อิสราเอล (Israel) ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน หลายคนน่าจะยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับประเทศนี้เท่าไรนัก หรือบ้างก็น่าจะยังไม่เคยเดินทางไปท่องเที่ยว วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับประเทศนี้ให้มากขึ้นกัน ทั้งในเรื่องราวประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ตลอดจนวิถีชีวิตต่าง ๆ
อิสราเอล (Israel)
ที่ตั้งของประเทศอิสราเอล
อิสราเอล เป็นประเทศในตะวันออกกลาง บนชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและชายฝั่งเหนือของทะเลแดง มีจำนวนประชากรประมาณ 9 ล้านคน ประกอบด้วยหลากหลายชาติพันธุ์ ทั้งชาวยิว ชาวอาหรับ รวมถึงชาวยิวที่อพยพมาจากยุโรป แอฟริกา เอเชีย และประเทศในตะวันออกกลางอื่น ๆ
เมืองหลวงของอิสราเอล
หลายคนอาจมีความสงสัยว่าเมืองหลวงของอิสราเอลคือ กรุงเทลอาวีฟ (Tel Aviv) หรือ เยรูซาเลม (Jerusalem) กันแน่ ? แต่จากเว็บไซต์ กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า กรุงเทลอาวีฟ เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล แม้จะไม่ได้รับการรับรองจากนานาชาติ ด้วยกรณีพิพาทในเรื่องของดินแดนและเชื้อชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง
ภาพจาก trabantos / Shutterstock.com
ในขณะที่เยรูซาเลมเป็นเมืองที่มีความสำคัญและเก่าแก่ ตลอดจนมีประเด็นขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ซึ่งต่างฝ่ายต่างบอกว่าเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของทั้ง 2 รัฐ โดยอ้างอิงถึงสถานที่สำคัญของศาสนายูดาห์และศาสนาอิสลาม ที่ตั้งอยู่ในเขตเยรูซาเลมทั้งคู่ และกลายเป็นปัญหาทางการเมืองที่ยังคงยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน
ก่อนที่จะมีอิสราเอล
ก่อนที่เราจะรู้เรื่องราวการก่อกำเนิดของประเทศอิสราเอล เห็นทีต้องย้อนกลับไปรู้จักกับดินแดนปาเลสไตน์ ที่ถือกันว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับ 3 ศาสนา คือ ศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม โดยดินแดนนี้เป็นที่ตั้งของเมืองเยรูซาเลมอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งชาวคริสต์เชื่อว่าเป็นสถานที่ตรึงไม้กางเขนพระเยซู ชาวมุสลิมเชื่อว่ามัสยิดอัลอักศอในเมืองนี้ เป็นสถานที่ที่นบีมุฮัมมัดได้เดินทางสู่ฟากฟ้า และชาวยิวเชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าประทานให้
และด้วยความสำคัญของดินแดนแห่งนี้ที่เชื่อมโยงกับความเชื่อของแต่ละศาสนา จึงทำให้ต่างฝ่ายอยากที่จะครอบครองดินแดนนี้จนกลายเป็นความขัดแย้งมาอย่างยาวนาน ซึ่งในอดีตดินแดนแห่งนี้มีชาวยิวและชาวฮิบรูเคยอาศัยอยู่ก่อนแล้ว แต่มีเหตุให้ต้องย้ายออกไปยังดินแดนอื่น ๆ หากแต่สิ่งที่ยังอยู่ในใจของพวกเขานั่นคือ ความปรารถนาที่จะกลับมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เหมือนเดิม
กำเนิดอิสราเอล
ย้อนกลับไปเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อครั้งจักรวรรดิออตโตมันพ่ายแพ้และยอมยกดินแดนปาเลสไตน์ให้กับอังกฤษ และได้อนุญาตให้ชาวยิวอพยพเข้ามาอยู่ได้ จึงทำให้ชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่เกิดความไม่พอใจ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เริ่มมีชาวยิวจากยุโรปอพยพเข้ามา และปัญหาก็เริ่มเกิดขึ้น เมื่อชาวยิวคิดว่าดินแดนแห่งนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับจากการที่พระเจ้าประทานให้ ในขณะที่ชาวปาเลสไตน์ก็คิดว่าทำไมถึงต้องยอมแบ่งดินแดน ความขัดแย้งจึงค่อย ๆ ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนเมื่ออังกฤษได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่ จึงทำให้ชาวยิวสถาปนา The state of Israel เป็นเหตุให้ชาวอาหรับที่อยู่รอบบริเวณเกิดความไม่พอใจ จนเกิดเป็นสงครามแย่งชิงพื้นที่ เกิดเป็นปัญหาซับซ้อนที่ยังคงยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน
ภูมิประเทศอิสราเอล
พื้นที่ครึ่งหนึ่งของอิสราเอลเป็นภูเขา ที่เหลือทางตอนใต้เป็นที่ราบสูงและทะเลทราย จึงทำให้สภาพอากาศทั่วไปมีแดดจัดเกือบตลอดทั้งปี หากจะแตกต่างกันบ้างตามแต่ละภูมิภาค ได้แก่
- ทางตอนเหนือ อากาศอบอุ่นและค่อนข้างเย็นในช่วงฤดูหนาว ส่วนแถบภูเขาและที่ราบสูงจะมีหิมะตก
- ทางแถบชายฝั่งทะเลและตอนกลาง มีอากาศร้อนชื้นและเย็น
- ทางภาคตะวันออกและตอนใต้ มีอากาศร้อนจัดในตอนกลางวัน และอากาศเย็นในช่วงกลางคืน
สถานที่ท่องเที่ยวอิสราเอล มีอะไรบ้าง ?
อิสราเอล นอกจากจะเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลกแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น
- เมืองเทลอาวีฟ (Tel Aviv)
เมืองท่าที่มีความสำคัญของอิสราเอล ผู้คนตลอดจนอาคารบ้านเรือนที่นี่ดูโอ่อ่า ทันสมัย และสะอาดตา ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร บาร์ และห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ตลอดจนผู้คนที่นี่ค่อนข้างมีความหลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวยิวที่ย้ายกลับมาจากที่ต่าง ๆ ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับเมืองเทลอาวีฟ ในแง่ของการผสมผสานวัฒนธรรมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
- เมืองเยรูซาเลม (Jerusalem)
เมืองสำคัญของอิสราเอล เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ในฐานะดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันเป็นต้นกำเนิดของทุกอย่าง เหตุการณ์สำคัญในพระคัมภีร์ถูกจารึกไว้ว่าเกิดขึ้นที่นี่ อีกทั้งชาวมุสลิมเชื่อว่าเป็นเมืองที่นบีมุฮัมมัดถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ และชาวยิวก็ถือเอาส่วน Western Wall เป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองเช่นกัน นั่นจึงทำให้เมืองเยรูซาเลมมีความสำคัญยิ่งสำหรับทุกคนในอิสราเอล
ภายในเมืองเยรูซาเลมยังมีศาสนสถานต่าง ๆ เช่น Dome of the Rock มัสยิดอัลอักศอ, Wailing Wall กำแพงร้องไห้ และ Church of the Holy Sepulchre โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานทางศาสนา ทั้งคริสต์ อิสลาม และยูดาห์ อันอบอวลไปด้วยวัฒนธรรมทางศาสนาที่แตกต่างกันมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ภาพจาก photo.ua / Shutterstock.com
- ทะเลสาบเดดซี (Dead sea)
จุดเด่นทางภูมิศาสตร์ของอิสราเอลที่มีทั้งทะเลทราย ภูเขา ทะเลสาบ และชายหาด จึงทำให้มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นต้องมี “ทะเลสาบเดดซี” ทะเลสาบที่มีความเข้มข้นของเกลือสูงมาก จนมีชื่อเสียงเป็นที่ร่ำลือว่าสามารถลอยตัวอยู่ได้โดยไม่มีวันจม ไม่ว่าจะน้ำหนักน้อยหรือมากขนาดไหน นั่นเป็นเพราะน้ำในทะเลสาบมีความหนาแน่นมากกว่าร่างกายของเรานั่นเอง
- ทะเลสาบกาลิลี (Sea of Galilee)
ทะเลสาบที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับพระเยซูทรงแสดงปาฏิหาริย์ในพระคัมภีร์ เช่น การเดินบนน้ำ การฝ่าพายุในทะเลสาบกาลิลี และคำสอนต่าง ๆ หลายคนที่มีโอกาสมาเยือนทะเลสาบกาลิลี มักจะอดใจไม่ได้ที่จะชื่นชมกับวิวโดยรอบ ทั้งยังสะดวกสบาย เพราะมีทั้งโรงแรมและบ้านพักให้บริการมากมาย จึงเหมาะเป็นที่เที่ยวพักผ่อนสำหรับทุกคนโดยแท้
- ป้อมปราสาทมาซาดา (Masada Fortress)
ป้อมปราการที่อยู่กลางทะเลทรายยูเดีย เปรียบดั่งเป็นสัญลักษณ์ยิ่งใหญ่ของชาวยิว ในฐานะที่มั่นสุดท้ายที่ชาวยิวใช้เป็นที่ต่อต้านการรุกรานของโรมัน สร้างขึ้นโดยพระเจ้าเฮโรดมหาราช กษัตริย์โรมันแห่งยูเดีย มีลักษณะเป็นภูเขาสลับซับซ้อน บวกกับภูมิทัศน์รอบด้านที่ดูแปลกตา มองออกไปเบื้องหน้าไกล ๆ จะเห็นทะเลสาบเดดซี รวมถึงยังเป็นจุดสำหรับชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของอิสราเอลเลยทีเดียว
- สวนบาไฮ (Baha’i Shrine and Gardens)
สวนที่สร้างขึ้นโดยผู้นับถือศาสนาบาไฮ ตั้งอยู่บนเทือกเขา Camel มีลักษณะเป็นสวนสวยจัดลดหลั่นลงมาเป็นขั้นบันได โดยได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม มองไปเบื้องล่างจะเห็นเมืองไฮฟาและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ทั้งสวยและอากาศดี เป็นความงดงามที่สมบูรณ์แบบสุด ๆ ขณะเดียวกันก็เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเป็นรอบ ๆ โดยจะมีไกด์พาชม
คำแนะนำสำหรับการท่องเที่ยวในประเทศอิสราเอล
สำหรับใครที่อยากเดินทางไปเที่ยวอิสราเอล มีคำแนะนำคร่าว ๆ จากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ดังนี้
- เมื่อเดินทางถึงอิสราเอล เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะสอบถามวัตถุประสงค์ในการเดินทาง รวมทั้งขอดูบัตรโดยสารเครื่องบินออกจากประเทศและหลักฐานการเงิน หากสงสัยว่าผู้เดินทางจะเข้าไปทำงานในอิสราเอลโดยผิดกฎหมาย
- ผู้เดินทางต้องแสดงอุปกรณ์วิดีโอ เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว และอุปกรณ์ดำน้ำ (หากมี) ต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำท่าอากาศยาน และวางเงินประกันสำหรับอุปกรณ์ดังกล่าว ซึ่งจะได้รับคืนก่อนเดินทางออกจากอิสราเอล
- เก็บรักษาสิ่งของที่มีค่าในตู้นิรภัยของที่พัก
- หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปในพื้นที่กรุงเยรูซาเลม ที่มีคนยิวออร์โธดอกซ์พำนักอยู่ในวันเสาร์
- แต่งกายสุภาพในการเยี่ยมชมศาสนสถาน และสวมใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิดเมื่อเดินทางเข้าไปในเขตที่มีคนอาหรับพำนักอยู่ ได้แก่ เยรูซาเลมตะวันออก เบธเลเฮม นาซาเรธ รวมทั้ง Mount Olive และเขตเมืองเก่าของเยรูซาเลม
- ไม่ถ่ายรูปคนในพื้นที่ที่มีชาวมุสลิมหรือยิวออร์โธดอกซ์พำนักอยู่
- หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปในบริเวณรอบ ๆ ฉนวนกาซา เวสต์แบงก์ และบริเวณใกล้ชายแดนอิสราเอล-เลบานอน
- ติดตามข่าวสารของท้องถิ่น และหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนจำนวนมาก หรือมีการชุมนุมประท้วง
ทั้งนี้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ telaviv.thaiembassy.org
การขอวีซ่า
- ผู้ที่จะเดินทางไปประเทศอิสราเอลทุกคน ต้องกรอกแบบฟอร์มออนไลน์ของตนเอง โดยทางการจะไม่รับการยื่นเรื่องแบบคู่สมรส ครอบครัว หรือคณะ
- กรุณาแนบเอกสารที่จำเป็นให้ครบถ้วน หากเอกสารไม่ครบจะไม่ได้รับการพิจารณา ท่านสามารถตรวจสอบรายการเอกสารได้ที่เว็บไซต์ embassies.gov.il
- ต้องดำเนินการยื่นเอกสารก่อนออกเดินทางล่วงหน้า 2 สัปดาห์
- กระบวนการพิจารณาจะใช้เวลา 10 วันทำการ นับตั้งแต่วันยื่นเอกสาร
ภาพจาก Alex Eidelman / Shutterstock.com
- แบบฟอร์มการขอวีซ่า embassies.gov.il
- ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ embassies.gov.il
นอกเหนือไปจากภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของอิสราเอล ประเทศนี้ยังมากมายไปด้วยเสน่ห์ ไม่ว่าจะเป็นผู้คน สถานที่ และวัฒนธรรม สงสัยเห็นทีว่าต้องหาโอกาสเหมาะ ๆ แล้วไปสัมผัสด้วยตัวเองเสียหน่อยแล้ว ^ ^
หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก : telaviv.thaiembassy.org, mfa.gov.il, sameaf.mfa.go.th, embassies.gov.il, เฟซบุ๊ก Royal Thai Embassy, Tel Aviv (ทุกเรื่องเมืองยิว), nia.go.th