
วันนี้เราขอพาเพื่อน ๆ ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเที่ยวกันไกลถึง "ปารีส" ประเทศฝรั่งเศส มหานครแห่งสีสันที่น่าหลงใหล โดยมีความหลากหลายทั้งทางธรรมชาติ วัฒนธรรม ศิลปะ และอื่น ๆ อีกมากมายสอดแทรกผสมผสานกันได้อย่างลงตัว จากบันทึกการเดินทางของ คุณ neju11 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้ไปเยือนปารีสพร้อม ๆ กับเดินทางไปสัมผัสกับมรดกโลก ณ Mont St. Michel วิหารที่ตั้งอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเล และได้รับประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2522 (ดูเพิ่มเติมได้ที่ มง-แซ็ง-มีแชล) แล้วเก็บเกี่ยวเอาประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้พบเจอมาแชร์ให้เราได้ชมกัน อ๊ะ ๆ ขอบอกว่าคนที่กำลังเตรียมตัวเที่ยวปารีสด้วยตัวเองห้ามพลาดเชียว เพราะมีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและการเดินทางแนะนำด้วยนะ






สวัสดีเพื่อน ๆ ที่มีหัวใจรักการท่องเที่ยว ... แหล่งช้อปปิ้งขึ้นชื่อ สถาปัตยกรรมอันสวยงาม สิ่งปลูกสร้างแลนด์มาร์กระดับโลก ต้นตำรับมาการองอันโด่งดัง ผมกำลังเอ่ยถึง "ประเทศฝรั่งเศส" ประเทศในแถบยุโรปที่มีครบทุกรสชาติอย่างที่กล่าวข้างต้น เมืองหรูหราอย่าง Paris และเมืองสวยงามระดับมรดกโลกอย่าง Mont St. Michel ทั้ง 2 สถานที่นี้ล้วนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของฝรั่งเศส ประเทศที่มีความหลากหลายทางด้านศิลปะ เชื้อชาติ วัฒนธรรม และสิ่งปลูกสร้างอันงดงาม
ปรับเวลาเป็น GMT+1 แล้วเก็บกระเป๋าออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่เมืองแฟชั่นระดับโลก ไปพร้อม ๆ กับผมในรีวิวนี้..."First Touch…Paris-Mont St. Michel"
ป.ล. สำหรับเพื่อน ๆ ที่ต้องการติดตามหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ป.ล. 2 สำหรับผู้ที่ชื่นชอบรีวิว ถ้าถูกใจ ชอบใจ ขอกำลังใจคนทำรีวิว ด้วยนะครับ ^^
สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายภาพในทริปนี้
- Nikon D600
- Lens : Nikkor 24-70 f/2.8 , Nikkor 10-24 , Nikkor Fisheye 10.5 ,Tamron 70-300 VC
สารบัญ : บันทึกการแบกเป้เที่ยวนอก
เผื่อไว้ใช้ในยามจำเป็นในการหาข้อมูลไปยังสถานที่ต่าง ๆ ^^












เตรียมตัวให้พร้อม ก่อนเหินฟ้าข้ามทวีป
บางคนกลัวการขอวีซ่า แต่การทำวีซ่าเชงเก้น ฝรั่งเศสนั้นไม่ยาก สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง ขอเพียงเตรียมเอกสารไปให้ครบตามลิสต์ที่กำหนด แล้วเข้าไปจองคิวที่เว็บไซต์ https://www.tlscontact.com/th2fr/login.php?l=th เพื่อนัดหมายวันเวลาที่เข้ามายื่นเอกสารและทำการสแกนลายนิ้วมือ (เฉพาะครั้งแรกเท่านั้น)

ในการเดินทางครั้งนี้ ผมต้องขอขอบคุณสายการบิน AIRFRANCE มากครับ ที่สนับสนุนเรื่องตั๋วการเดินทาง เป็นสายการบินไม่กี่สายที่บินตรงจากกรุงเทพฯ ถึงปารีส โดยใช้เวลาเพียง 12 ชั่วโมงเท่านั้น และอีกสิ่งที่สำคัญมากเลย คือ ราคา โดยตั๋วเครื่องบินไป-กลับกรุงเทพฯ-ปารีส ช่วงราคาโปรโมชั่นเริ่มต้นที่ 25,XXX บาท หากอยากซื้อราคาโปรโมชั่นแบบนี้ก็ต้องติดตามข่าวสารจากหน้าเพจเฟซบุ๊กของ AIRFRANCE
เริ่มที่การ Check in Online ที่ทำได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์และมือถือ ถ้าใครยังเลือกที่นั่งหรือดูแผนที่นั่งตัวเองแล้วอยากเปลี่ยนที่ก็สามารถทำได้ด้วยตัวเองเลยครับ...ไม่มีค่าใช้จ่าย !



มาดูในส่วนของ Airport Lounge กันก่อนว่ามีอะไรบ้าง

มีเครื่องดื่ม ขนม อาหารให้บริการกับผู้โดยสาร

รวมถึงโซนที่สำหรับนั่งรอไฟลท์ด้านใน จะค่อนข้างเป็นส่วนตัวมากกว่าโซนด้านนอก ทานอาหารและพักผ่อนได้อย่างสบายใจ พอได้เวลาเครื่องจะออกเจ้าหน้าที่ก็จะประกาศแจ้งให้ สะดวกสบายมากครับ ใครสนใจลองใช้บริการแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ที่ Check in Counter จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม 1,000 บาท หรือ 750 บาท ถ้าเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 17 ปี

กระเป๋าที่ไม่ได้ทำการโหลดไว้ใต้ท้องเครื่องจะต้องติด Tag ของสายการบินด้วยครับ สำหรับกระเป๋าถือติดตัวขึ้นเครื่อง น้ำหนักต้องไม่เกิน 12 กิโลกรัม




อาหารบนเครื่องมีให้เลือกหลายแบบ หลายรสชาติ มื้อกลางวันบนเครื่องบินของผมเป็นไก่อบกับมันฝรั่งบด และยังมีไวน์มาให้อีก 2 ขวด ไวน์ที่ให้มานี้สามารถเติมได้ตลอดครับ

ระหว่างเดินทางถ้าใครรู้สึกหิวก็มีของว่าง เครื่องดื่ม ไวน์ และไอศกรีมทานได้ไม่อั้น

เห็นทิวเขาสวย ๆ ปกคลุมด้วยหิมะ ดูจากหน้าจอเรดาห์ด้านล่างนี้คือประเทศปากีสถาน

และปิดท้ายด้วยมื้อเย็นบนเครื่องบิน ก่อนที่จะลงจอดสนามบิน CDG กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ปารีส...มีอะไรให้เที่ยวบ้างนะ ?
แต่ก่อนผมนึกว่าปารีส คือ ประเทศ เพราะเคยได้ยินชื่อของปารีสบ่อยครั้งกว่าฝรั่งเศสซะอีก ทั้งที่ปารีสเป็นแค่เมืองหลวง
มาปารีสเที่ยวที่ไหน ? เริ่มต้นอย่างไร ? ก่อนมาผมเกิดคำถามแบบนี้กับตัวเองหลายครั้ง ถ้ากางแผนที่วงตามจุดสำคัญต่าง ๆ ดูเหมือนกระจายไปหลายจุด เที่ยวอย่างไรให้ครบ และที่สำคัญไม่วกอ้อมจนเกินไป
ปารีสแบ่งเป็น 20 โซน แต่ละโซนมีสถานที่เด่น ๆ ที่แตกต่างกัน จะให้ครบทุกที่ทุกโซนทั้ง 20 โซน นั้นคงเป็นไปได้ยาก ผมขอเจาะสถานที่เด่น ๆ และสำคัญในแต่ละโซน (แต่ไม่ครบทั้งหมด) รวมถึงบอกวิธีการเดินทางและที่สำคัญบางโซนนั้น เป็น Red Zone ที่ถือว่าอันตรายต้องมีความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ...ถ้าพร้อมแล้วเตรียมออกเดินทางด้วยกันเลยครับ Let’s Go Paris…

พอเครื่องร่อนลงที่สนามบิน CDG มีหลากหลายวิธีที่จะเข้าตัวเมืองปารีส ผมเลือกวิธีแบบประหยัด นั่นคือ การนั่งรถไฟ มองหาป้าย Paris Per Train เดินตามป้ายมาเรื่อย ๆ ตั๋วรถไฟจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมืองปารีสใบละ 9.75 ยูโร ส่วนตู้สีเขียว ๆ ที่มีคนยืนกดอยู่ ตู้นั้นเป็นตู้ขายตั๋วอัตโนมัติซื้อแบบชุดจะถูกกว่า 1 ชุด มี 10 ใบ ราคา 13.7 ยูโร สามารถแบ่งกันใช้เดินทางในปารีสได้ไม่จำกัดวัน แต่ถ้าเป็นโซนนอกไกล ๆ ไม่สามารถใช้ตั๋วประเภทนี้ได้ครับ

สภาพในรถไฟใต้ดินนั้นต้องบอกเลยว่าเก่ามากครับ ไม่สะอาด ถ้าเทียบกับรถไฟใต้ดินบ้านเราแล้วนั้นสะอาดกว่าเยอะ เป็นเพราะที่ปารีสมีรถไฟใต้ดินใช้มานานหลายปี คงโทรมไปตามกาลเวลา




ตามถนนจะมีเลนจักรยาน ถึงแม้ที่ปารีสจะไม่ได้นิยมจักรยานเท่าเนเธอร์แลนด์ แต่คนปารีสส่วนใหญ่ใช้จักรยานในการเดินทางในระยะใกล้ ๆ แทนการขับรถยนต์เพื่อความคล่องตัว


โซนท่องเที่ยวต่าง ๆ
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Muse du Louvre)
พิพิธภัณฑ์อันดับ 1 ของโลก ถ้าไม่มีสถานที่นี้อยู่ในโปรแกรมเที่ยวถือว่ามาไม่ถึงปารีสแน่

การเดินทาง
Metro สาย 1 : สถานี Louvre-Rivoli
Metro สาย 1, สาย 7 : สถานี Palais-Royal-Musee du Louvre
ปิดทุกวันอังคาร ค่าเข้าคนละ 12 ยูโร เข้าชมฟรีในวันอาทิตย์สัปดาห์แรกของเดือน (ตุลาคม-มีนาคม)

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ มีทางเข้า 3 ทาง เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุด

ที่นี่มีศิลปวัตถุมากกว่า 410,000 ชิ้น แต่นำออกมาแสดงเพียงประมาณ 35,000 ชิ้น

อีกหนึ่งจุดเด่นสำหรับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือ ภาพวาดโมนาลิซา และรูปปั้นวีนัส ซึ่งผมไม่ได้เข้าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เลยไม่ได้ดูให้เห็นกับตาตัวเอง


แม่น้ำแซน (La Seine)
เป็นแม่น้ำสายหลักทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศส

การเดินทาง
สามารถเดินมาจากพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ประมาณ 300 เมตร

เกาะอีล เดอ ลา ซีเต (Ile de la Cite) และ เกาะอีล แซ็ง-หลุยส์ (Ile St-Louis) เป็นจุดเริ่มต้นของปารีสเมื่อ 300 ปีก่อนคริสตกาล มีแม่น้ำแซนไหลผ่านเกาะที่อยู่ใจกลางเมืองแห่งนี้ แถมยังเป็นที่ตั้งของมหาวิหารน็อทร์ดาม ที่ตั้งหลักกิโลเมตรที่ศูนย์ของประเทศอีกด้วย


สามารถมองเห็นมหาวิหารน็อทร์ดามได้จากมุมนี้

สะพานกุญแจแห่งรัก (Pont des Arts)
สะพานข้ามแม่น้ำแซนนี้เป็นสะพานที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองปารีส ที่ปลายสะพานทอดไปเห็นโดมสวย ๆ ของ Institut de France มีคู่รักหลายคู่นิยมนำพวงกุญแจมาคล้องไว้บนสะพานแห่งนี้

การเดินทาง
สามารถเดินมาจากพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ประมาณ 300 เมตร (ตามในรูปแผนที่ด้านบน)

ปลายสะพานเป็น Institut de France

มหาวิหารน็อทร์ดาม เดอ ปารี (Cathedrale Notre Dame de Paris)
วัดพระแก้ว เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองไทย เปรียบได้กับ น็อทร์ดาม เดอ ปารี เป็นมหาวิหารคู่บ้านคู่เมืองของฝรั่งเศส มหาวิหารอันงดงามซึ่งตั้งอยู่บนเกาะอีล เดอ ลา ซีเต กลางแม่น้ำแซนแห่งนี้ มีประวัติศาสตร์เคียงคู่ปารีสมายาวนานถึงพันกว่าปี

การเดินทาง
Metro สาย 4 : สถานี Chatelet หรือ Saint-Michel
Metro สาย 1, 11 : สถานี Hotel de Ville
Metro สาย 7 : สถานี Chatelet หรือ Pont Neuf
RER สาย B, C : สถานี Saint-Michel - Notre-Dame
หรือสามารถเดินมาจากพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ประมาณ 1.5 กิโลเมตร เดินเลียบริมแม่น้ำแซนมาเรื่อย ๆ

อาจจะคุ้นตาในภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่อง อาจคุ้นหูที่มีคนพูดถึงหลายครั้ง แต่การได้มาเห็นกับตาตัวเองบอกได้เลยว่าสถาปัตยกรรมที่นี่สวยงาม...สุดยอดมากครับ


ด้านในมีศิลปะและประติมากรรมอันประณีต เข้าชมฟรี และสามารถขึ้นไปชมวิวด้านบนหอคอยของวิหารแห่งนี้ได้แต่จะเสียค่าขึ้นคนละ 8.5 ยูโร

ลานด้านหน้าของมหาวิหารแห่งนี้มีปักหมุดหลักกิโลเมตรที่ศูนย์เอาไว้ เป็นจุดเริ่มต้นในการวัดระยะทางของถนนทุกสายทั่วประเทศฝรั่งเศส


ด้านหลังโบสถ์มีสวนสาธารณะไว้นั่งพักผ่อนรับลมเย็น ๆ ด้วยครับ

อนุสาวรีย์ปองเตออง (Pantheon)
ปองเตออง ได้รับแรงบันดาลใจจากวิหารพาร์เธนอนแห่งกรุงโรม วิหารแห่งนี้เกิดขึ้นจากการบนบานของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ว่าหากพระองค์หายจากประชวรเมื่อใดจะเปลี่ยนโบสถ์แซ็งต์ เจเนวีฟ เพื่ออุทิศแด่เทพเจ้า 11 ปีต่อมาวิหารแห่งนี้จึงสร้างเสร็จสมบูรณ์

การเดินทาง
Metro สาย 10 : สถานี Cardinal Lemoine
RER สาย B : สถานี Luxembourg
หรือสามารถเดินมาจากมหาวิหารน็อทร์ดาม เดอ ปารี ประมาณ 1 กิโลเมตร ค่าเข้าคนละ 7.5 ยูโร

เลแซงวาลิด (Les Invalides (Napoleon\'s Tomb))
ในอดีตที่นี่เคยเป็นทั้งแหล่งพักพิงของทหารผ่านศึกที่ทุพพลภาพ มีการก่อสร้างโบสถ์หลวงขึ้น และยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของนโปเลียนอีกด้วย

การเดินทาง
Metro สาย 8 : สถานี La Tour-Maubourg หรือ Invalides
RER สาย C : สถานี Invalides

ตรงกลางมีหีบพระศพของนโปเลียน สมดังปณิธานที่นโปเลียนต้องการให้ฝังร่างของตนไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำแซนตลอดกาล

หอไอเฟล (Eiffel Tower)
สัญลักษณ์แห่งปารีส หอคอยสูงที่เคยลืมปัจจุบันเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของที่นี่

การเดินทาง
Metro สาย 6 : สถานี Bir-Hakeim
Metro สาย 9 : สถานี Trocadero
RER สาย C : สถานี Champs de Mars-Tour Eiffel
หรือสามารถเดินมาจากเลแซงวาลิด ประมาณ 1.6 กิเลมตร

ใครจะเชื่อว่าสัญลักษณ์ของฝรั่งเศสแห่งนี้จะเคยถูกประณามมาก่อน หอไอเฟลได้รับการออกแบบให้สูงลิ่วสู่ฟ้า อย่างที่โลกนี้ไม่เคยมีมาก่อนด้วยโครงสร้างโลหะซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ เมื่อสร้างสำเร็จก็ถูกโจมตีว่าทำลายทัศนียภาพ เป็นความน่าสมเพชที่โผล่ขึ้นใจกลางปารีสแห่งนี้



หลายปีต่อมาไอเฟลก็เกือบจะโดนรื้อทิ้ง โชคดีที่มีเสาวิทยุติดตั้งไว้ด้านบนเพื่อใช้ในภารกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะการข่าวในช่วงสงครามโลก จึงรอดพ้นจากการรื้อทิ้งมาได้

ด้านบนเป็นจุดชมวิวมุมสูงและร้านอาหารสามารถขึ้นไปรับประทานอาหาร พร้อมดื่มด่ำบรรยากาศปารีสจากมุมสูงได้อีกด้วย และในช่วงค่ำประมาณ 20.00 น. จะมีการเปิดไฟที่ตัวหอคอยไอเฟลมีความยาวประมาณ 10 นาที

ย่านช็องเซลีเซ (Champs-Elysees)
ถนนที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุด เป็นต้นแบบของถนนราชดำเนิน เพลิดเพลินการช้อปปิ้งจากสินค้าแบรนด์ดังต่าง ๆ ที่มีร้านตั้งอยู่หลายร้านในแถบนี้ โดยถนนเส้นนี้มีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร และปลายถนนเส้นนี้ยังเป็นประตูชัย อาร์ก เดอ ทรียงฟ์ เดอ เลตวล ที่เป็นจุดสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของปารีสอีกด้วย

การเดินทาง
Metro สาย 1, 2, 6 : สถานี Charles de Gaulle-Etoile
Metro สาย 1, 13 : สถานี Champs-Elysees-Clemenceau
RER สาย A : สถานี Charles de Gaulle-Etoile
หรือสามารถเดินมาจากเลแซงวาลิด ประมาณ 1.6 กิโลเมตร

อาร์ก เดอ ทรียงฟ์ เดอ เลตวล (Arc de Triomphe de l\'Étoile)
เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงปารีส เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก งดงามด้วยประติมากรรมนูนสูงและนูนต่ำที่แสดงถึงสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ

การเดินทาง
Metro สาย 1, 2, 6 : สถานี Charles de Gaulle-Etoile
RER สาย A : สถานี Charles de Gaulle-Etoile
หรือสามารถเดินมาจากพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ประมาณ 3 กิโลเมตร

ภายในยังมีพิพิธภัณฑ์ให้ชม และด้านบนของประตูชัยแห่งนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของปารีสได้อีกด้วย

โรงละครโอเปรา (Opera)
โรงละครหรูใจกลางเมืองที่มีสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นรวมถึงประวัติอันยาวนาน จนกลายมาเป็นละครเวทีชื่อดังอย่าง The Phantom of The Opera
การเดินทาง
Metro สาย 3, 7, 8 : สถานี Opera
RER สาย A : สถานี Opera
ค่าเข้าคนละ 9 ยูโร

หอสูงมองท์ปาร์กนาส (Tour Montparnasse)
หอสูงที่มีความสูง 56 ชั้น สามารถมองเห็นวิวมุมสูงของปารีสได้อย่างทั่วถึง

การเดินทาง
Metro สาย 4, 6, 12, 13 : สถานี Montparnasse-Bienvenue
ค่าเข้าคนละ 14.5 ยูโร

มีชั้นดาดฟ้าอยู่ด้านบนสุดของตึกสามารถชมทัศนียภาพโดยรอบของปารีสได้ โดยไม่มีอะไรมากั้นสายตา

วันที่ผมมาที่นี่ อากาศดีท้องฟ้าเต็มใจ สามารถมองเห็นทัศนียภาพเมืองปารีสได้ทั่ว

สามารถมองเห็น มหาวิหารซาเคร-เกอร์ และ เลแซงวาลิด ได้อย่างชัดเจน


เมื่อได้ขึ้นมายืนบนหอคอยแห่งนี้ควรจะให้เวลาดื่มด่ำกับทัศนียภาพเบื้องหน้านาน ๆ ผมอยู่บนนี้ตั้งแต่ช่วงเย็นจนถึงค่ำ ได้เห็นหอไอเฟลหลากหลายสีสวยงามมากครับ ^^


อีกมุมหนึ่งมองเห็นมหาวิหารน็อทร์ดาม เดอ ปารี ยามค่ำคืนซึ่งมีพระจันทร์ดวงโตลอยอยู่เหนือด้านบนมหาวิหาร เป็นภาพที่น่าตื่นตาสำหรับผมมากครับ

Red Zone
ต้องขอย้ำเลยว่าโซนนี้ค่อนข้างอันตราย ไม่แนะนำให้มาคนเดียวหรือมาในช่วงกลางคืนมืด ๆ รวมถึงมีสิ่งยั่วยุรอบด้านทั้งร้าน Sex Shop และขายบริการ แต่เหรียญมี 2 ด้าน ย่านบันเทิงแห่งนี้มีสถานที่สำคัญตั้งอยู่ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของนักท่องเที่ยวแต่ละท่านว่าจะเพิ่มสถานที่เที่ยวในโซนนี้ลงไปในลิสต์ด้วยหรือเปล่า ?
มูแลง รูจ (Moulin Rouge)
คาบาเรต์โชว์ที่ตระการตา มีนักเต้นสาวสวยที่มาในเครื่องแต่งกายอลังการ อีกทั้งนางรำทั้งหลายล้วนแต่เปลือยอก (แต่...ผมไม่ได้เข้าไปชมด้านในนะครับ) จึงทำให้ราคาค่าเข้าชมของที่นี่ค่อนข้างแพงเพราะเป็นแบบ Exclusive ส่วนคำว่า มูแลง รูจ นั้นแปลว่า กังหันแดง จึงเป็นที่มาของสัญลักษณ์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้า
การเดินทาง
Metro สาย 2, 12 : สถานี Pigalle
ค่าเข้าคนละ 109 ยูโร เฉพาะชมการแสดงช่วงบ่าย (14.45 น.) และช่วงค่ำ (21.00 น.) พร้อมแชมเปญครึ่งขวด

มงต์มาร์ท มหาวิหารซาเคร-เกอร์ (Montmarte & Sacre Couer Basilica)
โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ ณ จุดสูงสุดในปารีสบนเขามงต์มาร์ท หลังจากที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ต่อสงครามรัสเซีย จึงเกิดความคิดที่จะสร้างโบสถ์เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจและสัญลักษณ์ของการเสียสละ ณ จุดสูงสุดแห่งนี้
แชร์ประสบการณ์ (พิเศษ)
ผมกับเพื่อนเดินขึ้นบันไดหลักเพื่อที่จะขึ้นไปโบสถ์แห่งนี้ แต่ละแวกนั้นมีกลุ่มชายผิวดำร่างใหญ่เข้ามาล้อมผมกับเพื่อน พร้อมกับยัดเยียดให้ซื้อสินค้าของเขา (เป็นเชือกสี ๆ ผูกข้อมือ) ผมตอบ No พร้อมกับเดินหนี แต่ก็ยังไม่พ้นที่จะโดนดักจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมแล้วประมาณ 7-8 คน หลังจากนั้นมีชายผิวดำเดินแหวกวงล้อมเข้ามาพร้อมกับชี้มาที่กล้องของผม (ซึ่งห้อยคล้องคออยู่) ทันใดนั้นผมจึงรีบวิ่งหนีฝ่าวงล้อมลงมาตั้งหลักด้านล่าง และรอสังเกตการณ์สักพักก็เห็นนักท่องเที่ยวโดนรีดไถอยู่หลายคน ถ้าอยากขึ้นไปชมความงามของโบสถ์แห่งนี้แนะนำว่าให้เดินไปทางด้านซ้าย จะมีบันไดเล็ก ๆ ที่เดินขึ้นไปได้หรือจะเป็นรถราง (เสียค่าบริการ) ซึ่งปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินมากกว่าทางขึ้นหลัก

การเดินทาง
Metro สาย 2 : สถานี Anvers
Metro สาย 12 : สถานี Abbesses
หรือจะเดินมาจาก มูแลง รูจ ประมาณ 1 กิโลเมตร

ด้านบนสุดของวิหารมีจุดชมวิวเมืองปารีสที่มองเห็นได้ทั่ว


โซนรอบ ๆ ปารีส
พระราชวังแวร์ซาย (Chateau de Varsailles)
จากกระท่อมล่าสัตว์กลายเป็นพระราชวังอลังการที่เลอเลิศ

การเดินทาง
RER สาย C : สถานี Versailles-Rive Gauche โดยซื้อตั๋วโซน 1-4 (Mobilis Zone 1-4) ลงสถานีปลายทาง จากนั้นก็เดินหรือนั่งรถไฟเล็กเข้าพระราชวังแวร์ซาย ใช้เวลาเดินทางจากปารีสประมาณ 45 นาที
ปิดทุกวันจันทร์ ค่าเข้าคนละ 15 ยูโร เข้าชมฟรีในวันอาทิตย์สัปดาห์แรกของเดือน (พฤศจิกายน-มีนาคม)

พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 โปรดการล่าสัตว์ จึงเสด็จไปที่ป่านอกเมืองแวร์ซายเป็นประจำ จนกระทั่งมีการสร้างกระท่อมที่ประทับขึ้น แต่หลังจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ขึ้นครองราชย์ ก็รับสั่งให้รื้อกระท่อมทิ้ง ก่อนที่จะเนรมิตพระราชวังให้งาม ใช้เวลาในการก่อสร้างนานกว่า 20 ปี หลังจากนั้นได้มีการย้ายศูนย์กลางการปกครองออกจากปารีสมายังพระราชวังแวร์ซาย

ภายในพระที่นั่งมีทั้งหมด 700 ห้อง แต่ละห้องส่วนใหญ่จะตั้งชื่อห้องตามเทพเจ้ากรีก ทั้งเฮอร์คิวลีส วีนัส ไดอาน่า เป็นต้น พร้อมด้วยห้องสมุด ห้องเสวยพระกระยาหาร ห้องฉลองพระองค์ และห้องบรรทม


ห้องกระจกที่โด่งดัง "แกลลอรี่ เดส์ กลาส" เป็นห้องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดซึ่งเคยใช้เป็นห้องลงนามในสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับเยอรมนี ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และใช้เป็นที่ลงนามเมื่อเยอรมนีบุกตีชนะฝรั่งเศส ในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย

พระราชวังแวร์ซายตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเนิน พร้อมภูมิทัศน์ที่ชวนหลงใหล มีอุทยานเขียวขจี ไม้ดอกนานาพรรณ ประติมากรรมที่ประดับอันสวยงาม รวมถึงน้ำพุซึ่งตั้งอยู่บริเวณรอบนอกของพระราชวัง

พระราชวังแวร์ซาย เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกรุงปารีส เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันด้วย

มุ่งหน้าสู่วิหารมรดกโลกอันโด่งดัง Mont Saint Michel
หลังจากตะลอนเที่ยวในปารีสแล้ว คราวนี้ผมจะพามาเที่ยวรอบนอกบ้าง หนึ่งในไฮไลท์ที่ผมอยากมามากที่สุดไม่แพ้หอไอเฟลเลย ก็คือ วิหารมง-แซ็ง-มีแชล (Le Mont-Saint-Michel) เป็นวิหารที่ตั้งอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเลชายฝั่งตะวันตก แคว้นบัส-นอร์ม็องดีของประเทศฝรั่งเศส และได้รับประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เมื่อปี พ.ศ. 2522 อีกด้วย

วิธีการเดินทางไปวิหาร Mont Saint Michel จะต้องนั่งรถไฟความเร็วสูงหรือ TGV แล้วต่อรถบัส โดยรถไฟที่นั่งไปนั้นมีทั้งลงที่สถานี Rennes กับ สถานี Dol De Bretagne และต่อรถบัสไปยังวิหารอีกที ส่วนตั๋วรถไฟถ้าจองล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซต์จะได้ราคาที่ดีกว่า http://en.voyages-sncf.com/en/ แต่ตอนผมเดินทางผมไปซื้อที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วรถไฟที่ปารีส ซึ่งขาไปไปลงสถานี Dol De Bretagne และต่อรถบัสไปยังวิหาร ส่วนขากลับนั่งรถบัสจากวิหารมาลงที่สถานี Rennes และต่อรถไฟเข้าปารีสครับ โดยมีช่วงเวลาให้เลือกหลายช่วง ราคาตั๋วต่อเที่ยวประมาณ 55 ยูโร เป็นราคาที่รวมตั๋วรถไฟและรถบัสไว้เรียบร้อยแล้วครับ

สถานี Montpranasse เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางทั้งซื้อตั๋วและมาขึ้นรถไฟ บริเวณสถานีมีที่ชาร์ตไฟโดยใช้พลังงานจากการปั่นด้วยตัวเอง ถือว่าเป็นไอเดียที่เก๋ไก๋ไม่น้อยเลยครับ ^^



ในรถไฟ TGV ดูสะอาดสะอ้านกว่ารถไฟใต้ดินในปารีสอยู่มาก มีบริการขายอาหาร เครื่องดื่มบนรถไฟด้วย และที่สำคัญวิ่งนิ่ม...เผลอหลับไปแป๊บเดียวถึงที่หมายแล้วครับ ^^

เดินออกจากสถานีรถไฟจะเจอรถบัสจอดอยู่ นำตั๋วที่ซื้อมาตั้งแต่ที่ปารีสยื่นให้พนักงานได้เลย แต่ถ้าใครไม่ได้จองตั๋วรถบัสล่วงหน้ามา สามารถซื้อที่รถได้ครับ (ถ้าเป็นช่วงเทศกาลควรจองล่วงหน้า)


รถบัสออกเวลา 10.40 น. และถึงที่หมายวิหาร Mont St. Michel ตอน 11.10 น. จะใช้เวลาสั้นกว่านั่งมาจากสถานี Rennes ครับ

ที่ Mont Saint Michel มีที่พักให้เลือก 2 โซน
- โซนแรกอยู่ด้านในวิหาร ราคาจะค่อนข้างสูงหน่อย แต่ทำเลดี
- โซนสองอยู่ด้านนอกวิหาร ราคาจะถูกกว่า แต่ระยะทางไปวิหารประมาณ 2 กิโลเมตร

ผมเลือกพักที่ Auberge de la Baie ตั้งอยู่โซนด้านนอก ห่างจากจุดลงรถบัสประมาณ 500 เมตร จองผ่านเว็บไซต์โดยตรงของทางโรงแรมได้เลยครับ

ราคาที่พักรวมอาหารเช้าตกคนละประมาณ 66 ยูโร และที่นี่จะมีฟาร์มแกะ สามารถขออนุญาตเข้าไปถ่ายรูปเล่นด้านในได้ครับ

ในเมื่อระยะทางจากที่พักมาวิหารค่อนข้างไกลอีกทางเลือกหนึ่ง คือ การเช่าจักรยานจากที่พักขี่ไปเที่ยววิหาร ราคาค่าเช่าต่อคันต่อวันประมาณ 4 ยูโร เนื่องจากช่วงกลางคืนจะค่อนข้างมืดเพื่อความปลอดภัย ทางที่พักจะให้เสื้อสีเขียวสะท้อนแสงมาใส่ด้วยครับ ^^

ภายในวิหาร Mont Saint Michel มีร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกอยู่หลายร้าน แต่ร้านขายของที่ระลึกจะปิดค่อนข้างเร็ว ประมาณ 18.00 น. ก็เก็บร้านเกือบหมดแล้วครับ

ค่าเข้าชมด้านบนสุดของวิหารอยู่ที่คนละ 9 ยูโร

ต้องชมการจัดการเส้นทางการเดินชมวิหารของที่นี่กันหน่อย เพราะเส้นทางที่ให้นักท่องเที่ยวเดินชมวิหารนั้นมีหลายชั้น หลายห้อง แต่ไม่ซ้ำเส้นทางเดิมเลย และสามารถเดินชมด้วยตัวเองได้ทั่วด้วยครับ


บริเวณระเบียงด้านนอกของวิหารสามารถมองเห็นวิวมุมสูงอันสวยงามของเมืองนี้ได้ทั่ว ที่นี่จะมีเวลาบอกช่วงน้ำขึ้น น้ำลงในแต่ละวัน เพื่อให้รถยนต์ที่มาจอดบริเวณวิหารนำรถยนต์ออกก่อนที่น้ำจะขึ้นสูงสุด


ช่วงเย็นเปิดไฟสวยงาม

ตอนที่ผมไปน้ำขึ้นเต็มที่ในช่วงเช้า อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ห้ามพลาดถ้าได้มาเที่ยววิหาร Mont St. Michel แห่งนี้ ที่ได้เห็นวิหารอันสวยงามสะท้อนกับผิวน้ำสวยมากครับ ^^


บริเวณที่ลงรถบัสจะมีบริการ Shuttle Bus พามาส่งที่วิหารฟรี แต่จะมีช่วงเวลาในการบริการ ตั้งแต่ 06.00-18.00 น. ถ้าไม่นั่ง Shuttle Bus ก็สามารถเดินมาเที่ยวได้เพียงแต่ระยะทางจะไกลหน่อยประมาณ 1.5 กิโลเมตร

ขากลับรถบัสออกจาก Mont St. Michel ตอน 11.05 น. มาลงสถานี Rennes แล้วต่อรถไฟกลับไปยังปารีส สถานี Montpranasse ผมเลือกกลับไปที่สถานี Rennes เนื่องจากเวลาขากลับรถบัสไปสถานี Dol De Bretagne มีรอบรถน้อยกว่าไปสถานี Rennes

โบกมือลา วิหาร Mont St. Michel สวยสมคำร่ำลือ สมกับที่เป็นมรดกโลกมากครับ ^^

ที่พำนักพักกายสไตล์อพาร์ทเม้นท์
ตัดสินใจได้ยากกับการเลือกที่พักเพราะปารีสแบ่งเป็นหลายโซน บวกกับผมมาจองที่พักช่วงใกล้วันเดินทาง ซึ่งที่ดี ๆ หลายที่มักเต็มไปก่อนหน้านี้แล้ว ทริปนี้ในปารีสผมเลือกพักกับ Airbnb แต่ที่ มง-แซ็ง-มีแชล ผมจองผ่านเว็บไซต์ของที่พักโดยตรง Airbnb ที่ผมเลือกพักเป็นแบบอพาร์ทเม้นท์ อยู่ในย่าน Montpranasse เดินจากสถานีรถไฟใต้ดิน Mouton-Duvernet เพียง 500 เมตร

อพาร์ทเม้นท์ห้องนี้มีพื้นที่ใช้สอยอยู่หลายห้อง มีภาพสวย ๆ ประดับห้องอยู่มากมาย เนื่องจากเจ้าของห้องพักเป็นคนชอบท่องเที่ยวและถ่ายรูป

ห้องนั่งเล่น ห้องนอน มีประตูเชื่อมถึงกัน





นอกเหนือจากขนมปังรูปทรงยาวรีที่ฝรั่งเศสมีอะไรทาน ?
มื้อเช้าส่วนใหญ่จะเป็นขนมปังฝรั่งเศส หรือที่เรียกกันว่า บาแก๊ต (Baguette) เปลือกนอกแข็งกรอบ เนื้อในนุ่ม มักนำมาประกอบทำเป็นแซนด์วิช มีขายอยู่ทั่วไปแม้กระทั่งบริเวณรถไฟใต้ดิน ราคาขึ้นอยู่กับไส้ที่เลือกมีตั้งแต่ 4-12 ยูโร

อากาศหนาว ๆ ทานขนมปังฝรั่งเศสคู่กับเครื่องดื่มร้อน ๆ อย่างช็อกโกแลตร้อนหรือไวน์ร้อนคงจะฟินน่าดู ผมไม่ได้พิมพ์ผิดนะ มันคือไวน์ร้อนจริง ๆ (แต่จะมีแค่ช่วงเทศกาล) เนื่องจากที่ฝรั่งเศสไวน์จะขึ้นชื่อและมีราคาที่ไม่แพง ตามถนนทั่วไปจะเห็นร้านขายไวน์ร้อน ด้วยการเอาไวน์ไปต้ม แก้วเล็ก ๆ น่ารักแบบนี้ราคา 5 ยูโร รสชาติถือว่าดี มีกลิ่นหอม ดื่มแก้หนาวได้ดีครับ ^^

แต่ถ้าพักโรงแรม อาหารเช้าที่เป็นไลน์บุฟเฟ่ต์นั้นจะเน้นที่ขนมปัง แฮม และชีส ผมขอยกให้แฮมที่นี่เป็นของห้ามพลาด ทั้งนุ่ม หอม รสชาติไม่เหมือนแฮมในไทยที่ผมเคยลองทานเลยครับ อร่อยมากกกกกกกกก ^___^

ร้านอาหารที่ฝรั่งเศสจะขายเป็นเวลา อย่างมื้อกลางวันจะเริ่มเวลา 12.00 น. และมื้อเย็นจะเริ่มที่ 19.00 น. ดังนั้นถ้ามาก่อนเวลาที่ขายร้านจะไม่รับออร์เดอร์เลยครับ ผมลองมาแล้ว ><

เมนูที่ขายตามร้านอาหารนั้นส่วนใหญ่เป็นเซตสเต๊ก มีทั้งไก่ ปลา หมู เนื้อวัว และเนื้อแกะ สำหรับคนที่มาทาน 2 คน ถ้าไม่เน้นทานเยอะผมแนะนำว่าให้สั่งมาแค่เซตเดียวพอ เพราะในเซตจะมีทั้ง Starter, Main Course และของหวาน ราคาต่อเซตประมาณ 15-25 ยูโร
Starter มีหลากหลายเมนูให้เลือกอย่าง พายแอปเปิล, สลัดผักกับชีส, ปลาแซลมอนบด หรือตับห่าน (Foie Grass)


ทาน Starter เสร็จตามด้วย Main Course และปิดท้ายด้วยของหวาน



และที่พลาดไม่ได้เลย คือ มาการอง จาก 3 ยี่ห้อที่ผมได้ลองทาน ผมว่า Pierre Herme ดูดีสุด อันนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณส่วนลิ้นของแต่ละบุคคลนะครับ อิอิ ^^

ระบบเช็กอินอันทันสมัยและสะดวกสบาย by AirFrance
เริ่มที่การ Check in Online ที่ทำได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์และบนมือถือ ง่าย ๆ เพียงเข้าไปในเว็บของสายการบินและเช็กอินผ่านทางอินเทอร์เน็ต แล้วพริ้นท์ Boarding Pass จากที่บ้านเลยก็ได้ ข้อดีของการเช็กอินล่วงหน้าคือคุณจะสามารถเลือกที่นั่งดี ๆ ได้ก่อนคนอื่น โดยทางสายการบินให้เช็กอินล่วงหน้าได้ 30 ชั่วโมง

สำหรับหลายคนที่ชอบใช้ Smart Phone สามารถเช็กอินได้ด้วยโทรศัพท์มือถือสะดวกสบายมากครับ เมื่อถึงวันเดินทางเราก็เอา Boarding Pass ที่พริ้นท์จากที่บ้านมาด้วย


ที่สนามบิน CDG ฝรั่งเศส เป็นสนามบินที่ใหญ่และทันสมัย มีตู้คีออส (Kiosk) เพื่อเพิ่มช่องทางความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวตั้งอยู่หลายตู้

นักท่องเที่ยวสามารถพริ้นท์ตั๋วเครื่องบินได้จากตู้นี้และสามารถเดินเข้า ตม. ได้เลยถ้ากรณีไม่มีโหลดสัมภาระ แต่ถ้ามีสัมภาระเมื่อได้ Boarding Pass แล้วให้ไปที่ช่องเคาน์เตอร์เพื่อทำการโหลดสัมภาระก่อนครับ

เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมเดินทางกลับแล้วจ้า
ที่สนามบิน CDG จะมีร้านค้า Duty Free สำหรับซื้อของฝากอยู่หลายร้าน ทั้งร้านกระเป๋าแบรนด์ดังอย่าง Longchamp หรือจะเป็นมาการองจาก Laduree ขนมขึ้นชื่อจากฝรั่งเศส ^^

ขากลับเลือกที่นั่งแบบ Economy Comfort สามารถยืดขาได้สบาย

อาหารบนเครื่องยังจัดเต็มเหมือนเดิม มีเปลี่ยนเมนูต่างจากขามาแต่ปริมาณไม่เปลี่ยนแปลง

เครื่องดื่มและของว่างบนเครื่องบินสามารถเดินไปหยิบเองได้ มีวางไว้

ปิดท้ายอีกหนึ่งมื้อบนเครื่องบินของสายการบิน AirFrance ที่บริการแบบ Full Service จัดเต็มทุกมื้อบนเครื่องครับ

ปารีส...ไม่ได้เป็นเมืองที่น่ากลัวสำหรับการไปเที่ยวด้วยตัวเอง
ปารีส...ยังคงเสน่ห์แห่งความโรแมนติกไม่ว่าจะฤดูกาลไหนก็ตาม
ปารีส...ทำให้ผมได้รับรู้ถึงวัฒนธรรมตะวันตกแบบถ่องแท้
และ "ปารีส" ทำให้ฝันการไปยุโรปครั้งแรกของผมเป็นจริง…
ท้ายนี้ผมขอขอบคุณสายการบิน AirFrance ที่สนับสนุนตั๋วเดินทางบินตรงจากกรุงเทพฯ ถึงฝรั่งเศส ขอบคุณประสบการณ์ต่างแดนที่ไกลที่สุดตั้งแต่ผมไปเที่ยวเอง เป็นประสบการณ์ดี ๆ ที่ยากจะลืม ขอบคุณผู้คนชาวฝรั่งเศสที่คอยช่วยเหลือ ให้ข้อมูล บอกเส้นทาง และเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวตัวเล็ก ๆ อย่างผม

ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง Message Pantip หรือในเพจของผมก็ได้
http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวเที่ยวปารีส ฝรั่งเศส นี้จนจบ
"First Touch…Paris-Mont St. Michel"
หลาย ๆ คนคงอยากทราบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในทริปนี้ใช่ไหมครับ ผมไปแบบประหยัด แบ็คแพ็ก เน้นถ่ายรูปแต่ไม่ถึงกับอด ค่าใช้จ่ายไม่รวมตั๋วเครื่องบินและของฝาก ผมใช้ไปทั้งหมดประมาณ 18,000 บาท ถ้ารวมกับตั๋วช่วงโปรโมชั่นประมาณ 25,000 บาท หรือได้ตั๋วที่ถูกกว่านั้น ค่าใช้จ่ายไปเที่ยวยุโรป 6 วัน ประมาณ 45,000-50,000 บาท ครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะได้ไปเที่ยวยุโรป คงไม่ไกลเกินเอื้อมของใครหลาย ๆ คนนะครับ ^^



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ neju11 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก Nejuphoto