวสูงต่ำสลับซับซ้อนที่นี่คือประตูล่อน ซึ่งเปรียบเสมือนปากทางสู่ยอดเขาล่อน นับแต่เริ่มเดินออกจากทับดาน เราผ่านแนวต้นไม้ใหญ่ที่ค่อย ๆ ลดขนาด ลดความสูง และลดจำนวนลงเรื่อย ๆ บัดนี้เราก้าวพ้นแนวป่าดิบเข้าสู่ผืนป่าแคระบนเขาสูงแล้วอย่างเต็มตัว พันธุ์ไม้ที่เห็นชัดเจน คือ ต้นโคลงเคลง ที่ขึ้นกระจายห่าง ๆ อวดดอกสีบานเย็นให้เห็นเป็นหย่อมย่าน สลับกับกระจุดที่ชูต้นเรียวยาวชี้ขึ้นเหนือผืนดิน ยังมีเฟิร์น หม้อข้าวหม้อแกงลิง และพันธุ์ไม้พุ่มที่ขึ้นดกดื่นคลุมพื้นจนมองไม่เห็นดิน
"ทางที่เราเดินนี่เป็นทางสมเสร็จนะ ถ้ามันไม่เปิดทางไว้ให้เราคงเดินลำบากกว่านี้เยอะ" คำบอกเล่าของลูกหาบทำให้ฉันพูดได้เต็มปากว่า เรากำลังตามรอยสมเสร็จกันอย่างจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
ก้าวลงจากประตูล่อน เดินขึ้นเขาลงเขาอีกไม่ไกล ก็มาถึงหุบที่มีดินโคลนเฉอะแฉะ เราก้มดูรอยตีนที่ปรากฏอยู่เต็มไปหมด "นี่รอยหมูป่า" หนุ่มนักเดินป่าขี้ร่องรอยดิน 2 กีบนิ้ว ที่มีรอยกิ่งกีบจาง ๆ ให้เห็น "ส่วนตรงนี้ รอยใหญ่ ๆ มี 3 นิ้ว นี่เป็นรอยตีนสมเสร็จ เพิ่งจะผ่านไปเมื่อเช้านี้เองล่ะมั้ง" เป็นร่องรอยแรกของสมเสร็จที่ฉันได้เห็นจะ ๆ ก่อนจะจากปลักโคลนขึ้นสู่ยอดเขาลูกเล็ก ๆ อีก 2 - 3 ยอด อันเป็นทางเชื่อมต่อสู่ยอดเขาล่อน ซึ่งเป็นปลายทางที่แท้จริง ระหว่างทางที่ไม่มีร่มไม้ให้เงานั้น แสงแดดยามสายสาดจ้าลงสู่ตัวโดยตรง ยังดีที่มีลมเย็นพัดผ่านตลอดเวลา ความร้อนจึงคลายไปได้มาก ข้อดีอีกอย่างของทางโล่ง โปร่ง ที่ทอดเลียบเลาะไหล่เขาโดยมีไม้พุ่มขึ้นแน่นขนัดพื้น คือเราไม่มีทางพลัดหลงกันแน่นอน
2 ชั่วโมง หากขาดเกินก็เพียงเล็กน้อย ฉันก้าวขึ้นสู่สันเขาอันเป็นที่พักแรมของเรา แม้ตัวเปียกปอนเหงื่อ แต่ใจกลับปลอดโปร่งเบาสบาย เพราะบรรยากาศของขุนและป่าแคระที่โอบล้อม มีเสียงนกเจื้อยแจ้วกับสายสมเย็นพัดผ่านตลอดเวลา บนฟากฟ้าสีน้ำเงินนั้นก็มีนกแอ่นเป็นฉวัดเฉวียนไปมาอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นนกแอ่นใหญ่ก็จะได้ยินเสียง "เฟี้ยว" ประกอบความเร็วรี่ของลีลาการบินอีกต่างหาก

ที่ตั้งแคมป์ของเราอยู่ใกล้กับยอดเขาล่อนด้วยระยะเดินไล่ขึ้นเพียงไม่กี่สิบก้าว ห่างจากลานที่พักไปอีกด้านของยอดเขาล่อน คือยอดเขาโล่งอีกลูกซึ่งเรียงรายด้วยก้อนหินน้อยใหญ่ราวกับมีศิลปินมาจัดแสดงประติมากรรม ที่นั่นคือ เนินกอง เมื่อขึ้นไปยืนบนยอดกองหิน จะมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้รอบตัว...คล้ายกับเมื่อขึ้นไปยืนบนยอดเขาล่อน เป็นภาพของทิวเทือกเขาบรรทัดที่ทอดยาวสูงต่ำสลับซับซ้อน โอบผืนป่าครึ้มทึบในหุบลึกไว้อย่างแนบแน่น
คืนนี้เราไม่ผูกเปลนอนอย่างคืนก่อน ด้วยคำแนะนำของคนนำทางและลูกหาบที่ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ปูผ้าพลาสติกนอนบนพื้นอุ่นกว่านัก เพราะบริเวณยอดเขาล่อนมีลมแรงพัดผ่านตลอดเวลา โดยเฉพาะยามเย็นย่ำไปจนถึงรุ่งเช้านั้น สายลมที่พัดไม่ได้นำความเย็นมาให้ ทว่าเป็นความหนาวราวกับอยู่บนดอยทางเหนือเลยทีเดียว
จริงอย่างที่เขาบอก เพียง 4 โมง อากาศก็เย็นเยียบจนต้องสวมเสื้อแขนยาวทับเสื้อแขนสั้น และเมื่อความมืดมาเยือนความหนาวเย็นก็ยิ่งทวีคูณ ฉันอออกจากใต้หลังคาฟลายชีทมาแหงนหน้ามองแสงดาววิบวับในคืนข้างแรม รับสายลมหนาวในค่ำคืนที่ดาวบนฟ้าเกลื่อนกล่นและดาวบนดิน คือตัวจังหวัดตรังที่อยู่เบื้องล่าง ก็วับแวมแสงไฟโดดเด่น เสียง "ติ๊ก-ติ๊ก" ของปาดแคระป่าดังแว่วแข่งกับเสียงใบไม้พรูพลิ้วตามแรงลม ภาพที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน บรรยากาศที่โอบส้อม ดูเหมือนจะทำให้คลายความหนาวลงไปได้มาก กลับมาเอนหลังราบแนบชิดผืนดิน มีถุงนอนคลุมครอบรอบตัว ความอบอุ่นอาบจับ ก่อนหลับลึกในนิทรา คงไม่ผิดถ้าฉันจะวาดหวังถึงการต้อนรับของเจ้าของบ้านเมื่อรุ่งเช้ามาเยือน

การแสดงแสงสีของธรรมชาติดำเนินมาถึงปลายทาง ฟ้าสว่างจ้า แดดกล้าสาดจับผืนป่า ฉันยังคงเงี่ยหูคอยฟังเสียงสวบสาบที่อาจดังจากพุ่มไม้แคระในหุบต่ำลงไป บางที...หนึ่งในเจ้าของบ้านอาจกำลังและเล็มอาหารเช้าอยู่ไม่ไกล ไม่แน่...เจ้าของบ้านอาจออกมากัดกินพุ่มใบที่ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำค้างให้เราเห็นก็เป็นได้ ความหวังริบหรี่จนจางไปพร้อมเวลาที่ล่วงเลย แน่นอนแล้วว่าสมเสร็จไม่ออกมาให้เห็น อาจเป็นเพราะฝนที่ขาดเม็ดไปนานเกือบเดือน ทำให้ความแห้งแล้งปกคลุมบริเวณยอดเขาล่อน แม้กระทั่งแอ่งน้ำซับก็เหือดแห้ง ทำให้ไม่มีแหล่งน้ำให้สมเสร็จออกมากินน้ำเหมือนเคย

ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด แม้เจ้าของบ้านไม่ออกมาแสดงตัว ทว่าร่องรอยที่ได้เห็นระหว่างทางที่ผ่านมา ก็เป็นสิ่งบ่งบอกให้รู้ว่าสมเสร็จยังมีชีวิตอยู่ใน "บ้าน" หลังใหญ่อันอุดมด้วยพรรณไม้ โดยมีสรรพชีวิตอื่น ๆ อาศัยอยู่ร่วมกัน เป็นห่วงโซ่ที่ขับเคลื่อนวงจรป่าให้หมุนวนเป็นไปตามปกติ และความปกติเช่นนี้ก็ทำให้ผู้ที่ไต่ขึ้นมาเยือนก้าวกลับลงไปด้วยความอิ่มเอมใจได้
คู่มือนักเดินทาง
เขาล่อน เป็นยอดเขาสูงยอดหนึ่งในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด สามารถเดินขึ้นได้จากทางด้านอำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง และทางด้านจังหวัดตรัง สำหรับสารคดีเรื่องนี้ เดินขึ้นจากทางด้านจังหวัดพัทลุง ระยะทางเดินป่าประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นทางสูงชันไต่ขึ้นสู่สันเขา เมื่อถึงสันเขาแล้วเส้นทางจะขึ้น ๆ ลง ๆ ไปจนถึงยอดเขาล่อน ณ ความสูงประมาณ 1,250 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ใช้เวลาเดินทางและค้างแรม 3 วัน 2 คืน แต่ถ้าอยากดื่มด่ำธรรมชาติให้มากขึ้น เวลา 4 วัน 3 คืน นับว่ากำลังดี

การเดินทาง




หมายเหตุ : การเดินทางไปยังพัทลุงด้วยรถประจำทาง รถไฟ และเครื่องบิน ควรติดต่อให้คนนำทางนำรถมารับที่สถานีรถ โดยตกลงราคาและเวลาล่วงหน้าก่อนการเดินทาง
ค่าบริการเดินป่า
ค่าคนนำทาง/ลูกหาบ 700 บาท ต่อคน ต่อวัน ไม่รวมค่าอาหารที่จะนำขึ้นไปทำกินระหว่างทาง
ติดต่อสอบถาม
สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเขาล่อนและติดต่อคนนำทาง ลูกหาบได้ที่ คุณสมเจตร อินขาว โทรศัพท์ 08 1798 6437 และ คุณบุญเลิศ ชายเกตุ โทรศัพท์ 08 1969 8648

สิ่งที่ควรนำไปด้วย




รู้ไหมว่า...สมเสร็จ






หมายเหตุ : ข้อมูลจากหนังสือ "สัตว์ป่าสงวนในประเทศไทย" กลุ่มงานวิจัยสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า, กรกฎาคม 2549
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

ปีที่ 53 ฉบับที่ 1 สิงหาคม 2555