เที่ยวลาว แนะนำโปรแกรมเที่ยวลาว 3 วัน 2 คืน ด้วยตัวเอง สนุกสนานไปกับที่เที่ยวธรรมชาติวิวสวย บรรยากาศดี พร้อมกับเที่ยวเพลิน ๆ ในเมืองเก่า หรือเมืองที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา ชมสถานที่สำคัญต่าง ๆ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Laos) หรือที่เราเรียกสั้น ๆ ว่า สปป.ลาว ประเทศเพื่อนบ้านที่คนไทยได้รับการยกเว้นวีซ่า สามารถเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า แต่ก็ต้องพกพาสปอร์ตไว้ด้วย และอยู่ได้ครั้งละไม่เกิน 30 วัน โดยจะต้องมีใบรับรองฉีดวัคซีน Covid-19 ครบโดส สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวลาวก็มีหลากหลาย ทั้งวัดวาอาราม โบราณสถาน ธรรมชาติ หรือวิถีชีวิตที่มีเอกลักษณ์ จึงเป็นหนึ่งในที่เที่ยวต่างประเทศใกล้ไทยที่หลายคนสนใจ แต่บางคนก็ยังไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวลาวที่ไหนดี วันนี้เราเลยหยิบเอาโปรแกรมเที่ยวลาว 3 วัน 2 คืน มาแนะนำกัน เริ่มที่… เวียงจันทน์ (Vientiane) เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของลาว ศูนย์รวมความเจริญรุ่งเรืองต่าง ๆ ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของไทย มีแม่น้ำโขงเป็นส่วนแบ่งพรมแดน ทำให้สามารถเดินทางไปเที่ยวได้สะดวก มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ไปเยือนเมืองหลวงของลาวทั้งทีไม่ควรพลาดไปสักการะ พระธาตุหลวง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเวียงจันทน์ ตั้งอยู่ใจกลางเมือง โดดเด่นด้วยพระธาตุสีเหลืองทองอร่าม มีรูปทรงคล้ายกับดอกบัวตูม มีความสูง 45 เมตร รายล้อมด้วยพระธาตุองค์เล็กโดยรอบอีก 30 องค์ ภายในประดิษฐานพระอุรังธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามตำนานอุรังคนิทานได้กล่าวไว้ว่า สร้างขึ้นคราวเดียวกับการสร้างเมืองนครเวียงจันทน์ โดยโครงสร้างปัจจุบันถูกสร้างโดยสมเด็จพระเจ้าอภัยพุทธบวร ไชยเชษฐาธิราช ในปี พ.ศ. 2109 และมีได้มีการบูรณะโดยชาวฝรั่งเศสในช่วงหลัง เปิดให้เข้าเที่ยวชมทุกวัน ทั้งผู้หญิงและผู้ชายต้องแต่งกายสุภาพก่อนเข้าเยี่ยมชม จากนั้นแวะไปชื่นชมความงามของสัญลักษณ์เวียงจันทน์อย่าง ประตูไซ (ประตูชัย) แลนด์มาร์กที่ตั้งอยู่บริเวณท้ายสุดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของถนนล้านช้าง ก่อสร้างเมื่อราว ๆ ปี พ.ศ. 2500 เพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกถึงวีรชนผู้ร่วมรบในการประกาศเอกราชจากประเทศฝรั่งเศส โดยได้แรงบันดาลใจสถาปัตยกรรมจาก Arc de Triomphe ประตูชัยแห่งปารีส มีการตกแต่งด้วยรูปปั้นของกินรีและสัตว์ในตำนานตามความเชื่อของศาสนาพุทธ โดยรอบของประตูชัยถูกตกแต่งด้วยสวนสวย ด้านบนเดินขึ้นไปชมวิวเมืองในมุมสูงได้ ส่วนด้านหน้าเป็นลานน้ำพุกับสวนกว้าง ถัดมาไม่ไกลไปชมความงดงามของ วัดสีสะเกด ตั้งอยู่บนถนนล้านช้างเช่นเดียวกัน เป็นวัดโบราณเพียงแห่งเดียวที่ยังสมบูรณ์หลังจากการรบกับไทยในช่วงปี พ.ศ. 2371 ซึ่งมีการสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2361 โดยสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ สิ่งที่โดดเด่นของวัดก็คือโบสถ์เก่าแก่ที่ยังคงมีสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมผสมผสานระหว่างศิลปะแบบไทยและลาว มีหลังคาเป็นไม้สวยงาม ก่อนจะไป วัดศรีเมือง ที่ตั้งอยู่บนถนนเชษฐาธิราช ห่างจากวัดสีสะเกดประมาณ 1 กิโลเมตร สร้างมาตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 1563 เป็นวัดเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมสวยงามเช่นกัน และยังเป็นที่ตั้งของศาลเสาหลักเมือง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองเวียงจันทน์ สิ่งที่น่าสนใจก็คือพระอุโบสถที่มีสถาปัตยกรรมไทย-ลาว สวยงามโอ่อ่า จากนั้นไป วัดองค์ตื้อมหาวิหาร วัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ถนนไชยเชษฐาธิราช สถานที่ประดิษฐาน “พระเจ้าองค์ตื้อ” พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ศิลปะล้านช้าง หล่อด้วยสำริด หน้าตักกว้าง 3 เมตร 40 เซนติเมตร ความสูง 5 เมตร 80 เซนติเมตร สร้างโดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เมื่อปี พ.ศ. 2109 เพื่อเสริมสิริมงคลกันสักหน่อย และปิดท้ายวันแรกกันที่ Vientiane Night Market ตลาดกลางคืนริมโขง เดินชิม เดินช้อป เดินชิล ๆ มีทั้งของกิน เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ งานหัตถกรรม และสินค้าพื้นเมืองให้เลือกมากมาย ราคาย่อมเยา สามารถต่อรองกันได้ ที่นี่จะเปิดช่วงเย็น ๆ ถึงประมาณ 4 ทุ่ม เช้าวันที่ 2 มุ่งหน้าไป วังเวียง เมืองเล็ก ๆ ริมแม่น้ำซอง อยู่ห่างจากตัวเมืองเวียงจันทน์ไปทางเหนือประมาณ 150 กิโลเมตร แต่ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง เนื่องจากถนนค่อนข้างเล็ก ส่วนมากเป็นเลนสวนกัน บางช่วงเป็นทางโค้งและเป็นถนนลูกรัง ทำให้ไม่สามารถขับด้วยความเร็วได้ หากมีเวลาเพียงไม่กี่วันแนะนำให้ใช้บริการรถไฟสายจีน-สปป.ลาว เพราะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 5 นาทีเท่านั้น สำหรับวังเวียงมีสภาพภูมิประเทศที่โดดเด่นด้วยภูเขาหินปูน ตั้งตระหง่านเรียงรายเป็นแนวยาว มีแม่น้ำไหลผ่าน ธรรมชาติยังคงสมบูรณ์ อากาศดี และบรรยากาศเงียบสงบ ที่นี่เป็นเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยวแบ็กแพ็กเกอร์ หรือคนที่ชอบกิจกรรมแนวแอดเวนเจอร์ ที่นี่มีกิจกรรมที่น่าสนใจหลากหลาย เช่น เดินทางไกลชมป่าไม้ ปีนเขา ชมถ้ำ หรือล่องห่วงยางเล่นบนแม่น้ำซอง ฯลฯ แต่หากมีเวลา 1 วัน 1 คืน ไม่ควรพลาดไปเช็กอิน บลู ลากูน สระน้ำสีฟ้าใสที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของถ้ำภูคำ ลักษณะของน้ำในสระจะเป็นสีฟ้าใส สามารถลงไปว่ายน้ำเล่นได้ ด้านข้างสระจะมีต้นไม้ใหญ่ มีเชือกให้ไต่ปีนเพื่อกระโดดน้ำเล่น พร้อมทั้งยังมีบริการให้เช่าห่วงยางและจำหน่ายอาหารอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ไปพายเรือคายักในลำน้ำซอง กิจกรรมสุดชิลที่นักท่องเที่ยวสามารถพายได้ เพราะกระแสน้ำไหลไม่แรงมากนัก พายได้ง่าย ๆ ชมวิวของสองข้างแม่น้ำไปเรื่อย ๆ จะเห็นทิวทัศน์ของภูเขาหินปูนสูงใหญ่สีเขียว การหาปลาในลำน้ำแบบพื้นเมืองของชาวบ้าน เด็ก ๆ กระโดดเล่นน้ำกัน ถ่ายรูปสุดชิคกับ สะพานส้ม สะพานแขวนทอดข้ามผ่านลำน้ำซอง ทำขึ้นจากเหล็ก ใช้เป็นทางข้ามไปยังถ้ำจัง สามารถเดินเที่ยวชมบนสะพาน พร้อมทั้งเก็บภาพความประทับใจคู่กับสะพานส้มและลำน้ำซองได้ชิล ๆ ตื่นตาตื่นใจกับหินงอก หินย้อย ณ ถ้ำจัง ถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ ในอดีตเคยเป็นที่หลบภัยสงครามของชาวบ้าน เมื่อสงครามสงบลงชาวบ้านจึงได้กลับออกมาตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ในเมืองวังเวียง ภายในถ้ำแบ่งออกเป็นหลายส่วน มีทั้งห้องโถงใหญ่และทางเดินแคบ ๆ เต็มไปด้วยหินงอก หินย้อย มีทางเดินเล็ก ๆ ให้เราเดินเที่ยวชมได้รอบถ้ำ ปิดท้ายวันด้วยการนั่งชิลที่บาร์ริมน้ำ โดยจะมีโต๊ะ เก้าอี้ หรือแพ ตั้งไว้บริการนักท่องเที่ยว สำหรับการมานั่งจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ พร้อมกับชมบรรยากาศยามเย็นของเมืองวังเวียงที่เงียบสงบและสวยงาม ทั้งนี้ กิจกรรมต่าง ๆ สามารถสอบถามกับบริษัททัวร์หรือเจ้าหน้าที่ของที่พักได้เลย หรืออีก 1 โปรแกรม คือ ช่วงบ่ายไปเยือน Nam Xay Viewpoint (ผาหนามไซ) และหลบมานั่งชิลที่บาร์ริมน้ำก็ได้ สำหรับผาหนามไซเป็นจุดชมวิวที่สวยงามแห่งหนึ่งของวังเวียง ตั้งอยู่บนเขาสูง สามารถมองเห็นวิวภูเขาน้อยใหญ่และทุ่งนาป่าเขาที่อยู่โดยรอบได้แบบ 360 องศา โดยที่จุดชมวิวจะเป็นหินบะซอลต์สีดำรูปลักษณ์แปลกตา และที่สำคัญยังมีการนำมอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์มาตั้งไว้ที่จุดชมวิวให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปเท่ ๆ กันด้วย ซึ่งการจะขึ้นไปยังจุดชมวิวจะต้องเดินขึ้นเขาที่มีความชันระดับหนึ่ง จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ วันที่ 3 ตื่นเช้าสักนิดเพื่อไปสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาววังเวียงกันที่ ตลาดเช้า เพราะมีอาหารพื้นเมืองแท้ ๆ ให้ได้ลิ้มลองกัน บรรยากาศของตลาดจะเงียบสงบ มีภูเขาหินปูนเป็นฉากยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลัง จากนั้นนั่งรถกลับมายังนครหลวงเวียงจันทน์ และเดินทางกลับประเทศไทย เครื่องบินจากกรุงเทพฯ ที่มีหลายสายการบิน เช่น การบินไทย ไทยสมายล์ แอร์เอเชีย และลาวแอร์ไลน์ เป็นต้น รถทัวร์ : ทางบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ได้เปิดบริการเดินรถระหว่างประเทศไทย และ สปป.ลาว เช่น - หนองคาย-นครหลวงเวียงจันทน์ ใช้รถมาตรฐาน 2 ปรับอากาศ เดินรถผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 หนองคาย-เวียงจันทน์ ระยะทาง 27 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง - อุดรธานี-นครหลวงเวียงจันทน์ ใช้รถมาตรฐาน 2 ปรับอากาศ เดินรถผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 ระยะทาง 77 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง - อุดรธานี-หนองคาย-วังเวียง ใช้รถมาตรฐาน 2 ปรับอากาศ เดินรถผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 หนองคาย-เวียงจันทน์ ระยะทาง 233 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง - ขอนแก่น-นครหลวงเวียงจันทน์ ใช้รถมาตรฐาน 2 ปรับอากาศ เดินรถผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 หนองคาย-เวียงจันทน์ ระยะทาง 194 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง - กรุงเทพฯ-นครหลวงเวียงจันทน์ ใช้รถมาตรฐาน 4 (ก) ปรับอากาศ เดินรถผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 หนองคาย-เวียงจันทน์ ระยะทาง 648 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง ทั้งนี้ จากนครหลวงเวียงจันทน์สามารถใช้บริการรถไฟสายจีน-สปป.ลาว ไปยังวังเวียงได้ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 5 นาที หลวงพระบาง (Luang Prabang) เมืองมรดกโลกที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาว ห่างจากตัวเมืองเวียงจันทน์ประมาณ 310 กิโลเมตร เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์มากล้น กับศิลปวัฒนธรรมและธรรมชาติที่งดงาม รายล้อมไปด้วยวัดที่มีสถาปัตยกรรมอันงดงาม มีแม่น้ำโขงและแม่น้ำคานไหลผ่านหล่อเลี้ยงชีวิตชาวเมืองมาตั้งแต่อดีต อีกทั้งยังโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ พร้อมกับกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์อันน่าจดจำ สถานที่ท่องเที่ยวหลวงพระบางมีมากมาย เริ่มต้นวันด้วยการไป วัดเชียงทอง วัดที่มีสถาปัตยกรรมสมัยล้านช้างที่งดงาม โดดเด่นด้วยพระอุโบสถหลังคาแอ่นโค้งลดหลั่นกันลงมา 3 ชั้น ด้านบนประดับด้วยช่อฟ้ามากถึง 17 ยอด หมายถึงเป็นวัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้น ประตู หน้าต่าง หน้าบัน และบริเวณโดยรอบตกแต่งอย่างงดงาม ด้านในประดิษฐานพระองค์หลวง พระพุทธรูปสมัยล้านช้าง สีเหลืองทองสวยอร่าม ด้านหลังของพระอุโบสถเป็นภาพต้นทองสูงใหญ่ พร้อมด้วยสัตว์ในวรรณคดี ซึ่งตกแต่งจากกระจกสีตัดสวยแวววับเป็นประกายงดงามทั้งกลางวันและกลางคืน นอกจากนี้ยังมีวิหารแดง, หอพระม่าน และโรงเมี้ยนโกศ ให้ได้ชมกันด้วย จากนั้นไปชม พระราชวังหลวงพระบาง หรือหอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง ที่ตั้งอยู่กลางเมือง สร้างขึ้นมาตั้งแต่ พ.ศ. 2447 เพื่อเป็นที่พำนักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ พระมหากษัตริย์องค์ที่ 12 ราชอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง โดยตัวพระบรมมหาราชวังจะเป็นอาคารสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลผสมผสานกับศิลปะแบบล้านช้าง บริเวณด้านหน้าจะเป็นที่ตั้งของหอพระบาง อันเป็นที่ประดิษฐานพระบางพุทธลาวัลย์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบาง ก่อนจะไปต่อยัง วัดวิชุนราช (วัดหมากโม) วัดที่มีเจดีย์รูปทรงคล้ายกับดอกบัวหรือแตงโม ด้วยมีลักษณะเป็นโดมโค้งมน แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของอาณาจักรสิงหล สร้างขึ้นในระหว่างปี พ.ศ. 2057-2058 สร้างขึ้นในสมัยเจ้าวิชุลราช เป็นวัดที่เก่าที่สุดในหลวงพระบาง อีกทั้งมีพระวิหารทรงสิมตั้งอยู่ภายในวัด ลักษณะอาคารเป็นทรงเตี้ย มีหลังคาโค้งลดหลั่นกันลงมา 2 ชั้น บนยอดประดับด้วยช่อฟ้า 17 ช่อ หมายถึงเป็นวัดที่สร้างขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ บรรยากาศโดยรอบร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ เงียบสงบ บริเวณลานวัดมองเห็นยอดของพระธาตุภูสีได้อย่างชัดเจน ดื่มด่ำกับความงดงามของวัดวิชุนราชกันแล้วก็ไปต่อ ณ วัดใหม่สุวรรณภูมาราม ที่ตั้งอยู่บนถนนศรีสว่างวงศ์ ใกล้กับพระราชวังหลวงพระบาง สันนิษฐานว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 ชาวบ้านจะเรียกกันสั้น ๆ ว่า “วัดใหม่” พระอุโบสถและวิหารต่าง ๆ มีสถาปัตยกรรมแบบศิลปะล้านช้าง หลังคาพระอุโบสถจะซ้อนลดหลั่นกันลงมาทั้งหมด 5 ชั้น มีช่อฟ้าสีทองเหลืองอร่ามประดับอยู่ด้านบน เดินเข้าไปด้านหน้าพระอุโบสถจะเห็นกำแพงที่มีภาพลงรักปิดทองเต็มผนัง เหลืองทองอร่าม ดูอลังการมาก พอหันมาที่เสาด้านหน้าก็ลงรักปิดทองด้วย จากนั้นเดินขึ้นบันได 328 ขั้น ไปยัง พระธาตุภูสี สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งของหลวงพระบาง ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ตรงข้ามพระราชวังหลวงพระบาง ด้านบนความสูง 150 เมตร ประดิษฐานพระธาตุภูสี สร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 2337 โดยพระเจ้าอนุรุทธ ก่อนจะมีการบูรณะซ่อมแซมเมื่อ พ.ศ. 2457 เป็นพระธาตุทรงดอกบัวสี่เหลี่ยมสีทอง ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม ยอดประดับด้วยเศวตฉัตรทองสำริด 7 ชั้น สูงประมาณ 21 เมตร ระหว่างทางเดินขึ้นร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาพรรณ บริเวณจุดชมวิวจะอยู่ตรงพระธาตุ สามารถมองเห็นวิวโดยรอบแบบ 360 องศา ด้านหนึ่งเห็นแม่น้ำโขงไหลลัดเลาะผ่านแนวเทือกเขา ด้านหนึ่งเป็นเมืองหลวงพระบาง มีถนนทอดยาวเคียงคู่ไปกับลำน้ำคาน พร้อมกับมีแนวเทือกเขาสูงใหญ่เป็นฉากหลัง ทั้งนี้ การขึ้นไปยังยอดพระธาตุภูสีต้องแต่งกายสุภาพ ห้ามพกพาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นไปโดยเด็ดขาด ก่อนเดินลงมา ตลาดดารา ที่อยู่ไม่ไกลกัน เป็นตลาดขนาดกะทัดรัด มีขายทั้งของกิน ข้าวของเครื่องใช้ และสินค้าพื้นเมืองต่าง ๆ เป็นอันจบวันแรก ณ หลวงพระบาง ตื่นเช้าไปใส่บาตรข้าวเหนียว กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนหลวงพระบาง โดยสามารถไปรอได้บริเวณด้านหน้าไปรษณีย์หลวงพระบาง บนถนนศรีสว่างวงศ์ หน้าวัดเชียงทอง หน้าโรงเรียนหลวงพระบาง และหน้าหอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง พระสงฆ์จะออกบิณฑบาตประมาณ 05.30 น. ชาวบ้านจะออกมานั่งรอเรียงแถว พร้อมแต่งกายด้วยชุดพื้นเมือง ผู้หญิงนุ่งซิ่น สวมเสื้อสีขาว ห่มสไบ ผู้ชายแต่งกายสุภาพ ห่มสไบเช่นกัน จากนั้นไปเยือน ตลาดเช้า สัมผัสวิถีชีวิตของชาวหลวงพระบาง เป็นตลาดสดที่จำหน่ายสินค้าสด ๆ ทั้งไก่ เป็ด ปลาแม่น้ำโขง งู หนูนา นกป่า รังผึ้ง ผัก ผลไม้ และอาหารป่า อาหารพื้นเมืองต่าง ๆ ตั้งอยู่ในซอยเล็ก ๆ บนถนนกิทสะลาด ชาวบ้านจะขายกันง่าย ๆ ไม่มีโต๊ะก็เอาถุงปุ๋ยรองวางเทขายผักขายเนื้อกันแบบนั้นเลย ราคาย่อมเยา รวมทั้งร้านขายอาหารพื้นเมืองและอาหารเช้าง่าย ๆ เช่น หมี่ผัด โจ๊ก ข้ามต้ม ข้าวผัด เป็นต้น ก่อนจะออกนอกเมืองเพื่อไปเยือน น้ำตกตาดกวางสี น้ำตกสวยที่ตั้งอยู่ใจกลางป่าเขาอุดมสมบูรณ์ มีลักษณะเป็นน้ำตกหินปูนขนาดใหญ่ มีทั้งหมด 4 ชั้น โดยชั้นที่สูงที่สุดมีความสูงถึง 75 เมตร ซึ่งสายน้ำมหาศาลจะไหลลงมาตามหน้าผาแนว 90 องศา สู่แอ่งน้ำกว้างเบื้องล่าง ก่อนจะไหลลงไปตามชั้นต่าง ๆ บางวันจะมีรุ้งกินน้ำพาดผ่านน้ำตก เป็นภาพที่สวยงามมาก มีสะพานไม้ทอดยาวลัดเลาะไปรอบน้ำตก ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินไปเที่ยวชมได้อย่างใกล้ชิด ส่วนถ้าใครอยากเล่นน้ำก็มีแอ่งน้ำในชั้นล่าง ๆ สามารถลงเล่นได้ พร้อมทั้งพื้นที่นั่งปิกนิก ร้านอาหาร และร้านกาแฟ ไปต่อกันที่ น้ำตกตาดแส้ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเก่าหลวงพระบางประมาณ 15 กิโลเมตร การจะเข้าไปยังน้ำตกจะต้องไปลงเรือหางยาวของชาวบ้านที่บริเวณหมู่บ้านบ้านแอน นั่งเรือ 10 นาที ระหว่างทางเต็มไปด้วยป่าเขา วิถีชีวิตริมแม่น้ำของชาวบ้าน จนกระทั่งไปถึงที่ทำการของน้ำตกตาดแส้ก็จะพบกับน้ำตกหินปูนขนาดใหญ่ท่ามกลางป่าเขียวขจี น้ำในน้ำตกจะเป็นสีฟ้าเขียวมรกตใส สามารถลงเล่นน้ำได้หลายจุด มีสะพานไม้ทอดยาวลัดเลาะไปทั่วน้ำตก ใครจะนั่งพักเอาเท้าหย่อนน้ำตรงไหนก็ได้ มีร้านอาหารให้บริการ ทั้งนี้ ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการไปเที่ยวชม คือ เดือนมิถุนายน-ตุลาคม เพราะเป็นช่วงหน้าฝนจะมีปริมาณน้ำมาก สามารถเห็นความอลังการของน้ำตกได้อย่างเต็มที่ จากนั้นเราไป ถ้ำปากอู (ถ้ำติ่ง) ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองหลวงพระบางไปประมาณ 30 กิโลเมตร สามารถนั่งเรือจากท่าเรือวัดเชียงทองเพื่อไปเที่ยวชมได้ หรือนั่งรถไปยังหมู่บ้านปากอู แล้วนั่งเรือข้ามฟากมายังถ้ำแห่งนี้ก็ได้เช่นกัน ถ้ำปากอูแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ ด้านบนและด้านล่าง ถ้ำติ่งด้านล่างนั้นเมื่อขึ้นจากเรือ เดินขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นก็จะสามารถเข้าชมได้เลย ภายในถ้ำติ่งล่างนั้นประกอบไปด้วยพระแกะสลักไม้ ที่วางเรียงรายทั้งองค์เล็กและองค์ใหญ่สลับกันไป มีจุดให้ไหว้พระขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ส่วนถ้ำติ่งบนจะต้องเดินขึ้นบันไดอ้อมไปทางด้านหลัง ขนาดถ้ำจะมีขนาดใหญ่กว่า มีหินงอก หินย้อย และพระแกะสลักไม้ วางไว้ให้ได้เคารพสักการะเช่นกัน ก่อนจะปิดท้ายวันที่ 2 กันที่ ตลาดมืด หรือที่เรียกกันว่าถนนคนเดินหลวงพระบาง ตั้งอยู่บนถนนศรีสว่างวงศ์ บริเวณตั้งแต่ด้านหน้าศูนย์บริการท่องเที่ยวไปจนถึงบริเวณด้านหน้าพระราชวังหลวงพระบาง มีร้านค้ากว่า 250 ร้าน สินค้าจะมีตั้งแต่งานพื้นเมือง งานหัตถกรรม เสื้อผ้า สิ่งทอ เครื่องปั้นดินเผา โบราณวัตถุ ภาพวาดบนกระดาษสา ผลิตผลกาแฟและชา งานศิลปะ รองเท้า กระเป๋า เครื่องเงิน ฯลฯ รวมถึงมีของกินให้เลือกลิ้มลองมากมาย ลักษณะจะคล้าย ๆ กับตลาดทางภาคเหนือของไทย ราคาไม่ต่างกันเท่าไร เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 17.00-22.00 น. ก่อนจะบ๊ายบายเมืองมรดกโลกแห่งนี้ ชวนไปเดินเที่ยวหรือปั่นจักรยานชมเมืองเก่าหลวงพระบาง ที่ตั้งอยู่รอบพระราชวังหลวงพระบาง ตั้งแต่ริมฝั่งแม่น้ำโขงไล่เลยไปเรื่อยจนถึงริมฝั่งแม่น้ำคาน โดยบริเวณเมืองเก่านี้จะมีอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ตั้งเรียงรายสองฟากฝั่งถนน บางหลังได้รับการปรับปรุงจนสวยงามให้กลับมามีชีวิตชีวา บ้างก็กลายมาเป็นที่พัก ร้านอาหาร ร้านกาแฟชิค ๆ ซึ่งจะสลับคั่นด้วยวัดสวย ๆ บรรยากาศเงียบสงบ ก่อนจะเก็บข้าวเก็บของเดินทางกลับไทย นครปากเซ (Pakse) เมืองเอกของแขวงจำปาสัก เมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง เป็นเสมือนประตูสู่ลาวใต้ ที่มีทั้งวัดเก่าแก่ โบราณสถาน น้ำตก และเส้นทางเดินป่า แถมจากไทยยังเดินทางสะดวก มีรถประจำทางออกจากอุบลราชธานีมาถึงปากเซโดยตรง ระยะทางเพียง 44 กิโลเมตร โดยผ่านพรมแดนที่ช่องเม็ก อำเภอสิรินธร สำหรับโปรแกรมเที่ยวปากเซ 3 วัน 2 คืน มีดังนี้ เริ่มต้นทริปด้วยการไป วัดหลวง (วัดโพธิ์ระตะนะสาสะดาราม) วัดเก่าแก่ของลาวใต้ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองปากเซ ริมแม่น้ำเซโดน สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2478 โดยมีศิลปะแบบลาวดั้งเดิมผสมผสานกับศิลปะสมัยใหม่ สิ่งที่น่าสนใจคือพระอุโบสถ ที่มีการแกะสลักไม้บนบานประตูและหน้าต่างอย่างงดงาม มีอาคารเก่าแก่ใช้เป็นหอสมุด ส่วนอาคารที่ติดกับแม่น้ำใช้เป็นสถานที่สำหรับเรียนพระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ จากนั้นไปต่อกันที่ วัดพูสะเหลา ตั้งอยู่บนเนินเขาใกล้กับสะพานลาว-ญี่ปุ่น เมื่อมองมาจากบนสะพานจะเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีเหลืองทองสง่างามบนเนินผา ซึ่งจากจุดที่ตั้งของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ก็เป็นจุดชมวิวที่สวยงามของเมืองปากเซ บริเวณโดยรอบวัดยังมีพระพุทธรูปองค์เล็กตั้งเรียงรายอีกมากมาย ถือได้ว่าเป็นจุดท่องเที่ยวแรกของเมืองปากเซที่ไม่ควรมองข้าม ต่อด้วยการไปชมบรรยากาศเมืองปากเซ เมืองที่เคยอยู่ใต้อำนาจของฝรั่งเศส จึงมีบ้านเรือนและสถาปัตยกรรมในสไตล์โคโลเนียลหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง อีกทั้งยังมีการรับศาสนาคริสต์เข้ามาด้วย ซึ่งจะเห็นได้จากโบสถ์เก่าแก่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ห่างจากโรงพยาบาลจำปาสักไม่ไกลมากนัก โดยตัวโบสถ์เป็นอาคารสีเหลืองอ่อนสไตล์ยุโรป ด้านในตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีความโปร่งโล่ง สวยงาม ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมสำคัญในวันต่าง ๆ ของชาวคริสต์ในเมืองปากเซ และเมืองใกล้เคียง ก่อนจะออกนอกเมืองปากเซเพื่อไปยัง ปราสาทหินวัดพู โบราณสถานที่สำคัญของประเทศ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ใกล้กับเมืองปากเซ สร้างขึ้นตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 11-13 มีอายุมากกว่า 1,000 ปี ซึ่งมีสถาปัตยกรรมแบบเขมร สร้างขึ้นจากหินทรายและอิฐ โดยรอบ ๆ ปราสาทยังคงหลงเหลือรูปแบบเค้าโครงเดิม มีลวดลายเก่าแก่รอบปราสาท แวดล้อมไปด้วยภูเขาและป่าไม้เขียวขจี ความสวยงามของปราสาทหินวัดพูจึงได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก ในปี พ.ศ. 2544 กลับเข้าเมืองปากเซ ไปเดินเล่น ตลาดปากเซ ตลาดจำหน่ายสินค้าทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า สินค้าหัตถกรรม สินค้าทางการเกษตร อาหารพื้นเมืองต่าง ๆ ทั้งเนื้อสัตว์ อาหารทะเล พืชผัก และผลไม้ ซึ่งจะคึกคักในช่วงเย็น ๆ เพราะเปิดตั้งแต่เวลา 17.00-22.00 น. เช้านี้เราจะมุ่งตรงไปที่ น้ำตกตาดฟาน ห่างจากเมืองปากเซประมาณ 21 กิโลเมตร เป็นส่วนหนึ่งของ Dong Hua Sao National Protected Area ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบสูงโบลาเวน เมืองปากซอง แขวงจำปาสัก เป็นน้ำตกสูงใหญ่ มีลักษณะเป็นสายน้ำ 2 สาย ไหลลงมาจากหน้าผาสูงชันสู่กลางหุบเขา โดยสายน้ำดังกล่าวไหลมาจากแม่น้ำสองสาย คือ Champi River และ Pak Koot River น้ำจะไหลผ่านป่าเขาแล้วไหลดิ่งลงหน้าผาสูงชัน 90 องศา สู่แอ่งน้ำกลางหุบเขาเบื้องล่าง ด้วยความสูงกว่า 120 เมตร โดยรอบของน้ำตกตาดฟานเป็นป่าเขาที่เขียวขจีอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยพืชพรรณมากมาย มีจุดชมวิวให้นักท่องเที่ยวได้ชมวิวสวย ๆ อยู่อีกด้านของน้ำตก ซึ่งจะสามารถมองเห็นทัศนียภาพของน้ำตกตาดฟานได้ในมุมกว้างและสวยงามมากที่สุด หรือถ้าอยากจะสัมผัสกับความสวยงามของน้ำตกแห่งนี้กันแบบใกล้ชิดก็สามารถเดินลงไปยังตัวน้ำตกได้เช่นกัน ไฮไลต์ของที่นี่ก็คือ กิจกรรมแนวผจญภัย ทั้งการโหนซิปไลน์ข้ามน้ำตก การปีนหน้าผาบริเวณน้ำตก และพักค้างแรมในป่า 1 คืน ซึ่งต้องเตรียมร่างกายและเสบียงอาหารให้พร้อม และจำเป็นต้องมีไกด์ในการนำทาง ทั้งนี้ กิจกรรมโหนซิปไลน์ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวค่อนข้างมาก เพราะเป็นซิปไลน์ข้ามน้ำตกตาดฟาน ระยะทางประมาณ 450 เมตร สูงจากพื้นดิน 500 เมตร มีทั้งหมดราว ๆ 4-5 ฐาน ข้ามไป-มาระหว่างหุบเขาสูงใหญ่ และยังมีให้เลือกว่าจะโหนไปด้วยมือเฉย ๆ หรือจะนั่งจิบกาแฟ โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การเที่ยวน้ำตกตาดฟานจะอยู่ในช่วงฤดูฝน หรือระหว่างเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม เพราะจะมีปริมาณน้ำเยอะ หากอยากเห็นการเก็บเกี่ยวกาแฟที่มีรสชาติดี ต้องไปเที่ยวในช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ พร้อมทั้งแวะพักรีสอร์ตของชาวบ้านที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง หากไม่ได้ค้างคืนบริเวณน้ำตกตาดฟาน แนะนำให้เดินทางไปเยือน น้ำตกตาดเยื้อง ซึ่งอยู่ห่างจากน้ำตกตาดฟานเพียงไม่กี่กิโลเมตร มีความสวยงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ น้ำไหลลดหลั่นกันมาตามหน้าผาหินสูงหลายสิบเมตร จากลานจอดรถจะมีทางเดินเลียบลำธารไปจนถึงตัวน้ำตก สามารถเล่นน้ำในลำธารบริเวณที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ให้ได้ ก่อนกลับไทยแนะนำให้ไปชมความสวยงามของ ที่ราบสูงโบลาเวน กันก่อน เพราะห่างจากเมืองปากเซไปประมาณ 50 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดงหัวสาว บ้านหนองหลวง เมืองปากซอง แขวงจำปาสัก พื้นที่แห่งนี้เป็นเขตภูเขาไฟเก่า โดยมีคนท้องถิ่นดั้งเดิมอาศัยอยู่ เรียกว่าบอละเวน จึงกลายเป็นที่มาของคำว่าที่ราบสูงโบลาเวน ซึ่งสูงจากน้ำทะเลราว ๆ 1,000-1,400 เมตร พื้นที่โดยรอบมีความสมบูรณ์มาก รายล้อมไปด้วยป่าเขา มีน้ำตกสวย ๆ หลายแห่ง พร้อมทั้งเส้นทางเดินป่าหลายเส้นทาง แต่สิ่งที่ทำให้ที่ราบสูงโบลาเวนเป็นที่รู้จักก็คือ ไร่กาแฟอาราบิก้า เพราะทั้งโลเคชั่นและอากาศที่เหมาะสมต่อการปลูก ทำให้กาแฟของที่นี่มีรสชาติเข้มข้น กลมกล่อม กลิ่นหอม เรียกว่าเป็นกาแฟที่มีคุณภาพดีของลาวก็ว่าได้ เครื่องบินจากกรุงเทพฯ ถึงจังหวัดอุบลราชธานี มีหลายสายการบิน เช่น แอร์เอเชีย นกแอร์ ไทยสมายล์ หรือไทยเวียตเจ็ท เป็นต้น ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที จากนั้นนั่งรถทัวร์ต่อไปยังเมืองปากเซได้เลย รถทัวร์ : ทางบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ได้เปิดบริการเดินรถระหว่างประเทศไทย และ สปป.ลาว เช่น - อุบลราชธานี-ปากเซ ใช้รถมาตรฐาน 1 (ข) ปรับอากาศ เดินทางผ่านด่านช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี ระยะทาง 138 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง - กรุงเทพฯ-ปากเซ ใช้รถมาตรฐาน 1 (ข) ปรับอากาศ เดินรถผ่านด่านช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี ระยะทาง 790 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 11.30 ชั่วโมง และนี่คือโปรแกรมเที่ยว 3 วัน 2 คืน ฉบับคร่าว ๆ เพียงไม่กี่เส้นทางที่เราแนะนำ สปป.ลาว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายให้ไปสัมผัส เอาเป็นว่าหากมีโอกาสไม่ควรพลาดวางแผนไปเที่ยวลาวกันนะ ทั้งนี้ การเดินทางไปเที่ยวลาวทำได้ทั้งนั่งเครื่องบิน รถทัวร์ รถไฟ และรถยนต์ส่วนตัว โดยทั่วไปนักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องมีวีซ่า สามารถใช้หนังสือเดินทาง (Passport) เดินทางเข้า-ออก และอยู่ในลาวได้เป็นเวลา 30 วัน เดินทางไปได้ทั่วประเทศ แต่ถ้าหนังสือเดินทางมีกำหนดวันหมดอายุน้อยกว่า 6 เดือน จะใช้ข้ามแดนไม่ได้ โดยการใช้หนังสือผ่านแดน (Border Pass) หากไม่มีหนังสือเดินทาง สามารถทำบัตรอนุญาตผ่านแดนชั่วคราวเข้าไปเที่ยวยังฝั่งลาวได้ โดยทำที่ศาลากลางจังหวัดที่มีด่านสากลตั้งอยู่ ได้แก่ เชียงราย เลย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร และอุบลราชธานี หรือร้านที่รับทำและบริษัทนำเที่ยวต่าง ๆ แต่ไม่สามารถเดินทางไปยังแขวงอื่น ๆ นอกเหนือจากแขวงซึ่งเป็นเส้นทางที่นักท่องเที่ยวใช้บัตรผ่านแดนเข้าลาว โดยสามารถเข้า-ออกได้ 3 วัน 2 คืน และต้องออกจากลาวจุดเดียวกับที่เข้าเท่านั้น ◆ 23 ข้อไม่รู้ไม่ได้ ในวันที่ใจเรียกร้องอยากจะไปเที่ยวลาว ◆ ตะลุยนั่งรถทัวร์ไปเที่ยวลาว กับ 13 เส้นทางรถทัวร์จาก บขส. ◆ รถไฟลาว-จีน เส้นทางท่องเที่ยวตามแนวรถไฟความเร็วสูง BRI เที่ยวไหนได้บ้าง ◆ เที่ยวเมืองหน้าด่านลาวใต้ กับ 10 ที่เที่ยวปากเซห้ามพลาด ◆ ตะลอนทัวร์ปากเซ เที่ยวชิล ๆ แนบชิดธรรมชาติ หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง ขอบคุณข้อมูลจาก : tourismlaos.org, th.hotels.com, whc.unesco.org, en.wikipedia.org, britannica.com, nationsonline.org
แสดงความคิดเห็น