****** เรื่องราวการแบกเป้ โบกรถ เที่ยวกับคนไม่รู้จัก พักกับคนไม่รู้ใจ (ครั้งแรกในชีวิต) *******
คำเตือน : อาจมีถ้อยคำไม่สุภาพและอาจสับสนในการอ่าน เนื่องจากข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นนักเขียน (รูปเยอะมากขออภัยครับ)
....เรื่องมันเริ่มขึ้นจากคอมเม้นท์เล็ก ๆ ในกลุ่มเฟซบุ๊กท่องเที่ยวที่พวกเราเป็นสมาชิก ทีแรกคิดว่าคงจะชวนกันเล่น ๆ ไป ๆ มา ๆ ตั้งกลุ่มในไลน์เป็นจริงเป็นจัง สรุปได้สมาชิกมา 5 คน ตกลงสถานที่ วัน เวลาอย่างเอาเป็นเอาตาย มติที่ได้มาคือ น้ำตกทีลอซู วันที่ 6-8 มิถุนายน แต่ถึงวันกำหนดจริงก็มีเหตุจำเป็นให้เพื่อนในกลุ่มอีก 2 คน มากับเราด้วยไม่ได้ แต่ยังไงก็ไม่ทิ้งความตั้งใจครับ ตกลงกันแล้วยังไงก็ไปต่อ และแล้วพวกเราก็เหลืออยู่ 3 คน ดังนี้
เจ้จุ ตัวตั้งตัวตีทริปนี้ครับ ผู้ที่ลางานล่วงหน้ามาหลายสัปดาห์ และมีเหตุให้เจ้ต้องลางานต่อเนื่อง 555+5
น้องแก้ม นักศึกษาการจัดการการกีฬา ดีกรีนักกีฬาคาราเต้-โด ผู้ที่มีความสามารถพิเศษคือร้องเพลงไม่เคยจบสักเพลง
และผม แม็กซ์ ผู้ชายหน้าโจร ที่เผือกผิวหนังบอบบาง เป็นภูมิแพ้ฝุ่น น้ำ อากาศ, ไมเกรน, ไซนัส และอื่น ๆ อีกมากมาย
จากนั้นพวกเรานัดกันที่หมอชิต กำหนดเวลา 2 ทุ่มครึ่ง (คนนัดมาถึง 3 ทุ่มกว่าจ้า) เข้าใจเจ้นะ เจ้ทำงานหนัก ^^ ถึงปั๊บซื้อตั๋วรถยิงตรงอำเภอแม่สอด ด้วยค่ารถทัวร์ 410 บาท รถออก 23.00 น. พวกเราไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว คุยกันแค่ผ่านไลน์กลุ่ม เจอกันก็แค่ชั่วโมงกว่าก่อนขึ้นรถ แต่พวกเราสนิทกันเร็วมาก ๆ ได้เวลารถออกแต่ก็งง ๆ ทำไมถึงไม่ออกซะที มีความวุ่นวายนิดหน่อยครับ มีชาวต่างชาติสองคนนอนถอดเสื้อทำให้ไม่มีใครกล้าไปนั่งใกล้ กว่ารถจะออกได้ก็เกือบเที่ยงคืน พอรถออกได้เท่านั้นล่ะ หลับเลยครับผม
นั่ง ๆ นอน ๆ หลับ ๆ ตื่น ๆ พวกเราก็มาถึง บขส. แม่สอด ด้วยการเดินทางราว ๆ 7 ชั่วโมง จากนั้นพวกเราก็เริ่มการโบกรถกันเลย เอ้าลุย.....!!!!!
และแล้วโบกรถคันแรก...ครั้งแรก (ในชีวิต) ก็สำเร็จ ดีใจมากวิ่งตัวปลิวกระโดดขึ้นรถแบบไม่ต้องถามเลยจ้ะ คันแรกไปส่งพวกเราถึงวงเวียนทางแยกไปอุ้มผาง
พวกเราก็แวะกินไก่จ๊อที่ท่ารถแล้วก็เดินต่อไป โบกไปเรื่อย ๆ จนได้คันที่ 2 เป็นรถพ่อค้าไม้ยูคา
ลงรถเสร็จก็เดินต่อ โบกต่อ ก็ได้รถคันที่ 3 (หล่อเว่อร์ มาดเซอร์ยังกับ บอม ธนา) พี่เขาส่งพวกเราถึงด่านตรวจครับ
ถึงด่านตรวจแวะเข้าห้องน้ำที่ด่าน พี่ตำรวจใจดีโบกรถคันที่ 4 ให้พวกเราไปลงที่อำเภอพบพระ ขอบคุณคุณตำรวจ และรถ “น้องพี” ที่ให้พวกเราติดรถมาด้วยครับผม
ถึงอำเภอพบพระก็ลาน้า ๆ หลังรถแล้วก็เดินโบกรถต่อครับ ตรงนี้โบกนานนิดหนึ่ง ไม่มีใครจอดเลย แล้วก็เจอคนใจดีครับ เป็นเจ้าหน้าที่ด่านตรวจเชิงดอย “BRAVO 26” เป็นคันที่ 5 ของพวกเรา
แล้วเจ้าหน้าที่ด่านตรวจก็โบกรถให้เราอีกคันครับเป็นคันที่ 6 คันนี้นั่งยาวจากจุดตรวจเชิงดอยมุ่งตรงสู่อำเภออุ้มผางเลยครับ เป็นรถเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ครับ (หน่วยฟื้นฟู) พี่เขาลงมาเอาต้นกล้าไม้ไปปลูกครับ หลังรถมีแต่กล้าไม้พวกเราเลยต้องนั่งหน้าตากแอร์เย็นสบาย สองนางหลับเลย พูดคุยกับพี่หมึก (เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้) ได้ฟังเรื่องใหม่ ๆ เยอะเลยครับ ทั้งต้นไม้ การล่าสัตว์ ชนเผ่าต่าง ๆ และที่ผมถึงกับอึ้งคือต้นสนที่อยู่ข้างถนนส่วนมากจะเป็นต้นสนที่เจ้าหน้าที่ปลูก ต้นสนสูงไม่ถึง 20 เมตร ผมถามพี่หมึกว่าต้นสนพวกนี้อายุกี่ปี พี่แกตอบ 25 ปี เป็นอย่างต่ำ ผมนี่พูดไม่ออกเลย กว่าต้นไม้จะโต กว่าจะได้ร่มเงาหรือวิวสวย ๆ ข้างถนนมันต้องใช้เวลามากแค่ไหน และที่อึ้งกว่านั้นคือการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ที่เสียชีวิตไปกับการรักษาป่า รักษาสัตว์ป่า ปี ๆ หนึ่งเสียชีวิตไม่น้อยเลยครับ
นั่งรถมาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ทางพวกเราก็มาถึงอุ้มเปี่ยม (ศูนย์อพยพผู้ลี้ภัยบ้านอุ้มเปี่ยม) ครึ่งทางแล้ว ตรงนี้วิวสวยมาก ๆ ครับ พี่หมึกขอพักรถแล้วก็แวะดูพันธุ์กล้าไม้ แวะเข้าห้องน้ำด้วยครับ
ออกจากอุ้มเปี่ยมมารถความร้อนขึ้นครับ อาจเพราะบรรทุกของหนัก (หนักพวกเรามั้ง) เลยต้องจอดพักรถ เติมน้ำหมอน้ำ รอให้เครื่องเย็นแล้วก็ไปกันต่อ พี่หมึกบอกอีกว่ามีทางลัดแม่สอด-อุ้มผาง แต่เป็นทางที่ต้องผ่านเขตพม่า ใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมง แต่รถที่มีตราราชการ แต่งชุดทหาร หรือเครื่องแบบราชการไม่สามารถเข้าไปได้
และแล้วพวกเราก็ถึงแลนด์มาร์กอุ้มผางครับ เย่..เย่..เย่.. (หน้าเซเว่นฯ นั่นเอง) ร่ำลาพี่หมึกและหัวหน้ากรมป่าไม้ จบการโบรถเราใช้รถทั้งหมด 6 คัน ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร กับ 1,219 โค้ง ข้ามเขากี่ลูกอันนี้ลืมนับ^^ ไม่มีคำว่าอ้วกแม้แต่น้อย
นั่งรอเจ้าของรีสอร์ทมารับครับ นั่งรถอีกประมาณหนึ่งกิโลเมตรก็ถึงที่พักแล้วครับ “อุ้มผางแคมปิ้งทัวร์” แล้วสองนางก็สลบอีกรอบ รีสอร์ทนี้อยู่ใกล้ ๆ ท่าเรือล่องแพครับ ท่าเรืออยู่หน้ารีสอร์ทเลย สะดวกดี บรรยากาศนอนฟังเสียงน้ำไหล นกร้อง ฟินมากครับผม
เป็นเวลาพักผ่อนของสาว ๆ ครับ ผมก็เดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย พอตกเย็นก็แว้นมอเตอร์ไซค์คุณแม่เจ้าของรีสอร์ทไปหาของกินแล้วก็ซื้อของตุนไว้เตรียมเข้าป่าพรุ่งนี้เช้าครับ จากนั้นก็พักผ่อนกันครับ และแล้วจบไป 1 วัน กับการเดินทางครับ
ความโหดในการเดินทาง 7/10 ผมชอบลุย ๆ ครับ
ความสวยงามระหว่าทาง 10/10 เลยครับ ทิวเขาสวยมาก
ความเหนื่อยล้า 6/10 ทำนาที่บ้านเหนื่อยกว่านี้เยอะ อิอิ
รุ่งเช้าของอีกวันพวกเรานัดกับคนพายเรือ 07.30 น. ตื่นกัน 6 โมงนิด ๆ แว้นมอเตอร์ไซค์ไปซื้อหมูปิ้งเอาไว้กินระหว่างทาง เอาไว้กินตอนเที่ยงด้วย แล้วก็ใส่บาตรครับ เสร็จแล้วกลับมาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมของเดินป่า เรือพร้อม คนพายพร้อม แต่ผมยังไม่พร้อมเท่าไรเพราะยังง่วงอยู่เลยครับ เพลียกับการเดินทางด้วยมั้ง แต่ก็ไหวอยู่ครับผม แนะนำสมาชิกใหม่ที่ร่วมล่องแพไปกับเราอีก 2 คน ครับ ได้แก่
พี่วิน หนุ่มลูกครึ่งผู้นำทางการเดินป่าพร้อมเป็นคนพายเรือให้พวกเราด้วย แล้วก็ ลุงกล นายท้ายเรือ ผู้เชี่ยวชาญการหาปลา และใบ้หวยแม่นสุด ๆ 555555 ล่องเรือชมธรรมชาติชิล ๆ แดดร้อนนิด ๆ น้ำน้อยและขุ่นมากครับ ลุงกลบอกผมว่า ฝนยังไม่ค่อยตก แล้วที่น้ำขุ่นเป็นเพราะมันอยู่ในช่วงการทำการเกษตร ชาวบ้านไถที่ดิน ไถที่ไร่ ที่สวน พอฝนตกนิดหน่อยก็พัดเศษดินเศษโคลนไหลลงแม่น้ำเลยทำให้น้ำขุ่น
ล่องมาสักพักพวกเราก็เจอน้ำตกทีลอจ่อ (น้ำตกสายรุ้ง) แต่แอบผิดหวังนิด ๆ ครับ ไม่ได้เห็นรุ้ง ลุงกลบอกว่าเดือนนี้ดวงอาทิตย์ไม่ตรงกับช่องแม่น้ำ ต้องช่วงหน้าหนาวถึงจะตรงและเห็นเป็นสายรุ้งสวย
ต่อจากนั้นก็เจอบ่อน้ำร้อน ตั้งใจจะกินหมูปิ้งกันที่นี่ และแล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เจ้จุลืมหมูปิ้งไว้หน้าห้องที่รีสอร์ท งานหยาบแล้วครับ กว่าจะได้กินอะไรก็คงต้องรอถึงจุดกางเต็นท์เป็นแน่แท้ จะมีแรงเดินป่าไหมเนี่ยเจ้ หืมมมมมมม........!!! ลงไปแช่สักพักแล้วก็เดินทางกันต่อเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ระหว่างทางลุงกลก็ทอดแหไปด้วย 2-3 ฉาก ผมเลยดวลเหล้า 35 ดีกรี กับลุงซะหน่อย เหล้าต้มสูตรชาวบ้าน บอกเลยครับว่าเด็ดมาก !!!!! ร้อนวูบวาบทั้งตัวเลยครับผมมมมมมมมมม
ถึงจุดกางเต็นท์แล้วครับ ตรงนี้เสียค่าบริการให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคนละ 20 บาท ส่วนเต็นท์ เตาไฟ ถุงนอน พี่วินมีบริการให้ครับ ลืมบอกครับว่าพี่วินกับลุงกล ป็นคนของรีสอร์ทอุ้มผางแคมปิ้งทัวร์ที่พวกเราพักครับ ค่าห้องพัก+ค่าเช่าเรือยาง+ค่าคนพายเรือ (พี่วินกับลุงกล)+ค่าคนนำทาง (พี่วิน)+ค่าเต็นท์ 2 หลัง และถุงนอน ทั้งหมดนี้ตกคนละ 1,500 บาท X 3 = 4,500 บาท (ได้ส่วนลดพิเศษครับ) ถ้ามาหลาย ๆ คนหารถูกกว่านี้ครับ
พวกเราถึงจุดกางเต็นท์ก็หาอะไรกินเลยครับ ต้มน้ำร้อนพร้อมมาม่าคัพที่พวกเราเตรียมมา ง่ายและเร็ว ระหว่างพวกเรากำลังกินมาม่าอย่างเปรมปรีดิ์ พี่วินก็จัดแจงกางเต็นท์ให้เสร็จสรรพ จากนั้นเราก็เริ่มออกเดินเข้าน้ำตกด้วยระยะทางอีก 1.5 กิโลเมตร
ที่สุดของที่สุดกับการเดินทาง จุดหมายคือที่นี่ครับ "น้ำตกทีลอซู" ถึงน้ำจะน้อยแต่ผมบอกเลยว่าสวยมาก พวกเราถ่ายรูปและเล่นน้ำอยู่ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ด้วยเป็นช่วงที่ปิดป่าเพื่อฟื้นฟู เลยไม่มีนักท่องเที่ยว น้ำตกในวันนี้เลยเป็นของพวกเรา 5555
พวกเรามาเที่ยวช่วงปิดป่าเลยต้องเดินเท้าเข้ามาไกลพอสมควร ถ้าเป็นช่วงเปิดป่าสามารถเอารถเข้ามาถึงจุดกางเต็นท์ได้เลย เดินเพียง 1.5 กิโลเมตร ก็ถึงน้ำตกแล้ว วัน/เวลากำหนดเปิด-ปิดป่า ต้องติดต่อทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่านะครับ แต่ละปีเปิด-ปิดไม่เท่ากันครับ แต่ก็ 2 เดือนโดยประมาณ ช่วงมิถุนายน-ตุลาคม
หลังจากอิ่มหนำกับการถ่ายรูปแล้ว เล่นน้ำแล้ว พวกเราก็เดินกลับจุดกางเต็นท์เพื่อเตรียมมื้อเย็น การเดินทางแบกเป้โบกรถของพวกเราถือว่าบรรลุจุดหมายที่ "น้ำตกทีลอซู" การเดินทางที่ได้ครบทุกรสชาติ ได้เจออะไรใหม่ ๆ ได้เปิดโลกของตัวเองให้กว้างขึ้น ปิดท้ายวันนี้ด้วยอาหารมื้อพิเศษที่พวกเราแบกมากันเอง ดินเนอร์ใต้แสงตะเกียงท่ามกลางหมู่ดาวนับล้าน ๆ ดวง ข้าวต้ม (สุกหรือเปล่าวะ) 1 หม้อ กับข้าว 2 อย่าง กินด้วยกัน 3 คน อิ่มข้าวจนจุกเลยครับ ^^ ไม่ต้องการหรอกอาหารหรู ๆ หรือที่นอนนุ่ม ๆ มีแค่เพื่อนร่วมทางที่ดีก็มีความสุขแล้ว ออกไปนอนกลางดินกินกลางทรายแล้วคุณจะรู้ว่าความสุขมันไม่ได้หายากเลย ผมคงไม่ได้มีโอกาสนอนเต็นท์ในป่า กินข้าวกับพื้นหญ้าแบบนี้ทุกวัน แต่คุณรู้ไหมมันเป็นมื้อที่ผมประทับใจมาก
ขอบคุณน้องแก้มกับข้าวต้ม
ขอบคุณเจ้จุกับปลากระป๋อง
ขอบคุณพี่วินที่พายเรือและนำทาง
ขอบคุณลุงกลที่พายเรือ
ขอบคุณตัวเองที่เปิดโอกาสให้ตัวเอง
จากนั้นก็นอนนับดาวหน้าเต็นท์ เม้าท์มอยกันแบบเอาฮา แลกเปลี่ยนความคิด แชร์ประสบการณ์การเที่ยวที่ต่าง ๆ จนแยกย้ายกันนอน
ความสวยงามระหว่างทาง 10/10 ชอบอะไรเขียว ๆ ตรงนี้ให้เต็ม (สายเขียว ^^)
ความเหนื่อยล้า 8/10 เพราะเดินไกล แต่ความเหนื่อยก็หายไปเมื่อผมเจอน้ำตกทีลอซู อันนี้ทะลุล้านคะแนนเลยครับ ติดใจมาอีกรอบแน่ ๆ
เช้าวันที่ 3 วันนี้พวกเราต้องเดินทางออกจากป่าไปขึ้นเรือที่ท่าทราย ที่เดิมที่พวกเราเดินมา หลังจากตื่น อาบน้ำ ทำธุระเสร็จ พี่วินเจ้าเก่าก็จัดการพังเต็นท์เก็บเข้าที่ น้องแก้มก็ตื่นมาอุ่นข้าวต้ม ผมกับเจ้จุก็เดินเก็บภาพบรรยากาศตอนเช้าของเขตครับ เช้า ๆ อากาศดีมาก ๆ ครับ กลางคืนก็เย็นสบาย แต่เหมือนจะมีหมูป่าลงมาที่เต็นท์พวกเราตอนกลางคืน เช้ามืดก็มีไก่ป่าลงมา 40-50 ตัว (พี่วินบอกเพราะพี่แกตื่นเช้าสุด) เสร็จจากเก็บภาพก็มานั่งทานมื้อเช้าเบา ๆ ครับ ข้าวต้มกับโจ๊กคัพ อิอิ
แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องกล่าวคำอำลาสถานที่แห่งนี้ ทิ้งไว้เพียงรอยเท้า เก็บความสุข ความประทับใจ มิตรภาพ เก็บเอาไว้ติดตัวแบบนี้ตลอดไป แล้วก็ตกลงกันว่า "พวกเราจะมาที่นี่อีก" Goodbye TEE LOR SU See you again
จากจุดนี้พวกเราเดินเท้ากลับไปอีก 3 ชั่วโมง ครับกว่าจะถึงท่าทราย เกือบได้วิ่งหนีควายแล้ว โผล่มาได้ เอาซะตกอกตกใจหมด เกือบกรี๊ด 55555 แล้วก็ได้เจอเพื่อนตัวจิ๋วอยู่ข้างทางด้วย หางสีสวยเชียว บุกป่า ฝ่าดง (มันก็ทางเดิมเปล่าวะ) แต่รอบนี้ไม่โชคดีเหมือนตอนมา ไม่มีรถชาวบ้านผ่าน แต่ก็ยังมีความโชคดีอยู่อีก (ทริปนี้ดวงดีสุด ๆ 5555) มีเจ้าหน้าที่แว้นมอเตอร์ไซค์ลงมาจากเขต จะไปซื้ออะไหล่รถในอำเภอ ก็เลยถือโอกาสฝากกระเป๋าเลยครับ พี่แกจะเอาไปทิ้งไว้ให้ที่ชายป่า เดินตัวเบาเลยครับผม ต้องขอขอบคุณไว้ ณ จุด นี้ด้วยครับ ^___^
ถึงท่าทราย ลุงกลผู้นอนเฝ้าเรือได้เซอร์ไพรส์แบบเบา ๆ ด้วยปลาตัวเขื่อง 3 ตัว โอ้แม่เจ้า !!! ลุงบอกว่าเนี่ยยังตัวเล็กนะ (บ้านผมเรียกใหญ่นะลุง ตัวเท่าขา) จากนั้นพวกเราก็ขึ้นเรือออกเดินทางต่อด้วยระยะเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง พวกเราจะถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยง ตรงนั้นเป็นท่าเรือขาออกจากป่า จะมีรถมารับครับ
แต่....แต่...แต่มันก็ไม่ได้ราบรื่นเหมือนตอนมา เพราะน้ำน้อยทำให้ระดับน้ำไม่พ้นต้นไม้ที่ล้มขวางแม่น้ำ จำเป็นต้องลงเรือแล้วยกเรือข้ามต้นไม้ไป และที่สำคัญอาการภูมิแพ้ผมมาแล้วครับ ผื่นขึ้นตามตัวเลย ระหว่างทางหมวกผมได้ตกน้ำ ยังดีครับที่ได้กลับคืนมา ส่วนขนนกนั้นผมไม่ได้ไปถอนมาจากตัวเหยี่ยวนะ มันตกลงมาเอง ผมเลยเก็บมา จริง ๆ แล้วไม่ควรเก็บหรอกครับ แต่ผมขอไว้เป็นที่ระลึก ผมไม่รู้มันผิดกฎหมายถึงเปล่านะ แต่รู้ไหมผมเสียบไว้ที่หมวกตั้งแต่เดินในป่า จนออกจากป่ามันไม่ตกไปไหนเลย หมวกตกพื้นก็ไม่หลุด หมวกตกน้ำก็ไม่หลุด ทั้ง ๆ ที่เสียบไว้หลวม ๆ ตอนที่ผมเก็บขนนกนี้ได้ผมนึกในใจว่า "ผมอยากได้ขนนกนี้ไว้เป็นที่ระลึก ผมไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่ ถ้าอนุญาตขอให้มันอยู่ติดกับหมวกใบนี้จนผมออกจากป่า ถ้าไม่อนุญาตขอให้มันหลุดออกจากหมวกไป"
จากจุดหมวกตกไม่นานพวกเราก็ถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยง ระหว่างทางลุงกลเห็นช้างด้วย แต่เป็นช้างเลี้ยง แล้วก็ได้เจอเจ้าของช้างถอดเสื้อนั่งทำเอ็มวีบนขอนไม้ริมแม่น้ำ โดยมิได้สนใจว่าผู้ใดจะมองหัวนมเขาเลย (โดยเฉพาะน้องแก้ม 5555) พี่เสืออออออออออออ (รักนะเป็ดโง่) ถึงท่าเรือหมู่บ้านกะเหรี่ยงมีรถมารอรับ บอกเลยครับว่าบริการดีมาก ๆ ลงจากเรือเสร็จมีข้าวต้มมัดให้กินด้วย ผมนี้ขอ 3 เลยครับ ด้วยความโหยหิว กินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ละคนไม่ต่ำกว่า 2 อัน จากนั้นก็เก็บเรือยางขึ้นรถ แล้วก็พาพวกเรากลับรีสอร์ท อ้อตรงนี้เป็นแม่น้ำ 2 สี นะครับ สีใส ๆ กับสีขุ่น ๆ 55555
จากนั้นก็เดินทางด้วยรถยนต์อีก 21 กิโลเมตร ถึงที่พัก พวกเรามาช้าไม่ทันรถสองแถวรอบสุดท้ายคือ 14.30 น. จำเป็นต้องนอนที่รีสอร์ทอีก 1 คืนครับ (แต่คืนนี้นอนฟรี ^^) ถึงที่พักก็อาบน้ำ ซักผ้า (ซักด้วยเครื่องที่รีสอร์ทนั่นแหละ) (ช๊อบชอบ...คุณแม่ใจดียืมได้หมดเลย 5555) แล้วก็พักผ่อนกันเล็กน้อย ก่อนที่ลุงกลจะจัดอาหารเย็นให้พวกเรา (ปลา 3 ตัว ที่ได้มานั่นแหละครับ) ต้มปลาสูตรคนพื้นที่ ลาบปลาอีกจาน แต่ยังไม่พอครับ พวกเราก็แว้นมอเตอร์ไซค์เข้าไปหาหมูกระทะในอำเภออีก บอกเลยครับมา 3-4 วัน ทำบ้านเมืองเขาป่วนได้เลยทีเดียว จัดหมูกระทะ 2 ชุด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกเล็กน้อย (เออ...พิมพ์ว่าเบียร์ก็จบปะ) อิ่มหนำแล้วก็แยกย้ายกันพักผ่อนครับ หมดไปอีก 1 วัน พักเอาแรงเตรียมกลับพรุ่งนี้ (น้องร้านผักน่ารักจัง ^^)
ความโหดในการเดินทาง 7/10 เดินลงโหดไม่เท่าไรครับ
ความสวยงามระหว่างทาง 10/10 ก็ยังเต็มเหมือนเดิม
ความเหนื่อยล้า 5/10 สบาย ๆ ขากลับ
ดื่มเบียร์ชิล ๆ หลับสบายเลยครับผมมมมมมมม
เช้าของวันที่พวกเราจะกลับ นัดรถสองแถวเที่ยงครึ่ง (รถสองแถวมารับถึงรีสอร์ทเลยครับ) พวกเราตื่นกันแต่เช้าเพื่อจะเก็บรูป กลัวว่าจะไม่มีเวลา เริ่มต้นป่วนกันที่ร้านขายหมูปิ้ง (ซื้อ 2 รอบ และรอบแรกไม่ได้กินเลย เจ้ลืม) ไปป่วนต่อที่ว่าการอำเภออุ้มผาง จากนั้นต่อด้วยร้านครูซัน ถ่ายรูป ซื้อของที่ระลึก แล้วก็ไปต่อที่ป้ายทางเข้าตัวอำเภอ สนุกสนานกันแต่เช้าครับ ปิดท้ายด้วยการทานมื้อเช้าบนเขา "ดอยหัวหมด" ขึ้นไปไม่ถึงยอดดอยนะครับ ด้วยเวลาจำกัด แต่สูงระดับนี้ก็ถ่ายรูปวิวได้สวยใช้ได้เลย
หลังจากถ่ายรูปกันจนสาแก่ใจแล้วก็ได้ลงจากเขามาเก็บของ รถสองแถวมาตรงเวลามาก ๆ รถมารอพวกเราเลย กล่าวลาคุณแม่เจ้าของรีสอร์ท ลาลุงกล ลาพี่วิน เสร็จแล้วก็ขึ้นสองแถวกันโลดดดดดดดด
ขึ้นรถยิ้มหน้าบานกันทั่วหน้า แล้วก็ได้ผู้โดยสารเพิ่มมาอีก 2 คน
และในที่สุดสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีก 555555555555 (ผมรอชอตนี้ตั้งแต่ขามาแล้ว) แต่ขามาสองนางหลับเลยไม่มีอาการอะไร ขากลับเจอสองแถวขาซิ่งแห่งเทือกเขาแม่สอด-อุ้มผาง ด้วยความชำนาญและประสบการณ์กว่า 20 ปี ทำให้สาว ๆ เราอ้วกพุ่ง 55555555 (หัวเราะหนักมากกกกกกกกก)
จากจุดนั้นก็ทำให้หลับ ๆ ตื่น ๆ มาตลอดทาง
มาถึง บขส. แม่สอด ก็เกือบ ๆ 5 โมงเย็นครับ เข้าไปถามตั๋วรถกลับกรุงเทพฯ ปรากฏว่า เต็ม !!!!! ด้วยคนพม่าเข้ามาทำงานในกรุง พวกเราก็ลืมจองล่วงหน้าด้วย เลยต้องเปลี่ยนแผนไปขึ้นรถตู้จากแม่สอดไปต่อรถที่ บขส. ตาก ค่ารถตู้ 78 บาท
ลงมาถึง บขส. ตาก ก็ต้องรอรถรอบ 4 ทุ่ม ซื้อตั๋วเสร็จเลยเดินหาของกินไปเรื่อยเปื่อย กินเสร็จนั่งรอ 4 ทุ่ม รถมากระโดดขึ้นรถได้เท่านั้นแหละ หลับยาวเลยครับ ตื่นมาอีกทีหมอชิต 2 แล้วก็ต้องแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของแต่ละคน กลับเข้ามาสู่เมือง สู่โลกแห่งการแก่งแย่งชิงดี แต่พวกเราก็ยังติดต่อกันเรื่อย ๆ เพราะมันต้องมีทริปต่อ ๆ ไป แน่นอนครับผมมมมมมมมมมมม
ค่าใช้จ่ายโดยประมาณเท่าที่จำได้ (ของผมคนเดียวนะ) 5 คืน 4 วัน
ค่ารถทัวร์กรุงเทพฯ-แม่สอด 410 บาท
ค่าที่พัก เช่าเรือ เต็นท์ 1,500 บาท
ค่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 20 บาท
ค่ากินคิดรวม ๆ มื้อละ 50 บาท (บางวันกินมื้อเย็นมื้อเดียว) = 500 บาท
ค่าเครื่องดื่ม น้ำ เบียร์ ประมาณ 300 บาท
ค่ารถสองแถวอุ้มผาง-แม่สอด 140 บาท
ค่ารถตู้แม่สอด-ตาก 78 บาท
ค่ารถทัวร์ตาก-กรุงเทพฯ 328 บาท
ทั้งหมด 3,276 บาท (+ - 200 บาท)
การเดินทางกับคนแปลกหน้าไม่ได้เลวร้ายอะไรอย่างที่คิด คงเพราะผมไว้ใจคนง่าย ไม่ถือตัว ไม่คิดร้ายกับคนอื่น แต่ก็ขอเตือนไว้นะครับว่าไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีได้เพื่อนร่วมทางดี ๆ เหมือนผม โดยเฉพาะคุณผู้หญิง พึงคิดอยู่เสมอว่าเราเสียเปรียบทุกทาง การที่เรามีสติ นึกคิดให้ดีตลอดการเดินทางจะเป็นผลดีกับตัวเราที่สุด การโบกรถไม่ใช่ทุกคันจะจอด ถ้าตั้งใจแล้วขอแค่อยากถอดใจ
ขอบคุณเจ้จุ ที่เริ่มการเดินทางครั้งนี้
ขอบคุณน้องแก้มที่ทำให้การเดินทางของเรามีสีสันมากยิ่งขึ้น (เด็กบ้าอะไรพูดได้แม้กระทั่งตอนหลับ)
สุดท้ายแล้วขอบคุณพื้นที่เล็ก ๆ ในพันทิปที่ให้ผมมาแบ่งปันประสบการณ์ครั้งนี้ ขอบคุณครับ ^__^
***หมายเหตุ*** น้ำตกทีลอซูสามารถใช้สัญญาณโทรศัพท์ได้เพียงระบบ AIS เท่านั้น สัญญาณจะหายไปช่วงตี 3 ถึง ตี 4 (แล้วแต่กำลังไฟที่เก็บไว้) สัญญาณจะกลับมาอีกทีเมื่อมีแดดของวันรุ่งขึ้น ไฟฟ้าจะเปิดตอน 6 โมงเย็น ปิดตอน 5 ทุ่ม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ RP_janniva สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม