x close

แบกเป้ ผจญภัยฉายเดี่ยวเที่ยวยุโรป เยือนเนเธอร์แลนด์


แบกเป้ ผจญภัยฉายเดี่ยวเที่ยวยุโรป เยือนเนเธอร์แลนด์

แบกเป้ ผจญภัยฉายเดี่ยวเที่ยวยุโรป เยือนเนเธอร์แลนด์

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ The Walking Backpack สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอมเฟซบุ๊ก The Walking Backpackthewalkingbackpack.com และ Instagram punpuapipat

          ใครอยากลองแบ็คแพ็กเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ...ตามเรามาเลยค่ะ เพราะวันนี้เราได้หยิบเอาบันทึกการเดินทางของ คุณ The Walking Backpack สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม กับ Euro Trip ในฝัน แบกเป้ ผจญภัยฉายเดี่ยว รอบยุโรป 9 ประเทศ 21 เมือง 45 วัน [The Walking Backpack Ep.1 สองล้อในอัมสเตอร์ดัม] ซึ่งรีวิวที่เรานำมาแนะนำกันนั้น เป็นการไปทัวร์ประเทศเนเธอร์แลนด์กับทริปการปั่นจักรยานท่องเที่ยวสุดชิล ดื่มด่ำกับวิถีชีวิตและธรรมชาติสุดงดงามของเมืองนี้ พร้อมถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านภาพถ่ายและร้อยรียงเรื่องราวเป็นตัวหนังสือให้เราได้ชมและอ่านกันค่ะ

++++++++++++++++

          หลายคนมีความฝันเหมือนผมไหมครับ ความฝันที่จะแบกเป้หนึ่งใบเดินทางผจญภัยไปรอบทวีปยุโรป ไปในเมืองสุดโรแมนติก เรียนรู้วัฒนธรรมและความคิดของชาวยุโรป ผมเป็นหนึ่งคนที่มีความฝันอันนี้ตั้งแต่เด็ก หลังจากที่ผมเตรียมตัว เก็บเงิน หาข้อมูล การเดินทางครั้งนี้จึงเริ่มต้นขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะให้มันเป็น

          1. การเดินทางคนเดียวกับกระเป๋าเป้หนึ่งใบ
          2. ประหยัดด้วยการกางเต็นท์ (งบไม่เกิน 1 แสนบาท)
          3. ไปแบบตามใจไม่มีแผนตายตัว เดินทางเป็นวงกลม 1 รอบทวีปยุโรป เริ่มที่อัมสเตอร์ดัมและจบที่เดิม


          ก่อนอื่นเลยนะครับผมชื่อ “ปั้น” ตอนนี้ผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 3 ที่ประเทศสิงคโปร์ หลายคนอาจจะรู้จักผมในนาม The Walking Backpack ใน

          FB :  เฟซบุ๊ก The Walking Backpack
          IG : punpuapipat
          Twitter : @Punpuapipat

          ผมเป็นคนที่รักในการเดินทาง โดยเฉพาะการแบกเป้ไปคนเดียว ค่ำไหนนอนนั้นไม่มีแผนการที่แน่นอน ทุก ๆ วันผมจะได้เจอกับเพื่อนใหม่ เรื่องราวและข้อคิดดี ๆ จากเพื่อนร่วมทางเสมอ

          การแบ็คแพ็กรอบยุโรปครั้งนี้เป็นความฝันที่อยากไปดูโลกในทวีปยุโรปตั้งแต่เด็ก และด้วยช่วงเวลาว่าง 45 วัน หลังจากที่ผมฝึกงานที่ประเทศสิงคโปร์เสร็จกับเงินเก็บที่พอจะมี ผมเลยออกไปทำความฝันอันนี้ให้เป็นจริง และด้วยการสนับสนุนของสายการบิน KLM และบริษัท Diethelm Travel ผมจึงสามารถออกไปทำความฝันครั้งนี้ให้เป็นจริง

          ในกระทู้นี้ผมจะเขียนถึงสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากทริปนี้ และอธิบายทั้งหมดว่าถ้าคุณมีความฝันในการท่องยุโรปเหมือนผม คุณจะต้องทำอะไรบ้าง การกางเต็นท์ หาที่กิน วิธีการเดินทางข้ามเมืองต่าง ๆ และเทคนิคหลายอย่างที่จะช่วยคุณ ทำให้การเดินทางไม่ได้ยากและแพงอย่างที่คิดครับ โดยผมขอแบ่งการรีวิวเป็น 5 ตอนตามเส้นทางการเดินทางจริง

          ตอนที่หนึ่ง : Amsterdam-Delft-Rotterdam
          ตอนที่สอง : Antwerp-Brussels-Brugge-Paris-Chamonix
          ตอนที่สาม :  Barcelona-Rome-Florence-Pisa-Cinque Terre-Milan
          ตอนที่สี่ : Venice-Munich-Salzburg-Austria
          ตอนที่ห้า : Budapest-Prague-Berlin


          ถ้าพร้อมแล้วขอเริ่มการรีวิวด้วยรูปนี้นะครับ โชคดีและโชคร้ายรอเราอยู่ในการเดินทางเสมอ บางครั้งโชคร้าย ไม่ลำบาก เหนื่อย ก็ของหาย รู้สึกเศร้าใจ แต่ก็อย่าลืมว่าโชคดี ๆ มันรอเราอยู่ อย่างเช่นเจ้ารุ้งกินน้ำเส้นนี้ที่ชีวิตนี้เกิดมาไม่เคยจะเห็น แต่ได้มาเห็นเต็ม ๆ ตาในทริป ๆ นี้



          ก่อนอ่านต่อไปอย่าลืมให้กำลังใจผมด้วยการช่วยโหวตกระทู้นี้ด้วยนะครับ ตั้งใจทำเป็นอย่างยิ่ง

สารบัญ

          สำหรับใครที่เวลาน้อยอยากรีบอ่าน ผมขอแนะนำให้เริ่มที่ตอน Top 10 Experiences 10 อันดับสิ่งที่ผมประทับใจ

          1. ปั่นจักรยานรอบคลองแห่งอัมสเตอร์ดัม

          2. ชมวิถีชีวิตที่ทุกอย่างเกิดขึ้นบนสองล้อ

          3. รุ้งกินน้ำเต็มวงที่บนแม่น้ำ IJ

          4. เส้นปั่นจักรยานที่หนาวที่สุด และสวยที่สุดใน Amsterdam Noord

          5. หลงใหลในสุดยอดศิลปะ Modern Art ที่ Museumplein

          6. Joordan ที่ Coffee Shop, Red Light District และพระอาทิตย์ตกสุดสวยมารวมตัวกัน

          7. หลงทางในเมือง Delft

          8. เจอกับโลล่าอีกครั้งและฉลองไปพร้อมกับทีมชาติเนเธอร์แลนด์

          9. Rotterdam ที่ที่เมืองคือพิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรม

          10. กางเต็นท์ใน Amsterdam Nord

          จุดมุ่งหมายของทริป
          การแพ็กกระเป๋า
          การหาที่พัก
          งบประมาณ
          การดูแลเงินและความปลอดภัย
          สายการบิน


การเตรียมตัว

          ผมเริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้ด้วยการวาดเส้นทางให้เราพอรู้ว่าจะเดินทางจากไหนไปไหน แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้มีอะไรที่ตายตัวนะครับ เปลี่ยนแปลงไปตามใจเราได้เสมอ มีคนแนะนำให้เราไปไหน เราก็ไป แต่สองสิ่งที่สำคัญ คือ เราควรจะอ่านเกี่ยวกับทวีปยุโรปให้มากที่สุด  และมีความรู้...รู้ว่าเราอยากไปเที่ยวไหน



          นี่คือเส้นทางและแผนการเดินทางคร่าว ๆ ของผมนะครับ ไม่มีอะไรตายตัว ไม่ได้จองอะไรไว้ก่อนไปหาเอาข้างหน้า



          สิ่งที่ผมจะหาเตรียมไว้ก่อนเลย คือ เมืองนี้นอนกางเต็นท์ได้ที่ไหนบ้าง โดยหาใน Google นั่นแหละครับ ราคาค่ากางเต็นท์ส่วนใหญ่อยู่ที่ 10-12 ยูโร ส่วนข้อมูลการท่องเที่ยวผมจะโหลด Lonely Planet ของทุกประเทศที่จะเดินทางไปเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือ จะได้เปิดดูได้ตลอดเวลา

จุดมุ่งหมายของทริป

          ผมขออนุญาตเตือนก่อนเลยว่า Euro Trip ที่ผมไปมามันไม่ได้สบาย ๆ ถ่ายรูปสวย ๆ นอนสบาย ๆ มันเป็นการผจญภัย ทุกวันคุณจะต้องแก้ปัญหา หาทางเอาตัวรอด และเรียนบทเรียนชีวิตมากมายระหว่างทาง ระหว่างการเดินทางผมเจอเพื่อนคนหนึ่งเป็นคนฟินแลนด์ เขาถามผมว่า “What is the purpose of this trip ?” ผมก็งงไปเหมือนกันเพราะไม่ได้คิดว่าทริปนี้จะมีเป้าหมายอะไร แต่ในความงงตอนนั้นผมตอบไปว่า

          “Ermmm, I don’t know man. I just want to see the world, eat what you eat, experience European life.”

          ถ้าใครมีโอกาสได้มาเดินทางแบบบ้าคลั่งอย่างผมในครั้งนี้ บางครั้งคุณจะรู้สึกเหนื่อยรู้สึกท้อแท้ แต่จำไว้ครับว่านี่คือสุดยอดบทเรียนชีวิตนอกห้องเรียน ผมอยากแนะนำให้ทุกคนที่จะเดินตั้งจุดหมายเอาไว้ ไม่จำเป็นต้องเหมือนผม คุณอาจจะหลงใหลในศิลปะ ทริปของคุณก็จะเต็มไปด้วยการไล่ล่าภาพวาด งานศิลปะที่คุณชื่นชอบ และมันจะเป็นการเดินทางที่คุ้มค่า

การแพ็กกระเป๋า

          นี่คือของทั้งหมดที่ผมเอาไปนะครับ สองกระเป๋าน้ำหนักร่วมกับ 20 กิโลกรัม เต็นท์อันที่ผมเอาไปมันกันน้ำไม่ค่อยดีเท่าไร นอนไปสองสามคืนตื่นขึ้นมานึกว่าอยู่ในสระน้ำ เปียกมาก แนะนำให้เอาถุงนอนหนา ๆ และเต็นท์ที่มันกันน้ำได้จริง ๆ ไปครับ ช่วยให้ชีวิตสบายขึ้นเยอะ



          คอมพิวเตอร์ไม่จำเป็นในการเดินทางนะครับ แต่ผมเอาไปเพราะต้องใช้เก็บรูป Process ผมขอแนะนำว่าแบกของไปให้น้อยที่สุด อะไรไม่จำเป็นไม่ต้องเอาไป ทุกกิโลกรัมที่คุณแบกไปมันจะหนักมาก ตอนทดลองอยู่บ้านเดินสบาย ๆ มั่นใจว่าไม่มีปัญหา แต่พอไปจริงเดินไปสัก 5 กิโลกรัม คุณรู้ว่ามันหนักขนาดไหน เที่ยวไปสักสองอาทิตย์ หลังจะเริ่มปวด อยากโยนกระเป๋าทิ้ง ผมคิดว่าสัก 15 กิโลกรัม คือ น้ำหนักที่ดี เสื้อผ้าไม่ต้องเอาไปเยอะมากก็ได้ครับ มีผงซักฟอกหรือสบู่ซักผ้าติดไป ถึงเวลาทุกที่จะมีที่ซัก ที่ตากผ้า



เริ่มออกเดินทาง

          การเดินทางครั้งนี้ผมต้องขอขอบคุณสายการบิน KLM เป็นอย่างยิ่งที่สนับสนุน ใจดีที่สุดเป็นสปอนเซอร์ในการผจญภัยครั้งนี้ นำพาผมจากกรุงเทพมหานครไปยังกรุงอัมสเตอร์ดัมโดยไม่มีการหยุดพักเปลี่ยนเครื่องเลย...ว่าแล้วเราก็เริ่มออกเดินทางกันเลย



          ตลอดการเดินทาง 13 ชั่วโมง โดยไม่หยุดแวะเครื่องผมได้รับการบริการอย่างดีจากพี่คนนี้ Air Steward อาหารก็อร่อย กินข้าวอร่อยมาก ดูหนังหลับสบายตลอดการเดินทาง



          อาหารบนเครื่องก็มีให้เลือกหลายแบบหลายรสชาติครับ รูปนี้มื้อเช้าบนเครื่องบินของผม Pasta ซอสมะเขือเทศ



Top 10 Experiences of this Episode

          ผมขอเขียนกระทู้นี้ด้วยการจัดอันดับ 10 กิจกรรม ที่ผมประทับใจที่สุดในเมืองสามเมืองของกระทู้นี้ Amsterdam-Delft-Rotterdam

          1. ปั่นจักรยานรอบคลองแห่งอัมสเตอร์ดัม

          ถ้าคุณเป็นคนชอบปั่นจักรยาน อัมสเตอร์ดัมคือเมืองในฝันของคุณเลยครับ ผมขอยืนยัน นั่งยัน นอนยัน เมือง ๆ นี้ขนาดไม่ใหญ่มาก มีเส้นทางปั่นจักรยานไปได้ทุกที่ การสัญจรด้วยจักรยานจึงเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสุด ๆ แต่สิ่งที่ทำให้การปั่นจักรยานรอบคลองอัมสเตอร์ดัมเป็นไฮไลท์อันดับหนึ่งของผม คือ บ้านเรือน ตึกข้างทางที่สวยไม่เหมือนที่ไหนในโลก ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูภาพเหล่านี้



          บริเวณนี้คือ Amsterdam Centraal Station เป็นศูนย์กลางของเมือง โดยคุณสามารถเดินทางไปทุกเมืองของประเทศเนเธอร์แลนด์ได้จากที่นี่ และตัวสถานีรถไฟก็สวยมาก ๆ ในการเดินทางไปไหนมาไหนก็ง่าย ๆๆ ครับ เดินเข้าไปซื้อตั๋วได้เลย แต่ถ้าไม่อยากต่อคิวนานก็แนะนำให้ซื้อตั๋วบนอินเทอร์เน็ต แล้วพริ้นท์ตั๋วไปก่อนเลย อย่างเช่นตั๋วไปเมือง Rotterdam ราคาแค่ 11 ยูโร ไป Brussels 25 ยูโร



          ภายในสถานีรถไฟ Amsterdam Centraal Station ยามเย็นที่สุดสวยงาม



          ขี่จักรยานมาอีกไม่นานคุณก็จะมาเจอกับจัตุรัส The Dam เป็นบริเวณกลางเมืองอัมสเตอร์ดัมอย่างแท้จริง ที่นี่มีร้านขายของมากมายให้ได้ช้อปปิ้งและเดินเล่นกัน



          รูปนี้เป็นหนึ่งในรูปที่ผมชอบมากที่สุดในทริปนี้เลยครับ เด็กคนนี้วิ่งเล่นกับนกพิราบอยู่ ผมเลยหลอกใช้วิ่งจนได้ออกมาเป็นภาพนี้



การเช่าจักรยาน

          มีหลายสถานที่ที่คุณสามารถเช่าจักรยานในเมืองนี้ได้นะครับ อย่างผมเช่าจากที่กางเต็นท์เลยวันละ 10 ยูโร แต่ที่ที่ผมจะแนะนำให้ทุกคนไปเช่าจักรยานกัน คือ ร้าน MacBike ที่อยู่บนถนน Waterlooplein ใกล้ ๆ กับพิพิธภัณฑ์ RijksMuseum น่าจะเป็นร้านเช่าจักรยานที่ถูกและดีที่สุดในเมืองอัมสเตอร์ดัม



          การขี่จักรยานของผมนะครับ ผมไม่ได้ซีเรียสมากว่าจะต้องไปทางนั้นทางนี้ ผมขี่ไปตามใจ เห็นอะไรน่าสนใจก็ไปทางนั้น อย่างถนนเล็ก ๆ บริเวณ Nieuwendik ที่ผมเจอเข้าโดยบังเอิญ แถวนี้จะมีร้านขายของเล็ก ๆ ผับและบาร์เยอะครับ น่ามาเดินเล่นซื้อของ



          ร้านขายชีสร้านนี้ซื้อ Cheese Factory เป็นตัวอย่างของความเป็นดัตช์อย่างแท้จริง เต็มไปด้วยความเป็นดัตช์



          บริเวณถนนหน้าร้านที่มีธงสีรุ้งติดอยู่ เมืองนี้มีการสนับสนุนเรื่องเสรีเพศสูงที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง ธงสีรุ้งเหล่านี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ดี



          หรือจะเป็นร้านขายชุดชั้นในที่ลุงกับป้าคู่นี้กำลังพิจารณาสินค้าอยู่ 555





          จากนั้นผมแนะนำให้คุณปั่นจักรยานไป Amsterdam Museum ดูนะครับ ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับประวัติและเรื่องราวของเมืองอัมสเตอร์ดัม ผมชอบที่นี่มาก



          หนึ่งใน Permanent Exhibition ที่แปลกที่สุดของพิพิธภัณฑ์



          ขี่จักรยานไปเรื่อย ๆ คุณก็จะเจอกับคลองหลายแบบหลายขนาดที่สวยแตกต่างกันไป อย่างเช่นคลองใหญ่ ๆ แบบนี้



          และถ้าเกิดขี่จักรยานจาก Amsterdam Museum ไปอีกหน่อย เราจะไปเจอกับ Bloemenmarkt ซึ่งเป็นตลาดดอกไม้เล็กน่ารักอยู่ริมคลอง ในตลาดมีร้ายขายดอกไม้เต็มไปหมด ใครที่ชอบดอกไม้ต้องมาลองเที่ยวดู



          หนึ่งในความแปลกของเมือง ๆ นี้ ก็คือ หน้าต่างหน้าตาแปลก ๆ แบบนี้ละครับ





          ตอนเย็น ๆ พระอาทิตย์ใกล้ตก (ในช่วงซัมเมอร์พระอาทิตย์ตกประมาณ 4 ทุ่ม ถึง 5 ทุ่ม บางวันผมจะเหนื่อยมากเพราะแทบจะหมดแรงไปกับการเที่ยวทั้งวัน) ผมขอแนะนำให้คุณขี่จักรยานไปบริเวณถนน Keizersgracht คุณจะได้ชื่นชมกับพระอาทิตย์ตกและคลองแห่งอัมสเตอร์ดัมที่แสนสงบเงียบ เป็นบริเวณที่ผมชอบที่สุดในเมืองตอนเย็น ๆ เพราะมีแต่ความสงบ ร้านอาหารเล็ก ๆ ของในภาพเล่าเรื่องแทนคำพูดนะครับ





          ทุกสะพานจะมีชื่อสะพานเขียนอยู่บนราวที่กั้น อย่างสะพานนี้ชื่อว่า Lunbaansburg





          บรรยากาศในช่วงเย็นที่สวยจนผมไม่อยากกลับที่พัก



          จุดนี้ใกล้ ๆ กับถนน keizersgracht เป็นจุดที่ผมชอบที่สุดในเมืองนี้แล้วครับ



          2. ชมวิถีชีวิตที่ทุกอย่างเกิดขึ้นบนสองล้อ

          จักรยาน คือ วิธียอดฮิตในการเดินทางไปไหนมาไหนของคนทุกคนในประเทศนี้ ผมเลยขอรวบรวมไอเดียแปลก จักรยานแนว ๆ และภาพสวย ๆ ของทุกชีวิตที่เกิดขึ้นบนจักรยานมาฝากกัน

          บางคนเลี้ยงหมาบนจักรยาน



          บางคนไปทำงานสาย



          บางคนยังไม่อยากออกจากเตียง



          บางคนมาแบบสวยมั่นใจ



          บางคนมากันเป็นคู่



          บางคนลูกเดี่ยว



          บางคนลูกสอง



          บางคนก็ลูกสาม



          หรือบางคนก็แม่ลูกอ่อน



          บางคนชอบนอนปั่น อยู่ต่ำ ๆ ติดพื้นดิน



          บางคนชอบสูง ๆ ปั่นอยู่บนชั้นสอง



          บางคนขี่อยู่อย่างเดียวดาย



          บางคนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายกับคนที่ไม่รู้จัก



          บางคนอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบกับคนที่รักคุณ



          บางคนอยู่เรียบง่าย ต้องการแค่ธรรมชาติ



          และบางคนต้องการเพื่อนและความสนุกครื้นเครง (จักรยานคันนี้เป็นบาร์เคลื่อนที่ทุกคนจะต้องปั่นไปดื่มไปแล้วจะมีหนึ่งคนบังคับทิศทาง)



          ทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศเนเธอร์แลนด์เกิดขึ้นบนเจ้าสองล้อที่หมุนและไม่มีวันหยุดหมุน สุดท้ายอยากฝากภาพนี้ไว้ นี่คือลานจอดจักรยานกลางเมืองของสถานีรถไฟเมือง Delft ถ้าเป็นคนไทยมองที่ดินผืนนี้เราคงเห็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ หรือไม่ก็โครงการคอนโดกลางเมืองสามสิบชั้น แต่สำหรับชาวดัตช์เขามองเห็นที่จอดจักรยานเพื่อประชาชน อยากฝากไว้ว่าการสร้างวัฒนธรรมและ Lifestyle ที่ดีต่อสุขภาพของชาวดัตช์และสิ่งแวดล้อม ต้องเริ่มจากสองสิ่ง คือ ตัวประชาชนและนโยบายของรัฐบาล ในเมืองไทยมีคนมีความฝันมากมายที่อยากจะปั่นจักรยานไปไหนมาไหน แต่ถ้าทางรัฐบาลไม่สนับสนุน วางโครงสร้างระบบถนน ที่จอดจักรยาน ภาพคนขึ้นจักรยานไปไหนมาไหนทุกที่คงเกิดขึ้นยากในเมืองไทยของเรา



          3. รุ้งกินน้ำเต็มวงที่บนแม่น้ำ IJ

          ผมเชื่อเสมอว่าในการเดินทางเราจะต้องเจอกับโชคร้ายและโชคดี โชคร้ายทริปนี้ผมทำโทรศัพท์หาย ต้องนอนพื้นหลายคืน และตกรถไฟบ่อย ๆ แต่ในทุกโชคร้ายจะมีโชคดีเสมอ และถ้าพูดถึงสุดยอดของความโชคดี ผมว่ามันก็ต้องเป็นภาพนี้ รุ้งกินน้ำเต็มวงริมแม่น้ำ IJ ที่ถึงแม้ว่าคุณอาจจะไปที่เดียวกับผม แต่ก็ (คง) ไม่ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์สิ่งนี้



          ริมแม่น้ำ IJ ยังมีตึกที่น่าสนใจมากอีกนะครับ อย่างตึก The Eye ซึ่งที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์แห่งชาติของประเทศนี้ ด้านในจะมี Film Exhibition ที่เราสามารถไปดูได้ฟรีครับ



          ในช่วงซัมเมอร์เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนจะชิลมาก ใครมีเรือก็จะมาล่องเรือเล่นกับเพื่อนกลางวัน สำหรับชาวยุโรปแดด คือ สิ่งที่พวกเขาชื่นชอบมาก วันไหนถ้ามีแดดทุกคนจะออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน





          4. เส้นทางปั่นจักรยานที่หนาวที่สุดและสวยที่สุดใน Amsterdam Noord

          เส้นทางการขี่จักรยานนี้ คือ เส้นทางที่เรียกว่า Waterland ระยะทางประมาณ 48 กิโลเมตร ปั่นสบาย ๆ ก็ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง



          โดยเริ่มต้นจากท่าเรือตรงข้าม Amsterdam Centraal Station ปั่นขึ้นไปทางซ้ายมือตามชายฝั่ง ผมแนะนำให้ใครที่สนใจเส้นทางนี้ไปขอแผนที่ได้ที่ Tourist Information Center



          ตลอดเส้น 48 กิโลเมตร คุณจะได้เจอชีวิตของชาวดัตช์ ริมทะเล ทุ่งหญ้า และรู้สึกถึงลมที่หนาวเหน็บจนเข้าใจว่าทำไมประเทศนี้จึงเต็มไปด้วยกังหันลม







          ระหว่างทางปั่นไปมีรุ้งกินน้ำเล่นเล็ก ๆ มาทักทายด้วยนะครับ





          คอกม้ายามพระอาทิตย์ตก





          5. หลงใหลในสุดยอดศิลปะ Modern Art ที่ Museumplein

          ผมชอบเรื่องราวของ Modern Art และศิลปะแบบ Impressionism ซึ่งร็อคสตาร์ของยุค Impressionism ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก Vincent Van Gough เขาคือสุดยอดศิลปินแห่งยุค และพิพิธภัณฑ์ Van Gogh Museum ก็เป็นหนึ่งในสามสุดยอดพิพิธภัณฑ์ของ Museumplein ที่รวมถึง RijksMuseum และ Stedelijk Museum รูปนี้ผมถ่ายที่ด้านหน้า RijksMuseum เป็นป้าย Signature ที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปด้วย



          พิพิธภัณฑ์ที่ผมชอบที่สุดน่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ Vincent Van Gough Museum ที่ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของ Van Gough เป็นศิลปินอัจฉริยะแห่งยุค Impressionism แต่ในความอัจฉริยะนั้นก็แฝงไปด้วยปัญหา เช่น โรค Bipolar และอีกหลาย ๆ อย่างที่ทำให้เขาเสียชีวิตตั้งแต่อายุน้อย ๆ





          บรรยากาศภายใน Vincent Van Gough Museum ที่เขาห้ามถ่ายรูปแต่ผมแอบถ่ายนิดหน่อย ที่นี่มีภาพชื่อดังมากมายของ Van Gough จัดแสดงอยู่ เช่น ภาพ The Sunflower และ Self-Portrait ของ Van Gough



          อีกพิพิธภัณฑ์ที่คนวัยรุ่นอย่างผมอาจจะชอบกัน คือ Stedelijk Museum หรือ Modern Art museum ที่นี่มีงานศิลปะแปลก ๆ แนว ๆ ถึงตั้งคำถามถึงศิลปินทั่วโลกว่าศิลปะคืออะไร...ขอตั้งชื่อภาพนี้ว่า เด็กในกรอบ





          6. Joordan ที่ Coffee shop, Red light district และพระอาทิตย์ตกสุดสวยมารวมตัวกัน


          Joordan เป็นย่านที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอัมสเตอร์ดัม เป็นย่านเด็กแนวของอัมสเตอร์ดัมก็ว่าได้ บ้านเรือนส่วนใหญ่จะไม่ใช่ร้านขายของให้นักท่องเที่ยว ถนนหนทางจึงไม่วุ่นวาย เป็นย่านศิลปะและวัฒนธรรมที่ผมขอแนะนำให้ทุกคนมาเดินเล่นสบาย ๆ ดูวิถีชีวิตของคนอัมสเตอร์ดัม

          Joordan ที่แสนสวยงามยามอาทิตย์ตก



          บางส่วนของย่าน Joordan จะมีบ้านเรือนแปลกตาแบบนี้ละครับ หน้าต่างแบบบานคู่ทั้งถนนทำให้สวยไปอีกแบบ



          ใกล้ถนนด้านบนนี้นะครับ คุณจะเจอกับโบสถ์ Westerkerk ซึ่งเป็นโบสถ์ที่ใหญ่สุดในเมือง และบริเวณนี้ก็ยังเป็นที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Fault in Our Stars ด้วย







          ป้ายผ้าผืนนี้เขียนว่า “อย่าทิ้งระเบิด แต่จงถอดกางเกงทิ้งแล้ว Make love แทน”



          ในเวลากลางวันย่านนี้จะมีตลาดนัดเล็ก ๆ ให้เดินเล่น ขายของแปลกน่ารักดีครับ ชื่อว่า Noordermarkt แต่พอตกกลางคืนนะครับ บริเวณนี้ก็จะมีสีสันขึ้นมาอีกแบบทันที ร้าน Coffee Shop เหล่านี้ก็จะมีสีสันขึ้นมาทันที โดย Coffee Shop เหล่านี้ไม่ได้ขายกาแฟนะครับ แต่ขาย Cannabis หรือพวกยาสูบพวกกัญชาโดยถูกต้องตามกฎหมาย Coffee shop เหล่านี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของ Amsterdam ละครับ





          ภายในของ Coffee Shop ร้านหนึ่ง



          อีกหนึ่งความน่าสนใจของบริเวณนี้ก็น่าจะเป็น Red Light District (ย่านที่มีหน้าต่างสีแดง ๆ มีสาว ๆๆ มายืนเรียกลูกค้า) เป็นย่านที่ทางรัฐบาลอนุญาตให้มีโสเภณีได้อย่างถูกกฎหมาย โดย Red Light District นี้เขาจะมีหลายซอยนะครับ ซอย Big Mama ที่จะมีแต่สาว ๆ ไซส์ยักษ์บึ้ม หรือซอย Model ที่เป็นสาวหุ่นนางแบบ ซอยร้านขาย Condom และซอย Lady Boy ผมไป Walking Tour มาแล้วเขาก็จะพาเดินไปตามโซนต่าง ๆ ไม่ได้ไปใช้บริการ ทุกคนจะนั่งเรียกลูกค้าอยู่ในหน้าตาแดง ๆแบบนี้ (คำเตือนนะครับ ห้ามไปถ่ายรูปที่มีสาวนั่งอยู่ มิฉะนั้นอาจจะมีคนมาจัดการคุณได้)



          บริเวณคลองที่อยู่ติดกับ Red Light District พระอาทิตย์ใกล้ตก











          7. หลงทางในเมือง Delft

          เมือง Delft เป็นเมือง ๆ ระหว่าง Amsterdam และ Rotterdam ที่น่ารักมากกกกกกก แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลย มีแต่คลองเล็ก ๆ ทุกอย่างในเมืองน่ารักมากครับ โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมในเมืองที่ดูเก่าแต่โรแมนติกสุด ๆ และที่นี่ยังมีจัตุรัสกลางเมืองที่สวยมากเหมาะกับการมาเที่ยวแบบ Day Trip ที่สุด

          Central Market ของเมือง Delft เป็นจัตุรัสกลางเมืองที่มีหอคอยนาฬิกาที่สูงมาก ใครอยากปีนขึ้นไปก็สามารถปีนขึ้นได้ มีร้านอาหาร ร้านค้าบริเวณนี้มากมายให้เลือกซื้อของกันได้ครับ





          บริเวณคลองเล็ก ๆ น่ารักในเมือง







          8. เจอกับโลล่าอีกครั้งและฉลองไปพร้อมกับทีมชาติเนเธอร์แลนด์

          ผมเจอกับโลล่า (คนที่สองจากซ้ายมือ) ครั้งแรกที่ถนนข้าวสารด้วยความบังเอิญสุด ๆ เพราะว่าวันนั้นผมจะไปเจอเพื่อนชาวต่างชาติอีกคนหนึ่งเที่ยวรอบกรุงเทพฯ โลล่าเดินเข้ามาถามผมว่า เธอจะหาที่พักได้ที่ไหน  ผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งก็เลยพาเธอไปหาที่พักและชวนมาเที่ยวกรุงเทพฯ ด้วยกัน และนั่นก็คือวิธีที่ผมได้เจอกับโลล่าด้วยความบังเอิญแบบไม่น่าเชื่อสุด ๆ จากนั้นเราได้เป็นเพื่อนกันมาตลอด โลล่าอายุเท่ากับผม เราจึงเข้ากันได้ง่าย เราคุยกันบางทางเฟซบุ๊ก หลังจากผ่านมาหนึ่งปีผมมีโอกาสได้เดินทางไปที่อัมสเตอร์ดัม เราเลยนัดเจอกันอีกครั้ง โลล่าชวนผมไปดูฟุตบอลโลกนัดที่ฮอลแลนด์เตะกับเม็กซิโกกับเพื่อน ๆ ของเธอ (สองคนที่กระโดดอยู่ทางขวามือของรูป) รูปนี้ถ่ายหลังจากที่ฮอลแลนด์ชนะเกมนัดนั้น พวกเราก็ฉลองกันยกใหญ่ โล่ลายังเล่าให้ผมฟังถึงชีวิตในเมืองบ้านเกิดของเธอ วัฒนธรรมต่าง ๆ ของชาวดัตช์ และเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย





          บรรยากาศการเชียร์ฟุตบอลโลกในทริปนี้ของผม



          แฟนบอล The Oranje ที่ถึงแม้จะไม่ชนะฟุตบอลโลกในครั้งนี้แต่การแต่งตัวไม่แพ้ชาติไหนในโลก



          ผมเจอเด็กน้อยคนนี้ที่ที่พักของผมครับ เขาก็เหมือนเด็กทั่วไปที่บ้าฟุตบอล เราสองคนเตะฟุตบอลเล่นกันที่ที่กางเต็นท์ของเรา ผมฟังเขาพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลยนอกจากสองประโยคนี้

          “I am Van Persie”
          “I am Arjennn Robbennnn”



          หนึ่งในความประทับใจเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้นะครับ คือ ชาวดัตช์ที่มีน้ำใจและ Friendly ที่สุด พวกเขาจะคอยช่วยเหลือคุณที่ครั้งที่คุณหลงทาง ผู้ชายคนนี้ชื่อ  Ethan ระหว่างอยู่บนเรือ Ethan เล่าให้ผมฟังว่าเขาเป็นเชฟทำ Pizza อยู่ในเมือง และทุกวันเขาก็จะขี่จักรยานเข้าไปในเมืองไปทำงาน Ethan บอกผมว่าเขาก็เหมือนทุกคนในอัมสเตอร์ดัมที่ขี่จักรยานไปทุกที่ ไปทำงาน ไปเจอเพื่อน หรือแม้กระทั่งไปต่างจังหวัดเพราะที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ถนนทุกสายจะมีทางจักรยานอยู่ข้าง ๆ ทำให้การขี่จักรยานปลอดภัย เขาสามารถเอาจักรยานลงเรือหรือขึ้นรถไฟข้ามเมืองได้ แม้แต่สะพานสูงๆ ประเทศเขายังทำทางลาดยาวให้ชันน้อยที่สุดทุกคนจะได้ค่อย ๆ ปั่นจักรยานขึ้นมาได้

          ผมเลยถาม Ethan ว่ามีที่ไหนที่คุณไม่ขี่จักรยานไปไหม

          "Oh you can\'t bring your bicycle on the bus, but if it is a small bike you can. So in the Netherlands, you can go everywhere on a bicycle"



          หรือเขาคนนี้ที่ผมถามว่า

          “That is a very cool bicycle, man, I love the colour. Where did you buy that ?”

          “Haha Thanks man. This is actually a 20 years old bicycle which my friend painted it, not for sale man. I am sorry, hahaha.”



          9. Rotterdam ที่ที่เมืองคือพิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรม

          เมือง Rotterdam อยู่ทางใต้ของประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นเมืองที่สวยแบบทันสมัยมาก ๆ ที่นี่ต่างกับเมืองหลวงอย่างอัมสเตอร์ดัมโดยสิ้นเชิง ตึกและบ้านเรือนเป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ จริง ๆ แล้วเมืองนี้ก็มีคลองและบ้านเรือนเหมือนเมืองอื่น ๆ ในเนเธอร์แลนด์ แต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมืองนี้ถูกทิ้งระเบิดจนเมืองทั้งเมืองราบเป็นหน้ากอง เมื่อสงครามจบรัฐบาลที่นี่จึงตัดสินใจสร้างเมืองใหม่โดยพยายามให้ทั้งเมืองมีความทันสมัยมากที่สุด ตึก บ้านเรือน หรือแม้กระทั้งสถานีรถไฟสวยโมเดิร์นไปอีกแบบหนึ่ง เมืองนี้จึงเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจของประเทศ โดยการเดินทางมายัง Rotterdam ง่ายมาก นั่งรถไฟจาก Amsterdam Centraal ตั๋วราคาแค่ 11 ยูโร



          สิ่งที่ผมแนะนำให้ทำในเมือง Rotterdam คือ การเดิน เดินไปทุกที่เลยครับ เดินดูเมือง ดูตึก ดูศิลปะ และดูทุกอย่างจนกว่าจะหมดแรงเดิน



          ที่เมือง Rotterdam เขามีการคาดการณ์กันว่าที่อยู่อาศัยในอนาคตจะหน้าตาเป็นอย่างไร หลังจากคิดกันอยู่นาน เขาเลยสร้างเจ้าสิ่งนี้ขึ้นมา Cubic House โดยได้ไอเดียมาจากหนังสือนิยายเล่มหนึ่งในอดีต

          โดยตึกทรงลูกเต๋าติดกันหลาย ๆ ลูกนี้ คือ อพาร์ทเม้นท์หรือออฟฟิศขนาดเล็กให้คนเช่าอยู่ได้จริง ลูกเต๋าหนึ่งลูก คือ หนึ่งยูนิต โดยเขาเชื่อว่าในอนาคตพื้นที่ในเมืองเนี่ยจะแพงมากเลยจำเป็นต้องสร้างบ้านอยู่บนถนน ความฉลาดของสิ่งก่อสร้างนี้นะครับ คือ ลูกเต๋าจะต้องตั้งอยู่แบบเฉียง ๆ เพราะลูกเต่าแบบนี้ใช้เสารับน้ำหนักเพียงแค่ต้นเดียว แต่ถ้าตั้งแบบธรรมดาต้องใช้เสาถึง 4 ต้น แถมตั้งเฉียง ๆ แบบนี้ทุก ๆ ชั้นในอพาร์ทเม้นท์จะได้รับแสงจากธรรมชาติมากกว่า โดยเฉพาะในฤดูหนาวบ้านจะอุ่นกว่าบ้านทั่วไป ตรงกลางของลูกเต๋าเหล่านี้เป็นสวนเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่หนึ่งชั้นเหนือถนน





          มุมนี้ของเมืองเป็นสวนเล็กที่มีสุดยอด Street Art สุดสวยแอบอยู่



          ตาคนเราเหมือนเลนส์กล้องถ่ายรูป บางคนมองด้วยเลนส์มุมกว้าง บางคนเป็นเลนส์ซูม แม้มองสถานที่เดียวกันแต่เราทุกคนเห็นต่างกัน รูปนี้บางคนเห็นตึกสูงใหญ่ บางคนเห็นท้องฟ้าแสนสดใส และบางคนเห็นเมฆก้อนใหญ่ที่กำลังลอยมา



          Rotterdam Central Station ที่เพื่อสร้างเสร็จและเปิดใช้งานได้ไม่นาน



          10. กางเต็นท์ใน Amsterdam Nord

          ในการเดินทางรอบยุโรปครั้งนี้ผมใช้การกางเต็นท์เป็นหลัก เพราะถ้าพักโรงแรมคงจะแพงมาก ๆๆ แต่สิ่งที่เจ๋งกว่านั้น คือ ผมได้เจอกับเพื่อนใหม่ ๆ ที่น่าสนใจมากในสถานที่กางเต็นท์ตลอดทริป โดยคนส่วนใหญ่ที่จะมากางเต็นท์นั้น เป็นวัยรุ่นชาวยุโรปที่มาแบ็คแพ็กรอบยุโรปเช่นเดียวกัน และถ้าใครอยากรู้ว่าผมหาที่กางเต็นท์อย่างไร อ่านดูด้านล่างเลยครับ

          เพื่อนกลุ่มนี้กางเต็นท์อยู่ข้าง  ๆผมครับ พวกเขาเป็นนักเรียนชาวดัชต์กำลังมาเที่ยว Music Festival ในอัมสเตอร์ดัม เขาบอกผมว่าช่วงซัมเมอร์เป็นช่วงที่ชาวยุโรปเดินทางมากที่สุดเพราะอากาศดี และสามารถกางเต็นท์ใน Campsite ได้ช่วยพวกเขาประหยัดค่าเดินทางไปได้มาก การเดินทางในช่วงซัมเมอร์จึงเป็นที่นิยมมาก





          เด็กน้อยคนนี้มาจากอิตาลีครับ ครอบครัวของขับรถ Motorhome มาจากเมืองมิลาน



          ช่วงเบรกโฆษณา ใครชอบรูปและเรื่องราวแบบนี้ติดตามผมได้ที่

          FB :  เฟซบุ๊ก The Walking Backpack
          IG : punpuapipat



การดูแลเงินและความปลอดภัย

          ผมได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของหลาย ๆ ประเทศที่โจรเยอะ ของโดนขโมยได้ง่าย สามประเทศที่ผมแนะนำให้ระวังตัวเองเป็นพิเศษ คือ อิตาลี ฝรั่งเศส และสเปน เป็นสามประเทศที่อันตรายสำหรับนักท่องเที่ยวที่สุด ต้องระวังตัวพอสมควรแต่ก็อย่าไปกลัว ห่วงหน้าพะวงหลังจนเที่ยวไม่สนุก

          ผมมีกุญแจล็อกติดไปด้วย 3 ลูก แนะนำให้เป็นแบบที่ใช้ กุญแจเปิดดีกว่าแบบรหัสหมุน ๆๆ ผมมีกระเป๋าสตางค์ในการเดินทางครั้งนี้ 4 ใบ ใบหนึ่งใส่ Passport กับบัตรเครดิตและเงินชุดแรก ใบที่สองใส่บัตรเครดิตและเงินชุดที่สอง สองใบนี้เป็นไว้ในล็อกเกอร์ตลอด (ส่วนใหญ่ตามที่พักเขาจะมีล็อคเกอร์ให้เราใช้) ใบที่สามใส่ตังค์ไม่เกินครั้งละ 100 ยูโร ใบนี้ซุกไว้ในก้นเป้ และสุดท้ายเป็นใบที่ใช้ทุกวัน มีตังค์ครั้งหนึ่งไม่เกิน 30 ยูโร เรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนะครับ ถ้าทำอะไรหายขึ้นมาเศร้าแน่ เที่ยวไม่สนุก ผมทำโทรศัพท์ iPhone 4 ผมหาย ซึมไปหลายวันเลย

การหาที่พัก

          ทริปนี้ผมนอนกางเต็นท์เกือบทั้งทริปนะครับ ยกเว้นในปารีสและบาร์เซโลน่า เพราะสถานที่กางเต็นท์อยู่ไกลจากตัวเมืองมาก ลำบากมากถ้าจะเดินทางออกนอกเมืองทุกวัน โดยการนอนกางเต็นท์ของผมไม่ได้นอนตามถนนหรือในสวนที่ไหนนะครับ ทุก ๆ เมืองในยุโรปจะมีสิ่งที่เรียนว่า Campsite อย่างในอัมสเตอร์ดัม Campsite ที่ใกล้เมืองที่สุด ก็คือ Vliegenbos Campsite ที่นี่เดินจากตัวเมืองเพียง 20 นาที ส่วนเมืองอื่น ๆ อย่าง Rotterdam หรือ Delft ผมไปเช้า-เย็นกลับเอาครับ ค่ากางเต็นท์ที่นี่ราคาประมาณ 11 ยูโรต่อหนึ่งเต็นท์ ซึ่งถูกกว่า Hostel ที่คืนหนึ่งประมาณ 30 ยูโร ช่วงเวลาที่เหมาะกับการจะกางเต็นท์ในยุโรปก็คงเป็นช่วงซัมเมอร์ครับ ประมาณสิ้นเดือนมิถุนายนจะถึงต้นเดือนกันยายน ช่วงเวลาอื่นของปีที่กางเต็นท์อาจจะไม่เปิดและคุณอาจนอนหนาวตายได้

          ทางเข้า Vliegenbos Campsite



          เต็นท์ที่คุณเอาไปควรจะกันน้ำ กันฝนแบบหนักมาก ๆๆ ได้นะครับ เพราะในยุโรปอากาศมันเอาแน่เอานอนไม่ได้จริง ๆ ฝนตกที่หนักมาก ๆๆ เต็นท์ผมมันไม่ค่อยกันน้ำ คืนแรกเหมือนนอนในสระน้ำเลย ตื่นมาทุกอย่างเปียกไปหมด ผมจึงต้องไปซื้อผ้ากันฝนมาอีกชุดหนึ่ง



งบประมาณ

          ผมตั้งงบไว้ 100,000 บาท ในทริปนี้นะครับ โดยทุกวันจะใช้เงินไม่เกิน 50 ยูโร หรือประมาณ 2,200 บาท ทั้งหมด 45 วันก็ 45 x 2200 ก็ 99,000 บาท อันนี้ไม่ร่วมค่าตั๋วเครื่องบินและค่ารถไฟนะครับ เป็นค่ากิน ค่าที่พัก ค่าใช้จ่ายทั่วไป โดยมีกฎเหล็ก คือ จะไม่ช้อปปิ้งจนจะถึงเมืองสุดท้าย เพราะผมแบกของไม่ไหวจริง ๆ โดยพอออกมาจริง ๆ ผมก็ใช้เงินไปประมาณนั้นละครับ ประเทศอย่างฮังการี เช็ก และเยอรมนี ถูกกว่า พวกฝรั่งเศส เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์มาก

สายการบิน

          ในการเดินทางครั้งนี้ผมต้องขอขอบคุณสายการบิน KLM มาก ๆ เลยครับ ที่ช่วยสนับสนุนการเดินทางครั้งนี้



          เป็นสายการบินไม่กี่สายที่บินตรงจากกรุงเทพฯ ถึงอัมสเตอร์ดัม ใช้เวลาเพียงแค่ 12 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากในการเริ่ม Euro Trip เพราะเราสามารถเดินไปประเทศใกล้ได้อย่างสะดวกสบาย และประเทศนี้มีสนามบิน Schiphol เป็นหนึ่งในสนามบินที่ดีที่สุดในโลกและเป็นบ้านของสายการบิน KLM และอีกสิ่งที่สำคัญมากเลยนะครับ คือ ราคา โดยตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-อัมสเตอร์ดัม ช่วงราคาโปรโมชั่นเริ่มต้นที่ 25,XXX บาท หากอยากซื้อราคาโปรโมชั่นแบบนี้ก็ต้องไปกดไลค์ เฟซบุ๊กของ KLM Thailand

          ผมชอบสายการบินนี้มากนะครับ เพราะว่าทุกอย่างทันสมัยมาก การบริการก็ยอดเยี่ยม บินหลับสบายตลอดทาง เริ่มที่การ Check in Online ที่ทำได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์และมือถือ



          โดยง่าย ๆ เพียงเข้าไปในเว็บของสายการบินแล้วก็เช็กอินบนทางอินเทอร์เน็ต แล้วพริ้นท์ Boarding Pass จากที่บ้านเลยก็ได้



          สำหรับหลายคนที่ชอบใช้ Smart Phone นะครับ เราสามารถเช็กอินได้ด้วยโทรศัพท์มือถือสะดวกสบายมาก



          เมื่อถึงวันเดินทางนะครับเราก็เอา Boarding Pass ที่พริ้นท์มาจากที่บ้านมาด้วย



          โดยพี่พนักงานสายการบินนี้ก็เป็นกันเองมาก ช่องไหนว่างก็ให้โหลดกระเป่าได้ทันทีเลย



          และการเดินทางครั้งนี้ทางสายการบินได้เชิญผมไปใช้บริการ Airport Lounge ที่มีอาหารอร่อยมาก



          ปกติแล้วผมจะเดินทางด้วยสายการบินราคาประหยัดตลอด แต่คราวนี้มีอาหารอร่อย ๆ มากมายแบบนี้ เรียกว่ากินกันจนอิ่มก่อนขึ้นเครื่องไปเลย









          อาหารเช้าของผมเป็น Cocktail หน้ากุ้งสุดอร่อย



          บรรยากาศใน Airport Lounge



          ผมขึ้นเครื่องเกือบสายเพราะมัวแต่ถ่ายรูปนี้ แต่พี่พนักงานก็ไม่ว่าอะไร ใจดีจริง ๆ



          ขึ้นเครื่องครั้งนี้ผมได้ที่นั่งแบบ Economy Comfort นั่งสบายมาก ๆ โดยเฉพาะคนขายาวแบบผม มีที่เหลือในวางขาอีกสบายมาก ๆ





          บนเครื่องนะครับก็มี Personal Monitor ดูหนังเล่นเกมจนเพลินลืมไปเลยว่าตัวเองอยู่บนเครื่องบิน



          ระหว่างรออาหารเขาก็มีแจกถั่วและเครื่องดื่มระหว่างรอด้วยครับ



          อาหารบนเครื่องก็อร่อยมากครับ มีให้เลือกหลายแบบ หลายรสชาติ อันนี้ผมเลือกอาหารอิตาลีเป็นพาสต้าซอสมะเขือเทศ



          ส่วนอันนี้เป็นอาหารเช้าอีกมือหนึ่งครับ ตลอดทั้ง Flight มีอาหารอร่อย ๆ ให้ทานถึงสองมื้อ



          สนามบิน Schiphol Airport สุดยอดแห่งความทันสมัย

          สนามบิน Schiphol Airport คือหนึ่งในสนามบินที่ใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดในโลกเลยนะครับ และความประทับใจของผมกับสนามบินนี้ก็อยู่ที่ระบบการจัดการของเขา โดยเฉพาะระบบการเช็กอิน





          ด้านในสนามบินก็มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวในข้อมูล ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีใครช่วยนะครับ



          การเข้าเมืองก็ง่ายมากครับ นั่งรถไฟจากสนามบินไปยัง Amsterdam Centraal ตั๋วราคาเพียง 4 ยูโร



          ระบบการเช็กอินที่นี่ดีมากผมขออนุญาตเล่าให้ฟังกันหน่อย โดยผู้โดยสารทุกคนจะเช็กอินและโหลดกระเป๋ากับเครื่องโดยไม่ต้องต่อคิวให้เสียเวลา



          เมื่อมาถึงเครื่องนี้เราก็เลือกภาษาและสอด Passport เข้าไปในช่อง





          เครื่องก็จะถามข้อมูลต่าง ๆ ของคุณ พอเสร็จเจ้าเครื่องเช็กอินนี้ก็จะออกตั๋วให้คุณเลย



          หลังจากในเราก็ไปโหลดกระเป๋าโดยเครื่อง Baggage Check in ที่มันหน้าตาเป็นแบบนี้ละครับ







          จากนั้นเครื่องโหลดกระเป๋านี้มันก็จะปิดลงเอากระเป๋าคุณไปแล้วทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย






เรื่องที่คุณอาจสนใจ
แบกเป้ ผจญภัยฉายเดี่ยวเที่ยวยุโรป เยือนเนเธอร์แลนด์ อัปเดตล่าสุด 2 เมษายน 2567 เวลา 14:49:23 33,466 อ่าน
TOP