เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ เรือนขวัญ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
เมื่อไอเย็นพัดผ่านมาสัมผัสผิวกาย นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ดอกบัวตอง กำลังบานสะพรั่ง เหลืองอร่ามไปทั่วทั้งดอย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพราะดอกบัวตองมักขึ้นในพื้นที่ที่มีอากาศเย็น และจะออกดอกสวยงามที่สุดบนยอดดอยที่สูงกว่า 800 เมตรขึ้นไป อีกทั้งจะบานในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี
อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดแม่ฮ่องสอนก็ได้จัดงาน "เทศกาลดอกบัวตองบานบนดอยแม่อูคอ ประจำปี 2555" ขึ้น ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน - 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ณ ดอยแม่อูคอ อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งนับเป็นทุ่งดอกบัวตองที่ใหญ่และสวยที่สุดในประเทศไทย และได้รับคัดเลือกให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องไปสัมผัส
อะ ๆ แต่สำหรับใครที่ยังไม่มีเวลาไปชมทุ่งบัวตอง วันนี้กระปุกท่องเที่ยวก็ได้นำเอาบันทึกการเดินทาง พร้อมภาพถ่ายแจ่ม ๆ ของ คุณ เรือนขวัญ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มาให้ชมกันก่อนจ้า ^__^
เพิ่งกลับมาจากทุ่งบัวตองที่ดอยแม่อูคอ ก็เลยนำข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากเพื่อน ๆ BP เผื่อใครกำลังวางแผนจะไปยลโฉมทุ่งบัวตองงาม ๆ ค่ะ
เราไปมาเมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ค้างคืนบนดอยหนึ่งคืน ก่อนจะโดนพระพิรุณไล่ลงจากดอยโดยไม่เต็มใจ ถ้าประเมินด้วยสายตาของผู้ไม่มีประสบการณ์ (อย่างเรา) เนินเขาบัวตองที่เห็น ยังมีสีเขียว ๆ แซมเป็นบางช่วง ก็ต้องบอกว่ายังบานได้อีก แปลไทยเป็นไทยว่า ยังมีดอกตูมอีกเยอะก่อนสิ้นเดือนนี้น่าจะบานเต็มที่
ช่วงแรก ๆ ขออัพเดทสถานการณ์ ณ ทุ่งบัวตอง ก่อนนะคะ ส่วนรายละเอียดการเดินทาง จะเขียนไว้ตอนท้าย ๆ กระทู้ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ ในเรื่องของที่พักและเส้นทางการเดินทาง
เราขับรถมาจากอำเภอจอมทองถึงทุ่งบัวตองดอยแม่อูคอประมาณสี่โมงเย็นนิด ๆ (จริง ๆ คือคุณแฟนขับ ส่วนเรานั่งเมารถอยู่ข้าง ๆ) แวะเช็คอินและหาข้าวกิน ณ บ้าน A เฟรม ของเจ๊นิด (ฮ่า ๆ เรียกซะหรู เดี๋ยวมาตามดูกันว่าจะเลิศขนาดไหน) เสร็จแล้วกลับรถดิ่งหัวลงมาที่ทุ่งดอกบัวตอง
จอดรถได้ก็เดินดุ่มขึ้นไปบนเนินเขา กว่าจะได้ฤกษ์ยกกล้องมาถ่ายรูป...รูปแรกก็ปาเข้าไปห้าโมง แสงยามเย็นนี่ช่างสวยนุ่มเสียนี่กระไร (จริง ๆ คือแอบปลอบใจตัวเอง ปลอบเพราะมาช้า)
ผู้คนเขาเดินลงมากันแล้วค่ะ แต่อิชั้นเพิ่งจะเดินขึ้นไป เราเดินขึ้นเนินเขาไปจนถึงศาลาชมวิวข้างบน แอบหวังว่าจะมาเก็บรูปมุมมหาชนบ้าง รูปมุมมหาชนที่ว่าก็คือรูปมุมสูง มองลงมาเห็นถนนเป็นเส้นโค้ง ๆ พาดผ่านทุ่งบัวตองสีเหลืองอร่าม เห็นรูปสวย ๆ ของคนอื่น ๆมาเยอะ อยากได้มั่ง
แต่ความจริงที่เห็นมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะจริง ๆ แล้วมันถ่ายยากค่ะ ถึงแม้เราจะขึ้นมาจนถึงศาลาชมวิว แต่ก็ไม่มีจุดสูง ๆ ให้ยืน ถ้ายืนที่พื้นก็จะได้รูปที่มีฉากหน้ารก ๆ แบบนี้ เราก็พยายามเขย่งไปปีนบนบันไดเพื่อให้พ้นฉากหน้าที่รก ๆ แต่คุณแฟนเตือนว่ากลิ้งลงไปไม่คุ้มกันหรอก เอาน่า...รกก็รก เก็บภาพความสวยงามไว้ในความทรงจำก็พอ
มุมมหาชนแบบรก ๆ มุมนี้ถ้าถ่ายตอนบ่าย ๆ จะย้อนแสง คงต้องรอให้พระอาทิตย์ใกล้ตก (ถ้าโชคดีพอ ไม่มีเมฆบังก็จะได้ภาพพระอาทิตย์ตกงาม ๆ เหนือทุ่งบัวตองไป)
เกือบหกโมงเย็นแล้วค่ะ แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวเดินขึ้นมาชมวิวกันไม่ขาดระยะ ตอนนี้แสงเริ่มน้อยลง ถ่ายดอกไม้ไม่ได้แล้ว เราก็เลยเปลี่ยนมุม ว่าจะมาถ่ายรูปกับป้ายทุ่งบัวตองบ้าง แต่ปรากฏว่ามีกลุ่มเด็กวัยรุ่นอยู่กลุ่มหนึ่งเล่นยึดป้ายไปอย่างไม่เกรงใจใคร
ละสายตาจากทุ่งดอกไม้มาดูวิวรอบ ๆ ตัวกันบ้างค่ะ บนสนามหญ้าหน้าศาลาชมวิว
ส่วนเจ้าเมฆก้อนประหลาดนี้ เราแอบตั้งชื่อให้ว่าเมฆยานอวกาศ เพราะมีลำแสงออกมาข้าง ๆ ด้วย (แบบว่าแอบเพ้อเจ้อนะคะ 555)
เก็บภาพแสงสุดท้ายของวัน ก่อนกลับที่พัก พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันใหม่
เช้านี้เราตื่นแต่เช้า ล้างหน้าแปรงฟันได้ก็ดิ่งลงมาที่ทุ่งดอกไม้ตอนเจ็ดโมงครึ่ง (นี่เขาเรียกเช้าแล้วรึ) เช้านี้มีรถจอดอยู่ไม่กี่คันเองค่ะ ทุ่งบัวตองเป็นของเรา
อากาศกำลังสบาย ไม่หนาวมาก เสื้อแขนยาวบาง ๆ ตัวเดียวก็พอ แต่เดือนธันวาคมคิดว่าคงจะหนาวกว่านี้ จากเนินเขาที่เห็นตรงกลางยังเขียว ๆ อยู่ คาดว่าอีกสักอาทิตย์น่าจะเหลืองอร่าม
เราเดินชมวิวกันไปเรื่อย ๆ คิดว่ามีเวลาทั้งวันเพราะกะว่าจะค้างอีกหนึ่งคืน เดินขึ้นไปบนเนินเขาอีกรอบหนึ่งค่ะ ตรงนี้จะเห็นป้ายงานเทศกาลชมดอกบัวตองที่จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน ก่อนหน้าเรามาหนึ่งวัน ริบบิ้นเปิดงานยังห้อยอยู่ตรงเสาเลยค่ะ
มีศาลาแปดเหลี่ยมไว้ให้นักท่องเที่ยวนั่งพัก ถ้าใครมาเดินเที่ยวตอนสาย ๆ แนะนำให้พกหมวกหรือร่มมาด้วยนะคะ เพราะกลางวันแดดร้อนและบริเวณนี้ไม่ค่อยมีร่มไม้ให้พัก
เดินถ่ายรูปดอกบัวตองด้วยความเพลิดเพลิน เป็นอีกครั้งหนึ่งในหลาย ๆ ครั้งของการเดินทางที่รู้สึกว่า รูปถ่ายที่เราถ่ายมา ไม่สามารถถ่ายทอดความสวยงามของสิ่งที่เห็นตรงหน้าให้สวยงามได้มากเท่าที่ตาเห็น เริ่มคิดถึงสุภาษิต "สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น" ขึ้นมาทันที
จากป้ายเปิดงานเมื่อกี้ เราเดินเลี้ยวขวาเลาะเนินเขามา ก็จะเจอจุดกางเต็นท์และห้องน้ำอยู่ใกล้ ๆ กัน ห้องน้ำหลังคาเขียว ๆ จมอยู่ในดงดอกบัวตอง
เดินเลยมาอีกนิดหนึ่ง แล้วเหลียวหลังกลับไปมองทั่วทั้งหุบเขาเป็นสีเหลืองอร่าม สดใส งามจับใจ มิน่าคนเขาถึงบอกว่าให้มาชมดอกบัวตองตอนเช้า....สวยแบบนี้นี่เอง
แอบสงสัยว่าทำไมเราถึงแทบจะไม่ค่อยเห็นดอกบัวตองตอนแย้ม ๆ เหมือนดอกกุหลาบ เป็นเพราะว่าดอกบัวตองบานเร็วเกินไปหรือยังไง แบบว่าจากตูมแล้วเด้งเป็นดอกบานเลย เดินมาเรื่อย ๆ ถึงทางออกแทบไม่รู้ตัว ด้านนี้จะปิดไม่ให้รถขึ้นมา แต่เราสามารถเดินเที่ยวได้ค่ะ
พอเดินลงมาถึงถนนใหญ่ หันหลังมองกลับไปจะเห็นทิวสนอยู่ลิบ ๆ จุดนี้ถ้าถ่ายรูปตอนเช้าอาจจะดูมืดไปนิด เพราะติดเงาต้นสน เราคิดว่าจะกลับมาอีกทีตอนเย็น
เดินกลับไปทางจุดที่จอดรถไว้ มองเห็นจุดชมวิวสีเขียว ๆ อยู่ไกล ๆ เมื่อวานตอนเย็นเดินมาดูลาดเลาแล้ว คิดว่าจุดนี้ถ้าถ่ายรูปตอนเช้าแล้วมันจะย้อนแสง วางแผนว่าเย็น ๆ ค่อยกลับมาใหม่ (อีกแล้ว)
เห็นถนนเล็ก ๆ มีป้ายบอกว่าเป็นจุดกางเต็นท์ ก็ลองเดินลงไปดูเผื่อจะเห็นวิวสวย ๆ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังค่ะ
สองข้างทางเติมไปด้วยดอกบัวตองเหลืองอร่าม ข้างหน้าเป็นทิวเขามีหมอกลอยจาง ๆ งามเกินจะบรรยาย
เดินลงมาได้สักพัก เหลียวหลังกลับไปมองทางที่ผ่านมา (ทริปนี้เกียร์เดินหน้าเสีย เพราะเดินไปหันหลังไปตลอดเวลา 555) ภาพที่เห็นมันไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะมันงามเกินกว่าที่คิดไว้นะสิคะ จากตรงนี้เรามองเห็นศาลาชมวิวทั้งสองจุดที่เราปีนขึ้นเมื่อวาน ถือเป็นจุดชมวิวยามเช้าที่เยี่ยมมากค่ะ เพราะถ่ายรูปได้ไม่ย้อนแสง เนินเขาบัวตองยังบานได้อีก เพราะบางจุดยังเป็นสีเขียว ๆ อยู่เลยค่ะ
เห็นมีคนกางเต็นท์นอนอยู่หลังหนึ่ง แอบอิจฉา มีวิวสวย ๆ อยู่หน้าเต็นท์เลย
เก้าโมงกว่า แดดเริ่มร้อนบวกกับท้องเริ่มร้อง เราเดินกลับไปที่รถเพื่อไปหาข้าวกิน เลี้ยวขวาไปเลยค่ะ ความงามรอท่านอยู่
ตามแผนที่คิดไว้ก็คือว่า จะขับรถเข้าไปเที่ยวน้ำตกแม่สุรินทร์ แล้วบ่าย ๆ จะกลับมาเดินทุ่งบัวตองอีกรอบ แต่ปรากฏว่าฟ้าฝนไม่เป็นใจ เพราะฝนตกตั้งแต่บ่ายสามโมงซะงั้น ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนลงดอยไปนอนแม่แจ่มแทน สังเกตว่ายังมีดอกตูมอยู่อีกเยอะพอสมควร โดยภาพรวมแล้วคิดว่าตั้งแต่อาทิตย์นี้จนถึงปลายเดือน ทุ่งบัวตองน่าจะสวยสุดแล้วนะเราว่า จุ๊บ ๆ ... สั่งลาทุ่งบัวตองกันไป ด้วยภาพดอกแบบใกล้ ๆ เห็นเกสรแล้วแอบคิดถึงขนมทองหยอด
ดูทุ่งบัวตองแล้ว เดี๋ยวเราจะเล่าย้อนกลับมาถึงการเดินทางนิดหนึ่งค่ะ เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อน ๆ ชาว BP ที่กำลังวางแผนการเดินทาง
เราบินจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ตอนเย็น ๆ รับรถเช่าที่สนามบินแล้วก็มุ่งหน้าไปทางหางดง ตอนหาข้อมูลเจอรีวิวเก่า ๆ ของเพื่อนชาว BP บอกว่าการเดินทางไปทุ่งบัวตองจากเชียงใหม่จะมีสองทางหลัก ๆ คือ ใช้ถนนเส้น 108 วนลงมาทางใต้ผ่าน ฮอด แม่สะเรียง เข้าขุนยวมและไปดอยแม่อูคอ ถนนดีแต่อ้อม ระยะทางประมาณ 324 กิโลเมตร
อีกตัวเลือกหนึ่งก็คือจากเชียงใหม่ ผ่านจอมทอง เลี้ยวเข้าถนน 1009 ดอยอินทนนท์ ตรงไป แม่แจ่ม จากนั้นใช้เส้น 1263 เข้าดอยแม่อูคอ ระยะทางสั้นกว่าเยอะ ประมาณ 196 กิโลเมตร แต่ทางไม่ค่อยดี
แวะพักค้างคืนที่ โรงแรมราชพฤกษ์ 2007 ณ อำเภอจอมทอง หนึ่งคืน ก่อนจะมุ่งหน้าขึ้นดอยอินทนนท์ ผ่านด่านตรวจด่านแรก บอกเจ้าหน้าที่ว่าจะไปแม่แจ่ม จะได้ไม่ต้องเสียค่าเข้าอุทยานฯ วิ่งมาเรื่อย ๆ จนถึงด่านตรวจด่านที่สอง บอกเจ้าหน้าที่อีกครั้งว่าจะไปแม่แจ่ม เลยด่านนี้มานิดเดียวให้เลี้ยวซ้าย ทางไปแม่แจ่มเป็นทางลาดยางเล็ก ๆ เลี้ยวเข้ามาแล้วเหวอเลยค่ะ เรามาถูกทางหรือเปล่า ถนนเล็กเกิน
ถนนลาดยางเล็ก ๆ นี้พาเราลัดเลาะไปตามเนินเขา เป็นเส้นทางที่เงียบสงบมาก ๆ นาน ๆ จะมีรถชาวบ้านขนพืชผักสวนมาสักคัน ข้างทางเป็นป่าสนสลับทุ่งหญ้า แทบไม่มีบ้านคนให้เห็น
จากจอมทองถึงแม่แจ่ม ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร แต่เราก็ใช้เวลากันไปชั่วโมงครึ่ง แบบว่าทำความเร็วได้ประมาณเต่าเรียกพี่ ถึงตรงนี้เราเริ่มไม่ไหวแล้วค่ะ ต้องแวะร้านค้าเพื่อซื้อยาดมกับยาแก้เมารถ (นี่ขนาดโค้งน้อยกว่าไปปายตั้งเยอะนะ) พร้อมกับแวะร้านกาแฟสดมานั่งกินพร้อมรื้อเสบียงที่ซื้อติดมาจากจอมทอง
อิ่มหนำสำราญแล้ว ได้เวลาไปต่อค่ะ เราใช้ถนนสาย 1263 จากแม่แจ่มไปดอยแม่อูคอ เส้นนี้สภาพคล้าย ๆ กับทางที่เราผ่านมาจากดอยอินทนนท์ เป็นถนนราดยางเล็ก ๆ แต่ก็เริ่มมีบ้านเรือนรวมทั้งดอกบัวตองบานอยู่ข้างทางให้เห็นเป็นระยะ ๆ
ขับผ่านป้ายชื่อหมู่บ้านปางอุ๋ง แอบมึนว่าปางอุ๋งมันอยู่ทางเหนือของแม่ฮ่องสอนไม่ใช่เหรอ มารู้ทีหลังว่าจริง ๆ คือหมู่บ้านปางอุ๋งใหม่ จะเป็นปางอุ๋งเก่าหรือใหม่ไม่สำคัญ รู้แต่ว่าวิวสวยค่ะ
เราใกล้ถึงที่หมายแล้ว เริ่มเห็นป้ายบอกทางไปทุ่งดอกบัวตองเป็นระยะ จากถนน 1263 เราเลี้ยวขวาขึ้นไปดอยแม่อูคอ ผ่านรีสอรท์เล็ก ๆ ตีนดอย ผ่านหมู่บ้านปางตอง เห็นวิวข้างทางแบบนี้ อดแวะถ่ายรูปไม่ได้ค่ะ
ขับพ้นเนินขึ้นมาแล้ว เราจะเห็นทุ่งบัวตองเหลืองอร่ามค่ะ แต่เรายังไม่แวะ ขับผ่านไปยังที่พักก่อนค่ะ ก่อนเดินทางเราโทรศัพท์ไปถามข้อมูลที่พักบนดอยจาก อบต.ขุมยวม ทางอบต. ก็แนะนำมาสองเจ้าค่ะ คือของ เจ๊นิด และ ครูสมบูรณ์ เราโทรศัพท์ถามที่พักของ เจ๊นิด เจ้าของบอกว่าอยู่ไม่ไกลจากทุ่งบัวตอง ก็เลยตกลงนอนที่นี่ค่ะ...ที่พักพร้อมลานกางเต้นท์
ที่พักของเจ๊นิดที่เราพัก บ้านทรง A เฟรม เป็นแบบนี้ค่ะ จริง ๆ เราว่ามันก็เหมือนเต็นท์หลังหนึ่ง แต่ดูจะแข็งแร็งกว่า ข้างในก็กว้างประมาณสองคนนอนได้ ส่วนห้องน้ำรวมจะต้องเดินเข้าไปด้านในสุด...บ้านทรง A เฟรม มีดีที่วิวด้านหลังสวยค่ะ
เลยจากบ้านเจ๊นิด ไปไม่ไกลจะมีบ้านของครูสมบูรณ์อีกที่หนึ่ง ที่นี่ลานจอดรถกว้างดีค่ะ เบอร์โทรศัพท์ เจ๊นิด 08 7180 8806, 08 9953 8093 บ้าน A เฟรม ราคา 300 บาทต่อคืน และเบอร์โทรศัพท์ ครูสมบูรณ์ 08 5642 7139 บ้าน A เฟรม ราคา 500 บาทต่อคืน...บ้าน A เฟรมของครูสมบูรณ์ วิวสวยไม่แพ้กัน
แต่ถ้าใครจะกางเต็นท์นอน ส่วนตัวคิดว่าจุดนี้น่าจะเหมาะ ก่อนเราขับรถพ้นเนินที่จะเป็นจุดจอดรถขึ้นไปตรงศาลาชมวิว ด้านซ้ายมือจะมีถนนเล็ก ๆ และมีป้ายปักไว้ว่า จำหน่ายฟืน จุดกางเต็นท์และห้องน้ำ...ทางลงจุดกางเต็นท์
ขับตามถนนลงไป แหงนมองขึ้นไปจะเห็นจุดชมวิวอยู่ข้างบน
ขับตามทางไปเรื่อย ๆ จะเจอลานกางเต็นท์ เหลียวมองไปด้านหลัง ก็จะเจอแบบนี้ กรี๊ด! สวยงามเหลืองอร่าม
ตรงนี้มีฟืนขายด้วยค่ะ ทำไมต้องใช้ฟืน เพราะที่นี่ตอนกลางคืนไม่มีไฟฟ้าใช้ ร้านค้าส่วนใหญ่ปั่นไฟใช้เองตอนกลางคืน ในบ้านเจ๊นิดที่เราพักไม่มีไฟฟ้า ต้องใช้ไฟฉาย พอไม่มีไฟก็ไม่รู้จะทำอะไร เลยนอนตั้งแต่หนึ่งทุ่ม
ห้องน้ำที่นี่ดูดีกว่าบ้านเจ๊นิดที่เราพักอีกค่ะ อยู่กลางดงดอกไม้ แอบโรแมนติกนะ นอกจากลานกางเต็นท์ตรงนี้ นักท่องเที่ยวสามารถกางเต็นท์บนจุดชมวิวตามที่เขียนไว้ข้างบน ใครสนใจตรงไหนก็จับจองได้เลยค่ะ ทุกที่ไม่มีไฟฟ้าใช้เหมือนกัน
หลังจากเที่ยวทุ่งบัวตองกันแล้ว เราขับรถขึ้นเขาไปเที่ยวน้ำตกแม่สุรินทร์ จำระยะทางไม่ได้ น่าจะประมาณ 6-7 กิโลเมตร ได้มั้ง ปีนี้นอกจากงานเทศกาลดอกบัวตองบานบนดอยแม่อูคอแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนยังมาเปิดงานที่น้ำตกนี้ด้วย โดยใช้ชื่องานว่า "ชมทะเลหมอกดอกบัวตอง มองน้ำตกแม่สุรินทร์ เยือนถิ่นกะหรี่ยง ณ น้ำตกแม่สุรินทร์"
เราเดินกลับมาที่ทำการอุทยานฯ เพื่อสั่งข้าวกิน นั่งคุยกับพ่อค้าไปเรื่อยเปื่อย ได้ข้อมูลเกี่ยวกับทุ่งดอกบัวตองมาว่า ทุก ๆ สองปี ทางผู้ดูแลจะตัดกิ่งก้านทิ้ง เพื่อให้แตกใหม่ หลังจากตัดแต่ง ดอกบัวตองที่ออกในปีถัดไปจะดอกใหญ่ ปีนี้ก็ครบกำหนดตัดแต่งกิ่งอีกรอบ ถ้าใครไปเที่ยวปีหน้าคิดว่าน่าจะได้เห็นดอกบัวตองใหญ่ ๆ สวย ๆ ค่ะ
ลากันไปด้วยภาพนี้ ใบบัวตองยามต้องแสงแดด (งามทั้งดอกและใบ) ^__^