ถ้าเราจะเอ่ยถึงสถานที่ที่นักท่องเดินทางสไตล์แบ็คแพ็กเกอร์มักหาเวลาไปเยือนเสมอเมื่อมีโอกาส ชื่อของ "สังขละบุรี" เมืองเขตแดนประเทศไทยคงอยู่ในลิสต์รายชื่ออันดับต้น ๆ อาจเพราะบรรยากาศที่เงียบสงบ วิถีชีวิตที่เรียบง่าย ค่าใช้จ่ายไม่แพงจนเกินไป บวกกับธรรมชาติที่งดงามของ "สะพานมอญ" สะพานไม้อันเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ เป็นเสมือนแรงดึงดูดให้ใคร ๆ ก็อยากมาเดินทางมาสัมผัสด้วยตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับ คุณไอเด็กแว่น สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้นั่งรถไฟ สะพายย่าม คีบรองเท้าแตะ ไปตะลุยสังขละบุรี และนำประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาแชร์ให้เราได้ชมกัน เอาล่ะถ้าพร้อมแล้วก็ลุยเลยค่ะ
เดินทางวันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม กลับมาถึงบ้านวันอังคารที่ 10 มีนาคม
ป.ล. ฝากกระทู้ แบกแตะไปฮ่องกงฉบับเด็กมอปลาย ด้วยครับ
เปิดจ๊อบด้วยรถไฟฟรีที่สถานีศาลายาเพราะใกล้บ้านมากที่สุด จ่ายค่าแว้นพี่วินไปสิบห้าบาทถ้วน มาถึงตอนเกือบแปดโมงปุ๊บก็ไปที่ช่องจำหน่ายตั๋ว บอกเจ้าหน้าที่ไปอย่างมาดมั่นว่า ธนบุรี-น้ำตก ค่ะ
เช็กจากเว็บการรถไฟไทยบอกว่ารถไฟขบวนนี้จะมาถึงศาลายา ตอน 08.21 น. เราก็ยืนถ่ายรูปรอไปเรื่อย จนมันเข้ามาหลายขบวนมากเกินไป ในใจเลยเริ่ม เอ๊ะ ! ซื้อตั๋วถูกรึเปล่า
แต่ด้วยใจหนักแน่น (ความจริงคือขี้เกียจเดินย้อนกลับไปถาม) เลยคิดว่าธนบุรี-น้ำตกอะถูกแล้ว ถึงจะมองหน้ากันหลายรอบแต่ไม่มีใครเสียสละเดินไปถาม ดังนั้นก็จงถ่ายรูปต่อไป 55555555
แปดโมงยี่สิบแล้วนะแต่รถยังไม่มาสักที
รถไฟมาประมาณแปดโมงครึ่ง พอขึ้นมาปุ๊บก็เจอกับตู้ไม้พอดี เพื่อนเราบอกว่าเพื่อความชิคนั่งตู้นี้เหอะ โอเค ตู้ไม้ก็ตู้ไม้ ตูดพังก็ยอม ตอนแรกมาแค่สามโบกี้เอง การรถไฟไปเสริมตอนไหนไม่อาจทราบได้ตอนหลังเลยเป็นขบวนยาวเฟื้อยซะอย่างงั้น
ได้ยินมาแว่ว ๆ ว่าถ้าอยากเห็นทางรถไฟสายมรณะแบบสวยงามให้นั่งฝั่งขวา ช้าอยู่ไยเราก็เลือกนั่งฝั่งขวาสิจ้ะ...แต่ว่า...ไม่มีใครบอกเลยสักคนว่าการนั่งฝั่งขวามันร้อนบรรลัยขนาดนี้ แดดส่องขนาดหนักหนาสาหัสมาก แถมวิวทิวทัศน์ก็มีแต่ป่าที่ถูกเผา ดังนั้นเราเลยจะเป็นคนบอกเองว่าถ้าอยากได้วิวสวยหนึ่งนาทีให้นั่งร้อนแดดฝั่งขวาหกชั่วโมง แต่ถ้าอยากนั่งเย็นสบาย วิวสวยเจริญหูเจริญตาแล้วค่อยตะกายมาตอนทางรถไฟสายมรณะให้นั่งฝั่งซ้ายเนอะ เชื่อเราเถอะ
นั่งรถไฟตอนแรกก็ตื่นเต้นดีอยู่หรอก ดูวิว ถ่ายรูป แต่หลังจากเวลาผ่านไป...ตูดของเราได้เปียกและแฉะมาจนถึงสถานีกาญจนบุรี รถไฟก็ได้หยุดนิ่งเป็นเวลาเกือบยี่สิบนาที แดดว่าร้อนแล้วพอไม่มีลมร้อนหนักกว่าเก่า หยุดทำไมลูกพี่ ?!
พอเดินไปทางต้นขบวนก็เลยร้องอ๋อ ลูกพี่เราไปลากรถอีกขบวนหนึ่งมาเพิ่มความยาวนั่นเอง
พี่สาวคนเสื้อแดงด้านซ้ายของรูปตอนแรกเราก็ไม่เห็นนะ จนกระทั่งถ่อไปถึงสังขละเนี่ยแหละถึงได้เจอบ่อยมาก พอกลับมานั่งรื้อรูปเลยพบว่า เฮ้ย ! เราเจอกันตั้งนานแล้วต่างหาก ถ้าหากพี่เข้ามาอ่านกระทู้นี้อยากบอกว่าอยากทักนะแต่ไม่กล้าพอ
อาหารเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราและผองเพื่อน เนื่องจากเป็นคนท้องไส้บอบบางมากเข้าขั้นมากที่สุด (แต่ชอบกินของแปลกอยู่เรื่อย) เราจะไม่เสี่ยงกับอาหารรถไฟ การพกมาจากบ้านคืองานของเรา !!
นั่งแฉะต่อไปอีกนานแสนนาน คอยมองนาฬิกาทุกสิบวินาที หลับเป็นสิบครั้งกว่าจะถึงสถานที่ที่รอคอย...ทางรถไฟสายมรณะ...ถ้าถามว่าคุ้มค่ากับการอดทนร้อนแดดตลอดหกชั่วโมงในการเดินทางไหม ? อันนี้ตอบไม่ได้จริง ๆ ถ้าดูผ่าน ๆ ก็อาจจะคิดว่าไม่คุ้ม แต่พอเรานึกถึงประวัติของมันแล้วก็เปลี่ยนความคิด มันอาจจะคุ้มก็ได้ ทางรถไฟไม้เก่าแก่ที่มีคนตายเป็นสิบ ๆ ศพเพื่อสร้างมันขึ้นมา โอเค..คุ้มก็คุ้ม (อันนี้ดูเหมือนหลอกตัวเอง = =)
ช่วงเวลาสำคัญ ทุกคนพร้อมใจกันชะโงกหน้าออกนอกหน้าต่างอย่างพร้อมเพรียง
แต่เราชอบรูปที่เห็นแค่รางมากกว่า...ดูขลังดี
ตามตารางบอกว่าถึง 12.55 น. แต่...ความเป็นจริงของการรถไฟไทยนั้น บ่ายสองกว่าจวนเจียนจะครึ่ง โอเคพี่...หนูโอเคจริง ๆ นะ หกชั่วโมงกับเก้าอี้ไม้ หนูโอเคจริ๊งจริงงงงงงงง และหลังจากเหตุการณ์นี้แผนการที่เคยวางกันไว้ว่าจะนั่งรถไฟชั้นสามไปตะลุยแดนเหนือจึงถูกพับเก็บกลับบ้านโดยไม่เสียดาย เพราะเกรงว่าเงินที่ได้จากการประหยัดค่ารถจะต้องหมดไปกับเคาเตอร์เพน
ลงรถไฟปุ๊บจะมีคนร้องเรียกให้เราขึ้นสองแถวไปน้ำตกยี่สิบบาท ไปกับพี่ป้า น้า อา ลุง ตา ปู่ ยายแกเตอะ ถ้าไม่อยากเป็นภาระของฝ่าเท้า นั่งยังไม่ทันเมื่อยก้นก็มาถึงน้ำตกแล้ว แต่เราไม่ต้องข้ามไปเล่นนะ จงมายังฝั่งตรงข้าม แถวนั้นมีห้องน้ำห้าบาทและเซเว่นฯ กู้ชีพ เราแนะนำให้เข้าห้องน้ำก่อน มิฉะนั้นจะทนอีก 118 กิโลเมตร บนเขาที่คดเคี้ยว รถบัสไปสังขละบุรีจะมาจอดตรงสถานที่หน้าตาเหมือนในรูป
เป็นรถบัสพัดลมที่ทำเราแฮปปี้มากกกกกก อย่างน้อยเบาะก็มีฟองน้ำและลมเย็นกว่ารถไฟเยอะ !!!! ค่ารถไปสังขละ 120 บาท ระหว่างทางมีทั้งฟ้าสว่าง ฟ้าครึ้ม ฝนตก ฟ้าสว่าง ฟ้าครึ้ม ฝนตก ลางดีจริงเลยตู นั่งมาจนถึงสถานที่แห่งหนึ่งกลางป่ากลางเขา คนขับก็ไล่ลงไปต่อรถเข้าสังขละบุรีอีกคัน เดาว่าคันแรกจะวิ่งเข้าทองผาภูมิ (มั้ง) [พึ่งรู้ว่าตัวเองโชคดี เพราะหลังจากนี้มีพี่คนหนึ่งผู้พาเราไปท่องพม่าได้เล่าให้ฟังว่า พี่แกก็นั่งรถคันนี้มาแหละ แต่อยู่ดี ๆ คนขับก็ไล่ลงกลางทางแล้วบอกว่าขี้เกียจไปสังขละบุรีแล้ว หารถไปเองแล้วกัน อ้าว ! สุดท้ายพี่แกก็ต้องโบกรถไปนอนไหนก็ไม่รู้]
สี่ชั่วโมงผ่านไป หลังจากปวดก้นระทมทุกข์บนถนนที่เย็นฉ่ำและเสียวไส้เราก็มาถึง “สังขละบุรีที่รอคอย” สรุปเวลาให้คร่าว ๆ เลยว่าใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง โอ้ว ! แถมให้ :: บนนั้นจะมีธนาคารเฉพาะไทยพาณิชย์และกรุงไทย
วันนี้เราจะมานอนที่ชื่นใจเฮ้าส์ซึ่งต้องวอคอินเท่านั้น แต่โทรเช็กมาแล้วเหลือสามห้อง อิอิ ถามทางคนแถวนั้นไปทั่ว มีป้าใจดีบอกให้ว่าอยู่ท้ายหมู่บ้าน พอถามว่าเดินไกลไหม คำตอบคือไกลมาก โอเคป้าหนูยอมโบกวินก็ได้ ยี่สิบบาทเท่านั้น
ห้องพัดลมคืนละ 450 บาท ค่ามัดจำกุญแจอีก 100 บาท อยู่ได้สามคนไม่คิดเพิ่มแต่หยอดค่าน้ำค่าไฟให้ด้วย เช็กห้องลวก ๆ แล้วก็ไปยืมมอเตอร์ไซค์ที่ พีเกสท์เฮ้าส์ (สถานที่เดียวในสังขละบุรีที่มีมอเตอร์ไซค์ให้เช่ามั้ง) เพราะฝนทำท่าจะโปรยปรายแล้ว [วันละ 200 บาท มัดจำอีก 100 บาท รวมเป็น 300 บาทถ้วน] ได้มอเตอร์ไซค์ปุ๊บก็จัดการแว้นไปสะพานมอญ แต่ทว่า...ฝนตก เราขอใช้คำว่าฝนตกหนักมาก โอเคเลยถ้าจะต้อนรับกันขนาดนี้
ขนาดเลขรถมอเตอร์ไซค์ยังเลขเด็ดเลย
พอฝนซาเราสามคนเลยแว้นกลับมาเซเว่นฯ หน้าหมู่บ้านเพื่อซื้อยาสีฟันและหาข้าวกิน แต่ แต่ แต่...ทริปนี้แต่เยอะมาก ฝนตกหนักอีกแล้ว แผนจะหาอะไรกินตรงตลาดพับกลับบ้าน เซเว่นฯ เท่านั้นที่ช่วยคุณได้
มาม่าปลากระป๋องที่เหมือนจะอิ่ม
มาม่าสามถ้วยของเราสามคน
นาทีนั้นไม่ต้องถามหาโต๊ะเต๊อะ พื้นที่หมานอนหน้าเซเว่นฯ เท่านั้นที่คุณต้องการ ! แต่เซเว่นฯ ที่นี่ไม่เห็นหมามานอนนะ เราเนี่ยแหละจะนอนแทน
เซอร์ไพรส์วันเกิดเพื่อนย้อนหลังด้วยงบสามสิบห้าบาท (ซึ่งพอบวกค่าเทียนกับไฟแช็ก (ที่แพงกว่าค่าเค้กแล้ว) มันก็กลายเป็นเจ็ดสิบกว่าบาทไป)
พอฝนซาอีกหนเราก็ข้ามมาหาจิ้มจุ่มพม่ากินกัน ไม้ละ 1 บาทเท่านั้น กินไปกินมาไฟดับอีก โอเค...จุดเทียนก็ได้ โรแมนติกดีออกกกกกกกกกก เป็นจำพวกเครื่องใน ไส้ ม้าม ทำนองนี้ เราไม่กินเครื่องในเลยโบกมือบ๊ายบายไป การนั่งเฝ้าเพื่อนกินจิ้มจุ่มพม่าทำให้เราได้เรียนรู้ภาษาพม่าเพิ่มจากมิงกะลาบา คือคำว่า อู๋แระ แนะนำให้ไปลองอร่อย
จัดไปสามสิบกว่าไม้แล้วก็กลับมานอนตีพุงที่รีสอร์ท ตัวเปียกอับชื้นสุด ๆ ต้องการอาบน้ำอย่างมากมายมหาศาล แต่ แต่ แต่ แต่ แต่แล้ว... เราก็มีเพื่อนร่วมห้องเพิ่มค่า เซอร์ไพรส์สุด ๆ เริ่มจากการเดินลงบันไดไปที่บ้านพักหลังสุดท้าย ตุ๊กแกตัวเท่าควายที่เกาะอยู่หน้าประตู จ้องหน้าจ้องตาเหมือนจะกินตับคือเพื่อนตัวแรก เพื่อนตัวที่สองก็คือพี่เขียดตะปาดสุดเลิฟที่เกาะผนังห้องข้างในอย่างสงบนิ่ง เพื่อนตัวที่สามคือน้องมดตัวน้อยตัวใหญ่หลากหลายสายพันธุ์เต็มห้องไปหมด และตัวสุดท้ายที่ทำเอาเราบ๊ายบายการอาบน้ำคืนนี้ไปโดยสิ้นเชิงแม้จะอยากอาบเพียงใด ปลิงสามตัวค่ะคุณขา ปลิงในห้องน้ำ แค่จะเข้าไปอึยังไม่กล้าเลยยยยยยย สรุปล้างหน้าแปรงฟันนอน นอน นอน นอนเม้าส์กันสนุกสนาน พอตกดึกเพื่อนคนหนึ่งเกิดอยากเข้าห้องน้ำ นางก็เปิดประตูห้องน้ำไปเต็มที่ และจ๊ะเอ๋ !! พี่เขียดตะปาดสุดเลิฟแกนอนนิ่งอยู่ในชักโครก โอเคพี่ ชีวิตคืนนี้แบบว่าโอมาก...โอ้โห ! ตูต้องอั้นฉี่จนกว่าพี่จะไป โฮก...เจ็บปวดรวดร้าวกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
แวะมาตอบรวม ๆ เผื่อใครที่แว้นมอเตอร์ไซค์ไม่ได้ มีจักรยานให้เช่านะเออที่พีเกสท์เฮ้าส์เช่นกัน แต่ราคาเราไม่แน่ใจนะ เพราะลืมถามมา ส่วนถ้าใครอยากขึ้นไปด่านเจดีย์สามองค์สามารถโบกสองแถวเขียวขึ้นไปได้เลย
เราลืมเล่าให้ฟังว่าก่อนมาสังขละบุรีเราไม่ได้นอนทั้งคืน นอนล่าสุดคือคืนวันศุกร์ตื่นมาสี่โมงเย็นวันเสาร์แล้วตาสว่างยิงยาวยันเกือบตีสองวันอาทิตย์ แอบงีบระหว่างทางบ้างเล็กน้อย และต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งในเช้าวันจันทร์ ! โอ๊ยยยย ยังนอนไม่เต็มที่เลยแต่เพื่อสะพานมอญตอนเช้าเราต้องไป ตื่นมาพี่เขียดตะปาดหายไปแล้ว ตุ๊กแกร้อง ๆ หาย ๆ อยู่ทั้งคืน พี่ปลิงอยู่ข้างกำแพง ล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็แว้นมาสะพานมอญกันเตอะ หมอกหนามาก ตอนเช้าสังขละบุรีหนาวมากจริง ๆ เราคิดว่าอยู่เชียงใหม่ ใส่แค่เสื้อยืดเกงบอลนี่สั่นสะท้านกันเลยทีเดียว
อันนี้คือสะพานลูกบวบที่สร้างไว้ใช้แทนสะพานมอญตอนสะพานขาด
ชอบวิวจัง เหมือนเป็นเมืองที่แทบจะถูกหยุดเวลาไว้เลย
แม่น้ำสายนี้ชื่อว่าแม่น้ำรันตี (มั้งนะถ้าเราจำไม่ผิด) แอบส่องวิถีชีวิตคนริมน้ำ
เราชอบสะพานมอญนะดูเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ ทั้งของคนสร้างและของคนมาเยือน แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น !! สะพานไม้มักจะมีร่องที่ห่างมากด้วยเหตุผลใดก็ไม่ทราบ ใครถือโทรศัพท์ไว้ในมือจงระวังเพราะ...เพื่อนเรามันทำไอโฟนตกลงไปมาแล้ว
เรากำลังยกกล้องถ่ายเพื่อนสายตาเห็นวัตถุสีขาวลอยลิ่วลงข้างล่างเลยลดกล้องดูเพื่อความมั่นใจ ทุกอย่างเงียบไปนานมากจนคิดว่าตัวเองตาฝาด จนกระทั่ง...จ๋อม...โอเค ชัดเจน ไอโฟนเพื่อนตู ช็อกสิครับพี่น้อง ยืนค้างกันเลยทีเดียว
ยังไม่หายเศร้าแต่เท้าต้องเดินต่อ ข้ามมาฝั่งมอญแล้วมีร้านขายโจ๊กด้วยแต่คนเยอะ ไม่กินก็ได้
เพื่อนซื้อปาท่องโก๋มา เรากินไปคำเดียวแล้วเลิกเลย...แต่ใครใคร่ลิ้มลองก็ซื้อชิมกันได้ ไม่แนะนำ ! อืม มีน้องหมามาขอกินด้วย เพื่อนก็ใจดีให้น้องหมานะ เท่านั้นแหละเดินตามเป็นพรวน
ป.ล. หมาที่นี่ไม่เห่า ไม่กัด น่ารักสุด ๆ
พยายามจะถ่ายสตรีท แต่ได้แค่ส้นตรีน โฮกกกกกก ขอโทษนะน้องขอพี่ไปฝึกถ่ายรูปอย่างหนักก่อน ไว้จะมาแอบถ่ายใหม่
มาแล้วสะพานลูกบวบ เป็นสะพานไม้ไผ่ลอยน้ำ ย่ำไปแล้วยวบดีแต่รู้สึกปลอดภัยกว่าสะพานมอญนะ เพราะมันไม่มีร่อง 5555555
มีแต่เรือจอดรอนั่งท่องเที่ยวไปเที่ยววัดจมน้ำ วัดสมเด็จเก่า ราคา 300-600 บาท ขึ้นอยู่กับว่ามากี่คน จะไปที่ไหนบ้าง ก็ไปถามลุง ๆ กันเองเนอะ เรามันจนคนงบน้อยขอโบกมือบ๊ายบาย
ไป ๆ มา ๆ เราชอบสะพานลูกบวบมากกว่าสะพานมอญอีก มันดูไม่ขลังเท่าก็จริง แต่ดูสัมผัสกับบรรยากาศมากกว่า
ชอบ ชอบ ชอบ ชอบ
บ๊ายบายสะพานมอญ จะจดจำไว้ว่าครั้งหนึ่งไอโฟนเครื่องหนึ่งได้หายไปที่นี่
แว้นกลับมาหาของกินที่ตลาด เดินวนไปมาจนได้โจ๊กมาสามชาม ชามละ 25 บาทเอง น้ำฟรีอีกด้วย ประหยัดแบบนี้พี่ชอบ
ตลาดตอนเช้ามีผักผลไม้ขายเพียบ เดินไปเดินมา อ้าวเฮ้ยควันออกปาก หนาวจริงนะเนี่ย
ของกินก็มีขายเพียบเหมือนกัน แต่ไม่ได้ซื้ออะไรกินหรอก แว๊นกลับไปชื่นใจนอนเล่นดีกว่า ง่วงแล้ว
โรงพยาบาลสังขละบุรีที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมาก มีภาษาพม่าด้วย อ่านไม่ออก = = มาถึงนี่มีทั้งไทยมีทั้งพม่า เราก็แปลที่เขาพูด ๆ กันไม่ออกหรอก แต่เดาว่าน่าจะโดนพี่พม่านินทาไปหลายยก (จากไอ้กินมาม่าหน้าเซเว่นฯ เมื่อวานนั่นแหละ)
สิบโมงกว่าก็เปลี่ยนชุดเป็นกางเกงเลสีเขียวกับเสื้อยืด เตรียมบิด 18 กิโลเมตร ไปด่านเจดีย์แล้ว สืบความมาได้ว่าทางดีไม่ได้ชันน่ากลัวเหมือนตอนนั่งรถจากน้ำตกมาสังขละฯ แค่ต้องระวังหลุมบ้างเท่านั้น ซ้อนสาม ไม่มีหมวก ไม่มีใบขับขี่อีกต่างหาก โฮกกกกกก ตั้งด่านให้เพียบ โดนพี่ตำรวจโบกตั้งแต่ด่านแรก ตอนแรกนี่หน้าซีด พี่แกก็ถามว่ามาจากไหนจะไปไหนกัน เราก็ยิ้มแป้นตอบ ๆ ไป แกก็บอกขับรถดี ๆ แล้วกัน โอเค รอดแล้ว...ฟู่ อีกหลายด่านที่เหลือนี่ส่งยิ้มแป้นขัดตาทัพเขาเลยไม่โบก (มั้ง)
ถึงแล้วด่านเจดีย์สามองค์ มันมีแค่นี้จริง ๆ ตอนแรกเรายังเหวอเลย หะ ! 18 กิโลเมตร เพื่อมาเห็นแค่เนี้ย ? ตอนแรกก็ยืนเหวอไปสักพัก จะไปไหนดี โอเคข้ามไปพม่าแล้วกัน เดินไปถาม ตม. เขาก็บอกให้ไปถ่ายเอกสารบัตรประชาชนแถวนั้น ใครไม่มีบัตรก็ข้ามได้นะ เพื่อนเราเอาบัตรไปเช่ามอเตอร์ไซค์แล้วเขาก็ให้กรอกอะไรสักอย่าง เสียไปคนละ 3 บาท ถามป้าแถวนั้นว่าข้ามไปพม่านี่เดินไกลไหม แกก็บอกว่าไกล อ้าวมอเตอร์ไซค์ก็ห้ามข้ามไป อ้าวกำลังสอง แล้วจะเอายังไงดี ?!
บังเอิ๊ญบังเอิญเจอคุณลุงท่านหนึ่งมากับครอบครัว พอดีลุงเขาให้เพื่อนเราถ่ายรูปให้เมื่อเช้า แกก็ทำหน้าอึ้ง ๆ นะเมื่อรู้ว่าเราสามคนแว้นมอเตอร์ไซค์ขึ้นมา คุณลุงก็ชวนข้ามไปพม่าด้วยกัน เช่ารถไปมีไกด์แบบไม่เถื่อนมาด้วย แต่เสียคนละ 200 บาทนะ มีคนบอกมันไกลอะ 800 เมตรเลย จะเดินเหรอ ? โอเค สองร้อยก็สองร้อย ปาดน้ำตาสิครับพี่น้อง แต่พี่ไกด์ที่ไปด้วยดูน่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ก็เลยยามตามน้ำไปแต่โดยดี
ข้ามมาแล้วพี่เขาก็ขับรถสองแถวพาไปวัด เราเห็นมีวินมอเตอร์ไซค์พม่าเสื้อชมพูด้วย พอถามน้องไกด์ (มีไกด์สองคน) เลยรู้ว่าเราสามารถข้ามมาเอง และจ้างวินมอเตอร์ไซค์พาไปเที่ยวได้ แต่วินพวกนี้เป็นไกด์เถื่อน คือจะพาเราไปเที่ยวที่แรกในราคาถูกและจะบีบบังคับให้เราไปสถานที่ที่สองและคิดราคาแพงกว่าเดิมหลายเท่า ถ้าเราไม่จ่ายเขาก็จะทิ้งเราให้เคว้งคว้างโดยพูดภาษาพม่าไม่ได้อยู่กลางทาง โอเค อย่าขู่พี่เลยน้องพี่กลัวแล้ว
ป.ล. น้องไกด์คนนี้ตอนแรกเราคิดว่าอายุเท่ากันที่ไหนได้น้องพึ่งขึ้น ม.1 เอง โหย...ตอนเราขึ้น ม.1 นี่นอนนิ่งอยู่บ้าน ขยันมาก ขอชื่นชมสุด ๆ
ยืนยันว่าอ่านไม่ออกสักตัว ระหว่างรอครอบครัวคุณลุงไหว้พระ เราที่มาวัดเพื่อถ่ายรูปก็นั่งคุยกับพี่ไกด์ไปเรื่อยเปื่อย พี่ไกด์คนนี้แหละที่เคยโดนทิ้งไว้กลางทางที่ทองผาภูมิ พอพี่แกรู้ว่าเรามาถึงสังขละบุรีได้อย่างไรถึงกับร้องโห บ้าขึ้นมาได้ยังไงวะ
พระ เณร สีจีวรค่อนข้างต่างจากไทย
เสร็จแล้วพี่เขาก็พาขับรถขึ้นเขาเตี้ย ๆ มาไหว้เจดีย์อะไรสักอย่าง อยู่บนนี้มองเห็นเทือกเขาตะนาวศรีด้วย เรียนอยู่แต่ในหนังสือมานานเห็นของจริงสักที (พึ่งสอบวิชานี้เสร็จไปด้วยท่าทางจะตก) น้องไกด์บอกว่ามันยาวไปถึงประจวบฯ เลย
อันนี้เป็นทางเดินขึ้นสำหรับคนไม่มีรถ เราว่ามันสวยนะเหมือนหลังคาบ้านญี่ปุ่น สำหรับเราวัดนี้มันค่อนข้างก่อสร้างแบบแปลก ๆ คือเหมือนผสมสามวัฒนธรรม ไทย ญี่ปุ่น พม่า ตัววิหารคล้ายปราสาทญี่ปุ่นแต่ตกแต่งแบบไทยพม่าทำนองนี้ เราเพิ่งรู้ว่าวัดนี้หลานชายของหลวงพ่ออุตตมะ (วัดตรงสังขละบุรี) มาสร้างไว้ มีเสาไม้สักทองสองร้อยต้น โอ้โห...รู้เลยทำไมฝั่งนี้มันถึงแห้งแล้ง วัดนี้นี่เองที่ตัดไม้
เรียกว่ากำแพงพระ เป็นแถวพระยาวต่อ ๆ กันไป พระทุกองค์มีชื่อตามคนบริจาค (อย่าหาว่าเราบาปเลย แต่เราสังเกตว่ารูปปั้นพระแต่ละองค์มีตูดทั้งนั้น เด่นจนสังเกตได้ชัดมาก)
เราถามน้องไกด์ได้ใจความว่า ที่นี่คือตำบลเล็กมากชื่อว่า พญาตองซู (เดาว่าน่าจะเขียนแบบนี้) ระยะห่างของตำบลนี้ไปถึงย่างกุ้งก็ประมาณจากสังขละบุรีไปพัทยา โอเคไอ้น้อง พี่พับแผนจะนั่งรถไปย่างกุ้งแล้วขึ้นเครื่องบินกลับบ้านก็ได้ นี่ตูต้องนั่งตูดเปียกกลับบ้านอีกสิบชั่วโมงจริงดิ...
พี่ไกด์พาเราไปดิวตี้ฟรี ครอบครัวคุณลุงเดินเข้าร้านน้ำผลไม้ เราสามคนเดินเข้าร้านเหล้า จ้า จ้า จ้า Absolute อยู่กลมละ 500 บาท Red label กลมละ 550 บาท Hennessy 1,550 บาท แท้ไม่แท้ไม่รู้ รู้แต่สอยน้องแอปมาขวดหนึ่ง เสร็จแล้วก็ขับแว้นไปตลาด ซึ่ง...ไม่มีอะไรเลย ซื้อขนมกับทานาคาติดไม้ติดมือกลับมานิดหน่อย
ป.ล. ข้อมูลเพิ่มเติม เราสามารถซื้อเหล้ากลับมาได้คนละ 2 ลิตร และบุหรี่คนละ 1 คอตตอน
เสร็จแล้วก็กลับมาฝั่งไทย เฮ้ย ! มันอยู่ห่างด่านไม่กี่ร้อยเมตรนี่หว่า เดินก็ได้ ป้านะป้า หลอกกันได้ โฮกกกกกกกก เกลียดป้ามาก ณ วินาทีนั้น
โบกมือล่ำลาคุณลุงที่ต้องกลับบ้านแล้ว ส่วนพวกเราน่ะเหรอ...แว้นมาที่ซองกาเลียจ้า ชื่อเหมือนอยู่ฝรั่งเศสแต่ประทานโทษอยู่เกือบติดพม่า เป็นแม่น้ำที่เราเดาว่าน่าจะมาจากทุ่งใหญ่นเรศวร มีห่วงยางให้เช่าใหญ่ 20 เล็ก 10 บาท น้ำเย็นมาก สดชื่นสุด ๆ ถือเป็นการอาบน้ำไปในตัว 55555555555555
แอบลองสปีดชัตเตอร์กล้องไปเรื่อย สั่งข้าวมากินด้วย หมดไปอีกหลายบาททีเดียว
แว้นมาชื่นใจ อาบน้ำแต่งตัวใหม่ เพราะพี่ ๆ ร่วมห้องผู้น่ารักไม่อยู่แล้ว กลับมาสะพานมอญอีกครั้ง ต้องการถ่ายพระอาทิตย์ตกที่สะพานมอญมาก แต่....เรานี่มันดวงซวยไม่เลิกจริง ๆ
มันเป็นวันฟ้าเน่า โฮกกกกกกกกกกกก ไหนพระอาทิตย์ของช้านนนนนนนนนนนนนน
ระหว่างรอเราก็ส่องวิถีชีวิตตอนเย็นไปด้วย บอกเลยว่านาทีนั้นจิตใจไม่สิ้นหวัง...เดี๋ยวพระอาทิตย์ก็โผล่เอง
มีเด็กมากระโดดสะพานมอญให้ถ่ายรูปด้วย แต่ถามว่าเราสนใจไหม...สนใจสิ ต้องให้เงินด้วยนะไม่อย่างนั้นน้องไม่กระโดด โอเคเลยน้องสายฟรีอย่างพี่จะรออยู่ข้างล่าง แต่...น้องครับน้องกระโดดเร็วไปไหน กล้องพี่ถ่ายติดแค่สะพานและหยดน้ำกระจายตอนน้องตกตู้มลงไปแล้ว ส่วนเพื่อนผู้ทำไอโฟนตกน้ำของเราก็นั่งตาละห้อย รำพึงกับตัวเองว่า "ทำไมน้องไม่มากระโดดน้ำแต่เช้าวะ !!"
พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ฟ้ามืดแล้ว ยอมแพ้ วกมาหาของกินในตลาดสังขละบุรีดีกว่า
ซื้อของกินแถวนั้นมาเยอะมากแต่ไม่อร่อยสักอย่าง (จุ๊ ๆ ไว้นะ) ไก่ทงไก่ทอดเจ็ดสิบบาทนี่น้ำตาไหลพรากเลยอะ คิดถึงไก่แถวบ้านยี่สิบบาท อร่อยเต็มคำเนื้อเต็มใจ กลับมากินจิ้มจุ่มพม่าอีกหนตามที่สัญญากับพี่คนขายไว้ และครั้งนี้เป็นการกินเครื่องใน (โดยไม่อ้วก) ครั้งแรกของเรา ก็น้องอู๋แระนั่นแล น้ำจิ้มพี่เขาอร่อยจริง ทำให้ไม่คาวเรากินได้สบายมาก วันนี้เพื่อนเราย้อมใจไปร้อยไม้ อืม...คืนนี้ก็นั่งเล่นกีตาร์กินนู้น กินนี่ กินน้องแอปไปสักนิด หลับสบาย พี่ตุ๊กก็ทำอะไรน้องไม่ได้แล้ว
มีรถออกจากสังขละบุรีเข้ากาญจนบุรีสามรอบ คือ หกโมงครึ่ง แปดโมง และบ่ายโมง (หรือบ่ายโมงครึ่งก็ไม่แน่ใจ อันนี้ลองแวะไปถามท่ารถดูนะ) ใครใคร่กลับรถตู้กลับ แต่เพื่อความฮิปและความชิคจนนาทีสุดท้าย เรานั่งบัสพัดลมกลับ ตื่นมาเจ็ดโมง ตอนแรกลังเลว่าจะเอายังไงกันดี แต่คิดว่าน่าจะทันรอบแปดโมงแหละ ไม่อาบน้ำ เก็บของ ล้างหน้าแปรงฟัน มองนาฬิกาอีกที...อ้าว ! อีกสิบนาทีแปดโมง วิ่งสิครับรออะไร วิ่งมาคืนกุญแจเจ้าของ พี่เจ้าของไม่อยู่อีก เลยฝากไว้กับพี่คนงาน ค่ามัดจำกุญแจสองร้อยก็ยกเป็นค่าน้ำค่าไฟให้เลยแล้วกัน เพื่อนเราแว้นมาส่งที่ท่ารถก่อนแล้ววกกลับไปเติมน้ำมันคืนมอเตอร์ไซค์ที่พีเกสท์เฮ้าส์ เราบอกให้ลุงคนขับรอ ลุงก็รอ รถออกเรทไปสิบนาที (ขอโทษทุกคนบนรถมา ณ ที่นี้ด้วย)
ค่ารถเข้า บขส.กาญจนบุรี 130 บาท เพิ่มมา 10 บาท แต่ไกลว่าเดิม 60 กิโลเมตร โห ! มันคุ้มมาก
รถคันนี้แหละที่พาเราไปสังขละบุรีและกลับจากสังขละบุรี คนขับดีทั้งสองรอบเลย กราบบบบบบบบ
ถึง บขส.กาญจนบุรี ก็นั่งลังเลกับสามทางเลือก
หนึ่งขึ้นรถตู้ 100 บาท กลับสายใต้ใหม่
สองขึ้นรถทัวร์กลับสายใต้ใหม่ (ไม่ได้ถามราคา)
สามขึ้นรถไฟฟรีกลับศาลายา
แต่ไม่ว่าจะทางไหนก็ขอหาข้าวกินก่อนแล้วกัน เมื่อเช้ารีบมากไม่ได้กินข้าว ซัดไปอีกห้าร้อยบาทอิ่มแปล้ สุดท้ายเราก็เลือกรถตู้ซึ่งแอร์ร้อนมาก นั่งไปเหงื่อหยดไป ขับแบบเสี่ยงตายตลอดเวลา แวะรับข้างทางบลา ๆๆ สารพัดปัญหารถตู้นั่นแล
ในที่สุดก็พาชีวิตตัวเองกลับมากรุงเทพฯ จนได้ เฮ้อออออออ กลับมาแล้วนะเมืองที่วุ่นวาย
ปิดจ๊อบด้วยการได้เงินคืนคนละสองร้อยกว่าบาท ใช้ไปประมาณ 1,760 บาทต่อคน แน่นอนว่ากินอยู่อย่างราชามาก ใช้คำว่ามากกกกกกกกกก
ขอปิดทริปด้วยรูปนี้ ไว้เราพักตูดหายดีเมื่อไหร่ กระปุกมีเงินพอให้แคะแล้วจะกลับไปใหม่นะสังขละบุรี สุดเขตแดนประเทศไทยที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง
ป.ล. ปิดทริปของจริงคือน้ำตาไหลมาก...กลับถึงบ้านพึ่งรู้ตัวว่าทำฝาเลนส์ไวด์หาย ฮืออออออ ร้องไห้หนักมาก