ตะลอนเที่ยวศรีลังกา ประเทศเกาะเล็ก ๆ บนมหาสมุทรอินเดีย ในทวีปเอเชีย ไปล่องเรือชมวาฬ นั่งรถจี๊ปท่องซาฟารีตามล่าหาเสือดาว สัมผัสร่องรอยและอารยธรรมในยุคอาณานิคม พร้อมดื่มด่ำกับสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปที่สวยแปลกตา และไม่ลืมจิบชาซีลอนอันเลื่องชื่อ
สำหรับ “ศรีลังกา” (Sri Lanka) หรือชื่อทางการว่า “สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา” เป็นประเทศเกาะในมหาสมุทรอินเดียตอนเหนือ มี “โคลัมโบ” (Colombo) เป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของประเทศ ปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ
ทันทีที่ก้าวออกจากเครื่องบินของสายการบิน SriLankan Airlines สัมผัสแรกที่ปะทะเข้าร่างกายคืออากาศที่ร้อนชื้นของช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน จนต้องหยิบหมวกขึ้นมาสวม สายตามองเห็นท่าอากาศยานนานาชาติบันดารานาเยก อยู่ตรงหน้า บ่งบอกว่าเราได้มาเยือนเมืองโคลัมโบอย่างเป็นทางการแล้ว
ออกจากสนามบินด้วยรถโค้ชคันใหญ่ ที่พาคณะเรากว่า 40 ชีวิต มุ่งหน้าไปยังเมืองกอลล์ (Galle) เมืองชายทะเลที่สวยและมีเสน่ห์แห่งศรีลังกา ปี้น ๆ ๆ ๆ เสียงแตรทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และรถตุ๊กต๊ก ดังสนั่นหวั่นไหวทันทีที่ก้าวลงจากรถ รอบกายเต็มไปด้วยชายผิวเข้ม ใบหน้าคมคาย มีทั้งสูงวัยและยังหนุ่มยังแน่นราว ๆ 20 คน ที่ยืนส่งเสียงเรียกให้เราไปขึ้นรถตุ๊กตุ๊กเที่ยวชมเมืองกอลล์กับเขา
“อายุบวร” เสียงทักทายว่าสวัสดีดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง หันกลับไปเจอกับชายหนุ่มรูปร่างเล็ก ผมดำ ผิวเข้ม ที่ส่งยิ้มกว้างให้อย่างเป็นมิตร “ราชัน” คือโชเฟอร์รถตุ๊กตุ๊กที่ชักชวนให้เรานั่งรถชมเมืองไปด้วยกันกับเขา นิ่งอยู่เพียงครู่อึดใจก็ตกลงปลงใจตามเขาไปอย่างใจง่าย พร้อมกับกวักมือเรียกเพื่อนสาวให้นั่งรถไปด้วยกัน เพราะรถตุ๊กตุ๊กของที่นี่สามารถนั่งได้ 2 คน
รถแล่นออกไปด้วยความเร็วที่สร้างความหวาดเสียวเล็ก ๆ เพราะขับฉวัดเฉวียนไป-มา ผสมผสานกับเสียงจากแตรรถที่ได้ยินเสมอ ก่อนจะมาหยุดอยู่บริเวณทางเลียบกำแพงเก่า ข้างหน้าคือภาพของท้องทะเลสีเขียวมรกตกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มีประภาคารสีขาวตั้งอยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก และนี่คือจุดหมายปลายทางแรกของเราในวันนี้
“ประภาคารกอลล์” (Galle Lighthouse) คือจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่อยู่ใต้สุดของเอเชีย เป็นประภาคารที่เก่าแก่ที่สุดในศรีลังกา มีอายุถึง 168 ปี สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2391 ผู้คนท้องถิ่นนิยมมานั่งกินลมชมวิวพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่ แสงสีส้มอมม่วงค่อย ๆ จางหายไปในก้อนเมฆ แต่ท้องฟ้ายังไม่มืดมิด
บริเวณใกล้ ๆ มีร้านขายของที่ระลึก สินค้าพื้นเมือง คาเฟ่ และร้านน้ำชาน่ารัก ๆ ตั้งเรียงรายอยู่ เรียกได้ว่าทุกซอกซอยของเมืองเก่าแห่งนี้มีของดีของเด็ดซุกซ่อนอยู่มากมาย ระหว่างทางโชเฟอร์ได้บรรยายถึงความน่าสนใจของสองข้างทางให้เราฟังอย่างตั้งใจ เสียงทุ้มใหญ่พยายามอธิบายถึงสถานที่ต่าง ๆ แข่งกับเสียงลมและบรรยากาศรอบด้าน
เพลิดเพลินกับสถาปัตยกรรมในสไตล์ยุโรปที่สวยงามและแปลกตาจนหนำใจแล้ว รถตุ๊กตุ๊กก็พาเราไปยังจุดหมายที่สองของวัน นั่นก็คือ All Saints' Church ทางด้านข้างเป็นที่ตั้งของ Groote Kerk หรือ Dutch Reformed Church เป็นหนึ่งในโบสถ์แห่งเดียวที่ตั้งอยู่ภายใน Fort Galle แต่น่าเสียดายที่เราไปถึงในช่วงเย็นแล้ว หลาย ๆ สถานที่เลยปิดทำการไปซะแล้ว ถึงได้เห็นเพียงแค่ด้านนอกก็รู้สึกถึงมนตร์ขลังของวันวานที่ยังหลงเหลือกลิ่นอายเอาไว้ให้ได้ชื่นชม
ก่อนที่โชเฟอร์ร่างเล็กช่างเจรจาจะพาเรามาจบวันกันที่ “ป้อมปราการเมืองกอลล์” (Galle Dutch Fort) ที่สร้างขึ้นครั้งแรกโดยชาวโปรตุเกส สมัยเข้ามาปกครองศรีลังกาในปีคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคม ปัจจุบันป้อมปราการแห่งนี้เป็นป้อมใหญ่ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ในเอเชีย และได้ถูกบรรจุให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกของ UNESCO
ราชัน พาเรากลับมาส่งที่รถโค้ช โบกมือลาและ Say Goodbye กันเรียบร้อย ก็ได้เวลาไปกินอาหารเย็นแบบฉบับศรีลังกา ก่อนที่จะรีบเช็กอินเข้าที่พัก ณ โรงแรม Mandara Resort Mirissa เพื่อพักผ่อนเอาแรง ค่ำคืนนี้เราต้องรีบเข้านอนเพราะโปรแกรมทัวร์ศรีลังกาวันพรุ่งนี้สุดผจญภัย
ติ๊ด ๆ ๆ ๆ เสียงนาฬิกาปลุกบอกเวลา 05.00 น. งัวเงียตื่นขึ้นมาเอื้อมมือปิด สลึมสลือนิ่งอยู่สักพัก พร้อมกับประมวลผลว่าเราอยู่ที่ไหน ถึงเวลาที่ศรีลังกาจะช้ากว่าไทยแต่ก็ไม่ได้ทำให้ร่างกายต้องปรับตัวอะไรมากมายนัก นึกขึ้นได้แล้วก็รีบลุกขึ้นไปอาบน้ำอาบท่า เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปล่องเรือชมโลมาและวาฬ ที่จะพบได้เฉพาะนอกชายฝั่งมาตาระ ซึ่งจะเผยโฉมในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม เท่านั้น
เช้าวันนี้เรากินอาหารกันบนรถ เพราะต้องรีบไปท่าเรือที่เมืองมิริสซา (Mirissa) เมืองที่อยู่ใต้สุดของศรีลังกา เพื่อที่จะลงเรือให้ทันเวลา เราไปถึงท่าเรือในช่วงเวลาที่แสงแดดยังให้วิตามินดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย บริเวณท่าเรือเนืองแน่นไปด้วยเรือลำเล็กลำน้อย ที่ลอยละล่องไปตามคลื่นลมในทะเล เรือใหญ่ขนาด 2 ชั้น เทียบท่ารอคอยบรรทุกคณะนักสำรวจออกทะเลไปด้วยกัน
เรือแล่นออกห่างจากท่าเรือมาเรื่อย ๆ บ้านเรือน หมู่ไม้ และเรือที่จอดเรียงรายค่อย ๆ เล็กลง ๆ ๆ จนหายไปจากสายตา เหลือเพียงเวิ้งน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตา ระหว่างทางมีเรือประมงชายฝั่งเพียงไม่กี่ลำที่ลอยสวนกันไป-มาบ้างประปราย เรือโต้คลื่นขนาดใหญ่ลูกแล้วลูกเล่า เอียงซ้ายที เอียงขวาที เรานั่งอยู่กับที่สายตาพยายามมองไปให้ไกลที่สุด แต่แล้วก็มีเสียงดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง “ขอถุงพลาสติกค่ะ” นั่นเป็นสัญญาณบอกว่าเริ่มมีคนเมาเรือแล้ว จาก 1 คน เป็น 2 คน 3 คน และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ระหว่างที่ Ranger หนุ่มผิวเข้ม หุ่นล่ำสัน ใช้ความชำนิชำนาญในการบังคับเรือเพื่อไปตามหาจ้าวแห่งท้องมหาสมุทร
“That's Dolphin” เสียงตะโกนอย่างตื่นเต้นพร้อมกับมือที่ชี้ให้เรามองตาม ข้างหน้าปรากฏภาพของโลมาจำนวนหนึ่ง กระโดดขึ้นมาอวดโฉมเพียงแค่เสี้ยววินาที ก่อนจะดำดิ่งลงมหาสมุทรกลับสู่ถิ่นฐานอีกครั้ง เหลือไว้แต่เพียงรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของพวกเรากับภาพที่เห็นเพียงแวบเดียว จากนั้นก็เข้าสู่โหมดเมาเรือเหมือนเดิม
เรือขับวนไปวนมาเรื่อย ๆ จนเสียงโทรศัพท์ของ Ranger ดังขึ้น ทำให้ความเร็วของเรือเพิ่มระดับขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเสียงทุ่มที่ตะโกนดังลั่นขึ้นมาว่า “Whale” และมือที่ชี้ไปด้านหน้า มองเห็นฝอยน้ำที่พ่นขึ้นมาเป็นวง ก่อนจะเห็นเพียบครีบหลังอยู่ลิบ ๆ และหายวับไปในพริบตา ไม่ทันที่กล้องในมือจะถ่ายภาพน่าจดจำเอาไว้ แต่ภาพนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืม
อิ่มเอมกับเรื่องราวแห่งท้องทะเลจนหนำใจแล้ว ก็ถึงเวลาโบกมือลา Ranger มากประสบการณ์ที่เปิดโลกพาเราไปสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ เสียงปรบมือเป็นกำลังใจดังกึกก้อง เสมือนเป็นสัญลักษณ์แทนคำขอบคุณที่คณะเรามอบให้เขา ร่ำลากันเรียบร้อยแล้วก็ไปพักกินข้าวสักประเดี๋ยว ก่อนที่จะนั่งรถโค้ชมุ่งหน้าไปเยือน “อุทยานแห่งชาติยาลา” (Yala National Park) เพื่อนั่งรถจี๊ปผจญภัยท่องไปในดินแดนซาฟารี ดื่มด่ำกับวิถีชีวิตสัตว์ป่าตามธรรมชาติอย่างใกล้ชิด
แสงแดดยามบ่ายแก่ ๆ ส่องลอดลงมาจากยอดไม้ สร้างร่มเงาให้กับคณะเราระหว่างที่รอขึ้นรถจี๊ปขนาด 6 ที่นั่ง ไม่มีกระจก สามารถมองเห็นสัตว์ได้แบบไม่มีอะไรมาบดบัง ทันทีที่ขึ้นไปนั่งบนรถจี๊ปก็รู้สึกตื่นเต้นกับกิจกรรมแอดเวนเจอร์แบบนี้ พร้อมกับลุ้นว่าจะเจอกับสัตว์ชนิดไหนบ้าง ซึ่งดาวเด่นสุดป๊อปของที่นี่คือ “เสือดาว” และ “นกเงือก” ภารกิจตามล่าหา 2 สิ่งนี้เลยกลายเป็น My Destination ของเรา
ฝุ่นจากถนนลูกรังฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณเมื่อขบวนรถจี๊ปวิ่งเข้าสู่เส้นทางเล็ก ๆ ที่ทอดยาวไปตามธรรมชาติ คุณลุงหน้าเข้ม รูปร่างอวบ Ranger ผู้มากประสบการณ์ค่อย ๆ ขับรถจี๊ปชิดขอบถนน พร้อมกับชี้มือไปยังนกยูงสีสวย ที่ยืนเตร็ดเตร่กินอาหารอยู่บริเวณข้างทาง รถเคลื่อยไปเรื่อย ๆ ก็จะพบสัตว์น้อยใหญ่ เช่น กวางดาว, ช้าง, หมูป่า, ควายป่า, จระเข้, ละมั่ง และนกสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์
“โน่นไงเสือดาว อยู่บนต้นไม้” เสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อเพื่อนร่วมรถตะโกนบอก พร้อมมือชี้ไปบนต้นไม้ที่อยู่ห่างไกลมาก ๆ พวกเราพยายามใช้กล้องส่องทางไกลมองหาก็ยังไม่เจอ เลยมโนกันว่าเสือดาวคงอยู่บนต้นไม้สักต้นที่มองผ่านมานี่แหละ ก่อนที่มุ่งหน้าไปตามหาเป้าหมายที่สองก็คือนกเงือก ซึ่งก็ไม่นานเท่าไรเราก็พบกับนกเงือกเกาะอยู่บนต้นไม้ไกล ๆ แต่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
รอยยิ้มสมใจปรากฏบนใบหน้า พร้อมกับอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าไปได้สักพักแล้ว ความมืดมิดจึงค่อย ๆ เข้าปกคลุม ก่อนที่จะจบการท่องซาฟารีด้วยความประทับใจ เพราะการที่ได้พบเจอสัตว์ป่านานาชนิดที่อุทยานแห่งชาติยาลา บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้
เช้านี้เราค่อนข้างตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะโปรแกรมเที่ยวศรีลังกาวันนี้คือไปชม “การตกปลาบนไม้ค้ำ” (Stilt Fishing) ณ เมืองค็อกคาลา ที่มักปรากฏบนหน้านิตยสารชื่อดังหรือตามโปสการ์ดต่าง ๆ สร้างแรงดึงดูดมหาศาลที่ทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอยากไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง
เสียงคลื่นซัดสาดเป็นระลอก ๆ ภาพตรงหน้าคือชายชาวศรีลังกาทั้งแก่และหนุ่ม สวมเสื้อบ้าง ถอดเสื้อบ้าง แต่ทั้งหมดนุ่งโสร่ง พร้อมใช้ผ้าโพกศีรษะกันร้อน นั่งเรียงรายอยู่บนไม้ค้ำที่ถูกปักลงบนพื้นทรายในทะเล แต่ละคนยิ้มกว้างพร้อมต้อนรับผู้มาเยือนด้วยการชี้ชวนให้ดูปลาตัวเล็กที่อยู่ในเบ็ด
สำหรับวิธีการตกปลาแบบนี้ถือเป็นแบบดั้งเดิมของชาวศรีลังกาที่อาศัยอยู่ทางชายฝั่งตอนใต้ของประเทศ โดยคนตกจะนั่งทรงตัวอยู่บนไม้ค้ำที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2 เมตร เบ็ดไม่มีเหยื่อ แต่จะเป็นอาวุธประจำตระกูล ส่วนพื้นที่ที่ตกก็คือที่มรดกมาจากบรรพบุรุษ เป็นเสาที่ตกทอดกันมา จะไปตกสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะ
เพลิดเพลินกับการตกปลาบนไม้ค้ำจนอิ่มใจแล้ว ก็ถึงเวลาเคลื่อนตัวไปยัง “วัดคงคาราม” (Gangaramaya Temple) ณ เมืองโคลัมโบ เพื่อร่วมพิธีรับพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งระหว่างทางเราได้ดื่มด่ำกับวิถีชีวิตของชาวศรีลังกา สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือวัดวาอารามที่มีอยู่เป็นระยะ ๆ บ่งบอกถึงความแนบแน่นในวิถีแห่งพระพุทธศาสนา และยิ่งตอกย้ำมากขึ้นเมื่อเรามาถึงวัดคงคารามในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า เพราะยังมีพุทธศาสนิกชนชาวศรีลังกาเดินทางมาไหว้พระจำนวนไม่น้อย
วัดคงคาราม เป็นหนึ่งในวัดนิกายสยามวงศ์ที่มีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรม จิตรกรรม และศิลปะ ภายในวัดโดดเด่ดด้วยการผสมผสานระหว่างศรีลังกา อินเดีย ไทย และจีน ที่นี่มีพิธีมงคล เช่น “การรับพระธาตุ” โดยจะนำพระธาตุมาเทินบนศีรษะ เพื่อให้เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามความเชื่อที่ว่า “หากท่านใดได้ทำพิธีมงคลบูชารับพระธาตุนี้ จะทำให้หมดเคราะห์ ตัดกรรม และโชคดีตลอดไป” (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล)
วินาทีที่พระธาตุเทินอยู่บนศีรษะ รอบข้างเงียบสงัด ปากขยับคำว่าสาธุออกมาเบา ๆ แต่รับรู้ได้ถึงความสบายกายสบายใจ ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นโชคดีของคณะเรามาก ๆ เพราะเจ้าหน้าที่เปิดห้องกระจกที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ให้ได้เข้าไปสักการะใกล้ ๆ อีกทั้งบริเวณหน้าห้องยังมีพระบรมฉายาลักษณ์ ในหลวง รัชกาลที่ 9 เป็นภาพขณะทรงผนวชตั้งอยู่ด้วย
ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ภายในวัดคงคารามยังมีต้นโพธิ์จากอินเดีย ซึ่งเป็น 1 ใน 16 หน่อ รวมถึงกิ่งโพธิ์อธิษฐานที่ให้ไปไหว้ขอพรกันด้วย โดยที่นี่จะถวายดอกไม้สด เช่น ดอกบัว ดอกมะลิ ดอกดาวเรือง หรือกลีบกุหลาบใส่ในกระทงวางถวาย จะไม่จุดธูป-เทียน หรือแปะแผ่นทองแต่อย่างใด
ผู้คนมากหน้าหลายตาอยู่บริเวณรอบ ๆ ต้นโพธิ์ เดินบ้าง นั่งบ้าง แต่ท่ามกลางความวุ่นวายกลับสงบ ต่างคนต่างทำสิ่งที่ตั้งใจ ไม่มีเสียงพูดคุย ความเงียบเข้าครอบงำไปทั่วบริเวณ ได้ยินเพียงแค่เสียงลม เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊ง เสียงกรอบแกรบในการย่ำเหยียบไปโดนใบไม้แห้งเท่านั้น ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยสีเหลืองสดองค์ใหญ่ รายล้อมด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังที่บอกเล่าพุทธประวัติความเป็นมาของพระพุทธศาสนาในศรีลังกาอันวิจิตรงดงาม
สองเท้าเร่งก้าวยาว ๆ ไปตามริมทางเดิน แสงแดดยามเช้าทำให้ยังไม่ร้อนมากนัก หญิงสาวในชุดส่าหรีสีเหลืองโบกไม้โบกมือมือทักทายมาให้ ไม่รอช้ารีบยกมือขึ้นโบกสะบัดกลับไปพร้อมกับเปล่งเสียง Hello และยิ้มกว้างให้อย่างร่าเริง
ก่อนจะไปหยุดยืนอยู่ตรงร้านขายมะพร้าวหัวลิงสีเหลืองที่ใครมาก็ต้องลิ้มลอง ได้โอกาสไม่รอช้าสั่งเลย 1 ลูก ราคา 80 รูปีศรีลังกา (ประมาณ 15 บาท) คุณลุงหนวดงาม รูปร่างผอมบาง ในมือถือมีดเล่มใหญ่ เงยหน้าขึ้นมองหน้า และใช้มือเป็นสัญญาณบอกให้ขยับไปหน่อย ปัก ๆ ๆ เสียงมีดเฉาะลงมะพร้าวสีเหลืองส้มค่อย ๆ เผยให้เห็นเนื้อสีขาวที่อยู่ด้านใน จากนั้นน้ำมะพร้าวสีใสถูกบรรจุลงในขวดน้ำพลาสติกที่เรานำติดมาด้วย รสชาติหวานแต่ไม่ฉ่ำ มีรสเปรี้ยวนิด ๆ ที่ปลายลิ้น โดยรวมบอกเลยว่าต้องไปลองเอง
เดินไป จิบน้ำมะพร้าวไป ชมบรรยากาศของบ้านเมืองไปเรื่อย ๆ ก็เดินวกกลับมายังโรงแรม ถึงโรงแรมก็ได้เวลาที่รถเคลื่อนตัวไปยังศูนย์โอทอป เพื่อให้เราละลายทรัพย์ช้อปปิ้งสินค้าท้องถิ่นกันส่งท้าย และมาถึงศรีลังกาจะไม่ซื้อชาอันโด่งดังติดไม้ติดมือกลับบ้านก็เหมือนมาไม่ถึง เพราะชาศรีลังกาถือเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้น ๆ ของประเทศ แถมยังมีให้เลือกหลากกลิ่นหลายรสชาติ ทั้งมะนาว, ซินนามอน, ราสป์เบอร์รี, บลูเบอร์รี, มินต์, คาโมมายล์ หรือมะลิ เป็นต้น
จริง ๆ นอกจากชาแล้วศรีลังกายังมีของดีของเด็ดอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเทศอย่างอบเชย พริกไทยดำ อัญมณีต่าง ๆ สินค้าหัตถกรรมอย่างผ้าบาติก ผ้าลูกไม้ เครื่องหนัง เครื่องจักสาน และเครื่องเขิน เป็นต้น เรียกได้ว่ามีสินค้าให้เลือกซื้อตามความต้องการ ราคาก็กลาง ๆ ไม่ถูกหรือไม่แพงจนเกินไป
ช้อปจนเงินในกระเป๋าเบาหวิว ก็ถึงเวลาเดินทางไปยังท่าอากาศยานนานาชาติบันดารานาเยกกันแล้ว ใจหายเบา ๆ กับ 4 วัน 3 คืน ที่ได้ไปเยือน “ศรีลังกา” เกาะเล็ก ๆ ที่โอบล้อมด้วยมหาสมุทรอินเดีย บอกเลยว่ายังไม่หนำใจ เอาไว้โอกาสหน้าฟ้าใหม่จะกลับไปเยือนดินแดนไข่มุกแห่งมหาสมุทรอินเดียอีกสักครั้งแน่นอน
อีสตูติ … ขอบคุณ
สำหรับคนที่อยากตามรอยไปเที่ยวศรีลังกาในแบบฉบับที่เราแนะนำ ง่ายมาก ๆ เพราะบัตรเครดิตเคทีซี (KTC) ได้ร่วมกับบริษัทนำเที่ยว เวิลด์ เอ็กซ์พลอเรอร์ จัดแพ็กเกจท่องเที่ยวศรีลังกาในราคาพิเศษ กับ “Unseen Sri Lanka Safari” 4 วัน 3 คืน ราคาเริ่มต้น 27,400 บาทต่อคน (สามารถเดินทางได้ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป) ประกอบด้วยบัตรโดยสารชั้นประหยัดสายการบินศรีลังกันแอร์ไลน์ โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมต่าง ๆ โดยสมาชิกบัตรสามารถแบ่งชำระกับ KTC FLEXI 0% นานถึง 6 เดือน และเดินทางได้ตั้งแต่วันนี้ - 31 มีนาคม 2563
เว็บไซต์ : www.ktc.co.th
เฟซบุ๊ก : ktcworld
ไลน์ : KTC Line Official
โทรศัพท์ : 0-2123-5050 (KTC World Travel Service )
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
sameaf.mfa.go.th