เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณชานมชงเอง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
ถ้าเอ่ยถึงความงดงามของผืนป่าตะวันตกที่โอบล้อมด้วยขุนเขาและป่าไม้สูงใหญ่ ชื่อของ "อุทยานแห่งชาติแม่วงก์" คงอยู่ในใจของนักเดินทางที่หลงใหลธรรมชาติ รวมถึงต้องการเดินขึ้นไปพิชิตโมโกจู ยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ซึ่งถือเป็นจุดหมายปลายทางที่หลาย ๆ คนอยากจะเก็บไว้เป็นความประทับใจครั้งหนึ่งในชีวิต
เพราะฉะนั้น วันนี้กระปุกท่องเที่ยวเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปสัมผัสกับความอุดมสมบูรณ์ของพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิด ณ อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ในบันทึกการเดินทางของ คุณชานมชงเอง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ถ่ายทอดผ่านเลนส์กล้องในมุมมองสวย ๆ กัน...
1- 3 JUNE 2012 @ Mae Wong National Park
จากครั้งหนึ่งที่สายหมอกโอบกอดขุนเขา ส่งสายใยให้สายน้ำผูกพันกับขุนเข ผ่านวันผ่านปีในฤดูกาลที่แตกต่างกัน แต่ความรู้สึก "บางสิ่งไม่เคยเปลี่ยนไป"..."ความรักของสีเขียว" สีของหัวใจและความผูกพัน เมื่อสีเขียวโอบกอดขุนเขา @ อุทยานแห่งชาติแม่วงก์
เสียงเพลง Without you ดังขึ้นมา ทำให้เรารู้ว่าในที่หนึ่ง ๆ "เราไม่เคยยืนอยู่คนเดียว" เมื่อเราอยู่ที่ไหน "ใครบางคนก็จะอยู่ที่นั้นเสมอ"
และเมื่อฤดูกาลที่แตกต่างได้หมุนเวียนเปลี่ยนไป "ความหนาวโบยบินมา" ใครคนหนึ่งทำให้ผมรู้ว่าความหนาวเย็นซ่อนความอบอุ่นไว้เสมอ
และเมื่อใดก็ตามที่ได้นึกถึงเรื่องของวันวาน สายลมก็พัดพา "ลมร้อน" ให้มาถึง ใครคนหนึ่งทำให้ผมรู้ว่าการรอคอยอะไรบางอย่าง "ไม่ใช่เรื่องที่น่าเบื่ออีกต่อไป"
และเมื่อไอน้ำเริ่มรวมตัวใหม่อีกครั้ง ฤดูที่แตกต่างของสายฝนก็เริ่มต้นขึ้น ใครคนหนึ่งก็ได้เห็นว่า "สายหมอกโอบกอดขุนเขา" สวยงามแค่ไหน
แล้วคุณละฤดูกาลที่แตกต่างกันแบบไหน?? คือแบบของคุณ!!! สำหรับผม "ตัวตนของผมคือฤดูฝน" ฤดูกาลที่ซ่อนความรู้สึกดีไว้มากมาย
แต่เมื่อความทรงจำในวัยเด็กย้อนกลับมา "ทำให้ผมรู้ว่าคำตอบนี้สำเนาถูกต้อง" ย้อนไปหลายสิบปีที่ผมอยู่ในครอบครัวที่ทำอาชีพเกษตรกรรม เกี่ยวกับงานไร่ เราถูกสอนแกมบังคับให้ทำงานได้ทุกอย่างเช่นเดียวกับคนงานที่จ้างมาอีก 30 - 50 คน ภาพของผมใส่หมวกใบโต ๆ อยู่ที่ไร่งานตั้งแต่เช้าจนมืดในวันหยุดหรือช่วงปิดเทอม
ตลอดทั้งปีงานเยอะมาก แต่พอเข้าฤดูฝนงานจะน้อยลง "ฝนตกก็อยู่บ้านไม่ต้องออกไร่" ไม่ต้องลากเครื่องคูโบต้าเอาน้ำเข้าไร่ ไม่ต้องโพกหน้าหลบร้อนจนหายใจไม่ไหว นี่คือสำเนาที่ถูกต้องใช่ไหม? ถ้าผมจะชอบฤดูฝนตั้งแต่เด็ก ๆ
ไอน้ำมหาศาลกำลังรวมตัว เมฆฝนกำลังก่อตัวที่ขอบฟ้า "ใครคนหนึ่งที่รักสีเขียวแห่งฤดูฝน" กำลังรู้สึกดีอีกครั้ง ความทรงจำกำลังจะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ย้อนหลังไป 14 เดือนที่แล้ว ผมมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง ที่นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผม "หลงรักภูเขาฤดูฝน"
แม่วงก์ในความทรงจำเมื่อ 14 เดือนแล้ว "สร้างแรงบันดาลใจ" ให้ผมกลับมาที่นี่อีกรอบ ผมอยากเห็นในสิ่งที่ผมยังไม่ได้เห็นในตอนนั้น ผมอยากรู้ว่าเหลือเกินว่า "หมอกสีขาวในตอนนั้นซ่อนอะไรไว้"
ผมขับรถออกจากบ้านในตอน 2 ทุ่ม ขับรถจากนครปฐมขึ้นอยุธยาไปถึงนครสวรรค์ แล้วเปิดโรงแรมกลางเมืองนครสวรรค์ "ได้นอนตอน 5 ทุ่มพอดี" ที่ต้องเดินทางแบบนี้เพราะตอนเช้าขับรถไปอีกไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงที่เที่ยวพอดี ไม่เพลียด้วย
ระหว่างทางเราผ่านอุทยานแห่งชาติคลองลาน แวะไปดูน้ำตกก่อนดีกว่า ก่อนไปดูน้ำตกเราได้แวะกินส้มตำไก่ย่าง ข้าวเหนียวเติมพลังกันก่อน พร้อมสั่งทำกับข้าวสี่อย่างแยกถุง รวมข้าวอีกสามกล่องไว้ไปกินที่แม่วงก์ ผมกับเพื่อนก็กันเหนียวด้วยการซื้อมาม่าไปอีก เอาไปแค่กินกันหิว คิดว่าน้ำร้อนน่าจะไปขอเจ้าหน้าที่ได้ ส่วนน้ำดื่มต้องเตรียมขึ้นไปด้วยเช่นกัน
กินข้าวเสร็จก็เดินทางไปอีก 5 นาที ก็ถึงอุทยานแห่งชาติคลองลาน ที่นี่มีน้ำตกให้ดูครับน้ำตกที่เห็นได้จากจุดจอดรถเลยทีเดียว
หลังจากชมวิวที่น้ำตกคลองลานจนหนำใจแล้ว เราเดินทางไปแม่วงก์ต่อใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่ทำการอุทยาน เจ้าหน้าที่ใจดี น่ารักมาก แนะนำทุกอย่าง สำหรับข้อมูลบ้านพักเข้านี้เลยครับ
อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มีพื้นที่ครอบคลุม 2 จังหวัด คือ จังหวัดกำแพงเพชร และ จังหวัดนครสวรรค์ เป็นหนึ่งในผืนป่าตะวันตกที่มีพื้นที่ป่าสมบูรณ์มากที่สุด ตั้งแต่จังหวัดตากจนถึงจังหวัดกาญจนบุรี มีเนื้อที่ประมาณ 558,750 ไร่ พื้นที่ทิศเหนือของอุทยานฯ ติดกับอุทยานแห่งชาติคลองลาน ทิศใต้ติดกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี และทิศตะวันตกติดกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จังหวัดตาก ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2530
ป่าส่วนใหญ่ของอุทยานฯ ประกอบด้วยป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบ และป่าเต็งรัง มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญและมีค่ามากมาย เช่น สัก ประดู่ มะค่าโมง ยางแดง เต็ง รัง นอกจากนี้ ยังมีสัตว์ป่าที่หายาก เช่น ช้างป่า กระทิง กวาง หมี แมวลาย และนกมากมาย
เราขับรถออกจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ เพื่อขึ้นสู่จุดชมวิวห้องเย็น ต้องกรอกรายละเอียดแล้วยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ตรงด่านตรวจบัตรผ่าน
ป่าส่วนใหญ่ของอุทยานฯ ประกอบด้วยป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบ และป่าเต็งรัง มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญและมีค่ามากมาย เช่น สัก ประดู่ มะค่าโมง ยางแดง เต็ง รัง นอกจากนี้ ยังมีสัตว์ป่าที่หายาก เช่น ช้างป่า กระทิง กวาง หมี แมวลาย และนกมากมาย
เราขับรถออกจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ เพื่อขึ้นสู่จุดชมวิวห้องเย็น ต้องกรอกรายละเอียดแล้วยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ตรงด่านตรวจบัตรผ่าน
สองข้างทางเป็นบรรยากาศเหมือน 14 เดือนที่แล้วเลย เขียวสดชื่น แต่ไม่มีฝนเหมือนปีที่แล้ว แต่ผมชักไม่แน่ใจว่าด้านบนเขาจะเป็นยังไง
ผมขับรถมาเรื่อย ๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยเหวลึก ต้องขับด้วยความระมัดระวัง จากด่านตรวจบัตรผ่านมา 16 กิโลเมตร ก็มาถึง "จุดชมวิวกิ่วกระทิง" หลักกิโลเมตรที่ 81 เดี๋ยวผมพาชมวิวนะครับ ตรงนี้เป็นจุดชมวิวจากข้างทางเลย บรรยากาศดีมาก
อาจเป็นแค่ "ความบังเอิญของฤดูกาล" ที่ทำให้บางสิ่งบางอย่างได้พบกัน เหมือนเมื่อ 14 เดือนที่แล้ว ที่ผมได้มาที่แห่งนี้ และก็อีกครั้งในวันนี้ ฤดูกาลที่แตกต่างสร้างความรู้สึกที่แตกต่างกัน ฤดูฝนต่างหากคือช่วงที่ผมกำลังเฝ้ารอ มันเป็นฤดูแห่งความสุขสดชื่นที่สุด "การรอคอย" ที่ผ่านมากำลังจะสิ้นสุดลงในตอนนี้
ฤดูฝนเป็นช่วงเวลาที่สดใส ทุกชีวิตก็กลับมามีเรื่องราวอีกครั้ง ใครคนหนึ่งก็กำลังเริ่มต้น "สร้างเรื่องราว" ในการเดินทางอีกรอบ ไม่เพียงแค่สีเขียวของต้นไม้เท่านั้น ที่กลับเข้ามามีชีวิตอีกครั้ง แต่ "สีขาวของม่านหมอก" ก็จะเริ่มไหลเข้าสู่ที่นี่เต็ม ๆ ในระยะ 5 - 6 เดือนต่อจากนี้ นั้นหมายถึงความสดชื่นชุ่มฉ่ำปอด "อากาศอันบริสุทธิ์" กำลังจะมาทำให้ชีวิตของที่นี่สดชื่น จากที่รอคอยมานานหลายเดือน
สำหรับผมฤดูฝนคือ "สวรรค์ในการเดินทาง" ผมไม่กลัวเลอะ ไม่กลัวเปื้อน มันเป็นฤดูกาลแห่งการชาร์ตแบต ที่จะทำให้ผมมีพลังมากขึ้นในวันต่อ ๆ ไป มันเป็นฤดูกาลที่เราสามารถ "สูดลมหายใจ" ได้ลึกสุดใจที่สุด อากาศดีแค่ไหน ธรรมชาติบริสุทธิ์แค่ไหน ก็ต้องมาในฤดูฝน
อยากจะเห็นหมอกสีขาวก็ไม่ต้องรอลุ้นว่าอากาศจะดีไหม ลมแรงไหม เพราะบางทีก็ผิดหวัง แต่ในฤดูฝนแค่เพียงป่าเขาได้สายฝน สักพักหมอกสีขาวก็พร้อมที่จะปรากฎอยู่ตรงหน้าเสมอ
หลังจากชมวิวที่ "กิ่วกระทิง" สักพัก ก็ต้องไปละครับฝนมาแล้ว ทำเอากล้องเละไปเลย ไม่อยากเชื่อเลยเมื่อกี้แดดยังจ้า ๆ อยู่เลย จากป้ายบอกให้เรารู้ว่าช่องเย็นอีกแค่ 12 กิโลเมตร แต่การขับบนภูเขาแบบนี้ ใช้เวลาพอควรนะครับ
วิวสองข้างทางที่นี่เต็มไปด้วยเทือกเขาและหุบเขา ขับรถไปดูวิวไป มันเป็นวิวที่แบบอยู่ใกล้สายตามาก เส้นทางคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปตามแนวเขา แต่การมาครั้งที่ 2 ทำให้ผมชินเส้นทาง นึกถึง 14 เดือนที่แล้ว ขับยากมาก เพราะตอนนั้นหมอกลงจนมองไม่เห็นทาง
จากจุดชมวิวกิ่วกระทิงขับมา 8 กิโลเมตร ก็มาถึงจุดชมวิวที่สอง จุดชมวิวนี้เรียกว่า "ขุนน้ำเย็น" อยู่หลักกิโลเมตรที่ 89 เป็นจุดชมวิวที่อยู่ริมถนนเลย รถเข้าถึงไม่ต้องเดินไกล
วิวตรงนี้จะเป็นป่าเขา ต้นไม้ไม่หนาแน่นเท่าไหร่ แต่ก็เขียวสดชื่น สีเขียวทำให้รู้สึกโล่งสบาย หายใจคล่องและสบายใจมาก
ทุ่งหญ้าสีเขียวผสมเหลืองเข้มขับกับแสงแดดเบา ๆ น่าลงไปวิ่งเล่นนะครับ ผมมองภูเขาแล้วรู้สึกรักมันมาก คุณเป็นแบบผมไหม???
จุดชมวิวที่นี่มีสถานที่ให้กางเต็นท์และมีห้องน้ำไว้บริการด้วยนะครับ ด้านบนมีศาลา เป็นจุดชมวิวขุนน้ำเย็น ตามผมขึ้นไปเลย ทางชันมากเดินขึ้นมารู้สึกไม่ไหว หอบเล่นงานซะแล้ว
เป็นจุดชมวิวที่ศาลาใหม่และสะอาดมาก ล้อมรอบด้วยขุนเขาโดยแท้จริง ใครสักคนก็ได้มีโอกาสนั่งตรงนั้นนานพอสมควร มันรู้สึกดีมาก ๆ ไอหมอกสีขาวเริ่มทำงานตามที่ผมอยากจะเห็น บรรยากาศเป็นใจสุด ๆ
จากจุดชมวิวขุนน้ำเย็นที่นี่วิวสดชื่นมาก ผมดีใจที่มาที่นี่ หมอกฝนกำลังเริ่มทำงานแล้ว
จากจุดชมวิวขุนน้ำเย็นเราขับไปเรื่อยอีก 6 กิโลเมตร เพื่อไปจุดชมวิวช่องเย็น สองข้างทางสลับกับทิวเขากับต้นไม้ บรรยากาศที่ทำให้รู้สึกน่าค้นหา
ขับมาเรื่อย ๆ ไม่นานผมก็มาถึง "จุดชมวิวช่องเย็น" หลักกิโลเมตรที่ 93 มาช่องเย็นรอบ 2 โชคดีกว่าเมื่อ 14 เดือนที่แล้ว ตอนนี้ผมได้เห็นแล้วว่าปีที่แล้ว "หมอกสีขาว" ซ่อนหุบเขาตรงนี้ไว้เองหรือ
บรรยากาศที่ไร้ผู้คน เงียบและสงบ ทำให้ผมรู้สึกว่านี่ไง "โลกที่ผมเป็นเจ้าของ" ที่นี่ไม่ได้มีร้านอาหารหรู ๆ ไม่ได้มี "บ้านพักที่นอนสบาย" ไม่ได้มีร้านกาแฟให้นั่งชมวิว แต่สำหรับผมแค่นี้ก็ "พอแล้ว"
ห้องพักที่กว้างมาก มีเตียงนอนสองฟาก ฟากหนึ่งนอนได้ 3 คน ผมกับเพื่อน ๆ เราเลือกนอนกับฟากนี้เพราะ "ดูไม่ค่อยน่ากลัว" เตียงอีกฟากก็นอนได้สามคน ด้านนอกเป็นห้องน้ำรวม ไม่มีพัดลม ไม่มีไฟ แต่อากาศเย็นมาก ทำให้คืนนั้นไม่ได้อาบน้ำเลย 5555 ลืมบอกไปว่ามีไฟปั่นให้ใช้ แต่แค่ 6 โมงเย็นถึง 3 ทุ่ม ไฟที่ใช้คือมีหลอดไฟ 1 ดวง ให้แสงสว่างอย่างเดียว...ปลั๊กเสียบใช้ไม่ได้นะครับ
ระหว่างที่เพื่อนผมนอนพักในห้อง ไม่รู้จะเพลียไรกันหนักหนาทั้งที่ผมขับรถมาค่อนคืน ผมเลยเดินสำรวจเอง มีทางขึ้นไปภูเขาด้านหลังด้วย จุดชมวิวภูสวรรค์ 300 เมตร
เดินไปตอนแรกไม่รู้สึกอะไรทางไม่ชันมาก สักพักทางเริ่มชัน เริ่มรู้สึกขาหนัก ๆ ขึ้นไปสักพักรู้สึกทางชันมาก ต้องก้าวขาทีละก้าว เริ่มก้าวไม่ออก คิดจะถอยก็ไม่ได้เดินต่อไป กลัวก็กลัวเพราะดันขึ้นมาคนเดียว สุดท้ายผมขึ้นมาจนได้ ปล่อยให้เพื่อน ๆ หลับอยู่ในบ้านพัก ทริปนี้ผมเลยได้เห็นวิวตรงนี้อยู่คนเดียว จำได้ว่าขาลง "ขาสั่น หมดแรง"
นี่ใช่ไหมที่เรียกว่าสีเขียวที่โอบกอดขุนเขา?? "ไอหมอกสีขาว" เริ่มผุดขึ้นจากเทือกเขาแล้ว จะได้เห็นพระอาทิตย์ตกดินไหม? แต่มีรางสังหรณ์ว่าจะไม่ได้เห็นแน่ ๆ แต่ที่รู้ ๆ เย็นนี้ได้หมอกแน่ ๆ รีบลงดีกว่า
จำได้ไม่ผิดตอนนี้สัก 17.00 น. หมอกรวมตัวกลายเป็น "ทะเลหมอก" ตรงช่องเย็น เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้ามีฝนเมื่อไหร่ จะมีทะเลหมอกให้เห็นทันที หน้าฝนมีเยอะกว่าหน้าหนาว
แล้วผมก็โชคดี เพราะไม่ต้องรอถึงลุ้นทะเลหมอกในตอนเช้า
ผมคาดหวังว่าจะได้เจอบรรยากาศดี ๆ พกความคาดหวังมาเต็มที่ อยากเจอทะเลหมอกสวย ๆ และคงเป็นเพราะ "ความรัก" ที่ผมมีต่อที่นี่ ขอบคุณบทเพลงคำร้องสวย ๆ "มันคงเป็นความรัก" ที่จะทำให้ผมเจอทะเลหมอกอีกครั้ง
ทะเลหมอกสำหรับเย็นนี้ทำให้ผมอิ่มมาก แปลกใจที่ทะเลหมอกมาแต่เย็น สำหรับพรุ่งนี้จะเจอหรือไม่เจอ "ไม่คาดหวังอะไรแล้ว" คืนนี้มีความสุขมาก พรุ่งนี้ตอนสาย ๆ ก็จะต้องกลับบ้านแล้ว...ราตรีสวัสดิ์ครับฝันดีกันทุกคน
ผมตื่นแต่เช้าเหมือนทุกครั้ง ด้วยความรู้สึกไม่ได้คาดหวังอะไร แต่ก็รีบออกมาดูบรรยากาศ "หมอกฟุ้งจนไม่เห็นวิวเลย" แต่เหมือนมี "ปาฏิหาริย์" บางอย่างที่ทำให้หมอกที่ฟุ้งนั้นสงบลง แล้วผมก็ได้เห็นทะเลหมอกอีกรอบ มันสวยมากแม้จะไม่เยอะเท่าไหร่ ทะเลหมอกยามเช้ากับบรรยากาศหนาวที่ช่องเย็นทำให้ผมมีความสุขมาก ดีเหมือนกันที่ 14 เดือนที่แล้ว ผมไม่ได้เห็นอะไร ทำให้ต้องมาที่นี่อีกครั้ง
14 เดือนที่แล้วผมมาที่นี่ครั้งแรก หอบเอาความหวังที่จะได้เห็นบรรยากาศใหม่ ๆ แต่หมอกที่แม่วงก์ซ่อนผมเอาไว้ จนมองไม่เห็นอะไรเลย ฝนไม่เคยหยุดแม้แต่นาทีเดียว ผมนอนอยู่ที่บ้านพักด้านล่างอุทยานฟังเสียงน้ำตกไหลดังทั้งวันทั้งคืน
14 เดือนที่แล้วผมขับรถผ่าน "หมอกสีขาว" ที่แทบมองทางไม่เห็นในระยะ 5 เมตร สองข้างทางเต็มไปด้วยเหวลึก ขับรถขึ้นไปยังจุดชมวิวช่องเย็น 2 รอบ แต่มองไม่เห็นอะไร
14 เดือนที่แล้ว ที่ผมนั่งกอดเข่าหนาวตัวสั่นเพื่อรอให้อากาศเปิดที่ช่องเย็น 14 เดือนที่แล้ว ที่ช่องเย็นทั้งลมทั้งฝน 11 องศา ทำให้ผมรู้สึกหนาวจับใจ 14 เดือนที่แล้ว ที่ทำให้ผมรู้สึกอินไปกับหมอกฝน แล้วจำเป็นที่ต้องกลับมาอีกรอบ
14 เดือนที่แล้ว ผมรู้สึกผิดหวังที่ไม่สามารถมองเห็นวิวอะไรได้เลย แล้วผมก็มาที่นี่ใหม่อีกครั้ง มาพร้อมกับแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่า "แรงบันดาลใจที่ว่าคืออะไร"..."สีเขียวที่โอบกอดขุนเขา"
สีเขียวเขียวที่ทำให้ผมรู้สึก "รักตัวเอง" มันทำให้ชีวิตผมดีขึ้น สิ่งเล็กเล็กแต่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ใครบางคนสดใสและยิ้มได้ขนาดนี้ ต้นไม้สีเขียว ๆ ในวันนั้น ส่งความสุขมาถึงในวันนี้และทุก ๆ วันของผม สายฝนที่ทำให้ผมรู้สึกสดชื่น สายหมอกที่ทำให้ใครบางคนไม่เคยไปไหน ภูเขาสีเขียวคือ "ปาฏิหาริย์ของผม" มันมีชีวิตและมีความรู้สึกเหมือนกับเรา ไม่ใช่แค่ความบังเอิญ แต่เพราะความรักที่ทำให้ความบังเอิญเดินทางมาพบกัน โลกสีเขียวของผมเริ่มชัดเจนขึ้นทีละนิด จากครั้งแรกที่ผมเดินทางมาที่นี่เมื่อ 14 เดือนที่แล้ว และมันสร้างแผนที่ให้เกิดขึ้นในความคิดของผมว่า "งวดหน้าผมจะไปไหนดี"
รีวิวสีเขียว ๆ ของใครหลายคนในห้องนี้ สร้างพื้นที่สีเขียวของผมให้ใหญ่ขึ้นเสมอ แค่รู้สึกว่ามันใช่ผมก็เลือก แค่รู้สึกอยากไป ผมก็บอกกับตัวเองเบา ๆ ว่า "ไปกันนะ"
ขอบคุณคงเป็นคำพูดสั้น ๆ แต่จริงใจที่สุดที่ผมอยากบอกใครสักคน ที่ได้สร้าง "พื้นที่สีเขียว" และ "ความทรงจำ" ที่ดี ๆ ให้เกิดขึ้นทุกเส้นทาง จากโลกในชีวิตประจำวันที่น่าเบื่อของใครบางคน มาโผล่ที่จุดชมวิวสีเขียวแบบนี้ มันอาจจะเป็น "พื้นที่ที่ธรรมดา" ของใครหลายคน แต่สำหรับผมมันยิ่งใหญ่มาก
บรรยากาศที่เงียบสงบ สีเขียวของต้นไม้ เวลาที่ทำให้เรารับรู้ได้ถึงความสุข ความทรงจำ และ "มิตรภาพในการเดินทาง" สร้างความรู้สึกที่ดีอยู่เสมอ ความรู้สึกดีที่ก่อตัวเป็นความรักของ "สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าสีเขียว" มันจะเป็นแบบไหน มันจะสดใส มันจะน่ารักไหม แล้วผมต้องเดินท่ามกลางสายฝนไหม?
ฤดูฝนทำให้ผมมีความสุขมาก สีของธรรมชาติจะชัดเจนสุดในฤดูนี้ แม้บางทีจะมองไม่เห็นอะไรก็ตาม แต่ผมรู้ว่ามันส่งแรงบันดาลใจให้ผมทุกครั้ง ผมหลงรักสีเขียวของฤดูฝน มันเป็นบรรยากาศที่ดูน่าตื่นเต้นและมีชีวิต สีสันของธรรมชาติ สีเขียวของต้นไม้ สีฟ้าของท้องฟ้า และเมื่อฤดูกาลที่แตกต่างเวียนมาถึงในวันที่สายฝนเข้ามาในชีวิต เราจะได้เห็นสายหมอกโอบกอดขุนเขา ได้รู้ว่าชีวิตนี้มีใครบางคนรออยู่เสมอ
จากสีเขียวของฤดูกาลที่ผมรักและคุ้นเคยในวัยเด็ก กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ผมรู้สึกดี อยากพบ...อยากเจอ...อยากออกไปกอดและบอกรักทุก ๆ วัน ยังจำได้เลยที่ใครคนหนึ่งกำลังคิดหนักว่า ครั้งนี้จะไปไหนดีระหว่างเขาค้อกับแม่วงก์ มีอะไรบางสิ่งบางอย่างบอกให้ผมเลือกมาที่นี่ แล้วผมก็มั่นใจว่าความรู้สึกผมมันต้องถูกต้อง!!!
ภาพของผมลอยขึ้นมา ที่ขึ้นไปบนยอดเขาแล้วรู้สึกหายใจไม่ทัน ขาสั่น คอแห้ง ใจเต้นแรง และภาพของใครบางคนนั่งซดมาม่ากันในคืนวันนั้น อาหารที่เรียบง่ายแต่มันอร่อยมาก ภาพของใครบางคนที่กลัวผี ขอนอนในตำแหน่งที่ปลอดภัยสุด และสวดมนต์ก่อนนอน ภาพแห่งวันนั้น วันที่ใครบางคนหลงรักฤดูของสายฝน ฤดูที่ทำให้ทุกพื้นที่ของที่นั้นกลายเป็น "สีเขียว"
หากไม่มีคุณ โลกใบนี้คงไม่มีสีเขียว หากไม่มีคุณ สายหมอกคงไม่ได้มีสีขาว หากไม่มีคุณ ใครบางคนก็คงไม่ได้อยู่ที่นั้น หากไม่มีคุณ ฤดูกาลที่แตกต่างคงไร้ความหมาย หากไม่มีคุณ สายหมอกคงไม่มีวันได้โอบกอดขุนเขา "เพราะมีคุณ โลกใบนี้ถึงมีเรา"..."ความรักของสีเขียว" สีของหัวใจและความผูกพัน love อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ::::: สวัสดีครับ ::::
ทั้งนี้ "อุทยานแห่งชาติแม่วงก์" เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 55 ของประเทศไทย มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอปางศิลาทอง จังหวัดกำแพงเพชร อำเภอแม่วงก์และกิ่งอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธาร ตามเทือกเขาสูงชันก่อกำเนิดเป็นน้ำตกที่สวยงามหลายแห่ง
ส่วนสภาพภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน เรียงรายกันอยู่ตามเทือกเขาถนนธงชัย ลดหลั่นลงมาจนถึงพื้นราบ ประมาณ 40-50 ลูก โดยมียอดที่สูงที่สุดคือ "ยอดเขาโมโกจู" สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,964 เมตร และในช่วงฤดูหนาวจะมีอากาศหนาวเย็นมาก ขณะที่ฤดูร้อนก็จะมีอากาศค่อนข้างร้อนจัดเช่นกัน ซึ่งฤดูที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ อยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์มีอยู่มากมาย เช่น น้ำตกแม่กระสา เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสูงที่สุดในบริเวณนี้ มีความสูงกว่า 1,000 เมตร มีชั้นลดหลั่นถึง 9 ชั้น มีน้ำไหลแรงสวยงามตลอดปี, น้ำตกแม่กี เป็นน้ำตกที่มีความสูงประมาณ 200 เมตร แบ่งเป็นชั้น ๆ ถึง 9 ชั้น น้ำไหลเกือบตลอดปี ซึ่งน้ำตกแห่งนี้ได้รับคำกล่าวชมจากหนังสือ ASEAN MAGAZINE เมื่อปี พ.ศ. 2518 ว่าเป็นน้ำตกที่สวยงามที่สุดในเอเซีย
น้ำตกแม่รีวา เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีแอ่งน้ำลักษณะเป็นอ่างกลมกว้างราว 30-40 เมตร รับสายน้ำที่ตกลงมาเป็นชั้น ๆ มีสภาพสวยงามมาก, บ่อน้ำอุ่น เป็นบ่อน้ำอุ่นที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดินตามธรรมชาติ น้ำอุ่นมีอุณหภูมิประมาณ 50 องศาเซลเซียส, แก่งลานนกยูง เป็นแก่งน้ำและแก่งหินที่รายล้อมด้วยป่าเขา เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการล่องแก่งผจญภัย เดินป่าศึกษาธรรมชาติ และพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติด้วยการพักเต็นท์
เขาโมโกจู ขุนเขาแห่งความหนาวเย็น ด้วยความสูง 1,964 เมตร จากระดับน้ำทะเล จึงเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในแม่วงก์ อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ประมาณ 27 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าไปกลับ 4-5 วัน แม้ระยะทางจะไกลและยากแก่การเข้าไปถึง แต่โมโกจูก็ยังเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางหลายๆ คน ที่จะเก็บเป็นความประทับใจครั้งหนึ่งในชีวิต, จุดชมทิวทัศน์ กม.57-115 ตลอดเส้นทางคลองลาน-อุ้มผาง ระหว่างกิโลเมตรที่ 57 - 115 มีจุดชมทิวทัศน์หลายแห่ง แต่ละแห่งสามารถมองทัศนียภาพที่สวยงามมองเห็นทิวเขาไกลสุดสายตา และสามารถกางเต็นท์พักแรมได้ และ ช่องเย็น (กม.93) เป็นจุดสูงสุดของถนนคลองลาน-อุ้มผาง และเป็นจุดสุดท้ายที่ยานพาหนะเข้าถึง มีความสูงประมาณ 1,340 เมตร จากระดับน้ำทะเล อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียล เนื่องจากบริเวณนี้เป็นช่องเขาที่มีสายลมพัดผ่านตลอดเวลา จึงถูกขนานนามว่า "ช่องเย็น"
ส่วนสภาพภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน เรียงรายกันอยู่ตามเทือกเขาถนนธงชัย ลดหลั่นลงมาจนถึงพื้นราบ ประมาณ 40-50 ลูก โดยมียอดที่สูงที่สุดคือ "ยอดเขาโมโกจู" สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,964 เมตร และในช่วงฤดูหนาวจะมีอากาศหนาวเย็นมาก ขณะที่ฤดูร้อนก็จะมีอากาศค่อนข้างร้อนจัดเช่นกัน ซึ่งฤดูที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ อยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์มีอยู่มากมาย เช่น น้ำตกแม่กระสา เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสูงที่สุดในบริเวณนี้ มีความสูงกว่า 1,000 เมตร มีชั้นลดหลั่นถึง 9 ชั้น มีน้ำไหลแรงสวยงามตลอดปี, น้ำตกแม่กี เป็นน้ำตกที่มีความสูงประมาณ 200 เมตร แบ่งเป็นชั้น ๆ ถึง 9 ชั้น น้ำไหลเกือบตลอดปี ซึ่งน้ำตกแห่งนี้ได้รับคำกล่าวชมจากหนังสือ ASEAN MAGAZINE เมื่อปี พ.ศ. 2518 ว่าเป็นน้ำตกที่สวยงามที่สุดในเอเซีย
น้ำตกแม่รีวา เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีแอ่งน้ำลักษณะเป็นอ่างกลมกว้างราว 30-40 เมตร รับสายน้ำที่ตกลงมาเป็นชั้น ๆ มีสภาพสวยงามมาก, บ่อน้ำอุ่น เป็นบ่อน้ำอุ่นที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดินตามธรรมชาติ น้ำอุ่นมีอุณหภูมิประมาณ 50 องศาเซลเซียส, แก่งลานนกยูง เป็นแก่งน้ำและแก่งหินที่รายล้อมด้วยป่าเขา เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการล่องแก่งผจญภัย เดินป่าศึกษาธรรมชาติ และพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติด้วยการพักเต็นท์
เขาโมโกจู ขุนเขาแห่งความหนาวเย็น ด้วยความสูง 1,964 เมตร จากระดับน้ำทะเล จึงเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในแม่วงก์ อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ประมาณ 27 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าไปกลับ 4-5 วัน แม้ระยะทางจะไกลและยากแก่การเข้าไปถึง แต่โมโกจูก็ยังเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางหลายๆ คน ที่จะเก็บเป็นความประทับใจครั้งหนึ่งในชีวิต, จุดชมทิวทัศน์ กม.57-115 ตลอดเส้นทางคลองลาน-อุ้มผาง ระหว่างกิโลเมตรที่ 57 - 115 มีจุดชมทิวทัศน์หลายแห่ง แต่ละแห่งสามารถมองทัศนียภาพที่สวยงามมองเห็นทิวเขาไกลสุดสายตา และสามารถกางเต็นท์พักแรมได้ และ ช่องเย็น (กม.93) เป็นจุดสูงสุดของถนนคลองลาน-อุ้มผาง และเป็นจุดสุดท้ายที่ยานพาหนะเข้าถึง มีความสูงประมาณ 1,340 เมตร จากระดับน้ำทะเล อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียล เนื่องจากบริเวณนี้เป็นช่องเขาที่มีสายลมพัดผ่านตลอดเวลา จึงถูกขนานนามว่า "ช่องเย็น"
ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร โทรศัพท์ 0 5576 6027, 0 5576 6436 โทรสาร 0 5576 6436 หรืออีเมล maewong_np@dnp.go.th
การเดินทาง
จากจังหวัดนครสวรรค์ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ถึงแยกโค้งวิไลบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 307+500 ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1242 (ผ่านอำเภอปางศิลาทอง) ไปประมาณ 40 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1072 ไปอีก 10 กิโลเมตร จะพบสี่แยกคลองลาน ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1117 ถนนคลองลาน-อุ้มผาง ประมาณ 15 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านพักโซนที่ 1 (โซนที่ทำการอุทยานแห่งชาติ) และเป็นเส้นทางไปบ้านพักโซนที่ 2 (โซนช่อง)
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
และ