เดี๋ยวนี้ถ้าถามว่าไป "เชียงใหม่" แล้วควรไปเที่ยวเชียงใหม่ที่ไหนดี ? ณ เวลานี้แทบทุกเสียงต้องตอบโดยพร้อมเพรียงกันว่า "แม่กำปอง !!!!" เราเลยอดสงสัยไม่ได้ว่าที่แม่กำปองมีดีอะไร ถึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ห้ามพลาดของเชียงใหม่ และแล้วก็ถึงบางอ้อเมื่อเราเห็นจากสิ่งที่ คุณนักเดินทางใต้แสงดาว สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้ใช้เวลาทั้งหมด 48 ชั่วโมงที่นั่น นั่งดื่มกาแฟและสูดอากาศบริสุทธิ์ ท่ามกลางวิถีชีวิตเรียบง่ายของผู้คน สมกับฉายาที่ว่า "แม่กำปอง…บ้านน้อยในป่าใหญ่" หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากรู้ว่าแม่กำปองสามารถหยุดนาฬิกาชีวิตชั่วขณะได้อย่างไร ไม่ยากที่คุณจะมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง ว่าแต่จะพิสูจน์อย่างไรบ้างนั้น เราแอบตามไปดูกันเลยดีกว่า…
ณ เวลานี้เชื่อว่าหลายคนคงจะคุ้นหูกับหมู่บ้านแม่กำปองกันมาบ้างแล้ว หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่แทรกตัวอยู่ในหุบเขา กิ่งอำเภอแม่ออน อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ เมื่อได้รับการ Confirm ตั๋วจากสายการบินเรียบร้อยแล้ว ผมจึงติดต่อรถเช่าในเชียงใหม่ เนื่องจากว่าการเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปยังหมู่บ้านยังไม่มีรถโดยสารเข้าไปถึง เพื่อให้ตอบโจทย์สอดคล้องกับแผนที่วางไว้ว่า จะต้องแวะ Break point ระหว่างทางด้วย คือร้านกาแฟวิวหลักล้าน The Giant การเดินทางที่สะดวกสบายและตอบโจทย์ที่สุดเห็นทีคงจะเป็นการขับรถยนต์ขึ้นไปเนี่ยแหละ
16.50 น. ของเย็นวันเสาร์ล้อเครื่องบินแตะรันเวย์ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ พี่หน่อย สมาชิกร่วมทริป Trekking ที่เนปาล เป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด อาสามารับผมที่สนามบิน พาไปเก็บกระเป๋าที่โรงแรม และออกไปทานอาหารเหนือกันที่ร้านแกงร้อนบ้านสวน หลังจากอาหารเย็นผมขอติดรถแกมาลงที่ถนนคนเดินวัวลาย แล้วจะเรียกรถตุ๊กตุ๊กกลับโรงแรมเอง
เช้าวันถัดมาพนักงานนำรถเช่ามาส่งที่โรงแรมตามเวลานัดหมาย ตรวจเช็กรับรถพอเป็นอันเสร็จพิธี ก่อนจะมุ่งหน้าไปหมู่บ้านแม่กำปอง มาเชียงใหม่ไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ที่ขาดไม่ได้เลยคือมื้อเช้าจะต้องแวะมาทานโจ๊กต้นพยอมทุกครั้ง เมื่ออิ่มท้องการเดินทางก็เริ่มต้นขึ้น จากตัวเมืองเชียงใหม่ให้ขับไปทางถนนสาย 1317 ทางไปสันกำแพง ตรงยาวไปตามทางได้เลย นอกจากถนนจะดีแล้ววิวข้างทางก็สวยมาก แต่ถ้าหากว่าใครไม่แน่ใจ สามารถเปิด Google map จาก Smart phone ของตัวเองแล้ว Search คำว่าแม่กำปอง จากนั้นก็กดนำทางได้เลย รับรองไม่มีหลง
เมื่อเข้าเขตอำเภอแม่ออน ใครที่จะมาแวะร้านกาแฟก่อนที่จะขึ้นไปหมู่บ้าน ให้สังเกตป้ายทางด้านซ้ายมือให้ดี ๆ จะอยู่ระหว่างทางแยกก่อนขึ้นไปถึงตัวหมู่บ้าน ซึ่งร้านกาแฟ The Giant จะต้องเลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกประมาณ 7 กิโลเมตร ทางแคบและค่อนข้างโหดสำหรับคนที่ขับรถไม่ชำนาญทางและไม่ใช่คนพื้นที่ โปรดใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก จากทางแยกจะมีป้ายบอกไปตลอดทาง ใช้เวลาไม่นานเราก็เจอร้านกาแฟบนต้นไม้ใหญ่ที่คาดว่าอายุมากกว่าเราหลายเท่าตัว
ออกจากร้านกาแฟก็มีฝนตกลงมาตลอดทาง คล้ายกับเป็นการต้อนรับนักเดินทางจากเมืองหลวง พอถึงทางแยกเดิมที่เลี้ยวมาในตอนแรก ก็เลี้ยวซ้ายกลับเข้าสู่เส้นทางเดิมมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านแม่กำปอง จุดหมายแรกเมื่อถึงหมู่บ้านเรามุ่งหน้าไปที่สำราญชน โฮมสเตย์ บ้านไม้สองชั้นสุดคลาสสิก อยู่ริมลำธาร เรื่องบรรยากาศคงไม่ต้องบรรยายกันให้มากความ ถ้าดูจากภาพคือคำอธิบายที่ชัดเจนที่สุด เปลี่ยนมุมมองไปดูเรื่องทำเลกันบ้าง ในมุมมองส่วนตัวของผม จากโฮมสเตย์ถือว่าไม่ไกลจาก Landmark สำคัญ ๆ ที่หลายคนมาจะต้องมาเช็กอิน สามารถเดินไปได้จากโฮมสเตย์ แต่อาจจะเหนื่อยหน่อยสำหรับบางคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
ธรรมดาของการเดินทางมาถึง เพื่อความแน่ใจขอเดินสำรวจบริเวณรอบ ๆ บ้านก่อน ตอนแรกที่ไปถึงไม่แน่ใจว่ามาคนแรกหรือมาช้าจนชาวบ้านเขาออกไปเที่ยวกันหมดแล้ว เงียบมาก
ความเป็นอยู่ที่นี่ค่อนข้างเรียบง่าย คือเหมาะที่จะมาพักผ่อนจริง ๆ ไม่มีทีวีในห้อง มีแต่ที่นอน ผ้าปูที่นอน และผ้าห่ม มีตู้เย็นเล็กและน้ำดื่มฟรีสำหรับส่วนกลาง และมุมนั่งเล่นที่เลือกได้ตามอัธยาศัย
650 บาท คือราคาสำหรับห้องสองคน ห้องน้ำในตัว และ 4 คนขึ้นไปราคาก็จะขยับลงมาอยู่ที่ 550 บาทต่อคน รวมอาหารสองมื้อ เวลาอาบน้ำไม่ต้องกลัวหนาว เพราะที่นี่เขามีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยแหละ
จะสังเกตได้ว่าบริเวณรอบ ๆ บ้าน จะมีโต๊ะเก้าอี้หรือจุดชมธรรมชาติอยู่หลายจุด ให้ความรู้สึกที่ได้ใกล้ชิดธรรมชาติมาก มีหนังสือติดมาเล่มหนึ่งแล้วนั่งอ่านชิล ๆ อยู่แต่ในบ้านยังได้เลย บรรยากาศดีมาก
โชคไม่เข้าข้างเท่าไร เพราะในวันที่ไปฝนตกเกือบทั้งวัน แต่ยังดีที่พกหนังสือมาหนังอ่านเล่นรอฝนหยุดเพลิน ๆ บวกกับบรรยากาศของโฮมสเตย์ เหมือนฉุดรั้งไว้ไม่อยากให้ไปไหนไกล หลบอยู่ตรงนี้ก่อนดีกว่า ถ้าออกไปแล้วมันจะเปียกฝน
เรื่องของการเดินทางจากจุดเริ่มต้นไปยัง Landmark ต่าง ๆ ดังนี้
หันหลังให้โฮมสเตย์แล้วเดินไปทางซ้ายก็จะเจอวัดแม่กำปอง ขยับขาเดินลงต่อไปด้านล่างอีกหน่อยก็จะเป็นร้านฮิมห้วย ลุงปุ๊ด ป้าเป็ง ร้านกาแฟ ริมลำธารกลางหมู่บ้าน ภาพในหัวก่อนที่จะมาคิดว่าจะมานั่งชิล Slow life แต่เปล่าเลย คนเต็มร้านเลยจ้า มิหนำซ้ำฝนยังตกลงมา ทำให้ผมหมดสิทธิ์นั่งพื้นที่ด้านนอกไปเลย แต่ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดไปหรอก ไม่นานเกินที่จะกินชาเขียวที่สั่งไว้หมด ฝนก็หยุดตก เปิดโอกาสให้กับผู้มาเยือนได้ออกไปเก็บภาพมาฝากเพื่อน ๆ ห้องบลูฯ บ้าง
ถัดมาติดกับร้านเป็นร้านส้มตำ มีไส้อั่ว และคอหมูย่างด้วย แอบเข้าไปส่องมาแล้วบรรยากาศดีไม่แพ้กัน แต่หมดสิทธิ์นั่งอีกแล้วจ้า เพราะโต๊ะเต็ม ผมเลยเลือกที่จะซื้อใส่ถุงแล้วกลับไปกินที่ โฮมสเตย์
โดยปกติประมาณห้าโมงครึ่งคือเวลาของอาหารเย็นที่นี่ แต่ผมยังอิ่มท้องจากส้มตำและคอหมูย่างอยู่ จึงขอเลื่อนเวลาทานข้าวออกไปอีกหน่อย กับข้าวมีสามอย่าง ถ้าทานแล้วยังไม่อิ่มขอเพิ่มได้ ไม่มีปัญหา ป้าแกใจดี
หลังจากทานอาหารเย็นกิจกรรมก็ไม่มีไรมาก นั่นก็คือพักผ่อนตามอัธยาศัย สุดแต่ใจจะไขว่คว้า จะอ่านหนังสือ นอนเล่น นั่งคุยก็ตามสะดวก ตอนกลางคืนที่นี่เงียบมากและอากาศค่อนข้างเย็น นอนตอนกลางคืนได้ยินเสียงน้ำไหลจากลำธารตลอดทั้งคืนเลย ได้เบียร์ไปสองกระป๋องนี่หลับสบายเลยแหละ
เช้าวันใหม่ที่ตื่นมาโดยปราศจากเสียงนาฬิกาปลุก ล้างหน้า แปรงฟัน เดินออกมาด้านหน้า ป้าคนดูแลถามว่าจะทานข้าวต้มเลยไหมจะได้ยกมาให้...โปรแกรมวันนี้มีอีกหลายที่ จะต้องไปแวะเวียน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาจึงตอบไปว่า "ทานเลยก็ได้ครับ"
เข็มนาฬิกาบอกเวลาเก้าโมง คงได้เวลาบอกลากันแล้ว เมื่อกล่าวคำอำลาเรียบร้อย พร้อมกับคำพูดที่ว่า...แล้วจะกลับมาเที่ยวใหม่นะครับ ล้อรถก็หมุนแล้วไปหยุดอยู่ที่อีกหนึ่ง Landmark สำคัญที่ต้องแวะมาชมวิวก่อนจะกลับลงไป
"ชมนกชมไม้" ร้านกาแฟทำเลดีที่สามารถมองเห็นวิวของหมู่บ้านกลางหุบเขาได้จากจุดนี้ นั่งเติมคาเฟอีนให้ร่างกายเพลิน ๆ เสิร์ฟพร้อมกับบรรยากาศตรงหน้า เหมือนเวลาเดินช้าลงไปอีกเท่าตัว...
วันนี้เป็นวันจันทร์ที่หลายคนยังคงต้องไปทำงาน ภายในร้านวันนี้จึงไม่ค่อยมีคนเท่าไร หมดห่วงเรื่องไม่มีที่นั่งเพราะจังหวะนี้ คงจะมีแต่ที่นอน สำหรับคนที่อยากใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือสักเล่ม ทางร้านก็มีหนังสือวางกองให้เลือกได้ตามสบายเลยจ้า
นั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศมาพอสมควรก็ถึงเวลาที่ต้องขับรถลงมาเชียงใหม่ บอกลาหมู่บ้านแม่กำปองไว้เพียงเท่านี้แล้วถ้ามีโอกาสเราคงจะได้พบกันใหม่ ถ้าเธอไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสนิยมซะก่อน...
ตามแผนที่วางมาโครงการบ้านข้างวัดคือจุดต่อไป แต่วันนี้เป็นวันจันทร์ วันหยุดประจำสัปดาห์ของที่นี่ แต่ไม่เป็นไรเข้าไปถ่ายรูปได้ก็พอ
ใครสงสัยถึงการเดินทางโปรดใช้วิธีเดิมคือเสิร์ชคำว่าบ้านข้างวัด หรือ Yellow mango ก็ได้
ติดกับโครงการบ้านข้างวัดคือร้าน Yellow Mango สถานที่ถ่ายทำ Club Friday the Series ตอนความลับของสัญญาใจ ไหน ๆ ก็มาถึงนี่แล้ว ขอสวมวิญญาณตามรอย the Series เข้าไปเก็บภาพบรรยากาศมาฝากเพื่อน ๆ หน่อย
ภายในเป็นอาคารสองชั้น สามารถนั่งได้ทั้งข้างล่างและข้างบน รวมถึงด้านนอกด้วย
เดินเที่ยวถ่ายรูปจนเพลิน เหลือบหันมาดูนาฬิกาที่ข้อมืออีกทีก็รู้ว่าเราคงต้องไป สตาร์ทรถแล้วขับมุ่งไปที่ถนนนิมมานเหมินทร์ ซอย 13 สำหรับร้านนี้คือการกลับมาครั้งที่สองในรอบเจ็ดเดือน ครั้งนี้รอคิวไม่นาน 10 นาที ก็มีโต๊ะว่าง
กระทู้เดินทางมาถึงโพสต์สุดท้ายแล้ว ขอปิดท้ายการเดินทางครั้งนี้ด้วยภาพบรรยากาศร้าน Iberry the garden ถนนนิมมานเหมินทร์ ซอย 17 ไม่ต้องขับรถมา สามารถเดินทะลุมาได้เลยจากซอย 13 ใกล้นิดเดียว
ออกจากร้านผมมุ่งหน้าสู่สนามบินเพื่อเช็กอิน และไม่ลืมที่จะนัดคืนรถเช่าได้ที่สนามบินเลย เพื่อไม่ให้ถึงกรุงเทพฯ ดึกเกินไปผมได้เลือกไฟลท์บินขากลับไว้ที่เวลา 17.35 น. เผื่อเวลาที่จะกลับบ้านแล้วมีเวลาพักผ่อนก่อนที่จะทำอะไรในวันถัดไป
สุดท้ายนี้ขอบคุณมากสำหรับการติดตามและอ่านจนจบ ใครมีอะไรสงสัย โพสต์ถามไว้ก็ได้นะครับ เดี๋ยวว่างผมเข้ามาตอบ แล้วพบกันใหม่กระทู้หน้า สวัสดีครับ _/\\_
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ นักเดินทางใต้แสงดาว และ เฟซบุ๊ก J0urneyMania