เที่ยวอุบลราชธานี สำรวจเส้นทางตามรอยพระบาทในถิ่นอีสาน

         เที่ยวอุบลราชธานี สำรวจเส้นทางตามรอยพระบาทในถิ่นอีสาน ท่ามกลางหมู่มวลธรรมชาติสวย ๆ วิถีชีวิตผู้คน และศิลปวัฒนธรรมที่แสนจะเป็นเอกลักษณ์

         ใกล้ถึงช่วงสิ้นปีแบบนี้ ใครที่กำลังเตรียมตัวหาที่เที่ยวหน้าหนาว ภาคอีสานก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ วันนี้เราได้รับโอกาสดี ๆ จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้พาไปสำรวจ "เส้นทางตามรอยพระบาทในถิ่นอีสาน" ณ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เคยเสด็จพระราชดำเนินพื้นที่ภาคอีสานอย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2498 และหลังจากเสด็จพระราชดำเนินในวันนั้น ได้มีโครงการตามแนวพระราชดำริผุดขึ้นมามากมาย ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่พระองค์เคยเสด็จฯ ที่ยังความปลาบปลื้มใจให้กับลูกหลานชาวอีสานมาจนถึงทุกวันนี้ เส้นทางตามรอยพระบาทเส้นนี้ จะสร้างความประทับใจให้เราได้มากน้อยแค่ไหน ตามมาดูด้วยกันเลย

         ทริปการเดินทางของเราในครั้งนี้เริ่มต้นกันที่ "ภูอานม้า" อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งช่วงจังหวะที่เราเดินทางตรงกับช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน เรียกว่าเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว อากาศตอนเช้าของที่นี่เริ่มเย็นอยู่หน่อย ๆ ช่วงรอยต่อของฤดูกาลแบบนี้นี่แหละ เราจะพบเลยว่า…แผ่นดินที่ราบสูงของภาคอีสานจะอุดมไปด้วยหมู่มวลดอกไม้ป่านานาชนิด เช่นเดียวกับที่ภูอานม้า

         หากลองสังเกตดี ๆ สองข้างทางก่อนที่เราจะเดินขึ้นไปยังภูอานม้า จะเจอเข้ากับเจ้าดอกไม้ป่าเล็ก ๆ แสนจะบอบบาง ที่พยายามชูช่อและกิ่งก้านเล็ก ๆ ให้เราได้เห็น และด้วยความที่กายภาพของดอกไม้ป่าเหล่านี้ค่อนข้างจะบอบบาง นักท่องเที่ยวอย่างเราจึงต้องใส่ใจและระวังเป็นพิเศษ เพราะแค่ลมพัดมาเบา ๆ แต่ละครั้ง ดอกไม้เหล่านี้ก็ไหวเอนลู่ลมแทบจะโน้มลงไปติดพื้นดินอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับน้ำหนักตัวอย่างเรา ๆ ลองได้เผลอไปเหยียบเข้า มีหวังได้แบนติดพื้นแน่ ๆ 

         และนี่คือ...ดอกไม้ป่านานาชนิด ที่กำลังชูช่อออกดอกสวยงาม สีสันของพวกมันเรียกร้องความสนใจให้นักท่องเที่ยวอย่างเราต้องหันมาเก็บภาพอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

         ลืมบอกไปว่า…ทุ่งดอกไม้ป่าที่ขึ้นอยู่บริเวณนี้มีชื่อว่า "ทุ่งดอกดุสิตา" ซึ่งเป็นดอกไม้นามพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และมีชื่อท้องถิ่นว่า "หญ้าข้าวก่ำน้อย" หรือ "หญ้านกขาบ" ดอกจะมีลักษณะเป็นช่อ ๆ สูง 5-20 เซนติเมตร มีสีม่วงเข้ม ปลายแยกเป็น 5 แฉก ด้านบนมีสีม่วงปนน้ำเงิน ด้านล่างมีลักษณะเป็นถุงคล้ายเรือ และจะออกดอกในช่วงราวเดือนตุลาคม-ธันวาคมของทุกปี

         และสำหรับนักท่องเที่ยวคนไหนที่อยากเดินทางมาชมทุ่งดอกไม้ป่าที่ภูอานม้า แนะนำว่าให้ติดต่อรถนำเที่ยวที่เป็นรถเช่าของชุมชนท้องถิ่น เพราะจะสะดวกกว่าการนำรถมาด้วยตัวเอง เพราะเส้นทางบนภูอานม้าจะมีลักษณะเป็นลานหิน ค่อนข้างขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ โดยสามารถสอบถามรายละเอียดต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ที่ อบต.นาคำ โทร. 045 399 360 หรือ เฟซบุ๊ก องค์การบริหารส่วนตำบลนาคำ อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี

         เส้นทางตามรอยพระบาทในถิ่นอีสานถัดมา คือ "แก่งสะพือ" ที่นี่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของอำเภอพิบูลมังสาหาร ความพิเศษของสถานที่แห่งนี้ เห็นจะหนีไม่พ้น ต้องแวะมาชมลายพระหัตถ์บนหินอ่อน ที่เคยทรงลงพระปรมาภิไธยบนแผ่นศิลาไว้เป็นอนุสรณ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เคยเสด็จฯ เยือน เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498


         หลังจากเดินเข้ามาไม่นาน นักท่องเที่ยวก็จะเจอกับร้านค้าต่าง ๆ ที่ขายทั้งของกินและของฝากอยู่มากมาย


         ...เดินเข้ามาในแก่งสะพือไม่นาน คุณจะได้เห็นลายพระหัตถ์บนหินอ่อนที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถที่เคยทรงลงพระปรมาภิไธยบนแผ่นศิลาไว้เป็นอนุสรณ์

         นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ มักพุ่งเป้าไปที่การนั่งชมทัศนียภาพของแก่ง นั่งดูกระแสน้ำที่ไหลผ่านกระทบหิน ชวนให้เย็นตาเย็นใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ถ้าจะให้ดี ต้องมาสักช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม เพราะน้ำที่แก่งสะพือจะลด ทำให้มองเห็นแก่งได้ชัดเจนและสวยงาม เลยน่าเสียดายไปสักหน่อย เพราะช่วงที่เราไปดันเป็นเดือนพฤศจิกายน และถึงแม้เราจะไม่เห็นแก่งโผล่มาสักแก่ง แต่เราก็ได้เห็นภาพวิถีชีวิตน่ารัก ๆ ของผู้คนแถวนั้นมาแทน




         
         ถัดมาไม่ไกลจากแก่งสะพือ เราพาคุณมาสำรวจเส้นทางตามรอยพระบาทกันต่อที่ "เขื่อนสิรินธร" หรือชาวบ้านนิยมเรียกว่า เขื่อนโดมน้อย เป็นเขื่อนดินเนกประสงค์ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าที่มีความสำคัญยิ่งแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และยังมีประโยชน์ด้านการชลประทาน ป้องกันอุทกภัย การประมง และการท่องเที่ยวอีกด้วย อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเคยเสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิดเขื่อนสิรินธรและโรงไฟฟ้าลำโดมน้อยเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญพระนามของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขนานนามเขื่อนว่า "เขื่อนสิรินธร"

         และถึงว่าแดดในวันนั้นออกจะร้อนไปเสียหน่อย แต่เมื่อได้แหงนมองดูฟ้าสวย ๆ ที่สะท้อนลงกับผืนน้ำแล้ว ก็ช่วยบรรเทาความร้อนลงไปได้เยอะเลย ใครอยากจะซึมซับบรรยากาศนาน ๆ ที่นี่ยังให้บริการบ้านพัก ไว้สำหรับมานอนเล่นพักผ่อนในช่วงวันหยุด โดยเฉพาะถ้าเป็นในช่วงหน้าหนาว อากาศน่าจะกำลังเย็นสบายน่านอนสุด ๆ ไปเลย

         ก่อนตะวันจะลับขอบฟ้า เรามีที่ชมพระอาทิตย์ตกสวย ๆ ในดินแดนแถบภาคอีสานมาฝาก ให้ลองมาที่ "อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ" ไฮไลท์ของแก่งตะนะอยู่ที่ หินนิลดำขนาดใหญ่กลางลำน้ำ แต่จะได้เห็นก็ต่อเมื่อถึงเวลาหน้าแล้งที่น้ำในแม่น้ำมูลลดแห้งลงไป อย่างที่บอกว่าตอนที่เราไป เป็นช่วงที่กำลังน้ำเยอะพอดี เราจึงพลาดโอกาสนั้นไปอย่างน่าเสียดาย

         แต่ก่อนที่เราจะไปชมพระอาทิตย์ตกดินสวย ๆ เราได้แวะเก็บภาพธรรมชาติที่ "สะพานแขวนยาวที่สุดในอีสาน" กันก่อน ซึ่งเป็นสะพานที่เชื่อมจากฝั่งที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งตะนะกับดอนตะนะ นับเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวสองฟากฝั่งปากแม่น้ำมูล และใช้เดินข้ามเข้าไปชมธรรมชาติบนดอนตะนะได้อย่างเพลิดเพลิน หรือจะถ่ายเซลฟี่ก็ดูดีไปอีกแบบ


         คราวนี้ก็ถึงเวลาดูพระอาทิตย์ตกขอบฟ้าของจริงที่แก่งตะนะกันแล้ว

    
         เช้าวันถัดมา เราเดินทางตามรอยพระบาทกันต่อที่บ้านนาโพธิ์กลาง อำเภอโขงเจียม ซึ่งเป็นที่ตั้งของ "น้ำตกสร้อยสวรรค์" ภายในเขตอุยานแห่งชาติผาแต้ม การชมน้ำตกสร้อยสวรรค์ อาจต้องใช้แรงกำลังขาอยู่เสียหน่อย เพราะต้องเดินไต่บันไดลงไป แต่รับรองว่าไม่เหนื่อยเกินไปอย่างแน่นอน เมื่อมาถึงคุณจะได้เห็นน้ำตกขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า สูงประมาณ 20 เมตร มีน้ำไหลตลอดปี และยังเป็นน้ำตกที่มีคนนิยมไปเที่ยวกันมาก


         นอกจากสิ่งอื่นใด ระหว่างทางที่เราเดินทางไปน้ำตก เพื่อน ๆ ก็จะได้ชมความงามของธรรมชาติทั้งทุ่งดอกไม้ป่า สวย ๆ ที่กำลังเบ่งบานสะพรั่งหลากสี ทั้งม่วงเข้ม ม่วงอ่อน สีเหลือง สีขาว และสีแดง สลับกันไป โดยทุ่งดอกไม้แห่งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เคยเสด็จฯ มาทอดพระเนตรเพื่อศึกษาพันธุ์ไม้ป่าในพื้นที่ดังกล่าวอยู่หลายต่อหลายครั้ง และถ้าใครเห็นแล้วอยากมาเที่ยว แนะนำให้มาช่วงเดือนตุลาคม-มกราคม รับรองว่าคุณจะได้เห็นความสวยงามของดอกไม้ป่าแบบเต็ม ๆ ตากว่านี้เสียอีก