ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย
 
           
เมื่อพูดถึง "ความตาย" บางคนเกิดความกลัวอยู่ในใจ บางคนคิดปลงในชีวิต เพราะคิดว่าความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายเป็นธรรมชาติของโลก วันนี้เราจึงนำข้อมูลดี ๆ บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเบื้องหลังความตาย เพื่อเป็นแง่คิดดี ๆ จาก 3 ศาสนา คือ

            ศาสนาพุทธ ผ่านสถานที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนครและสุสานแต้จิ๋ว

            ศาสนาคริสต์ กับคริสตจักรสืบสัมพันธวงศ์

            ศาสนาอิสลาม จากสุสานไทยมุสลิม

            หลังจากที่เรามีโอกาสร่วมเดินทางไปทำกิจกรรมทำดีประจำปี 2558 ร่วมกับ เคทีซี ในตอน "พินิจหลังความตาย" ซึ่งจากนี้จะเป็นการส่งต่อความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับสถานที่แห่งความตายที่หลายคนคิดว่าน่ากลัว แต่แอบซ่อนเรื่องน่ารู้ไว้มากมายมาฝากกัน

            สำหรับสถานที่แห่งแรกที่เราเดินทางมาถึง คือ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร" ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณพระราชวังบวรสถานมงคล ส่วนหนึ่งของที่ประทับวังหน้า แต่เดิมเป็นพื้นที่พระราชวังของสมเด็จพระบวรราชเจ้า ในสมัยรัชกาลที่ 1 หรือ  "วัดบวรสถานสุทธาวาส" หรือที่หลายคนเรียกกันว่า "วัดพระแก้ววังหน้า" ที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จัดแสดงศิลปะโบราณวัตถุต่าง ๆ มากมาย อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

            การเดินทางมาในครั้งนี้เราได้รับความรู้จาก คุณดวงสมร ปานบุญ และ คุณมัณฑนา ยุบล เจ้าพนักงานพิพิธภัณฑ์ชำนาญงาน ในปัจจุบันภายใน "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร" แบ่งพื้นที่การจัดแสดงออกเป็น 4 ส่วน คือส่วนแรกเป็นส่วนของประวัติศาสตร์ชาติไทย, ส่วนที่สองคือส่วนประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดี, ส่วนที่สามเป็นประณีตศิลป์และชาติพันธุ์วิทยา และส่วนสุดท้ายเป็นอาคารโบราณสถาน (ดูข้อมูลเพิ่มเติมจาก ททท.)

             ในการเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับความตายของที่นี่ คือการไปเยี่ยมชมและรับความรู้เกี่ยวกับ "โรงราชรถ" และ "เครื่องประกอบการพระราชพิธีพระบรมศพ เมื่อพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงสวรรคต" ภายในโรงราชรถแห่งนี้ เป็นโรงเก็บและจัดแสดงราชรถที่ใช้ในกระบวนแห่พระบรมศพ ได้แก่

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

            พระมหาพิชัยราชรถ มีลักษณะคล้ายรถศึกของอินเดียโบราณ ใช้เป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการถวายเพลิงพระบรมอัฐิ สมเด็จพระบรมมหาชนก เมื่อปี พ.ศ. 2339 ลักษณะโดยทั่วไปของพระมหาพิชัยราชรถเป็นราชรถทรงบุษบกพิมานขนาดใหญ่ กว้าง 4.80 เมตร, ยาว 18 เมตร, สูง 11.20 ตัน และมีน้ำหนัก 13.70 ตัน ประกอบด้วยชั้นเกรินตกแต่งด้วยกระหนกเศียรนาค กระหนกท้ายเกริน และตัวรูปเทพพนมโดยรอบ ใช้สำหรับอัญเชิญพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน, พระบรมชนก, พระราชชนนี, พระอัครมเหสี และพระมหาอุปราช ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมให้ใช้เป็นพิเศษครั้งสุดท้ายใช้ในการอัญเชิญพระโกศ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ราชสุดาสิริโสภาพัณณวดี ออกพระเมรุท้องสนามหลวง เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2555

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

            เวชยันตรราชรถ มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับ "พระมหาพิชัยราชรถ" ต่างกันเพียงเล็กน้อย เพื่อใช้ในการถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมมหาชนก ในปี พ.ศ. 2339 โดยพระมหาพิชัยราชรถใช้เป็นราชรถทรงพระบรมอัฐิ และเวชยันตรราชรถใช้เป็นรถพระที่นั่งรอง จากนั้นมาก็มีการใช้ในการพระศพของบรมวงศานุวงศ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้าสืบมาถึงรัชกาลที่ 6 ต่อมาเมื่อพระมหาพิชัยราชรถมีการชำรุด จึงใช้เวชยันตรราชรถเป็นราชรถทรงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2468 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในปี พ.ศ. 2493 และใช้ครั้งสุดท้ายในการอัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตายย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

            ราชรถน้อย สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2339 พร้อมพระมหาพิชัยราชรถและเวชยันตราชรถ โดยมีสัณฐานเช่นเดียวกับ พระมหาพิชัยราชรถ แต่มีขนาดเล็กว่า ด้านล่างเป็นโครงสร้างรับน้ำหนักและบังคับรถ จำหลักด้วยไม้ปิดทองประดับกระจกด้วยฝีมือที่ประณีต ใช้เป็นรถพระ รถโปรย และรถโยง นำหน้ารถทรงพระบรมโกศ ต่อมาในรัชกาลที่ 6 มีการยกเลิก ปัจจุบันจึงใช้เป็นรถพระสงฆ์อ่านพระอภิธรรมนำ

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

            เกรินบันไดนาค อุปกรณ์ที่ใช้อัญเชิญพระโกศขึ้นสู่ราชรถ โดยการหมุนกว้านเลื่อนแท่นที่วางโกศขึ้นไปตามรางเลื่อนไม้จำหลักรูปนาค แท่นที่วางพระโกศเป็นแท่นสี่เหลี่ยมท้ายเกรินมีลักษณะคล้ายสำเภา สำหรับเจ้าพนักงานภูษามาลาขึ้นนั่งประคอง

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

            ยานมาศสามลำคาน ซึ่งเป็นยานที่มีคานหามขนาดใหญ่ ทำด้วยไม้จำหลักลวดลายลงรักปิดทอง มีผนักโดยรอบ มีคานหาม 3 คาน และใช้คนหาม 2 ผลัด ผลัดละ 60 คน ใช้สำหรับอัญเชิญพระโกศพระบรมศพจากพระบรมมหาราชวังขึ้นสู่ราชรถ และใช้ทรงพระโกศพระบรมศพในการเวียนพระเมรุ

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

          และเครื่องประกอบการพระราชพิธี ที่ใช้ในพิธีถวายพระราชทานเพลิงพระบรมศพ

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

          พระโกศสมเด็จย่า (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

           พระโกศสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

           หลังจากที่เราไปรับความรู้และชมโรงราชรถแล้ว จากนั้นเราเดินทางเข้าไปภายใน "พระที่นั่งพุทไธสวรรย์" เพื่อชมความสวยงามของภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ ตอนเทศนาโปรดพุทธมารดาบนชั้นดาวดึงส์ และภาพเทพชุมนุมฝีมือช่างศิลป์ในสมัยราชกาลที่ 1 โดยจิตรกรรมพุทธประวัติภายในแบ่งออกเป็น 28 ห้องภาพ ชมภาพตามเข็มนาฬิกา โดยเริ่มจากภาพอภิเสกสมรสพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายาที่ผนังฝั่งขวา มาจบที่ภาพสุดท้ายที่ฉากถวายพระเพลิงพุทธสรีระ และแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมจาก ททท.)

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

            พร้อมรับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับคติความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรมหลังความตายของศาสนาพุทธในความเชื่อเรื่องสวรรค์จาก อาจารย์จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา ผู้เชี่ยวชาญด้านงานศิลปวัฒนธรรม

            ตู้พระธรรมลายรดน้ำ เป็นของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ที่ทรงสร้างขึ้นสำหรับใส่พระไตรปิฎกในรัชกาลที่ 3 พร้อมเลือกช่างฝีมือดีเขียนภาพเรื่องรามเกียรติ์จำนวน 3 ใบ


ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

            ปัจจุบันพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ทรุดโทรมลงมาก และยังคงมีการซ่อมแซมภาพจิตรกรรมฝาผนังโดยช่างผู้เชี่ยวชาญจากกรมศิลปากรอย่างต่อเนื่อง หากนักท่องเที่ยวที่เข้าไปชมต้องปิดแฟลชกล้องทุกครั้งที่ถ่ายภาพ รวมทั้งต้องยืนห่างจากผนังประมาณ 1 ช่วงแขน เพื่อป้องกันความเสียหาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

            ทั้งนี้ผู้ที่สนใจเข้าชมและศึกษามรดกทางวัฒนธรรมของไทยสามารถไปได้ทุกวัน (เว้นวันจันทร์-อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. โดยเสียอัตราค่าเข้าชม ชาวไทยราคา 30 บาท, ชาวต่างชาติราคา 200 บาท โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0 2224 1370, 0 2224 1333 www.finearts.go.th และ เฟซบุ๊ก National Museum Bangkok : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร       

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

           จากนั้นเราเดินทางไป  "คริสตจักรสืบสัมพันธวงศ์" เป็นคริสตจักรสำหรับชาวคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ เพื่อรับฟังความรู้จาก อาจารย์ภากร มังกรพันธ์ วิทยากรอิสระ ผู้มีความรู้ด้านศาสนศาสตร์และประวัติศาสตร์ ที่มาบอกเล่าเรื่องราวเชิงลึกของศาสนาคริสต์ พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องความเชื่อหลังความตายและพิธีกรรมสำคัญในศาสนาคริสต์

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

          โดย "คริสตจักรสืบสัมพันธวงศ์" ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2445 โดย ศจ.บุญต๋วน บุญอิต ตามข้อเสนอของ ดร.ออเธอร์ บราวน์ เลขาธิการใหญ่ของมิชชั่นบอร์ดจากนิวยอร์ก ซึ่งได้เดินทางมาเยี่ยมงานในประเทศต่าง ๆ และมีความเห็นว่าจะต้องทำสัมพันธกิจกับเยาวชน คนรุ่นใหม่ เป็นการสืบเนื่องจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ที่เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งได้ไม่นาน และคนส่วนใหญ่ยังเห็นควรว่าต้องมีคริสตจักรเกิดขึ้นที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

           สำหรับสถานที่ที่ใช้ในการก่อสร้างคริสตจักรแห่งนี้ได้รับการถวายที่ดินประมาณ 350 ตารางวา ในบ้านเลขที่ 5 ถนนศรีเวียง ตำบลบางรัก พร้อมเงินทุนอีกจำนวนหนึ่งจาก พระยาสารสิน สวามิภักดิ์ ซึ่งเป็นมิตรสนิท ในการก่อสร้างพระวิหารแห่งนี้ ศจ.บุญต๋วน บุญอิต เป็นผู้ติดต่อหาทุน และทุ่มเทกำลังและควบคุมการก่อสร้างด้วยตนเองจนเสียชีวิตด้วยโรคอหิวาต์ ในขณะที่ยังก่อสร้างพระวิหารไม่แล้วเสร็จ หลังจากนั้นไม่นานวิหารแห่งนี้ก็สร้างจนเสร็จ และมีการฉลองพระวิหารเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2447 และได้สถาปนาเป็นคริสตจักร เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2451

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

           หอระฆัง เริ่มต้นหารก่อสร้างโดย อาจารย์ญ่วน เตียงหยก ศิษยาภิบาลคนแรกของคริสตจักร ที่ก่อสร้างโดยได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจาก คุณหญิงแพ (มารดาของคุณสืบ) จนแล้วเสร็จ และด้วยพื้นที่การก่อสร้างไม่เพียงพอจึงได้ขอความอนุเคราะห์จากพระยาขบวนบรรณสารเจ้าของที่ดินติดกับคริสตจักร ที่ได้ถวายที่เดินเพื่อให้เพียงพอต่อการสร้างหอระฆัง

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

           ศาลาเปลื้อง สุทธิคำ เป็นศาลาไม้ที่สร้างขึ้นบริเวณด้านหลังของพระวิหาร ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของคริสตจักร ซึ่งศาลาเดิมนั้นได้ถูกรื้อถอนออกไปและสร้างหลังใหม่ขึ้นมา มีลักษณะ 2 ชั้น สร้างด้วยอิฐติดกับบริเวณรั้วด้านหลังของคริสตจักร ภายในศาลาใช้ชั้น 2 เป็นสถานที่ทำงานของศิษยาภิบาล, เจ้าหน้าที่ของคริสตจักร, ห้องประชุม และห้องอธิษฐาน ส่วนชั้นล่างเป็นห้องโถงใหญ่มีเวที และด้านข้างใช้เป็นห้องพักสำหรับครอบครัวผู้ดูแลคริสตจักร

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

           หลังจากที่เราได้รับทราบความรู้เกี่ยวประวัติความเป็นมาต่าง ๆ ของตามศาสนาคริสต์แล้ว จากนั้นอีกไม่ไกลมากเราเดินทางมารับความรู้เกี่ยวกับเบื้องหลังความตายกันที่ "สุสานไทยมุสลิม" หรือ "กุโบร์" สถานที่ฝังศพของชาวมุสลิม ตามความเชื่อของชาวอิสลาม ถือเป็นสถานที่แห่งการรอคอยของดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิต ที่รอคอยวันสุดท้ายของโลก หรือวันสิ้นโลก

           สำหรับพื้นที่สาธารณะของชุมชนที่มีการจัดการเกี่ยวกับการฝังศพที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ ที่มีอายุกว่า 100 ปี (ในศาสนาอิสลามไม่อนุญาตให้เผาศพผู้เสียชีวิต แต่จะใช้วิธีการฝังศพเพื่อให้ย่อยสลายไปกับธรรมชาติ) ภายใต้แนวปฏิบัติที่ต้องให้ความเคารพและให้เกียรติสุสาน

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย
 
         โดยเราได้รับความรู้จาก คุณทำเนียบ แสงเงิน และ คุณธีรนันท์ ช่วงพิชิต นักประวัติศาสตร์ชุมชน ที่เข้ามาให้ความรู้เกี่ยวกับโลกเบื้องหลังความตายของพี่น้องชาวมุสลิมให้ได้รับฟังกันว่า โดยปกติแล้วการฝั่งศพในศาสนาอิสลามมี 2 แบบ คือ การนำศพใส่โลง และการใช้ผ้าขาวหุ้มศพก่อนฝัง โดยจะต้องมีการชำระกายหยาบให้เรียบร้อยและฝั่งให้เร็วที่สุด (เพื่อไม่ให้ญาติพี่น้องเห็นความเน่าเปื่อย และความไม่น่าดูของศพ) พร้อมใช้ใบโหระพาผูกเป็นเส้นคล้องไว้ที่ศพ ซึ่งใบโหระพา ถือเป็นพืชตระกูลมินต์ที่ปรากฎอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอานว่าเป็นพืชแห่งสรวงสวรรค์ ใช้เป็นสัญลักษณ์ของการบอกทางไปสู่สวรรค์ ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

           ภายในสุสานจะเต็มไปด้วยพื้นที่ราบที่เต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ต้นดอกไม้ สลับกับต้นไม้ขนาดใหญ่และทางเดิน รวมทั้งมีศาลาเล็ก ๆ ตั้งอยู่กลางสุสาน ซึ่งสุสานแห่งนี้จะรับเฉพาะศพของคนภายในชุมชน หรือเป็นญาติของครอบครัวที่เคยนำศพเจ้ามาฝั่งแล้วเท่านั้น โดยไม่อนุญาตให้นำศพชาวมุสลิมจากที่อื่นเข้ามาฝั่ง

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตายย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

           บริเวณพื้นหญ้าสีเขียวใช้เป็นสถานที่ฝังศพผู้เสียชีวิต โดยจะมีการป้ายไม้เป็นเครื่องหมายที่หลุมศพ ซึ่งแต่จะป้ายจะมีความแตกต่างกันออกไปตามความเชื่อของแต่ละครอบครัว ทั้งนี้สำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาที่สุสานจะต้องปฏิบัติตามกฎของสุสาน 14 ข้อ ซึ่งสามารถดูได้จากป้ายประกาศภายในสุสาน รวมทั้งห้ามโรยดอกไม้ลงบริเวณหลุมศพ

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

            และสถานที่สุดท้ายคือ "สุสานแต้จิ๋ว" สุสานเพื่อการออกกำลังกายแห่งเดียวในประเทศไทย หรือในอดีตที่หลายคนรู้จักกันในนาม "ป่าช้าวัดดอน" สถานที่ที่ถูกกล่าวขานถึงความน่ากลัว แต่ปัจจุบันที่แห่งนี้ได้กลายเป็นสวนสาธารณะสุดร่มรื่น ปกคลุมพื้นที่โดยรอบไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ รวมทั้งยังเป็นสถานที่ออกกำลังกายสำหรับคนรักสุขภาพ เพราะมีทั้งลานออกกำลังกาย ถนนสายยาวที่ใช้เป็นลู่วิ่งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ แถมยังสามารถผ่อนคลายไปกับตู้คาราโอเกะได้อีกด้วย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

           ในอดีต "สุสานแต้จิ๋ว" แห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับฝังศพนับหมื่น ๆ ศพ ตั้งอยู่ในความดูแลของ 3 องค์กร คือ สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย, มูลนิธิปอเต็กตึ๊ง และสมาคมไหหลำด่านเกเต้ ซึ่งได้รับความรู้จากวิทยากรรับเชิญ อาจารย์เศรษฐพงษ์ จงสงวน นักวิชาการอิสระผู้เชียวชาญเรื่องพระพุทธศาสนามหายานและประเพณีจีน

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย


ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

สุสานแต้จิ๋ว

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย
 
ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

           สำหรับที่ตั้งของป่าช้าวัดดอน ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ซอยเจริญกรุง 57 ไปจนถึงเซ็นต์หลุยส์ ซอย 3 ในเขตสาธร โดยสุสานภายในสมาคมแต้จิ๋วมีพื้นที่ 87 ไร่ มีรั้วแบ่งเขตอย่างชัดเจน และที่ผ่านมาบริเวณป่าช้าวัดดอนมีศพที่ฝังยู่ภายในฮวงซุ้ยถึง 7,961 ศพ ศพที่บรรจุเฉพาะอัฐิอีกกว่า 1,800 ศพ และศพที่ไม่มีญาติอีกนับหมื่นศพ ซึ่งในอดีตเปิดให้ประชาชนเข้าไปในพื้นที่สุสานได้เฉพาะในช่วงเทศกาลเช็งเม้ง (เทศกาลไหว้บรรพบุรุษของชาวจีน) เท่านั้น ทำให้พื้นที่เต็มไปด้วยความรกร้างและมีสัตว์เลื่อยคลานอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งบริเวณนอกรั้วสุสานยังเป็นพื้นที่ทรุดโทรมและมีน้ำท่วมขัง ไร้การดูแล จึงมีศพไร้ญาตินอนแช่น้ำท่ามกลางกองขยะอย่างอเนจอนาถ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ของมูลนิธิปอเต็งติ้ง จำนวน 30 ไร่ เป็นจุดที่น่ากลัว เพราะพื้นที่ฝังศพไม่มีญาติที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ที่จะมีการล้างป่าช้าพื้นนำศพใหม่มาฝั่งอยู่ตลอดเวลา

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

            อีกทั้งด้วยเรื่องราวความน่ากลัวจากเรื่องเล่าของสุสาน ทำให้ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมา จึงมักเกิดเหตุการณ์ปล้นชิงทรัพย์อยู่บ่อยครั้ง การปรับปรุงพื้นที่ป่าช้าให้กลายเป็นสวนสาธารณะจึงถือเป็นโครงการที่ดี ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ของสำนักงานเขตสาธร ในการลบภาพความน่ากลัวของพื้นที่ให้กลายเป็นเมืองน่าอยู่ โดยเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2539 ด้วยการบุกเบิกพื้นที่นำต้นไม้ไปปลูก ร่วมกับการพัฒนามาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นลานกีฬาแห่งใหม่ในเขตสาธร

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

          ปัจจุบันสุสานแห่งนี้กลายเป็นสุสานปิด ไม่มีการศพมาฝังหรือเผาเพิ่ม แต่สำหรับผู้ที่เคยนำศพมาฝั่งที่นี่ก็นำไปฝั่งที่จังหวัดสระบุรีและจังหวัดชลบุรีแทน แม้แต่ภายในวัดดอนก็ไม่มีการเผาศพอีกเลยเช่นกัน ส่วนภายในสวนในพื้นที่กว่า 100 ไร่ ได้ถูกแบ่งสัดส่วนพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์หลายอย่าง เช่น ยิมออกกำลังกาย, สถานที่พักผ่อนนั่งอ่านหนังสือ, ลานกีฬาคนเมือง และเครื่องเล่นสำหรับเด็ก ๆ ให้พักผ่อนอย่างสนุกท่ามกลางวิวสวย ๆ

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย

          ถือเป็นอีกหนึ่งทริปท่องเที่ยวที่หลายคนอาจจะมองว่าไกลตัว แต่แท้จริงแล้วความตายอาจจะเป็นใกล้ตัวที่เรากลับมองข้ามไป ฉะนั้นการที่เราได้รับรู้ถึงคติและแนวความคิดจากความเชื่อทั้ง 3 ศาสนา ก็เป็นเหมือนสิ่งล้ำค่าที่ผู้ล่วงลับไปแล้วได้หลงเหลือไว้ให้เราศึกษาเช่นกัน

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ย้อนรำลึกคติ ผ่านสถานที่หลังความตาย อัปเดตล่าสุด 31 กรกฎาคม 2558 เวลา 16:42:15 4,119 อ่าน
TOP
x close