
ประเทศญี่ปุ่น...เป็นประเทศที่มีลักษณะพิเศษ คือเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีสภาพของภูมิประเทศแตกต่างกัน จึงทำให้แต่ละภูมิภาคมีสภาพแวดล้อม ธรรมชาติ วัฒนธรรมประเพณี และสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ มากมาย ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะเลือกไปปักหมุดกันในเมืองใหญ่ เพราะมีการเดินทางและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีกว่า แต่ "เกาะนาโอชิมะ" (Naoshima) ในทะเลเซะโตะ จังหวัดคากาวะ จะทำให้จุดหมายปลายทางในประเทศญี่ปุ่นของใครหลายคนเปลี่ยนไป เพราะเกาะแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งเกาะที่ได้รับการขนานนามว่าเกาะอาร์ทิสต์ตัวพ่อ
ด้วยพื้นที่ทั้งเกาะมีการพัฒนาตามแนวคิดที่จะให้ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ทางด้านศิลปะ ซึ่งภายในเกาะมีพิพิธภัณฑ์และสถานที่ท่องเที่ยวที่ให้ความรู้เกี่ยวกับศิลปะอยู่ทั่วเกาะ มีประชาชนอยู่เพียงแค่ประมาณ 3,400 คนเท่านั้น จึงทำให้เกาะแห่งนี้เงียบสงบ สามารถเสพงานศิลป์ได้อย่างสุนทรียะ (ดูเพิ่มเติมจาก jnto และ naoshima) ซึ่งวันนี้เราจะตามรอย คุณ bidabyte สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ไปเที่ยวเกาะศิลปะแห่งนี้กันค่ะ จะสวยงามและน่าสนใจแค่ไหน...ไปชมกันเลย
++++++++++++++++++++

"อาจารย์คะ ไปญี่ปุ่นไปที่ไหนดีคะที่เกี่ยวกับศิลปะ หนูอยากไปพวกมิวเซียมเจ๋ง ๆ" หลังจากที่ถามประโยคนี้ออกไป อาจารย์ยิ้มรับพร้อมกับตอบด้วยความกระตือรือร้น
"ไปนี่สิ เกาะ Naoshima เป็นเกาะที่มีแต่งานศิลปะ"
เราทำหน้าฉงนเหมือนหมาเวลาสงสัย เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นคำตอบที่เราไม่ทันได้ตั้งรับ (จริง ๆ ตอนแรกแค่ถามไปงั้น ๆ) อาจารย์ยังพูดต่ออีกว่า
"ผมไปญี่ปุ่นทีไรก็ไปเกาะนี้แหละ มันมีหลายเกาะมาก บริเวณนั้นเขาทำเป็นเกาะศิลปะ ไป Teshima Shodoshima ด้วยสิ ผมไปอย่างต่ำ 5 วัน เดี๋ยวนี้มีโรงแรมสร้างบนเกาะแล้วไม่ต้องข้ามไปข้ามมา เช่าจักรยานปั่นบนเกาะ สนุกมาก เชื่อผม"
(ในใจเราคิด โอ้โหโรงแรมบนเกาะ แค่ที่ตั้งก็น่าจะแพงชัวร์ ๆ พักโฮสเทลก็นับว่าหรูแล้ว) อาจารย์พูดไปพร้อมกับวาดหมู่เกาะต่าง ๆ ประกอบ แล้วก็เขียนชื่อเว็บไซต์ให้ไปลองหาข้อมูลดูด้วย
"อ๋อ...ค่ะ ๆ เดี๋ยวหนูลองไปหาข้อมูลดูนะคะ ขอบคูณมากค่ะอาจารย์" เราตอบรับไปไว้ก่อน เพราะบริเวณเกาะพวกนี้อยู่ค่อนข้างไกล ไม่รู้ว่าจะได้ไปหรือเปล่า ไม่น่าจะไปได้ง่าย ๆ ยิ่งต้องประหยัดอยู่ด้วย ฮ่า ๆ แล้วเรากลับมาหาข้อมูล เปิด ๆ ในสมุดโน้ตที่เคยจดเอาไว้เวลาอ่านนิตยสารหรือดูรายการท่องเที่ยวญี่ปุ่น เฮ้ย ! เคยจด Naoshima เอาไว้ แถมมาร์กไว้ด้วยว่ามีงานโมเน่ต์ (Monet) เลยไปบอกพี่สาวว่าอาจารย์แนะนำให้ไปเกาะนี้ (ตอนนั้นยังไม่มีแพลนใด ๆ เกี่ยวกับญี่ปุ่น รู้แค่ว่ามีเวลา 14 วัน ในญี่ปุ่น) พี่สาวเลยแทรกแพลนไปเกาะ Naoshima นี้ให้ในแพลนเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ ฮี่ ๆๆๆ
เพราะหลังจากวางแพลนได้คือเราจะเดินทางจากโตเกียวลงไปคิวชู แล้วค่อย ๆ ขึ้นจากคิวชูกลับมาโตเกียว โดยทางผ่านขากลับขอแวะเกาะแป๊บหนึ่ง
เราเลือกเดินทางจาก Hiroshima ไปที่ท่าเรือ Uno แล้วขึ้นเรือข้ามฟากไปที่เกาะ Naoshima เพราะเรามาจากฮิโรชิมา มันใกล้กว่าที่จะเดินทางจาก Takamatsu ที่อยู่ทางใต้เกาะพวกนี้ลงไปอีก (อาจารย์แนะนำให้ไปจาก Takamatsu)



ระหว่างทางก็กินข้าวกล่องหน้าปลาไหลที่ซื้อจาก Miyajima เมื่อเช้า ฟินกันไป อิอิ

บนรถไฟ Local Train

พอมาถึงสถานี Uno ก็เดินไปที่ท่าเรือ ใกล้กันนิดเดียว

ที่ท่าเรือมี Wi-Fi ให้ใช้ฟรีด้วย มีโปสเตอร์+แผ่นพับเกี่ยวกับงานศิลปะเต็มไปหมดเลย สังเกตจากคนที่มามีแต่ฝรั่งกับคนจีน มีเกาหลีประปราย


ขึ้นเรือก่อนนะ ^^

ขออนุญาตฝากเพจ เผื่อมีใครสนใจ อิอิ : facebook.com/iambrightt
ถึงแล้วก็จะเจอกับท่าเรือหน้าตาแบบนี้ (รูปจาก Google) ในท่าเรือนี้สามารถซื้อของฝาก+เช่าจักรยานได้

หลังจากเช่าจักรยานเสร็จเราก็คว้าแผนที่ แล้วก็ปั่นไป Naoshima Bath ก่อน (ตอนแรกเราคิดว่ามันคือมิวเซียม แต่ที่ไหนได้มันคือโรงอาบน้ำจริง ๆ แต่ตกแต่งแหวกแนวเหลือเกิน)


วันนั้นไม่ได้เอาเลนส์ wide ไปเลยขอก๊อบรูปจากอินเทอร์เน็ตมาให้ดูนะคะ (ภาพจาก Google)


แล้วก็เลี้ยวไปหางานป้ายาโย่ย (Yayoi) จริง ๆ มาเกาะนี้เพื่อมาดูงานฟักทองป้าโดยเฉพาะเลย ฮ่า ๆ ไปเที่ยวทีไรท้องฟ้ามืดหม่นทุกครั้ง อยากเจอท้องฟ้าสีฟ้า ๆ




แล้วก็ปั่นกันต่อ



หิวแล้ว แวะกินอุด้งก่อน (จังหวัด Kagawa ดังเรื่องซานุกิอุด้ง มาทั้งทีต้องลอง) ร้านนี้ขายโอเด้งด้วย





วิวจากในร้าน

อิ่มอร่อย เส้นเหนียวนุ่ม แค่ชามเล็ก ๆ ก็อิ่มแล้วววววววว

ระหว่างทางที่จะไป Chichu Art Museum ต้องปั่นขึ้นเขา ค่อนข้างชันและเมื่อยน่องมาก บางทีเลยต้องลงจูงจักรยาน

ในมิวเซียมไม่ให้ถ่ายรูปนะคะ เราเลยขออนุญาตก๊อบรูปจากอินเทอร์เน็ตมาให้ดูความอลังของมัน นี่ภาพจากด้านบน (ก๊อบมาจากเว็บไซต์ Benesse Art)


ก่อนเข้าต้องซื้อตั๋วก่อนนะคะ ราคา 2,060 เยน ค่ะ (ต่ำกว่าอายุ 15 ปี เข้าฟรี) อันนี้ที่ซื้อตั๋ว

บริเวณทางเข้า (ทุกรูปในมิวเซียมก๊อบภาพมาจาก Google หมดเลยนะคะ)



ระหว่างที่เดินทุกอย่างมันเงียบมาก เหมือนเรากำลังผจญภัยอยู่ในโครงสร้างอะไรสักอย่าง ตื่นเต้น ๆ เกริ่นก่อนว่าเราไม่ได้มีความสนใจทางด้านสถาปัตยกรรมเลย ตอนแรกที่หาข้อมูลก็เห็นแต่ตึก ๆ งานสถาปัตย์ไม่น่าจะมีอะไรดึงดูด แต่พอได้เข้าไปในมิวเซียมแรก (Chichu Art Museum) อื้อหือออออ เท่ บอกได้เลยว่าเจ๋งสุด ๆๆๆ ชอบมาก ๆ ประทับใจจนต้องมาขอบอกต่อ

(ภาพจาก Google)

(ภาพจาก Google)
แล้วก็เข้าไปดูงาน งานแรกเลย...งานของโมเน่ต์ ตื่นเต้นตั้งแต่ทางเดินเข้าไปเลย ห้องที่เดินเข้าไปตอนแรกสีจะออกเทา ๆ มืด ๆ หม่น ๆ แต่พอถึงห้องของโมเน่ต์จริง ๆ สว่างมาก ๆ สว่างด้วยแสงธรรมชาติที่เจาะจากเพดานด้านบน


แสงสว่างมาก ๆ ส่วนงานโมเน่ต์เราว่าไม่อลังการเท่าที่มิวเซียมอื่น แต่การจัดองค์ประกอบ แสง สี ของหอศิลป์คือเจ๋งมาก ๆ นี่แค่ห้องแรกก็ทำเอาตะลึงไปเลย
ต่อกันที่งานของ James Turrell เจ้าพ่องาน Interactive (ที่ตอนแรกเราไม่รู้จัก ฮ่า ๆๆ) เป็นห้องที่เขาปล่อยให้เข้าไปเป็นเซต ๆ (ต้องถอดรองเท้าก่อนเข้า) ตอนแรกเราก็งงอะไรแค่มีบันไดขึ้นไปกับผนังสีฟ้า ๆ รูปสี่เหลี่ยม แต่อ้าวเฮ้ยมันเดินเข้าไปได้ ! ตอนเดินเข้าไปรู้สึกตกอยู่ในภวังค์อะไรสักอย่าง หามุมผนังไม่เจอ ไม่รู้ด้วยว่าไฟมาจากไหน ทำไมแสงมันเท่ากันไปหมด สงสัยจนไม่อยากหาคำตอบ (ห้ามจับผนัง) ได้แต่ตกอยู่ในห้องภวังค์ของศิลปิน รู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ ชอบจนไม่รู้จะชอบยังไง 55555


ระหว่างทาง

มาที่ห้องสุดท้าย ผลงานของ Walter De Maria

เป็นห้องใหญ่มาก ๆ พอเดินเข้าไปมันรับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ยังไงก็ไม่รู้ ได้ยินเสียงฝีเท้าตัวเอง เสียงทุกอย่างมันดังก้องไปหมด บวกกับแสงที่ส่องมาจากเพดาน แสงธรรมชาติ ลงตัวจริง ๆ พูดไปก็เหมือนเว่อร์ต้องไปลองดู


ช่อง ๆ ที่เราเห็นจากภาพถ่ายมุมบนที่เราโพสต์ข้างบน ๆ นั่นแหละ ช่องที่เจาะเพื่อเอาแสงธรรมชาติลงมาสู่ห้องต่าง ๆ อลังการ ขนาดเขามีแผนผังมาให้เรายังเดินหลงเลย ฮ่า ๆๆ ไม่เคยไม่หลง

หลงไปหลงมาไปออกคาเฟ่ของมิวเซียมซะงั้น เลยถ่ายภาพจากด้านนอกเข้ามา ด้านในคนที่มานั่งในคาเฟ่จะหันหน้าออกมา สวยสุด ๆ

นี่วิวด้านหน้าคาเฟ่ถ้ามองออกไปทางทะเล


อธิบายให้ฟังก่อนว่าบริเวณนี้เรียกว่า Setouchi ประกอบไปด้วย 10 เกาะ คือ Awajima, Takamijima, Honjima, Naoshima, Shodoshima, Inujima, Teshima, Ogijima, Megijima และ Oshima ทุก ๆ 3 ปีจะมีงาน Setouchi Triennale หรือนิทรรศการศิลปะขึ้น
น่าสนใจสุด ๆ เลยใช่ไหมล่ะ ^^แต่เราเลือกไปแค่เกาะเดียว เพราะเราไม่ค่อยมีเวลา
ทีนี้พาไปต่อที่ Benesse House Museum เสียค่าเข้าชม 1,030 เยน (เด็กต่ำกว่า 15 ปี กับแขกที่มาพักเข้าฟรี) สามารถนั่งรถรับส่งไปได้ (ฟรี) ที่จริงจาก Chichu ไป Benesse จะผ่าน Lee Ufan Museum ก่อน แต่เราไม่ได้แวะไป

ข้างนอกมิวเซียม

ข้างใน (ภาพจาก Google) มีงานของ Richard Long หลายชิ้นเลยทีเดียว


เราชอบงานชิ้นนี้ของ Bruce Nauman (หารายละเอียดของงานได้ เสิร์ชหาว่า 100 Live and Die)

ใน Benesse เราว่าไม่เน้นสถาปัตย์เท่า Chichu แต่งานศิลปะในนี้เยอะกว่าและน่าสนใจเช่นกัน ยิ่งถ้าเป็นแขกที่มาพักคงสวยมากเพราะจะได้พักใน Oval room (ลองเสิร์ชหาดู โอเว่อร์มาก ๆ) พอดูงานศิลปะเสร็จเต็มอิ่มก็เดินไปหาฟักทองป้ายาโย่ยลูกต่อไป
ดอกไม้บนเกาะ


กรี๊ดดดดดดดด เจอแล้ว ๆ นี่คือจุดมุ่งหมายของการมาเกาะนี้เลยนะ (เพียงแต่ระหว่างทางก่อนมาถึงจุดหมายมันช่างสนุกเหลือเกิน)


ฟินนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน สนุกมาก ๆๆ ลองไปดูกันนะคะ สงสัยอะไรลองหาในเว็บไซต์ : www.benesse-artsite.jp ดูได้ค่ะ แถมด้วยขนมที่เพื่อนคนญี่ปุ่นให้มา กับโคล่าผสมน้ำมันมะกอก อร่อยฟินกำลังดี

Tadao Ando เจ๋งมาก ๆ อยากให้ลองไปสัมผัสกัน เราเองก็เพิ่งรู้ว่างานสถาปัตยกรรมมันมีผลต่อความรู้สึกขนาดนี้ จริง ๆ ยังมีมิวเซียมอื่น ๆ อีกนะ แต่เราต้องรีบไปต่อ (พอกลับมาทักไลน์อาจารย์ไป อาจารย์บอก "อย่าพลาด Teshima เชียวนะ" ฮือออออออ พลาดไปแล้วค่ะ)
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ bidabyte สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก I am bright