หน้าฝนนี้ใครยังไม่รู้จะไปเที่ยวหน้าฝนที่ไหนดี ...ตามมาทางนี้เลยค่ะ เพราะเราหยิบเอาอีกหนึ่งบันทึกการเดินทางเที่ยวเชียงใหม่หน้าฝนที่น่าสนใจมาแนะนำกัน จากรีวิวของ คุณสมาชิกหมายเลข 1841613 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้ออกเดินทางไปสูดอากาศเชียงใหม่ในช่วงหน้าฝน พร้อมกับลัดเลาะเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวฮอตฮิตต่าง ๆ ลองไปดูว่าจะสนุกสนานกันขนาดไหน
สวัสดีชาวพันทิปนะครับ นี่ก็ครั้งแรกเลยที่ได้มาลองรีวิวที่ที่ไปเที่ยวมา ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ จริง ๆ เคยเขียนแบบสั้นไว้ใน instagram ของผมเอง @mathahuan ยังไงใครอยากอ่านสั้น ๆ ลองไปอ่านเล่น ๆ ในนั้นก่อนก็ได้ครับ แต่อันนี้ลองเอามาลงพันทิปดู เพราะบางรายละเอียดก็ต้องอธิบายกันยาวนิดหนึ่ง ยังไงก็ฝากด้วยนะครับ
สำหรับกระทู้นี้จะพาไปเที่ยว "เชียงใหม่หน้าฝน" กัน แรกเริ่มทริปนี้เป็นทริปกะทันหันมาก ๆ ผมกับเพื่อนนั่งดูตารางการลดราคาของเครื่องบิน จากนั้นไม่นานก็เลยเลือกเป็นเชียงใหม่ เพราะติดใจจากเมื่อตอนต้นปีที่มีโอกาสได้ไปม่อนจองกันมา แล้วครั้งที่แล้วก็โชคร้ายอีกตรงที่ไปหน้าหนาวแต่ฝนตก ครั้งนี้ก็เลยรู้สึกว่าฝนตกก็ไม่เป็นไรแล้ว ภูมิต้านทานเริ่มมี ยังพอหาที่เที่ยวได้บ้าง หรือถ้ามันจะโชคร้ายมาก ๆ ขนาดตกทุกวัน อย่างน้อยก็ยังได้ไปพักผ่อนในตัวเมือง แถวนิมมาน แล้วเดินไปนั่งตามร้านคาเฟ่ต่าง ๆ ก็ยังพอโอเค...
[วันแรก : ไปไปเชียงใหม่กันเต๊อะ]
ตัดภาพมาวันที่ 19.07.58 | สําหรับทริปนี้เดินทางกันไปทั้งหมด 7 คน ครับ ทุกคนก็เป็นเพื่อนร่วมกลุ่มกันหมด โดยการเดินทางครั้งนี้ไปกับไทยไลอ้อนแอร์ครับ
| ราคาเครื่องไป-กลับ ก็ตกอยู่ที่ประมาณคนละ 1,500 บาท |
อิ่มจากไข่กระทะพอประมาณก็เดินมาถ่ายรูปเล่นกัน สักพักหนึ่งเพื่อนก็เสนอมาว่าไปนั่งร้าน Ristr8to กันเค้าบอกว่ากาแฟที่นี่รสชาติดีมาก ก็เลยเรียกรถแดงไปกัน (พิกัดร้านอยู่ที่นิมมานซอย 3 นะครับ ร้านก็ค่อนข้างเด่นอยู่ ร้านจะเป็นสีดำ ไม้ ๆ เหล็ก ๆ) พอดีผมเป็นคนไม่กินกาแฟฮะก็เลยไม่ได้สั่งเลย ได้แต่นั่งนิ่ง ๆ แล้วถ่ายรูป แต่เพื่อนที่ได้ชิมกาแฟมาก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่ากาแฟเค้าดีจริง ๆ และเข้าใจแล้วว่าทำไมเค้าถึงค่อนข้างดังในเชียงใหม่ เราสายไม่กินกาแฟก็รอถ่ายรูปอย่างเดียวครับจังหวะนั้น 5555555555555
ส่วนราคานี่จำตัวเลขแน่นอนไม่ค่อยได้ครับ แต่แก้วหนึ่งไม่ถึง 100 บาท มีเพื่อนสั่งคาปูชิโน่กับมอคค่ามาอย่างละถ้วย ส่วนเพื่อนกลุ่มผู้หญิงก็สั่งเป็นไอศกรีมมากินกัน ลูกละ 38 บาท รสชาติอร่อยใช้ได้เลยครับ
สักพักก็ได้โทรไปติดต่อกับโรงแรมที่จะเข้าไปพัก โรงแรมที่พักสำหรับคืนแรกคือ "Chalnatt Hotel" ครับ โรงแรมนี้ตั้งอยู่ที่นิมมานซอย 11 ครับ เค้าจะอยู่ตรงข้ามร้านเนื้อตุ๋นรสเยี่ยม ตรงสี่แยกกลางซอย 11 เลยครับ โรงแรมนี้เพื่อนก็เป็นคนจัดหามาให้อีก ทำการติดต่อมาโดยตรงกับทางที่พัก ซึ่งเหมือนจะราคาถูกกว่าถ้าเกิดจองใน agoda อันนี้พวกเรามาทั้งหมด 7 คน แต่จริง ๆ แล้วในห้องพักเนี่ยมันจะมีพอสำหรับห้องละสองคนนะครับ ตอนแรกก็เกือบจะต้องมีผู้เสียสละหาห้องใหม่แล้ว แต่ด้วยความที่วันนั้นทุกห้องของทางโรงแรมเต็มหมดแล้ว บวกกับการต่อรองหลายรอบ เค้าเลยบอกว่าได้ครับแต่ว่าเพิ่มหัวละ 500 บาท ซึ่งเราก็โอเคเพราะว่ามันก็คุ้มค่าพอตัวอยู่
อันนี้ก็เป็นภาพบรรยากาศของห้องนอนของห้องผมนะครับ มันค่อนข้างมีสไตล์มาก คือมันสวยและให้ฟีลเหมือนเราไปพักผ่อนแถบตะวันตกมาก ๆ
| ราคาต่อห้อง ห้องละประมาณ 1,250 บาท นอนห้องละสองคน ก็ตกคนละ 625 บาทครับ | *สำหรับใครที่อยากมาพักต้องรีบ ๆ จองกันนะครับ ที่นี่เต็มค่อนข้างเร็วมีคนเข้ามาใช้บริการตลอด*
มาถึงห้องปั๊บก็สลบเลยครับ ตื่นมาอีกทีก็ตอนเย็นเลย เลยมาคิดกันว่าจะไปไหนกันดี เพื่อนก็เสนอว่าไปถนนคนเดินมั้ย เพราะมันมีวันเสาร์กับวันอาทิตย์ แต่ว่าวันเสาร์กับวันอาทิตย์จะจัดคนละที่กัน สำหรับวันที่ไปเป็นวันอาทิตย์มันจะอยู่ตรงหน้าวัดพระสิงห์เลยครับ ก็เลยลองไปดู เพราะว่านี่คือการเดินถนนคนเดินครั้งแรกที่เชียงใหม่ของพวกเรา
เดินไปสักพักเริ่มเกิดคำถามในใจว่า "นี่ยาวเท่าไรเหรอ...นี่จะเดินไปถึงภูเก็ตรึยัง" ยาวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก แต่ระหว่างทางก็มีอะไรให้ดูเยอะแยะเลยครับ ร้านนั้น ร้านนี้ ขายของพื้นเมืองมั่ง อะไรมั่ง ชาวต่างชาติค่อนข้างเยอะมากครับ
จบวันนั้นที่ได้มาก็มีของจุกจิกนิดหน่อยครับ และวันนั้นรู้สึกล้ากันมากเพราะมาถึงกันตั้งแต่เช้า ที่นอนไปก็ยังไม่พอเลยไว้ค่อยมาต่อกันใหม่พรุ่งนี้เช้าแล้วกัน และแล้วก็เดินทางกลับที่พักเหมือนเดิม
[วันที่สอง : วันนั่งรถแห่งชาติ]
ตื่นเช้ามาคนแรกด้วยหัวใจอันเบิกบาน (มากมั้ยล่ะ) เดินลงมาพี่พนักงานก็ถามเลยครับว่าตื่นกันหมดรึยัง เพราะเดี๋ยวพี่เค้าจะรีบไปเอาอาหารเช้าออกมาให้ พนักงานที่นี่น่ารักมากครับ พูดจาดี บริการดี ยิ้มแย้มตลอด สำหรับอาหารเช้าก็จะมีให้เลือกสองแบบว่าจะเอาไข่ดาวหรือไข่คน นี่เลยเลือกเป็นไข่คนมา เค้าจะเสิร์ฟมาพร้อมกับขนมปังแล้วก็ไส้กรอกครับ เป็นอาหารเช้าง่าย ๆ แต่ว่าโอเคเลย
แพลนสำหรับวันนี้คือตั้งใจจะเดินทางไปพักผ่อนกันที่ "อ่างขาง" ครับ โดยเริ่มจากการที่เราต้องนั่งรถแดง ไปลงที่ท่ารถช้างเผือกก่อนครับ พอไปถึงปั๊บก็หารถเมล์ที่เขียนว่า "เชียงใหม่-ท่าตอน" ครับ ค่ารถก็อยู่ที่คนละ 75 บาท ก็คุ้มครับ นั่งกันตูดหายเลย เพราะนานมากกว่าจะถึงใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง
จนในที่สุดก็มาถึงจุดหมายปลายทาง นั่นก็คือ "วัดหาดสำราญ" ตรงจุดนี้จะมีรถคอยบริการสำหรับคนที่ต้องการเหมาเดินทางไปยังอ่างขางครับ... ราคาถูกจัดตามโปรโมชั่นนี้ เชิญคุณลูกค้าลองเลือกเลยครับ
800 บาท (ไปอย่างเดียว)
1,200 บาท (ไป-กลับ ไม่พักค้างคืน)
1,400 บาท (ไป-กลับ พักค้างคืน แต่ไม่เที่ยว)
1,700 บาท (ไป-กลับ พักค้างคืน เที่ยวด้วย)
"เที่ยวด้วย" ในที่นี้หมายถึงพี่คนขับรถเค้าก็จะพาไปชมที่เที่ยวต่าง ๆ เช่น โซนเกษตรในอ่างขาง ไปขอบด้ง ไปไร่ชา ไปหมู่บ้านนอแล แถว ๆ เขตชายแดนไทย-พม่า ไปจุดชมวิวม่อนสน ประมาณนี้ครับ
"และแล้วพวกเราก็เลือกโปรโมชั่น 1,700 บาท" มาทั้งหมด 7 คน ก็ตกคนละ 250 บาทครับ จากนั้นใช้เวลาเดินทางไปถึงอ่างขางไม่ถึงชั่วโมงครับ ราว ๆ 30-45 นาที พอมาถึงก็ไปติดต่อกับทางที่พักเลย ซึ่งที่พักได้ทำการจองมาก่อนล่วงหน้าแล้วครับ ที่พักที่นี่ก็มีหลายราคาหลายโครงการเช่นกันครับ สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะอยากพักแบบไหนลองดูตามนี้เลยก็ได้ครับ แล้วก็โทรติดต่อโดยตรงเลย ตามนี้เลยครับ
www.angkhangstation.com
สำหรับพวกผมเลือกเป็นที่พัก AK ก็จองไว้สามห้องครับ ติดกันเลย ตกคนละ 650 บาท ที่พักก็โอเคนะครับให้ความรู้สึกแบบบ้านพักตากอากาศจริง ๆ ข้างในไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลมนะครับ แต่รับรองว่าอากาศไม่ร้อนแน่นอน จากนั้นพี่คนขับรถก็บอกว่าจะพาไปกินข้าวตรงใกล้ ๆ แถวโครงการ มันจะเป็นร้านอาหารบ้าน ๆ ออกแนวเวียดนามหน่อย ๆ ก่อนออกเดินทางก็ได้รูปนิดหน่อยครับ เพราะว่าตอนนั้นยังไม่มืดมาก แสงยังพอมี ทำให้ยังพอมีรูปได้อยู่บ้าง และเช่นเดิมครับไม่มีรูปผมเหมือนเดิม 5555555555555555555
สักพักก็มีสาวสวยเดินมาขายของน่ารัก ๆ เดินมาด้วยรอยยิ้มแบบใส ๆ ถามว่าเอามั้ย ราคาก็น่ารักมากด้วย อันละ 5-10 บาทเท่านั้นเอง สาวน้อยก็น่ารักมาก ๆ นั่งลงขายแบบกันเองแนะนำชิ้นนั้นชิ้นนี้ รู้ตัวอีกทีก็ซื้อกันไปหลายเส้นแล้วครับ
ระหว่างนั้นก็เลยขอจับภาพหน่อย
หลังจากนั้นก็เดินทางกลับที่พักครับ ก็เข้าไปนอนเล่นคุยกันเฮฮาตามปกติ แล้วด้วยความที่แพลนที่ถูกวางเอาไว้ตอนแรกคือพรุ่งนี้เราจะเดินทางกลับเข้าเมืองไปพักที่นิมมาน แล้วหาโรงแรมแถวนั้นนอนเล่นเอา ก็เลยชาร์จแค่โทรศัพท์ไว้ แบตสำรองช่างมัน...และทุกอย่างก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
[วันที่สาม : ผิดแผนทุกอย่าง แต่แฮปปี้มากนะ]
อย่างที่บอกไว้ครับ คือคิดว่าพรุ่งนี้ลงไปนิมมานเข้าตัวเมืองนอนโรงแรม อะไรยังไม่จำเป็นไว้เดี๋ยวค่อยชาร์จแล้วกันไม่เป็นไรหรอก ปรากฏว่าตอนเช้าเพื่อนเข้ามาเสนอว่าอยากไปนอนเล่นที่เชียงดาวกันดูมั้ย ดูในอินเทอร์เน็ตมามีที่พักอยู่ที่หนึ่งชื่อ "บ้านระเบียงดาว" เราก็เลยโอเค ๆ เอาสิ เพราะจริงๆมีทริปช่วงสิ้นปีที่ได้จองตั๋วล่วงหน้ากันมาไว้แล้วว่าสิ้นปีจะมาพิชิตเชียงดาวกัน เราก็เลยไม่รอช้า เช้านี้ตื่นมาก็เลยเริ่มออกตะลอนทัวร์ถ่ายรูปให้ทั่วสวนเกษตรทั้งโครงการของอ่างขาง
โดยจุดหมายแรกคือแปลงรวบรวมพันธุ์ไผ่อ่างขาง ให้อารมณ์เหมือนเราเป็นช่วงช่วง หลินฮุ่ย เลยครับ เดินเล่นได้สักพักก็เริ่มย้ายโซนกัน
ค่อย ๆ ไล่ไปเรื่อย ๆ จนมาถึงโซนโรงเรือนรวบรวมพันธุ์ผักเมืองหนาว โซนนี้น่ารักมากครับ เป็นพวกผักต่าง ๆ ที่อยู่ในเมืองหนาว โซนนี้พอได้เข้าไปก็จะชื่นชอบกันมาก เพราะเค้าจัดเป็นโซน ๆ แบบสวยงาม ชัดเจนมาก ๆ
หันมาเจอต้นอะไรสักอย่างสวยมากก็เลยขอแชะภาพเก็บไว้หน่อย (ได้รูปตัวเองสักทีครับ 55555555) มันคือต้นบ๊วยครับ คือเห็นแล้วนึกถึงหนังเรื่อง Timeline เลยอยากจะตะโกนว่า พี่เต้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย แต่เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะตบหัวลั่นซะก่อน ของจริงสวยมาก เพิ่งเคยเห็นจริงจังครั้งแรกมันเหมือนต้นไม้จากป่านิยาย Fairytale ตอนนี้รู้สึกได้รับสารสีเขียวเต็มร่างกาย อีกนิดหนึ่งจะสังเคราะห์แสงกันแล้วครับ
จากนั้นก็นั่งรถพี่เค้าต่อไปอีกหน่อย ไปเจอกับโซนที่เราเรียกร้องกันมาก นั่นคือโซนของต้นกระบองเพชร คือมันเป็นโซนกระบองเพชรแบบน่ารัก ๆ มันไม่ใหญ่เท่ากับที่สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์นะครับ อันนั้นน่าจะใหญ่กว่านี้เยอะ พอเจอกระบองเพชรก็ดีใจกันใหญ่ ควักอุปกรณ์ออกมาถ่ายกันใหญ่..
(สำหรับขอบด้งก็ได้รูปคุณยายโปรยอาหารมาหนึ่งรูปครับ)
ถัดมาเป็นไร่ชาครับ โชคร้ายมากถึงมากที่สุด เพราะตอนที่มาถึงได้ถามเค้าว่าชานี่เก็บไปล่าสุดเมื่อไหร่ครับ..."เมื่อวานจ้า" จ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาา โอเคไม่เป็นไรดูแบบโล้น ๆ ก็ได้ ก็ยังสวยอยู่ ภาพที่เห็นมันก็จะเป็นประมาณนี้ครับ และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...เมื่อเพื่อนของเราเดินลงไปข้างล่าง เพราะด้วยอารมณ์อยากเข้าป่าเลยเดินลงไปด้วยความสวยงามแล้วก็กรี๊ดป่าแตก เพราะในขณะที่โพสท่าเพื่อประกอบการลงไอจีนั้น มีงูเลื้อยผ่าน เลื้อยไวมาก ตัวสีดำ ๆ ไม่แน่ใจว่างูอะไร ตกใจจนตบแคร่ดัง น้องงูหนีไปเลย...ใครไปแถวนั้นก็ระมัดระวังกันด้วยนะครับ บางทีเค้าก็อยู่ของเค้าดี ๆ แต่เราอาจจะไปรุกรานที่เค้า เค้าเลยโผล่มาสวัสดีนิดหน่อย ดังนั้นก็ลองดูดี ๆ ในระหว่างการเดินด้วยนะครับ
หมดจากฝันร้ายของน้องงู ก็ขึ้นรถและเดินทางไปยังนอแล อยู่ตรงเขตชายแดนไทย-พม่า ตรงนั้นจะมีพี่ทหารคอยดูแลอยู่ มันเป็นโซนสุดขอบแดนไทย-พม่าจริง ๆ ครับ มีรั้วกันกับซุ้มยิงปืนเต็มไปหมด แต่วันนั้นตอนแรกคิดว่าจะได้เห็นวิวทางพม่าบ้าง แต่น่าเสียดายที่หมอกลงเยอะไปหมดจากชายแดนกลายเป็น Silent Hill ไปโดยปริยาย...
และแล้วก็เดินทางมายังจุดท่องเที่ยวที่สุดท้ายของพี่คนขับรถ นั่นก็คือจุดชมวิวม่อนสน ที่นี่ให้อารมณ์คล้าย ๆ กับป่าใน Twilight เลย เริ่มแรกคือลงจากรถมาก็จะมีกลุ่มหมาป่าซึ่งเจคอปน่าจะเป็นคนสั่งให้มาต้อนรับ เดินมากันเยอะมาก ส่งสัญญาณเรียกกันด้วย น่านนนนนนน....
ลงมาอีกนิดก็เข้าสู่โหมดหมอกฟุ้ง หมอกมาเป็นระยะ ๆ เลยครับ วิวโดยรอบก็สวยงามให้ความเงียบสงบดี ก็เดินถ่ายรูปกันไปมา ประกอบกับเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งอยากได้รูปไปลงแข่งประกวดชิงรางวัลของอะไรสักอย่าง ก็เลยขอให้ถ่ายให้เพราะบรรยากาศมันกำลังมา ก็เลยขอเก็บรูปมันซะหน่อย
จากนั้นจุดเปลี่ยนเริ่มมาแล้วครับ... ตรงที่เพื่อนบอกว่าที่บ้านระเบียงดาวเนี่ยเค้ามีไฟฟ้าให้ใช้ได้แค่ถึงช่วงหนึ่งนะ จังหวะนั้นคือแบบเอาแล้ว...แบตมือถือไม่เท่าไร แต่แบตกล้องเนี่ย ด้วยความที่ติดถ่ายรูปมาก เลยอยากให้แบตกล้องมันมีชีวิตได้นานที่สุด เพราะพรุ่งนี้ต้องการถ่ายรูปเก็บตลอดทริปเหมือนทุก ๆ วันที่ผ่านมา ตอนนั้นก็เริ่มคิดแล้วว่าเอาไงดีวะ 5555555555 แต่ก็นั่นแหละยังไงก็ไปอยู่แล้ว
เราไปเปลี่ยนรถที่จะไปเชียงดาวครับ ส่วนค่ารถคุณลุงเก็บเพิ่มคนละ 100 บาท เพราะนี่มันเป็นนอกเส้นทางจากโปรโมชั่นรถที่วางไว้ตอนแรกครับ ลุงแกก็ขับไปเรื่อย ๆ จนเพื่อนบางคนก็เริ่มมีอาการเมารถกันบ้าง อาหารจะพุ่งกันบ้าง ด้วยความที่ก่อนหน้านี้ยัดอาหารกันมาอย่างบ้าคลั่ง คือคนที่นี่ให้กับข้าวเยอะมากครับ กินกันเหมือนมื้อนี้เป็นมื้อสุดท้าย 55555555555...และแล้วเราก็เดินทางมาถึงปั๊มน้ำมันที่ใช้ในการเปลี่ยนรถครับ ก็ได้เปลี่ยนเป็นคนขับผู้หญิงเพื่อพาเราไปยังเชียงดาวที่พักใหม่ของเรา พี่เค้าเดินมาหน้าใส ๆ แต่ขับรถไวดั่ง Fast 7... สำหรับค่ารถรอบนี้ขาไปทั้งหมด 700 บาทครับ
(อันนี้เป็นวิวที่มองยอดเชียงดาวจากที่พักใหม่ของเรานะครับ)
พูดถึงที่พักของเราคือ "บ้านระเบียงดาว" ต้องโทรมาติดต่อก่อนนะครับ ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นช่วง Low Season แต่คนที่มาพักก็พักเต็มแน่นตลอด ที่นี่เก็บราคาหัวละ 500 บาทครับ โดยที่เค้าจะเป็นคนจัดการเลือกบ้านให้เราเอง
ทีเด็ดมันอยู่ตรงโซนที่นั่งครับ เมื่อมองออกไปวิวที่เห็นนั่นคือ "ยอดเชียงดาว" เป้าหมายที่กำลังจะไปในตอนสิ้นปีที่จะถึงนี้ คือมันสวยมาก ๆ จริง ๆ ณ จุดนั้นใช้อะไรถ่ายก็สวยหมดครับ เพราะธรรมชาติมันสร้างของสวยงามมาไว้ตรงหน้าแล้ว
พูดเลยว่า Yosemite ต้องร้องขอชีวิต... เอาเซ่ ๆ
สำหรับปัญหาที่ค่อนข้างใหญ่หลวงของมนุษย์เมืองกรุงคงเป็นเรื่องปลั๊กไฟครับ ตอนแรกเราคิดเองเออเองว่ามันจะมีปลั๊กในห้องพักแต่ละห้อง เปล่าครับทั้งที่พักมีปลั๊กเดียว เป็นปลั๊กแบบส่วนรวม ต้องแบ่ง ๆ กันชาร์จ แต่นี่ก็แอบไปเบียดเบียนชาวบ้านนิดหนึ่ง ตรงที่คนเราเยอะมาก แล้วแห่กระหน่ำกันมาชาร์จ แต่ก็เลือกกันครับว่าใครจะชาร์จอะไร เอาพอประทังชีวิต
(อันนี้เป็นมุมด้านบนที่พักครับ สวยงามมาก ๆ)
อ้อ ! ลืมบอกไปครับว่าราคาพักที่เก็บหัวละ 500 บาท ที่นี่มีอาหารเช้า-เย็นให้นะครับ
อันนี้ก็เป็นโซนจากมุมที่ถ่ายมาทั้งหมดของเชียงดาวนะครับ มันสวยมากจริง ๆ มันเหมือนเราอยู่ในอีกโลกหนึ่งเลย อยู่แต่กรุงเทพฯ มีแต่เมืองเหลี่ยม ๆ มานี่แล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะ ส่วนที่นี่อินเทอร์เน็ตกะสัญญาณไม่ค่อยมีนะครับ ใครอยากอัพไอจี คุยกับแฟน หรือจะโทรศัพท์ก็ขอให้เดินเลยที่พักขึ้นไปด้านบนหน่อย ก็จะพอมีสัญญาณบ้างครับ
[วันสุดท้าย : รักมากนะ...เชียงใหม่]
ตื่นเช้ามาก็มีอาหารมาเสิร์ฟเลยครับโดยมื้อเช้านี้เป็นข้าวต้มครับ เคยเห็นบางคนรีวิวมาบางคนก็เหมือนจะได้กินเกี๊ยวน้ำหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่รับรองว่าอาหารที่นี่อร่อยครับ พอกินข้าว อาบน้ำ แต่งตัว อะไรกันเสร็จก็ได้เวลาโบกมือลาเชียงดาวครับ ไว้จะกลับมาหาใหม่ช่วงสิ้นปีนะ ถึงเราจะเหนื่อยง่ายไปหน่อย แต่เราสัญญาว่าเราจะพยายามปีนป่ายไปถ่ายรูปนายแน่นอน ประคองชีวิตพี่ด้วยน้องดาว
ขาลง Fast 7 คนใหม่กลับมารับพวกเราลงไป ออกเดินทางประมาณ 10 โมงครับ โดยราคาขากลับเหลือ 600 บาทครับ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมถูกกว่า พวกเราเดินทางต่อไปยังขนส่งที่อำเภอเชียงดาวครับ เพื่อรอขึ้นรถเมล์กลับไปที่ตัวเมืองเชียงใหม่ โดยตอนแรกก็ตั้งใจอีกนั่นแหละว่าลงมาแล้วจะกลับไปเดินเล่นที่เมืองรอนะ เพราะไฟลท์กลับมันประมาณสี่ห้าทุ่มเลยครับ....
พอรถเมล์มาก็เลยเดินขึ้นกันไป มีให้โหลดกระเป๋าด้วย (มโนว่าขึ้นเครื่องบิน) สำหรับค่ารถก็คนละ 40 บาทครับ แล้วระหว่างทางก็จะมีด่านตรวจคนเข้าเมืองขึ้นมาตรวจ ก็ได้ฟีลดีครับ มีฝรั่งสาวสวยสองคนขึ้นมาด้วย น่ารักมาก ขึ้นมาถ่ายเซลฟี่กับคนบนรถด้วย น่ารักมากจริง ๆ คุณป้าก็ยิ้มสุดใจ
และแล้วก็เดินทางมาถึงสถานที่เดิมครับ คือท่ารถช้างเผือก อยู่ ๆ เพื่อนก็เสนอว่าไปแกรนด์แคนยอนมั้ย ? คือแกรนด์แคนยอน ถูกแคนเซิลไปนานแล้ว เพราะเพื่อนเราบางคนคิดว่ามันไม่น่ามีอะไรมากมั้ง แล้วอีกอย่างนี่มันฤดูฝนอาจจะไม่ได้สวยเท่าตอนมันแห้ง ๆ แล้ง ๆ แต่สุดท้ายก็ไปครับ ด้วยความที่ทุกอย่างมันไวมาก คุณลุงขับรถมาก็เสนอขายตรงไวมาก ทางเราก็ตอบไวมาก ไปจ้าาาาาาาาา เดินขึ้นรถไปอัตโนมัติ (สำหรับค่ารถไปแกรนด์แคนยอนเราเหมาไปครับ เราบอกพิกัดไปคือแกรนด์แคนยอนแล้วกลับมานิมมาน ค่ารถก็คือ 100 บาทต่อคนครับ)
และแล้วเราก็เดินทางมาถึงแกรนด์แคนยอน... /me เปิดเพลงแผลเป็นรัว ๆ เราคิดแล้วระหว่างทางว่าฝนมาแน่นอน...มาถึงแดดนี่จะแยงทะลุเบ้าลูกตา เออแต่ก็ดีมาไม่เสียเที่ยว มาถึงปั๊บก็จ่ายค่าเข้าก่อนครับ คนละ 50 บาท ภายในก็จะมีอะไรให้เล่นอีกครับนอกจากการกระโดดน้ำ จะมีให้เช่าพายเรือ มีทั้งลำเล็ก ลำใหญ่ ราคาไม่ค่อยแน่ใจนะครับ แต่น่าจะประมาณนี้ เรือลำใหญ่ 3 ชั่วโมง 500 บาท / เรือลำเล็ก 3 ชั่วโมง 300 บาท (ถ้าผิดยังไงขออภัยด้วยนะครับ จังหวะนั้นไม่มีใครจำอะไรเลยครับ 55555555)
แล้วก็จะมีให้มัดจำเสื้อชูชีพ 100 บาท ส่วนค่าชูชีพจริง ๆ คือ 25 บาทครับ คุณลุงก็แนะนำเต็มที่ว่าให้ใส่เถอะ ไม่งั้นเนี่ยมีอีกศพแน่นอนเพราะไม่ปลอดภัย... จ้าาาาาาาาาาาาาาาาาา
ใครใคร่เปลี่ยนชุดเล่นน้ำก็จัดไป ใครใคร่ถ่ายรูปก็เตรียมสแตนบายเลย เพราะที่นี่ฝรั่งเยอะมาก แล้วทุกคนดูพร้อมจะเป็นโมเดลที่ดีมาก ๆ แต่ฝรั่งที่นี่ทุกคนไม่มีใครใส่ชูชีพเลยนะครับ แล้วเล่นกันอย่างบ้าคลั่ง อาจจะเป็นเพราะกิจกรรมในชีวิตฝั่งเค้ามีแบบนี้เยอะ แล้วคงเล่นกันมาเยอะแล้ว เค้าคงชินกันแล้ว
จากนั้นต่างฝ่ายก็ต่างแยกย้ายกันไป ใครอยากถ่ายรูปก็ไปถ่ายครับ ใครเล่นน้ำก็ไปตามอัธยาศัย เรามาถึงนี่ประมาณบ่ายสามครับ กะว่าเล่นถึงสักห้าโมงเย็นแล้วค่อยกลับ เล่นไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องคิดอะไร คิดว่าได้มาปลดปล่อย ฝรั่งที่นี่โดดกันตูม ๆ บางคนท่าโหดมาก บางคนก็คอยเชียร์ You can do it, You can do it ไอ้ข้างบนก็บอก I CAN’TTTTTTTTTT พอโดดลงมาปั๊บนี่ลั่นเลย IT’S AWESOMEEEEEE 555555 เค้าสนุกกันมากครับ นี่ได้แต่ถ่ายรูป แล้วก็ดูเค้าเล่นกันสนุกสนาน แค่นี้ก็แฮปปี้แล้วครับ นี่เลยภาพที่ได้มาฝาก...
เล่นกันจนหมดสภาพ บางคนก็เลือดออกนิดหน่อย เพราะเกิดจากการลื่นบ้างตรงโซนดินที่พอโดนน้ำก็มีแฉะนิดหน่อย แต่ทุกคนก็ดูมีความสุขดีครับ ดูได้ปลดปล่อยกันดี แต่เวลากระโดดก็เซฟ ๆ ไว้บ้างก็ดีครับ ระวังจุกท้อง เพราะมันค่อนข้างสูง และแรงที่ลงไปกระแทกน้ำก็เอาเรื่องอยู่...จากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับไปที่นิมมานครับ
แบกร่างไปนั่งชิลต่อกันที่ Wake Up 24hrs ร้านนี้ค่อนข้างใหญ่ครับ อยู่ตรงริมถนนเลย ติดกับ Subway ก็เข้าไปนั่งพักกันที่ร้านนี้ โอเคเลยครับ เป็นร้านที่ขนมอร่อย น้ำโอเค แล้วก็สามารถนั่งทำงาน นั่งแก่วได้เวลาไม่รู้จะไปไหน ห้องน้ำก็โอเคครับ สะอาดดี มาถึงนี่ก็สั่งบลูเลมอนพร้อมกับมาการองมากินก่อนกลับ...
ซึ่งสาบานว่าตอนแรกไปถามเค้าว่ามีรสอะไรมั่งครับ แล้วเค้ารัวมาทุกรส จำไม่ได้สักอย่าง ก็เลยพูด ๆ ไป สักพักหันมามองจาน มันก็เยอะแล้วล่ะ แต่สีมันยังไม่สวย สั่งเพิ่มก็ได้ นี่เลยเปลี่ยนจากสั่งรสชาติ เป็นสีแทนแล้วครับ 5555555
แต่ราคาโอเคครับ ชิ้นละ 25 บาท รสชาติใช้ได้เลยทีเดียว ไม่หวานไป จากนั้นก็นั่งรอไปเรื่อย ๆ ครับ ร้านนี้ดีอีกอย่างตรงที่เค้ามีปลั๊กประจำทุกโต๊ะเลย แล้วภายในร้านก็จัดได้ค่อนข้างน่ารักเลยทีเดียว สบาย ๆ เป็นไม้ ๆ มีจุดเด่นอีกอันคือที่นั่งด้านล่างจะเป็นชิงช้าขนาดใหญ่ มันเป็นอะไรที่เจ๋งดีครับ...
และแล้วเวลาเดินทางกลับก็มาถึง... ไฟลท์เดินทางกลับคือราว ๆ เกือบสี่ทุ่ม เราก็โหลดกระเป๋าพร้อมเดินทางกลับสู่ความเป็นจริง ค่อนข้างประทับใจมาก ๆ กับทริปนี้ เพราะรู้สึกว่าได้เที่ยวเยอะแยะเลย เยอะกว่ารอบที่แล้วที่มาม่อนจอง ทุกอย่างมันดูหลุดแผนไปหมด แต่ได้ทำนอกแผนมันก็ดีเหมือนกัน ถ้าไม่ได้ทำนอกแผน พักที่นั่นที่นี่ บางทีทริปนี้อาจไม่มีอะไรน่าสนใจเลยก็ได้ ถือว่าเชียงใหม่ทำให้เรารักแล้วรักอีก และยังมีความรู้สึกอยากกลับมาอีกทุกครั้งที่พอมีเวลาตลอด
เดี๋ยวยังไงลองสรุปค่าใช้จ่ายให้คร่าว ๆ นะครับ เอาที่เป็นพวกหลัก ๆ พวกค่ากินหรือพวกการซื้อของต่าง ๆ นี่แล้วแต่คนแล้วกัน แล้วแต่ว่าใครใช้เยอะใช้น้อย
ค่าเครื่องบินไป-กลับ คนละ 1,500 บาท (ราคาตอนโปรโมชั่น)
ค่าที่พักโรงแรม Chalnatt Hotel คืนแรก 1,250 บาทต่อห้อง (ของผมหาร 2)
ค่ารถเมล์นั่งไปลงวัดหาดสำราญ คนละ 75 บาท
ค่าเหมารถไปอ่างขาง 1,700 บาท (หาร 7 คน)
ค่าที่พักบ้าน AK คืนที่สอง คนละ 650 บาท
ค่าเปลี่ยนรถตรงปั๊มน้ำมันที่จะไปเชียงดาว คนละ 100 บาท
ค่าที่พักบ้านระเบียงดาว คนละ 500 บาท
ค่ารถไป-กลับเชียงดาวราคา 1,300 บาท (หาร 7 คน)
ค่ารถเมล์กลับเข้าตัวเมือง คนละ 40 บาท
ค่าเหมารถไปกลับแกรนด์แคนยอน คนละ 100 บาท
ค่าเข้าแกรนด์แคนยอน คนละ 50 บาท
คร่าว ๆ ก็ราคาประมาณนี้ครับ
สุดท้ายแล้วจริง ๆ สำหรับใครที่อยากลองดูภาพที่ม่อนจองครั้งที่แล้ว หรือทริปอื่น ๆ ที่ผมเคยไปมา ลองตามไปดูใน instagram : mathahuan ของผมก็ได้ครับ ในนั้นก็มีรายละเอียดบอกไว้บ้างประปราย ยังไงก็ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้อีกทีนะครับ
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณสมาชิกหมายเลข 1841613 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม