
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะว่าในประเทศไทยของเราก็มี Virgin Island หรือเกาะพลังงานสะอาดต้นแบบของไทยเหมือนกันนะ ซึ่งก็คือ "เกาะพะลวย" อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดังนั้นวันนี้กระปุกดอทคอมจึงได้นำเอาอีกหนึ่งลายแทงเที่ยวเกาะพะลวย จากบันทึกการเดินทางของ คุณ check in chill out สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้ไปเยือนพร้อมเก็บภาพความสวยงามของเกาะแห่งนี้มาฝากกัน จะสวยงามขนาดไหนนั้นไม่ต้องคิดนาน...ตามไปตะลุยพร้อม ๆ กันเลย






เราได้รู้จักที่นี่จากเพื่อนนักเขียนคนหนึ่งค่ะ แค่คำโปรยของนางว่าที่นี่เป็น "Virgin Island" เราก็จิ้นไปสิว่าเอ๊ะ ! มันเวอร์จิ้นยังไง คุยกันไปกันมาได้ความว่า "เกาะพะลวย" เป็นเกาะพลังงานสะอาดต้นแบบของไทย ตั้งอยู่ในบริเวณอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง !!! โดยไม่ต้องคิดนาน...ไอ้เราก็ใจง่ายตอบตกลงทันที เด็กอันดามันทะเลสีฟ้าอำไพอย่างเราก็อยากจะไปเยือนอ่าวไทยสีมรกตบ้างเหมือนกันนะ
เพื่อความเข้าใจง่ายขึ้นเราขอแนบรูปแผนที่โดยรวมของเกาะพะลวย Credit : คุณ Green Island เจ้าของกระทู้นี้เลยค่ะ เกาะพะลวย...ต้นแบบเกาะพลังงานสะอาดแห่งแรกของไทย
เช้าวันหนึ่งวันนั้นเมื่อปีที่ผ่านมา [วันไหนจำไม่ได้] เรานัดเจอเดอะแก๊งเสร็จสรรพก็ได้ฤกษ์ล้อหมุนออกจากภูเก็ตกันค่ะ พุ่งตรงไปลงเรือที่ท่าเรือดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานีกันเลย จากท่าตรงนี้เรือจะออกทุกวันคู่ แต่จะมีอีกท่าใกล้ ๆ กันที่จะออกสลับวันกันค่ะ ดูข้อมูลเพิ่มเติมจากลิงก์นี้เลย
th.wikipedia.org/wiki/เกาะพะลวย
ตรงท่าเรือจะมีที่รับฝากรถเป็นบ้านของชาวบ้านแถวนั้น ซึ่งต้องฝากกุญแจรถไว้ด้วยนะ ในใจก็แอบกลัว แต่จากการแหลงใต้กันไปมาก็ได้ความว่าทุกคันก็ฝากไว้แบบนี้ เพราะเผื่อมีที่ว่างหรือรถคันอื่นจะถอยเข้าบ้าน เจ้าของบ้านก็จะสามารถขยับรถให้เราได้ เอาก็เอาวะ มาถึงนี่แล้ว
ตั๋วเรือต่อเที่ยวคนละ 150 บาท ระหว่างรอเรือออกยังพอมีเวลา เลยเดินออกมาปากทางเข้าท่าซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก ซื้อของใช้จำเป็นติดตัวที่ร้านสะดวกซื้อ แล้วแวะหาอะไรใส่ท้องกัน
ร้านเพิงเล็ก ๆ ตรงหน้าปากซอย ขายอาหารตามสั่งธรรมดาแต่ที่ไม่ธรรมดา คือรสชาติแซ่บแบบไม่มีกระแดะ ผัดเครื่องแกงถึงเครื่องจริง ๆ หอมกลิ่นกระทะ ไข่เจียวฟู กรอบนอกนุ่มใน อืมมมมมม...กินกันจนเหงื่อตกกันเลยทีเดียว ที่สำคัญข้าวราดโปะไข่จานละไม่เกิน 35 บาท !! ร้านไหนในภูเก็ตกล้าขายบ้างยกมือขึ้น มื้อนี้มีเพิ่มข้าวไข่เจียวหมูสับมาตบท้าย ฮ่า ๆ
ซัดกันไปหมดจานก็มาขึ้นเรือกันค่ะ (อิ่มมาก คิดในใจว่าที่กินไปจะกลายเป็นอาหารปลาไหมหนอ)
ชีวิตที่ภูเก็ตทำให้เราไม่ค่อยได้นั่งเรือเฟอร์รี่แบบนี้บ่อยนัก แล้วยังจะมีฝูงนกนางนวลสีขาวสะอาดตามากมายที่บินมาโฉบกินปลาจากท้ายเรือ นอกจากจะเรียกเสียงชัตเตอร์ได้พักใหญ่แล้ว ยังสร้างความประทับใจจากชาวเกาะภูเก็ตอย่างพวกเราได้มากมายเลยค่ะ


เรือแล่นไปเนิบ ๆ เพื่อนร่วมเดินทางของเรา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านบนเกาะ ต่างก็ใช้เวลาช่วงนี้ (ถอนผมคัน ผมหงอก หรือหาเหา) กันไปตามอัธยาศัย
แล่นเนิบ ๆ ต่อไป "ปลาโลมาสีชมพู ๆๆ" เสียงเล็ก ๆ จากเด็กน้อยที่กำลังชี้ไปกลางทะเล เรามองตามไปเห็นแก๊งปลาโลมาสีชมพูกำลังดำผุดดำว่ายขึ้นมาโชว์ตัวกันอย่างสนุกสนาน ดูกันเพลิน เด็กอันดามันไม่เคยเห็นนะ เสียดายรูปที่ได้มามันไม่ชัดเท่าภาพในความทรงจำเลย (แก้ตัวน้ำขุ่น ๆ จริง ๆ แล้วคือถ่ายไม่ทัน ฮ่า ๆ)




เรือแล่นมาได้สักชั่วโมงหนึ่งก็ชะลอความเร็วลงเพื่อขนถ่ายของที่บรรทุกมาลงเรือลำเล็ก ที่มาจอดรอท่าอยู่แล้วค่ะ จำชื่อเกาะไม่ได้จริง ๆ
โชคดีอีกแล้ว...วันนั้นอากาศดีมาก
ลงของกันเสร็จก็แล่นต่อมาอีกนิดหนึ่ง สมาชิกในเรือเริ่มลุกขึ้นเก็บของเตรียมตัวลงจากเรือกัน เรือลัดเลาะมาตามร่องน้ำเรื่อย ๆ เราจะได้เจอกันแล้วสินะ Virgin Island
เขาสูงสง่าด้านขวาคือ "เขาตาเสียม" สัญลักษณ์ของเกาะพะลวยค่ะ
กะด้วยสายตาแล้ววันนี้เราน่าจะเป็นเพียงนักท่องเที่ยวแหลงใต้กลุ่มเดียวที่นี่


ก่อนมาเราได้จองที่พักที่นี่ไว้แล้ว เป็นที่พักอยู่บนอ่าว 2 จากทั้งหมด 4 อ่าว ในเกาะพะลวย มีอาจารย์พีระพลเป็นผู้ดูแลที่นี่ มานั่งพูดคุยทักทายผู้มาเยือนกันด้วยค่ะ

ถึงห้องพักแล้ว บริเวณนี้เป็นระเบียงหน้าบ้าน บ้านไม้หลังใหญ่แยกเป็นหลัง ๆ ใต้ถุนยกสูง วิวสบายปอด เดินสบายเท้าดีแท้
ห้องนี้ 1,200 บาทต่อคืนค่ะ รวมมื้อเช้า นอนได้ 4 คนสบาย ๆ มีห้องน้ำในตัว ที่นี่มีน้ำกินน้ำใช้ค่อนข้างจำกัด เพราะต้องอาศัยน้ำจากภูเขาหรือน้ำฝน จึงไม่แนะนำให้ใช้น้ำเหมือนตอนอยู่บ้าน และนำเครื่องใช้ไฟฟ้ามาเท่าที่จำเป็นนะคะ เพราะพลังงานไฟฟ้าที่ใช้เป็นพลังงานที่ได้มาจากแผงโซลาร์เซลล์ค่ะ
ป.ล. มีพันธมิตรจากเกาะพะลวยเพิ่งบอกมาว่าที่นี่สร้างจากเสาไม้มังคุดด้วยอะ แจ่มมมมมมมมมอะ
มาถึงที่แล้วก็ต้องไปทำความเคารพเยี่ยมเยียนบุคคลที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนที่เกาะนี้เพื่อเป็นสิริมงคลกันค่ะ อาจารย์พลได้แนะนำว่าที่นี่เป็นที่แรกที่ไม่ควรพลาดเลยเมื่อมาถึงพะลวย

เรานั่งโขยกเขยกท้ายรถกระบะ 4WD ไม่เกินสามนาทีจากที่พักก็มาถึงสำนักสงฆ์ประจำเกาะ ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเห็นวิวหมู่เกาะอ่างทองสุดลูกหูลูกตา ที่นี่มีพระภิกษุรูปเดียวค่ะ


ท่านคือ หลวงพ่อศรี หลวงพ่อบวชมาได้ 24 ปีแล้วค่ะ การได้พูดคุยกับท่านทำให้เราได้ทราบว่าพื้นเพท่านเป็นคนภาคกลาง แรกเริ่มเดิมทีท่านบวชเพราะอยากทดแทนบุญคุณคุณแม่หลังจากเกษียณจากงานประจำในตำแหน่งพันเอกพิเศษสังกัด บก.สูงสุด แต่ด้วยการที่คุณแม่ท่านได้ฟื้นจากอาการป่วย ท่านเชื่อว่าเป็นอานิสงส์จากการบวชครั้งนั้นท่านก็ไม่สึกอีกเลย
เมื่อแปดปีที่แล้วหลวงพ่อได้ตามพระเกจิอาจารย์ของท่าน หลวงปู่ละมัย แห่งสำนักสงฆ์สวนสมุนไพร จังหวัดเพชรบูรณ์ มาทำพิธีพุทธาภิเษก ปลุกเสกพระจตุคามรามเทพที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ท่านได้มีโอกาสคุยกับญาติโยมที่นั่นถึงเกาะแห่งนี้ ได้ความว่ามีวัดร้าง ประกอบกับชาวบ้านที่นี่เมื่ออยากจะทำบุญก็ไม่มีพระท่าน เลยได้รับนิมนต์ให้มาจำพรรษาที่นี่ช่วงก่อนเข้าพรรษาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลวงพ่อได้เล่าให้เราฟังว่า ก่อนหน้าที่ท่านจะมาอยู่ที่นี่วิถีชีวิตของชาวเกาะพะลวยแห่งนี้ยังต้องการคนที่จะมาช่วยพัฒนา เนื่องจากการขาดการดูแลระบบสาธารณูปโภคที่ถูกต้อง ทั้งระบบน้ำกิน น้ำใช้ และไฟฟ้าในครัวเรือน

หลวงพ่อยังได้ออกแบบบ้านเรือนที่อยู่อาศัยให้ชาวบ้านที่นี่ จากพื้นฐานแนวคิดให้สามารถสร้างบ้านที่แข็งแรง ราคาถูก พัฒนาการใช้เครื่องแปลงไฟ การใช้ไฟ LED ที่ท่านได้ทำหลอดแจกกันแทบทุกบ้าน หรือแม้แต่การรักษาโรคด้วยตำรายาสมุนไพรต่าง ๆ ที่ท่านได้เรียนรู้มาจากการติดตามหลวงปู่ละมัยในครั้งอดีต
เราได้เดินสำรวจรอบ ๆ สำนักสงฆ์ ที่นี่เป็นแหล่งที่อยู่ตามธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อย่างมาก เป็นอีกที่ที่เราได้เห็นนกเงือกกันแบบไม่มีเหนียมอายเลยค่ะ
สนทนากันจนอิ่มเอมเปรมใจแล้วเราก็ต้องกล่าวคำอำลาจากที่นี่ ท้องก็เริ่มส่งเสียงจ๊อก ๆๆ เราให้พี่ ๆ พลขับพาเราไปร้านอาหารทะเลใกล้ ๆ เป็นร้านเดียวละแวกนี้ค่ะ พี่น้อย แม่ครัวคนเก่งออกมาต้อนรับเราอย่างเป็นกันเอง
เรามาแบบไม่ได้แจ้งล่วงหน้า พี่น้อยก็เลยมานั่งควานหาวัตถุดิบจากท่าน้ำหน้าร้านให้เราตอนนั้นเลยค่ะ สดเว่อร์


พี่น้อยบอกว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นเรือทัวร์จากเกาะสมุย เกาะวัวตาหลับ รวมไปถึงนักท่องเที่ยวบนเกาะพะลวยเอง ร้านจะเปิดเฉพาะมื้อกลางวัน ใครที่จะมาทานมื้อค่ำที่นี่ควรจะโทรมาจองกันล่วงหน้าก่อนค่ะ วิวจากร้านระหว่างรออาหารก็ฟินไปกับบรรยากาศพระอาทิตย์ค่อย ๆ ลับขอบฟ้า
ฟังเสียงตำพริกแกง เสียงมีด เขียง โขลก สับกันพักใหญ่ ก็เริ่มแจกอาวุธกันได้แล้วค่ะ มื้อนี้เท่าที่ถ่ายมาได้ก่อนจะหน้ามืดตาลายวางกล้อง มีปลาทอดน้ำปลา สดมาก กรอบมาก อร่อยมาก...แทบจะกินก้าง เนื้อปลากระบอกต้มขมิ้นร้อน ๆ อืม...และปูม้าลวกกับน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบแซ่บจนปากเจ่อ ไม่ต้องพึ่งฟิลเลอร์กันเลย จริง ๆ แล้วมื้อนี้มีอีกหลายเมนูแต่หิวจัด แร้งลงบอกเลย
พี่น้อยบอกว่าที่นี่จะไม่มีการเก็บวัตถุดิบข้ามคืนเนื่องจากไฟฟ้าในเกาะจะใช้ได้ถึงสี่ทุ่ม หลังจากนั้นก็จะมีแค่ไฟจากตะเกียงหรือไฟฉาย บ้านไหนที่อยากใช้ไฟฟ้าข้ามคืนก็ต้องอาศัยเครื่องปั่นไฟ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้อาหารสดอยู่เสมอค่ะ
คืนนั้นเราทั้งอิ่มตา อิ่มท้อง และอิ่มใจกับบรรยากาศและบทสนทนากับความน่ารักของคนเกาะพะลวย
ตื่นเช้าอีกวันด้วยเสียงร้องปลุกของเจ้านกฝูงนี้ค่ะ ตัวนี้เหมือนจะรู้มาโพสท่าให้ถ่ายจากหน้าระเบียงอยู่สักพักแล้วก็บินจากไป


อาบน้ำแต่งตัวไปเติมพลังกันนนนนนนนน กองทัพเดินด้วยท้องนะ เรื่องกินเรื่องใหญ่พี่บาบาร่าได้กล่าวไว้


วันนี้เราจะไปที่ยวหมู่เกาะอ่างทองกันค่ะ แว้นเรือหางยาวไปจากเกาะพะลวยประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเกาะวัวตาหลับ เคยอ่านเจอว่าวิวจากจุดชมวิวชั้นบนสุดวิวอย่างเทพ !! เป็นจุดหนึ่งที่สวยที่สุดในประเทศไทย
มาถึงนี่แล้วมีหรือจะพลาดกับ 500 เมตร เบา ๆ เพื่อพิชิตยอดเขาและวิวเทพ ๆ จัดไป


แต่ ๆๆๆๆๆ เราคิดผิด ระยะทางแค่ 500 เมตร แต่ดูทางขึ้นสิ ฮืออออออออ
ระหว่างทางจะมีจุดพักชมวิวเรื่อย ๆ ถึงประมาณครึ่งทางพวกเราครึ่งหนึ่งหอบแฮก ๆ ถอดใจกลับลงไปนั่งซดอะไรเย็น ๆ รอหน้าหาดกันเลย เหลือกันอยู่ 3 คน ตัดสินใจไปต่อ !
จากจุดหนึ่งไปอีกจุด...วิวสวยขึ้นเรื่อย ๆ เลย
ถึงจุดนี้...ไม่ผิดหวังเลย ลืมเหนื่อยไป 5 วินาที
และถึงจุดนี้...หมดแรงข้าวต้มกุ้งเลยยยยยย มองลงไปทางขึ้นจะน่าตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอขาสั่นกันเลยนะขอบอก

แชะภาพไกด์ตัวน้อยตัวใหญ่ของเราไว้เป็นที่ระลึกค่ะ ทั้งสามคนขึ้นไปเป็นเพื่อน ช่วยยื้อยุดฉุดกระชากกันจนถึงจุดสูงสุด เราจะไม่ลืมน้ำใจ แววตาบริสุทธิ์สดใส และมิตรภาพของพวกเขาเลย ถ้าไม่มีสามคนนี้เราคงปีนไปไม่ถึงแน่ ๆ
ลงมาจากจุดชมวิวต้องมานอนแผ่หายใจกันพักหนึ่ง ก่อนจะไปจัดมื้อเที่ยง ณ ร้านอาหารของเกาะวัวตาหลับ จัดไปรัว ๆ ตามนี้







อิ่มกันแล้วก็ไปแว้นกันต่อ นั่งเรือออกมาจากเกาะวัวตาหลับอีกไม่กี่อึดใจเราก็จะถึงจุดชมวิวสวย ๆ อีกหนึ่งจุด ที่นี่คือทะเลในค่ะ ลักษณะทางกายภาพคือเป็นเขาหินปูน แต่มีการสร้างบันไดทอดไปตามช่องเขาให้เราเดินได้สบาย ๆ กว่าเกาะวัวตาหลับ (ไกด์ตัวจิ๋วของเราบอกว่างั้นนะ) แต่ ๆๆ นี่คือสิ่งที่เจอ
ทางสบายกว่าจุดแรกนิดหนึ่ง เดอะแก๊งบางคนกลัวความสูงแอบขาสั่นเพราะบันไดบางช่วงชันมาก 180 องศา แต่พอปีนป่ายมาจนถึงจุดชมวิวสวยแบบนี้ก็หายเหนื่อย
แผนการเที่ยวของเราคือไม่มีแผนค่ะ หลังจากปีนป่ายกันเหงื่อโทรมกายก็อยากมาพักร่างชิล ๆ ไกด์พาแวะมาที่อ่าวสองพี่น้องค่ะ เรือหางยาวลำที่เห็นลิบ ๆ เป็นเรือเราเองที่เช่าจากทางรีสอร์ท อยากไปไหนก็ไป ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอากาศและอารมณ์ของผู้โดยสารแบบเราล้วน ๆ
ด้านซ้ายมือหลังโขดหินมีอีกอ่าวเล็ก ๆ โขดหินสูงบังแดดได้เป๊ะ เราเช่าเรือแคนูชั่วโมงละ 200 บาท พายไปเล่นน้ำกันตรงนั้น น้ำเย็นพอดี อากาศดี ไม่มีผู้คนเยอะแยะรำคาญใจเลย...ชอบตรงนี้ ขาดก็แต่เครื่องดื่มย้อมใจนี่แหละ ฮ่า ๆ
ชิลกันสักพักระหว่างทางกลับเห็นชาวบ้านกำลังชำแหละเม่นทะเลเพื่อส่งขายกัน ขอซื้อมาถุงหนึ่ง (ร้อยเดียว !!) ให้ที่รีสอร์ททำยำแซ่บ ๆ กับแกล้มคืนนี้สินะ
ชาวบ้านที่นี่มีอาชีพหลักคือทำประมง โดยจะรวบรวมสัตว์ทะเลที่ได้แล้วไปขายยังฝั่งบ้านดอนหรือเกาะสมุย ไข่เม่นทะเลคือหนึ่งในสินค้าจากที่นี่
ค่ำวันนี้ตั้งวงกับเดอะแก๊งและเดอะไกด์ ลมเอื่อย ๆ ริมทะเล เสียงกีตาร์จากไกด์ผิวน้ำผึ้งของเรากล่อมเบา ๆ กินอิ่ม ๆ หลับแบบถอดวิญญาณกันเลย ตื่นเช้าอีกวันสายโด่งเลยค่ะ กว่าวิญญาณพี่จะกลับเข้าร่างน้องเงือกก็หายกันไปหมดแล้ว
วันนี้ต้องกลับกันแล้ว หลังจากเที่ยวแบบหฤโหดกันมาเมื่อวาน วันนี้ขอเที่ยวเล่นแบบสบาย ๆ บ้าง
เดินดูใกล้ ๆ ที่พักเราเจอสิ่งนี้ นี่คือส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์จากทะเลของที่นี่ ที่เห็นโค้ง ๆ คือโรงอบอาหารทะเล ด้วยความร้อนจากโซลาร์เซลล์ค่ะ เก๋ดีใช่ไหมล่ะ ... ตรงนี้เป็นพี่ ๆ ที่กำลังติดตั้งกังหันลมค่ะ
เสร็จแล้วก็จะยืนได้แบบนี้...
และจะมีในเกือบทุก ๆ บ้าน
เราตั้งใจไว้ว่าจะต้องแวะมาเยี่ยมโรงเรียนหนึ่งเดียวในเกาะนี้ ที่ที่เป็นศูนย์การเรียนรู้ประจำเกาะด้วย
ระหว่างทาง...ยางพาราเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้เพียงไม่กี่อย่างของที่นี่ค่ะ



โรงเรียนบ้านเกาะพะลวย เป็นศูนย์การเรียนรู้สิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาดค่ะ ที่นี่เป็นเหมือนโรงเรียน ห้องสมุดและสถานที่รวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ของเกาะนี้



เราได้เจอกับคุณครูของที่นี่ ที่พาเราชมโรงเรียนจนทั่ว เราก็ได้แต่คิดว่าถ้าที่ที่เราอยู่มีการจัดการพลังงานและความเป็นอยู่แบบที่นี่ มันน่าจะดีมาก ๆ




แต่ที่นี่เหมาะกับนักท่องเที่ยวแบบติดดิน ใช้ชีวิตง่าย ๆ อยู่ได้กับความพอเพียงจากธรรมชาติ เราได้แต่แอบหวังว่าที่นี่จะยังคงความเป็น Virgin ไปตลอด



ท่าเรือที่เดิม เรือลำเดิมที่พาเรามาจอดรออย่างนิ่งสงบ ถึงเวลาต้องลากันอีกแล้วสินะ
จากท่าเรือถ้าหันหน้าออกทางทะเล เราได้แต่กล่าวคำอำลากับสถานที่หนึ่งในใจ "เขาตาเสียม" สัญลักษณ์ของที่นี่ สัญญาว่าเราจะไม่ลืมมิตรภาพที่เราได้รับเลยค่ะ ผู้คนส่วนใหญ่ที่เราเจอมีน้ำใจจากแววตา ขอให้รักษามันไว้ตลอดไปนะพะลวย...แล้วเราจะกลับมาอีก
นั่งเรือกันมาอีกอึดใจแม้ว ขึ้นมาถึงฝั่งดอนสักปุ๊บร่างกายก็เรียกร้องคาเฟอีนกันเลยค่ะ ห่างหายไม่เจอกันสามวันพี่คิดถึง
ร้านนี้ตามอากู๋มาค่ะ อยู่ในตัวเมือง หาง่าย ไปจัดกันสักสองสามชอตเถอะ





จัดคาเฟอีนเข้าเส้นกันแล้วหันมามองตากัน แล้วตกลงกันว่าเรามาถึงนี่แล้วจะไม่ลองลิ้มรสของดีที่นี่ ก็จะเป็นการจบทริปแบบไม่สมบูรณ์ เราต้องไปหาหอยใหญ่กินกัน
ร้านลำพู สาขาไหนไม่แน่ใจ จัดไปรัว ๆๆๆ





มื้อนี้พันกว่า ๆ คุ้มค่าความฟิน กว่าจะได้ลากท้องอิ่ม ๆ ออกจากสุราษฎร์ธานีวันนั้นก็ช่วงบ่ายแก่ ๆ แล้วค่ะ ถึงภูเก็ตก็ค่ำ ๆ กันแล้ว
สรุปค่าใช้จ่ายทริป "หอย (นางรม) ใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ"
ค่าเรือหางยาว ค่าอาหารค่ำ ค่ารถแว้นทั่วเกาะ ค่าที่พัก 2 คืน เฉลี่ยแล้ว 1,600 บาทต่อคน จากทั้งหมด 5 คนค่ะ
ทริปนี้ตามรอยได้ตามนี้เลย
Check in :: Virgin Island, Thailand
Chill out :: มากมายหลายสิ่ง คือจริง ๆ ทุกจุดที่บอกมาด้านบน
GPS :: 9.529226, 99.684166
เฟซบุ๊ก : เกาะพะลวย กรีนไอส์แลนด์
Tips & Tricks
ใครกลัวแพ้ยุงอย่าลืมพกยาทากันยุงไปด้วยนะ
บนเกาะมีร้านโชห่วยค่ะ เครื่องดื่มเย็น ๆ ทั้งหลายก็พอจะมี
เช็กเวลาเรือให้ดี ๆ จะได้ไม่ตกเรือนะคะ วันละเที่ยวเดียวเท่านั้น
Ocean Pack ห้ามลืม
แดดร้อนมาก อาบครีมกันแดดกันด้วยนะ
จุดชมวิววัวตาหลับ ไหน ๆ ถ้าไปเหยียบเกาะแล้วไปให้ถึงยอดนะ
ขาส่องนกเตรียมอุปกรณ์ไปให้พร้อมนะ นกเยอะมากกกกกกก
ตามไปเช็กอินชิลเอาท์ที่อื่น ๆ กับพวกเราตามลิงก์นี้เลยค่ะ
เฟซบุ๊ก : Check in Chill out

สุดท้ายไปเที่ยวที่ไหนเอากลับมาแค่ภาพถ่าย ทิ้งไว้แต่รอยยิ้มและความทรงจำก็พอค่ะ ^__^
แนะนำที่ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร พร้อมคูปองส่วนลดโรงแรม เพียบ
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ได้ที่นี่
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Check in Chill out สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก Check in Chill out








เพื่อความเข้าใจง่ายขึ้นเราขอแนบรูปแผนที่โดยรวมของเกาะพะลวย Credit : คุณ Green Island เจ้าของกระทู้นี้เลยค่ะ เกาะพะลวย...ต้นแบบเกาะพลังงานสะอาดแห่งแรกของไทย

เช้าวันหนึ่งวันนั้นเมื่อปีที่ผ่านมา [วันไหนจำไม่ได้] เรานัดเจอเดอะแก๊งเสร็จสรรพก็ได้ฤกษ์ล้อหมุนออกจากภูเก็ตกันค่ะ พุ่งตรงไปลงเรือที่ท่าเรือดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานีกันเลย จากท่าตรงนี้เรือจะออกทุกวันคู่ แต่จะมีอีกท่าใกล้ ๆ กันที่จะออกสลับวันกันค่ะ ดูข้อมูลเพิ่มเติมจากลิงก์นี้เลย
th.wikipedia.org/wiki/เกาะพะลวย
ตรงท่าเรือจะมีที่รับฝากรถเป็นบ้านของชาวบ้านแถวนั้น ซึ่งต้องฝากกุญแจรถไว้ด้วยนะ ในใจก็แอบกลัว แต่จากการแหลงใต้กันไปมาก็ได้ความว่าทุกคันก็ฝากไว้แบบนี้ เพราะเผื่อมีที่ว่างหรือรถคันอื่นจะถอยเข้าบ้าน เจ้าของบ้านก็จะสามารถขยับรถให้เราได้ เอาก็เอาวะ มาถึงนี่แล้ว

ตั๋วเรือต่อเที่ยวคนละ 150 บาท ระหว่างรอเรือออกยังพอมีเวลา เลยเดินออกมาปากทางเข้าท่าซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก ซื้อของใช้จำเป็นติดตัวที่ร้านสะดวกซื้อ แล้วแวะหาอะไรใส่ท้องกัน

ร้านเพิงเล็ก ๆ ตรงหน้าปากซอย ขายอาหารตามสั่งธรรมดาแต่ที่ไม่ธรรมดา คือรสชาติแซ่บแบบไม่มีกระแดะ ผัดเครื่องแกงถึงเครื่องจริง ๆ หอมกลิ่นกระทะ ไข่เจียวฟู กรอบนอกนุ่มใน อืมมมมมม...กินกันจนเหงื่อตกกันเลยทีเดียว ที่สำคัญข้าวราดโปะไข่จานละไม่เกิน 35 บาท !! ร้านไหนในภูเก็ตกล้าขายบ้างยกมือขึ้น มื้อนี้มีเพิ่มข้าวไข่เจียวหมูสับมาตบท้าย ฮ่า ๆ

ซัดกันไปหมดจานก็มาขึ้นเรือกันค่ะ (อิ่มมาก คิดในใจว่าที่กินไปจะกลายเป็นอาหารปลาไหมหนอ)

ชีวิตที่ภูเก็ตทำให้เราไม่ค่อยได้นั่งเรือเฟอร์รี่แบบนี้บ่อยนัก แล้วยังจะมีฝูงนกนางนวลสีขาวสะอาดตามากมายที่บินมาโฉบกินปลาจากท้ายเรือ นอกจากจะเรียกเสียงชัตเตอร์ได้พักใหญ่แล้ว ยังสร้างความประทับใจจากชาวเกาะภูเก็ตอย่างพวกเราได้มากมายเลยค่ะ


เรือแล่นไปเนิบ ๆ เพื่อนร่วมเดินทางของเรา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านบนเกาะ ต่างก็ใช้เวลาช่วงนี้ (ถอนผมคัน ผมหงอก หรือหาเหา) กันไปตามอัธยาศัย

แล่นเนิบ ๆ ต่อไป "ปลาโลมาสีชมพู ๆๆ" เสียงเล็ก ๆ จากเด็กน้อยที่กำลังชี้ไปกลางทะเล เรามองตามไปเห็นแก๊งปลาโลมาสีชมพูกำลังดำผุดดำว่ายขึ้นมาโชว์ตัวกันอย่างสนุกสนาน ดูกันเพลิน เด็กอันดามันไม่เคยเห็นนะ เสียดายรูปที่ได้มามันไม่ชัดเท่าภาพในความทรงจำเลย (แก้ตัวน้ำขุ่น ๆ จริง ๆ แล้วคือถ่ายไม่ทัน ฮ่า ๆ)




เรือแล่นมาได้สักชั่วโมงหนึ่งก็ชะลอความเร็วลงเพื่อขนถ่ายของที่บรรทุกมาลงเรือลำเล็ก ที่มาจอดรอท่าอยู่แล้วค่ะ จำชื่อเกาะไม่ได้จริง ๆ
โชคดีอีกแล้ว...วันนั้นอากาศดีมาก

ลงของกันเสร็จก็แล่นต่อมาอีกนิดหนึ่ง สมาชิกในเรือเริ่มลุกขึ้นเก็บของเตรียมตัวลงจากเรือกัน เรือลัดเลาะมาตามร่องน้ำเรื่อย ๆ เราจะได้เจอกันแล้วสินะ Virgin Island

เขาสูงสง่าด้านขวาคือ "เขาตาเสียม" สัญลักษณ์ของเกาะพะลวยค่ะ

กะด้วยสายตาแล้ววันนี้เราน่าจะเป็นเพียงนักท่องเที่ยวแหลงใต้กลุ่มเดียวที่นี่


ก่อนมาเราได้จองที่พักที่นี่ไว้แล้ว เป็นที่พักอยู่บนอ่าว 2 จากทั้งหมด 4 อ่าว ในเกาะพะลวย มีอาจารย์พีระพลเป็นผู้ดูแลที่นี่ มานั่งพูดคุยทักทายผู้มาเยือนกันด้วยค่ะ

ถึงห้องพักแล้ว บริเวณนี้เป็นระเบียงหน้าบ้าน บ้านไม้หลังใหญ่แยกเป็นหลัง ๆ ใต้ถุนยกสูง วิวสบายปอด เดินสบายเท้าดีแท้

ห้องนี้ 1,200 บาทต่อคืนค่ะ รวมมื้อเช้า นอนได้ 4 คนสบาย ๆ มีห้องน้ำในตัว ที่นี่มีน้ำกินน้ำใช้ค่อนข้างจำกัด เพราะต้องอาศัยน้ำจากภูเขาหรือน้ำฝน จึงไม่แนะนำให้ใช้น้ำเหมือนตอนอยู่บ้าน และนำเครื่องใช้ไฟฟ้ามาเท่าที่จำเป็นนะคะ เพราะพลังงานไฟฟ้าที่ใช้เป็นพลังงานที่ได้มาจากแผงโซลาร์เซลล์ค่ะ
ป.ล. มีพันธมิตรจากเกาะพะลวยเพิ่งบอกมาว่าที่นี่สร้างจากเสาไม้มังคุดด้วยอะ แจ่มมมมมมมมมอะ

มาถึงที่แล้วก็ต้องไปทำความเคารพเยี่ยมเยียนบุคคลที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนที่เกาะนี้เพื่อเป็นสิริมงคลกันค่ะ อาจารย์พลได้แนะนำว่าที่นี่เป็นที่แรกที่ไม่ควรพลาดเลยเมื่อมาถึงพะลวย

เรานั่งโขยกเขยกท้ายรถกระบะ 4WD ไม่เกินสามนาทีจากที่พักก็มาถึงสำนักสงฆ์ประจำเกาะ ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเห็นวิวหมู่เกาะอ่างทองสุดลูกหูลูกตา ที่นี่มีพระภิกษุรูปเดียวค่ะ


ท่านคือ หลวงพ่อศรี หลวงพ่อบวชมาได้ 24 ปีแล้วค่ะ การได้พูดคุยกับท่านทำให้เราได้ทราบว่าพื้นเพท่านเป็นคนภาคกลาง แรกเริ่มเดิมทีท่านบวชเพราะอยากทดแทนบุญคุณคุณแม่หลังจากเกษียณจากงานประจำในตำแหน่งพันเอกพิเศษสังกัด บก.สูงสุด แต่ด้วยการที่คุณแม่ท่านได้ฟื้นจากอาการป่วย ท่านเชื่อว่าเป็นอานิสงส์จากการบวชครั้งนั้นท่านก็ไม่สึกอีกเลย

เมื่อแปดปีที่แล้วหลวงพ่อได้ตามพระเกจิอาจารย์ของท่าน หลวงปู่ละมัย แห่งสำนักสงฆ์สวนสมุนไพร จังหวัดเพชรบูรณ์ มาทำพิธีพุทธาภิเษก ปลุกเสกพระจตุคามรามเทพที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ท่านได้มีโอกาสคุยกับญาติโยมที่นั่นถึงเกาะแห่งนี้ ได้ความว่ามีวัดร้าง ประกอบกับชาวบ้านที่นี่เมื่ออยากจะทำบุญก็ไม่มีพระท่าน เลยได้รับนิมนต์ให้มาจำพรรษาที่นี่ช่วงก่อนเข้าพรรษาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

หลวงพ่อได้เล่าให้เราฟังว่า ก่อนหน้าที่ท่านจะมาอยู่ที่นี่วิถีชีวิตของชาวเกาะพะลวยแห่งนี้ยังต้องการคนที่จะมาช่วยพัฒนา เนื่องจากการขาดการดูแลระบบสาธารณูปโภคที่ถูกต้อง ทั้งระบบน้ำกิน น้ำใช้ และไฟฟ้าในครัวเรือน

หลวงพ่อยังได้ออกแบบบ้านเรือนที่อยู่อาศัยให้ชาวบ้านที่นี่ จากพื้นฐานแนวคิดให้สามารถสร้างบ้านที่แข็งแรง ราคาถูก พัฒนาการใช้เครื่องแปลงไฟ การใช้ไฟ LED ที่ท่านได้ทำหลอดแจกกันแทบทุกบ้าน หรือแม้แต่การรักษาโรคด้วยตำรายาสมุนไพรต่าง ๆ ที่ท่านได้เรียนรู้มาจากการติดตามหลวงปู่ละมัยในครั้งอดีต

เราได้เดินสำรวจรอบ ๆ สำนักสงฆ์ ที่นี่เป็นแหล่งที่อยู่ตามธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อย่างมาก เป็นอีกที่ที่เราได้เห็นนกเงือกกันแบบไม่มีเหนียมอายเลยค่ะ

สนทนากันจนอิ่มเอมเปรมใจแล้วเราก็ต้องกล่าวคำอำลาจากที่นี่ ท้องก็เริ่มส่งเสียงจ๊อก ๆๆ เราให้พี่ ๆ พลขับพาเราไปร้านอาหารทะเลใกล้ ๆ เป็นร้านเดียวละแวกนี้ค่ะ พี่น้อย แม่ครัวคนเก่งออกมาต้อนรับเราอย่างเป็นกันเอง

เรามาแบบไม่ได้แจ้งล่วงหน้า พี่น้อยก็เลยมานั่งควานหาวัตถุดิบจากท่าน้ำหน้าร้านให้เราตอนนั้นเลยค่ะ สดเว่อร์


พี่น้อยบอกว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นเรือทัวร์จากเกาะสมุย เกาะวัวตาหลับ รวมไปถึงนักท่องเที่ยวบนเกาะพะลวยเอง ร้านจะเปิดเฉพาะมื้อกลางวัน ใครที่จะมาทานมื้อค่ำที่นี่ควรจะโทรมาจองกันล่วงหน้าก่อนค่ะ วิวจากร้านระหว่างรออาหารก็ฟินไปกับบรรยากาศพระอาทิตย์ค่อย ๆ ลับขอบฟ้า

ฟังเสียงตำพริกแกง เสียงมีด เขียง โขลก สับกันพักใหญ่ ก็เริ่มแจกอาวุธกันได้แล้วค่ะ มื้อนี้เท่าที่ถ่ายมาได้ก่อนจะหน้ามืดตาลายวางกล้อง มีปลาทอดน้ำปลา สดมาก กรอบมาก อร่อยมาก...แทบจะกินก้าง เนื้อปลากระบอกต้มขมิ้นร้อน ๆ อืม...และปูม้าลวกกับน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบแซ่บจนปากเจ่อ ไม่ต้องพึ่งฟิลเลอร์กันเลย จริง ๆ แล้วมื้อนี้มีอีกหลายเมนูแต่หิวจัด แร้งลงบอกเลย

พี่น้อยบอกว่าที่นี่จะไม่มีการเก็บวัตถุดิบข้ามคืนเนื่องจากไฟฟ้าในเกาะจะใช้ได้ถึงสี่ทุ่ม หลังจากนั้นก็จะมีแค่ไฟจากตะเกียงหรือไฟฉาย บ้านไหนที่อยากใช้ไฟฟ้าข้ามคืนก็ต้องอาศัยเครื่องปั่นไฟ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้อาหารสดอยู่เสมอค่ะ

คืนนั้นเราทั้งอิ่มตา อิ่มท้อง และอิ่มใจกับบรรยากาศและบทสนทนากับความน่ารักของคนเกาะพะลวย
ตื่นเช้าอีกวันด้วยเสียงร้องปลุกของเจ้านกฝูงนี้ค่ะ ตัวนี้เหมือนจะรู้มาโพสท่าให้ถ่ายจากหน้าระเบียงอยู่สักพักแล้วก็บินจากไป


อาบน้ำแต่งตัวไปเติมพลังกันนนนนนนนน กองทัพเดินด้วยท้องนะ เรื่องกินเรื่องใหญ่พี่บาบาร่าได้กล่าวไว้


วันนี้เราจะไปที่ยวหมู่เกาะอ่างทองกันค่ะ แว้นเรือหางยาวไปจากเกาะพะลวยประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเกาะวัวตาหลับ เคยอ่านเจอว่าวิวจากจุดชมวิวชั้นบนสุดวิวอย่างเทพ !! เป็นจุดหนึ่งที่สวยที่สุดในประเทศไทย

มาถึงนี่แล้วมีหรือจะพลาดกับ 500 เมตร เบา ๆ เพื่อพิชิตยอดเขาและวิวเทพ ๆ จัดไป


แต่ ๆๆๆๆๆ เราคิดผิด ระยะทางแค่ 500 เมตร แต่ดูทางขึ้นสิ ฮืออออออออ

ระหว่างทางจะมีจุดพักชมวิวเรื่อย ๆ ถึงประมาณครึ่งทางพวกเราครึ่งหนึ่งหอบแฮก ๆ ถอดใจกลับลงไปนั่งซดอะไรเย็น ๆ รอหน้าหาดกันเลย เหลือกันอยู่ 3 คน ตัดสินใจไปต่อ !

จากจุดหนึ่งไปอีกจุด...วิวสวยขึ้นเรื่อย ๆ เลย

ถึงจุดนี้...ไม่ผิดหวังเลย ลืมเหนื่อยไป 5 วินาที

และถึงจุดนี้...หมดแรงข้าวต้มกุ้งเลยยยยยย มองลงไปทางขึ้นจะน่าตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอขาสั่นกันเลยนะขอบอก

แชะภาพไกด์ตัวน้อยตัวใหญ่ของเราไว้เป็นที่ระลึกค่ะ ทั้งสามคนขึ้นไปเป็นเพื่อน ช่วยยื้อยุดฉุดกระชากกันจนถึงจุดสูงสุด เราจะไม่ลืมน้ำใจ แววตาบริสุทธิ์สดใส และมิตรภาพของพวกเขาเลย ถ้าไม่มีสามคนนี้เราคงปีนไปไม่ถึงแน่ ๆ

ลงมาจากจุดชมวิวต้องมานอนแผ่หายใจกันพักหนึ่ง ก่อนจะไปจัดมื้อเที่ยง ณ ร้านอาหารของเกาะวัวตาหลับ จัดไปรัว ๆ ตามนี้







อิ่มกันแล้วก็ไปแว้นกันต่อ นั่งเรือออกมาจากเกาะวัวตาหลับอีกไม่กี่อึดใจเราก็จะถึงจุดชมวิวสวย ๆ อีกหนึ่งจุด ที่นี่คือทะเลในค่ะ ลักษณะทางกายภาพคือเป็นเขาหินปูน แต่มีการสร้างบันไดทอดไปตามช่องเขาให้เราเดินได้สบาย ๆ กว่าเกาะวัวตาหลับ (ไกด์ตัวจิ๋วของเราบอกว่างั้นนะ) แต่ ๆๆ นี่คือสิ่งที่เจอ

ทางสบายกว่าจุดแรกนิดหนึ่ง เดอะแก๊งบางคนกลัวความสูงแอบขาสั่นเพราะบันไดบางช่วงชันมาก 180 องศา แต่พอปีนป่ายมาจนถึงจุดชมวิวสวยแบบนี้ก็หายเหนื่อย

แผนการเที่ยวของเราคือไม่มีแผนค่ะ หลังจากปีนป่ายกันเหงื่อโทรมกายก็อยากมาพักร่างชิล ๆ ไกด์พาแวะมาที่อ่าวสองพี่น้องค่ะ เรือหางยาวลำที่เห็นลิบ ๆ เป็นเรือเราเองที่เช่าจากทางรีสอร์ท อยากไปไหนก็ไป ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอากาศและอารมณ์ของผู้โดยสารแบบเราล้วน ๆ

ด้านซ้ายมือหลังโขดหินมีอีกอ่าวเล็ก ๆ โขดหินสูงบังแดดได้เป๊ะ เราเช่าเรือแคนูชั่วโมงละ 200 บาท พายไปเล่นน้ำกันตรงนั้น น้ำเย็นพอดี อากาศดี ไม่มีผู้คนเยอะแยะรำคาญใจเลย...ชอบตรงนี้ ขาดก็แต่เครื่องดื่มย้อมใจนี่แหละ ฮ่า ๆ

ชิลกันสักพักระหว่างทางกลับเห็นชาวบ้านกำลังชำแหละเม่นทะเลเพื่อส่งขายกัน ขอซื้อมาถุงหนึ่ง (ร้อยเดียว !!) ให้ที่รีสอร์ททำยำแซ่บ ๆ กับแกล้มคืนนี้สินะ

ชาวบ้านที่นี่มีอาชีพหลักคือทำประมง โดยจะรวบรวมสัตว์ทะเลที่ได้แล้วไปขายยังฝั่งบ้านดอนหรือเกาะสมุย ไข่เม่นทะเลคือหนึ่งในสินค้าจากที่นี่

ค่ำวันนี้ตั้งวงกับเดอะแก๊งและเดอะไกด์ ลมเอื่อย ๆ ริมทะเล เสียงกีตาร์จากไกด์ผิวน้ำผึ้งของเรากล่อมเบา ๆ กินอิ่ม ๆ หลับแบบถอดวิญญาณกันเลย ตื่นเช้าอีกวันสายโด่งเลยค่ะ กว่าวิญญาณพี่จะกลับเข้าร่างน้องเงือกก็หายกันไปหมดแล้ว

วันนี้ต้องกลับกันแล้ว หลังจากเที่ยวแบบหฤโหดกันมาเมื่อวาน วันนี้ขอเที่ยวเล่นแบบสบาย ๆ บ้าง

เดินดูใกล้ ๆ ที่พักเราเจอสิ่งนี้ นี่คือส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์จากทะเลของที่นี่ ที่เห็นโค้ง ๆ คือโรงอบอาหารทะเล ด้วยความร้อนจากโซลาร์เซลล์ค่ะ เก๋ดีใช่ไหมล่ะ ... ตรงนี้เป็นพี่ ๆ ที่กำลังติดตั้งกังหันลมค่ะ

เสร็จแล้วก็จะยืนได้แบบนี้...

และจะมีในเกือบทุก ๆ บ้าน

เราตั้งใจไว้ว่าจะต้องแวะมาเยี่ยมโรงเรียนหนึ่งเดียวในเกาะนี้ ที่ที่เป็นศูนย์การเรียนรู้ประจำเกาะด้วย

ระหว่างทาง...ยางพาราเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้เพียงไม่กี่อย่างของที่นี่ค่ะ



โรงเรียนบ้านเกาะพะลวย เป็นศูนย์การเรียนรู้สิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาดค่ะ ที่นี่เป็นเหมือนโรงเรียน ห้องสมุดและสถานที่รวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ของเกาะนี้



เราได้เจอกับคุณครูของที่นี่ ที่พาเราชมโรงเรียนจนทั่ว เราก็ได้แต่คิดว่าถ้าที่ที่เราอยู่มีการจัดการพลังงานและความเป็นอยู่แบบที่นี่ มันน่าจะดีมาก ๆ




แต่ที่นี่เหมาะกับนักท่องเที่ยวแบบติดดิน ใช้ชีวิตง่าย ๆ อยู่ได้กับความพอเพียงจากธรรมชาติ เราได้แต่แอบหวังว่าที่นี่จะยังคงความเป็น Virgin ไปตลอด



ท่าเรือที่เดิม เรือลำเดิมที่พาเรามาจอดรออย่างนิ่งสงบ ถึงเวลาต้องลากันอีกแล้วสินะ

จากท่าเรือถ้าหันหน้าออกทางทะเล เราได้แต่กล่าวคำอำลากับสถานที่หนึ่งในใจ "เขาตาเสียม" สัญลักษณ์ของที่นี่ สัญญาว่าเราจะไม่ลืมมิตรภาพที่เราได้รับเลยค่ะ ผู้คนส่วนใหญ่ที่เราเจอมีน้ำใจจากแววตา ขอให้รักษามันไว้ตลอดไปนะพะลวย...แล้วเราจะกลับมาอีก

นั่งเรือกันมาอีกอึดใจแม้ว ขึ้นมาถึงฝั่งดอนสักปุ๊บร่างกายก็เรียกร้องคาเฟอีนกันเลยค่ะ ห่างหายไม่เจอกันสามวันพี่คิดถึง

ร้านนี้ตามอากู๋มาค่ะ อยู่ในตัวเมือง หาง่าย ไปจัดกันสักสองสามชอตเถอะ





จัดคาเฟอีนเข้าเส้นกันแล้วหันมามองตากัน แล้วตกลงกันว่าเรามาถึงนี่แล้วจะไม่ลองลิ้มรสของดีที่นี่ ก็จะเป็นการจบทริปแบบไม่สมบูรณ์ เราต้องไปหาหอยใหญ่กินกัน

ร้านลำพู สาขาไหนไม่แน่ใจ จัดไปรัว ๆๆๆ





มื้อนี้พันกว่า ๆ คุ้มค่าความฟิน กว่าจะได้ลากท้องอิ่ม ๆ ออกจากสุราษฎร์ธานีวันนั้นก็ช่วงบ่ายแก่ ๆ แล้วค่ะ ถึงภูเก็ตก็ค่ำ ๆ กันแล้ว
สรุปค่าใช้จ่ายทริป "หอย (นางรม) ใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ"
ค่าเรือหางยาว ค่าอาหารค่ำ ค่ารถแว้นทั่วเกาะ ค่าที่พัก 2 คืน เฉลี่ยแล้ว 1,600 บาทต่อคน จากทั้งหมด 5 คนค่ะ
ทริปนี้ตามรอยได้ตามนี้เลย
Check in :: Virgin Island, Thailand
Chill out :: มากมายหลายสิ่ง คือจริง ๆ ทุกจุดที่บอกมาด้านบน
GPS :: 9.529226, 99.684166
เฟซบุ๊ก : เกาะพะลวย กรีนไอส์แลนด์
Tips & Tricks







ตามไปเช็กอินชิลเอาท์ที่อื่น ๆ กับพวกเราตามลิงก์นี้เลยค่ะ
เฟซบุ๊ก : Check in Chill out

สุดท้ายไปเที่ยวที่ไหนเอากลับมาแค่ภาพถ่าย ทิ้งไว้แต่รอยยิ้มและความทรงจำก็พอค่ะ ^__^


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Check in Chill out สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก Check in Chill out