
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Theerayuth Kumpeesritrakool สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ Fanpage Big Stopper / Travel Photography
วันนี้เราหยิบเอาบันทึกการเดินทางของ คุณ Theerayuth Kumpeesritrakool สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้มีโอกาสแบกเป้ตะลุยเดินป่า ไต่เขา สัมผัสกับความเหนื่อย ความทรมาน ความหวาดเสียว ณ ยอดเขาคินาบาลู บนเกาะบอร์เนียว ด้วยความสูงกว่า 4,095 เมตร ซึ่งถือเป็นดินแดนสวรรค์ของนักปีนเขา แต่ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลถูกแทรกซึมด้วยความสุขล้นใจทันทีเมื่อได้เดินทางไปถึงจุดหมาย เพราะความงดงามของขุนเขา ทะเลเมฆ และบรรยากาศรอบ ๆ ตัว ทำให้ฟินเกินบรรยาย ^___^ พร้อม ๆ กับความคิดที่ว่า "สำหรับผม...ที่นี่เหนื่อยและเสี่ยงแบบสาหัส แต่ธรรมชาติก็ตอบแทนผมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยกับภาพที่อยู่รอบตัวในตอนนี้ สุดยอดที่สุดในชีวิตจริง !!!" อ๊ะ ๆ แต่จะสวยตระการตาขนาดไหนนั้น ตามเขาไปดูกันเลยค่ะ
++++++++++++++++++++
จะออกไปแตะขอบฟ้า !!! ผมนั่ง ๆ นอน ๆ ฟังเพลง "เรือเล็กควรออกจากฝั่ง" ของพี่ตูน บอดี้แสลม ใจของผมก็ล่องลอยหวนนึกถึงการเดินทางแตะขอบฟ้าโหด ๆ หลาย ๆ ทริปที่ผ่านมา ณ ตอนนี้คงไม่มีทริปไหนที่ผมจะจดจำได้ทุกรายละเอียดมากเท่ากับที่ผมได้มีโอกาสไปเดินไต่เมฆ ถ่ายภาพที่ยอดเขา Kinabalu ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว ดินแดนที่มีความหลากหลายทางระบบนิเวศและชนชาติมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
การถ่ายงานครั้งนี้ผมได้รับการติดต่อมาจากทางการท่องเที่ยวมาเลเซีย ให้ไปท่องเที่ยวถ่ายภาพเพื่อนำมาใช้ในโปรเจคท์ส่งเสริมการท่องเที่ยวของมาเลเซีย ในชื่อโครงการ Visit Malaysia 2014 โดยมีการเปิดรูททั้งหมด 8 เส้นทาง แน่นอนรูทผมเป็นการไปถ่ายภาพที่ค่อนข้างทรหด อดทน และเวลากระชั้นกว่าทุกรูท ตามคอนเซ็ปต์ "ช่างภาพขา (ลาก) ลุย" ที่หลาย ๆ คนช่วยกันแปะไว้กลางหน้าผากล้าน ๆ ของผม ฮ่า ๆๆ
ปกติผมมักจะเดินทางคนเดียวตลอด แต่พิจารณาจากที่คุยกับทางการท่องเที่ยวมาเลเซียแล้ว คาดว่าผมคนเดียวคงลากกระเป๋ากล้อง อุปกรณ์ต่าง ๆ ถ่อสังขารในต่างป่าต่างแดนในระยะเวลาที่มีจำกัดได้ไม่สะดวกแน่แท้ ทริปนี้จึงชักชวนพี่ผู้ช่วยอีกคนไปช่วยเก็บภาพด้วยอีกแรง (จริง ๆ เอาไปเก็บภาพตัวผมเองแหละ 555) จากประสบการณ์ที่ผมเคยเดินป่าลุยที่ "โมโกจู" มาแล้ว ตามที่เคยรีวิวไปครั้งกระโน้น ลองไปอ่านไปมันส์กันได้ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
http://pantip.com/topic/31528227
ครั้งนี้จึงจัดเตรียมสัมภาระเท่าที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น เรียกว่าหวังจะหล่อ พร๊อพเต็ม เดินเล่นช้อปปิ้งเพลิน ๆ ทริปนี้คงไม่มี บทเรียนที่โมโกจูมันสอนอะไรให้ผมเรียนรู้และจดจำไว้เยอะมาก ๆ โดยการเดินทางมุ่งหน้าสู่ Kinabalu ในครั้งนี้ ผมขอขอบคุณสายการบิน Malaysia Airline สำหรับการสนับสนุนตั๋วเครื่องบินตลอดเส้นทาง และการท่องเที่ยวมาเลเซียที่จัดเจ้าหน้าที่ Standby คอยอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นั่น

เชื่อผมเถอะ หลังจากคุณอ่านและชมรีวิวนี้จนจบแล้ว ให้ถามตัวเองดู ถ้าคุณยังมีไฟและแรงบันดาลใจให้ตัวเองอยู่บ้าง ผมขอบังอาจแนะนำว่า "คุณควรไปแตะขอบฟ้าจริง ๆ สักครั้งก่อนตายให้ได้นะ" ตอนนี้ตามผมไต่เมฆในนี้ไปพลาง ๆ ก่อนก็แล้วกันเนาะ อ่านทุกตัวอักษรจะดีนะครับ จะนึกภาพตามเหมือนได้ไปพร้อมกับผมแน่นอน
คืนก่อนเดินทางผมและพี่ผู้ช่วยต้องยอมรับว่างานแยะมาก กระเป๋าเดินทางก็เพิ่งจัดกัน กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไป ตี 1 ของผมนี่หนัก ตอนประมาณเกือบตีหนึ่งดันเกิดอุบัติเหตุ ทำแก้วหล่นในห้องน้ำ โดนเศษแก้วแตกลอยกระเด็นใส่นิ้วนางข้างขวาเป็นแผลลึก เลือดไหลเต็มแขนต้องกดแผลและเอาสำลีกับพลาสเตอร์ปิดกันไว้ก่อน ไปหาหมอก็คงไม่ต้องนอนกันพอดี ตอนเช้าค่อยว่ากัน เรียกว่าสโลสเลไปสนามบิน…ก็ว่าได้
วันที่ 1 ผมมาเช็กอินและโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ เดินทางจากกรุงเทพฯ ไป กัวลาลัมเปอร์ (KL) และจึงต่อเครื่องที่นั่นไปยังเมือง Kota Kinabalu ซึ่งอยู่บนเกาะบอร์เนียวอีกต่อหนึ่ง ระหว่างรอเรียกขึ้นเครื่องพวกเราแวะไปช้อปยารักษาโรค ยาแก้อาการปวดต่าง ๆ เพราะได้ใช้แน่ ๆ หาจากบ้านเราไปให้พร้อมจะสะดวกกว่ามาก พร้อมกับให้เภสัชฯ ที่ร้านดูแผลที่นิ้ว เค้าแนะนำให้ไปหาหมอเพื่อเย็บ แต่ผมคงไม่สามารถไปหาหมอได้ในเวลาที่ต้องเดินทางไกลเช่นนี้ จึงขอยาแก้ปวดที่แรง ๆ และอะไรก็ได้ที่ห้ามเลือดดี ๆ เอามาทำแผลประทังอาการไปก่อน เสร็จเรียบร้อยผมก็ไปหาที่แลกเงิน อัตราแลกเปลี่ยนวันนั้น 1 ริงกิต เท่ากับ 9.19 บาทไทย ผมแลกไปสามพันบาทไทยก็ได้ประมาณ 290 ริงกิต โดยประมาณ
รอขึ้นเครื่อง


เครื่องบินของ Malaysia Airline หน้าตาประมาณนี้ และผมก็นั่งลำนี้ไปละครับ

เข้ามาดูด้านใน (ไม่รู้เจ๊เสื้อแดงเค้าเคืองอะไรผมนะ จ้องเขม็งเชียว ผมออกจะหล่อขนาดนี้)

ความบันเทิงครบครัน

ไฟล์ทแรกบินไประยะทางและเส้นทางตามนี้ครับ

ไฟล์ท 10.50 น. ถึงที่ KLIA 1 ประมาณบ่ายสอง พอถึงปุ๊บรีบปรับนาฬิกาทันใด เวลาที่มาเลเซียจะเร็วกว่าเมืองไทยประมาณ 1 ชั่วโมง และค่าเงินของที่นี่ 1 ริงกิต เท่ากับ 10 บาทไทยโดยประมาณ
จากนั้นผมเหลือเวลาโต๋เต๋อีกประมาณ 4 ชั่วโมง เพราะต้องรอไฟล์ทที่จะบินต่อไปยัง Kota Kinabalu ตอนหกโมงเย็น กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ไม่รู้จะมีอะไรกินบ้าง เดินไป-มาพี่ผู้ช่วยมาเจอร้านนี้ แกบอกให้แวะโลด ก่อนจะเป็นลมตายซะก่อน

ได้เมนูนี้มา แปลเป็นไทยก็ประมาณแกงกะหรี่ไก่จิ้มขนมปัง วิธีกินก็ไม่ยาก ฉีกขนมปังจิ้ม ๆ กับแกงแล้วยัดเข้าปาก อร่อยแบบหิว ๆ ราคาประมาณ 10 ริงกิต

จากนั้นเดินเล่นดูผู้คน วันที่ผมมาคนที่ KLIA1 ค่อนข้างบางตา เดินไปรอบ ๆ ชักคอแห้ง ได้เจ้านี่มา 1 ขวด ราคาประมาณ 5 ริงกิต เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ อร่อยดี

นั่ง ๆ นอน ๆ ยาว ๆ ไป ชดเชยที่นอนดึกจากเมืองไทย จนใกล้เวลาบินต่อไป Kota Kinabalu เตรียมตัวเดินทางต่อ ไฟล์ทจาก KL (Kuala Lumper) ไป KK (Kota Kinabalu) จะบินประมาณหกโมงเย็นไปถึงประมาณสองทุ่มครึ่ง เช็กอินเรียบร้อย นั่งเครื่องไปต่ออีกเกือบ ๆ 1,700 กิโลเมตร มุ่งหน้าสู่เกาะบอร์เนียว (ไกลกว่ากรุงเทพฯ มากัวลาลัมเปอร์อีกอ่ะ) รูปนี้ถ่ายหลังจากบินมาได้สักพักหนึ่งแล้วครับ

นั่งเมื่อยมากว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง ถึงซะที Kota Kinabalu International Airport เดินผ่านตรวจคนเข้าเมืองและรอรับกระเป๋า จากนั้นแบก ๆ ลาก ๆ มาที่ด้านหน้า เจอเจ้าหน้าที่ของการท่องเที่ยวมารอรับ 1 คน เป็นชายวัยกลางคน ชื่อ Mr.Bobby ซึ่งจะอยู่คอยแนะนำและอำนวยความสะดวกให้ผมในช่วงเวลาที่ถ่ายงานอยู่ที่เมือง Koata Kinabalu
"รัฐซาบาห์" เป็นรัฐที่มีเนื้อที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองของประเทศมาเลเซีย อยู่บนเกาะบอร์เนียวที่แบ่งเป็น 3 ประเทศ คือ มาเลเซีย, บรูไน และอินโดนีเซีย ตัวเมืองมีสภาพเป็นเมืองภูเขา เต็มไปด้วยผืนป่าดิบชื้นในเขตร้อนอันอุดมสมบูรณ์ และมีเมืองหลวงที่ชื่อ "โกตาคินาบาลู" และมียอดเขาคินาบาลูเป็นไฮไลท์ ดินแดนสวรรค์ของนักปีนเขาและนักท่องเที่ยวที่รักการผจญภัยทั่วโลก

หลังจากทักทายและแนะนำตัวกันพอสมควร Bobby พาผมไปโรงแรมที่พักในคืนนี้ที่อยู่ใจกลางเมือง ชื่อ โรงแรม Sabah Oriental Hotel ถึงโรงแรมรีบเช็กอินเข้าห้องพัก อาบน้ำอาบท่า เพราะเดินทางทั้งวัน เพลียมาก ประมาณสามทุ่มครึ่งลงมาหาอะไรกิน ด้านนอกโรงแรมเงียบสงัด ไม่มีร้านอะไรอยู่เลย จึงเดินกลับมาสั่งอาหารที่โรงแรมแทน ผมสั่งเป็นคล้าย ๆ มาม่าผัดนะ กินไปก่อน หิวมากแล้ว ราคาประมาณ 17 ริงกิต จานใหญ่มาก รสชาติพอกินได้ แต่น้ำมันแอบเยอะไปนิดนึง กินเสร็จตอนสี่ทุ่มรีบขึ้นห้องเพื่อจัดเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมและรีบเข้านอน (รูปโรงแรมไม่มีเวลาถ่ายมาให้ชมนะครับ ดูจากตาก็ประมาณ 3 ดาวบ้านเราแหละ) เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องตื่นกันตั้งแต่ตี 5 เพื่อออกเดินทางไป อุทยานแห่งชาติคินาบาลู (Kinabalu National Park) ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากโรงแรมที่เราพักประมาณ 90 กิโลเมตร เรียกว่าเหนื่อยต่อเนื่องแทบไม่ได้พักกันเลยครับ สู้ ๆ
วันที่สอง...เสียงนาฬิกาปลุกจากไอโฟน 3G ของผมดังสนั่น พวกเรากระเด้งออกจากเตียงแบบงัวเงียเพราะเพลียจากการเดินทางเมื่อวาน จัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย แบกกระเป๋าลงมาเช็กเอาท์ที่ล็อบบี้ โดยวันนี้ Bobby จะเป็นสารถีพาเราไปส่งที่ Kinabalu National Park ออกเดินทางกันอีกครั้งครับ ใช้เวลาประมาณ 07.00-.08.30 น. ก็ชั่วโมงครึ่งน่าจะถึง
ของว่างรองท้องระหว่างเดินทางบนรถ

ออกนอกเมืองมาได้สักชั่วโมง มาแวะร้านนี้เพื่อเติมพลังให้เต็ม ใครเคยไปมาเลเซียมาก่อนจะสังเกตได้ว่า ไอ้น้ำยี่ห้อ 100PLUS เป็นอะไรที่นิยมแบบทุกหัวระแหงมาก ผมก็ซื้อมาลองดื่มดูนะ เออ มันอร่อยดี คล้าย ๆจะเป็นเกลือแร่ผสมสไปรท์บ้านเรา แต่ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นดี ราคาประมาณ 2-3 ริงกิต แล้วแต่สถานที่และร้านที่ขาย อันนี้แนะนำ ดื่มแล้วสดชื่นจริง ๆ มื้อนี้ผมสั่ง Mee Hun (บ้านเราก็เรียกหมี่หุน) เป็นมื้อเช้า แล้วก็สั่งข้าวใส่กล่องเพื่อเป็นมื้อเที่ยงระหว่างทางบนเขา หาซื้อช็อกโกแลตไปสี่ห้าแท่งติดตัวไปด้วย

กินข้าวเสร็จเดินไปดูวิวรอบ ๆ ร้าน ด้านหลังวิวอลังการมากเห็นยอดเขา Kinabalu แบบเต็ม ๆ ลูกเลยครับ ที่สูง ๆ แหลม ๆ โน่นละครับที่ผมต้องป่ายปีน เห็นแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่ฝุ่นละอองจริง ๆ

แดดแรง ฟ้าใส เมฆสวย สีสันมันสุด ๆ จริง ๆ ยอดนี้แหละที่แหลม ๆ โผล่บนยอดสูงสุดที่ผมต้องไต่ขึ้นไปถ่ายภาพ…ตื่นเต้น ๆ อะดรีนาลินและเลือดในตัวมันกระตุ้นความเป็นนักผจญภัยออกมาเรื่อย ๆ อีกไม่นานเราจะได้เริ่มเดินบนเขาลูกนี้แล้ว

นั่งรถต่อไปอีกเกือบ ๆ ชั่วโมง ลัดเลาะขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ มุ่งหน้าสู่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติคินาบาลู ตื่นตาตื่นใจตลอดทาง เมฆสวยมาก ๆๆๆๆๆ ภูเขาบ้านเค้าอลังการงานสร้าง ทะเลเมฆ (ไม่ใช่ทะเลหมอกนะ) มากมายมหาศาลตลอดทาง ถึงแล้วครับ Kinabalu National Park ทำการลงทะเบียนและเสียค่าผ่านประตูต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ทุกคนจะได้บัตรผ่านเข้าอุทยานฯ สวย ๆ ไว้กับตัวและห้ามทำหายนะครับ เพราะจะต้องใช้ระบุตัวตนและเช็กอินจุดที่คุณเดินไปถึงบนเขาด้วย

อัตราค่าผ่านประตู

เข้าห้องน้ำและจัดเตรียมสัมภาระและอุปกรณ์ให้พร้อมสรรพ ติดต่อลูกหาบไว้ได้หนึ่งคน ซึ่งจะเป็นไกด์นำทางบนเขาให้ผมด้วยในคนคนเดียว

ไกด์+ลูกหาบของเรา ชื่อ อัซลี่ เป็นชายวัยประมาณ 40 ปลาย ๆ ท่าทางทะมัดทะแมง โดยผม (ชายวัย 30+)และพี่ผู้ช่วย (ชายวัย 40+) จะให้เค้าช่วยแบกในส่วนของเสื้อผ้าและของใช้ ส่วนอุปกรณ์กล้อง กระเป๋าเป้ และขาตั้งกล้อง โดยจรรยาบรรณแล้วต้องแบกเอง (อย่างจำใจ) ส่วนค่าใช้จ่ายในการแบกของลูกหาบที่นี่ จะคิดเป็นกิโลกรัมต่อระยะทางสองช่วงแตกต่างกันไปนะครับ ไว้จะมาอธิบายตอนสรุปให้ดูอีกที วิวและมวลเมฆจากที่จอดรถของอุทยานฯ มันสุดยอดมาก ๆ โดยเฉพาะเมฆที่นี่ เป็นอะไรที่เกิดมาผมไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน มันวิ่งพัดผ่านด้วยความเร็วแบบ 4x100 ผ่านหน้าผ่านหัวฉิว ๆๆ
อุทยานแห่งชาติคินาบาลู สามารถรับนักท่องเที่ยวได้วันละ 196 คน ทุก ๆ หกคนต้องมีไกด์หนึ่งคน และมีช่วงเปิดฤดูกาลสำหรับให้นักเดินป่าและนักปีนเขาจากทั่วโลกไปเยือนเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศตอนนั้น ๆ ด้วย จากนั้น Bobby ได้นำพวกเราสามคนขึ้นไปส่งยังทางเข้า Timpohon Gate พร้อมอธิบายเส้นทางการเดินขึ้นยอดเขา Kinabalu โดยการเดินป่าในเส้นทางนี้จะแบ่งการเดินออกเป็นสองช่วง ดังนี้
- Timpohon Gate เส้นทางนี้จะสั้น ใช้เวลาน้อยกว่า ขึ้นอย่างเดียว เป็นเส้นทางหลักเลย (ล่างซ้ายตามรูป)
- Mesilau Gate เส้นนี้จะไกลกว่า ใช้เวลามากกว่า ต้องเดินกันตั้งแต่เช้า มาสาย ๆ คงจะหมดสิทธิ์ เพราะต้องต่อรถไปขึ้นอีกจุดหนึ่ง (ล่างขวาตามรูป) เส้นทางนี้จะขึ้น ๆ ลง ๆ และไกล แต่จะได้สัมผัสธรรมชาติมาก ๆ เพราะจะอุดมสมบูรณ์กว่าเส้น Timpohon

ฟังอธิบายเสร็จก็ทำการเช็ครองเท้า จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ใครมีไม้เท้าก็จัดให้พร้อม ช่างภาพอย่างผมก็ใช้ขาตั้งกล้องแทนได้สบายมาก (ไม้เท้าหรือขาตั้งกล้องช่วยในการเดินป่าระยะไกลและชันได้มาก ผมพิสูจน์มาหลายทริปแล้ว เป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้จริง ๆ) ลองชั่งน้ำหนักอุปกรณ์ที่ต้องแบกขึ้นไปเองดู ไม่มากไม่น้อย 6 กิโลกรัม หนักกล้อง+เลนส์ล้วน ๆ ผมแบก Nikon D7000 + 10-24/Nikon D800E + 80-400Nano + 17-35 f2.8 + Macro 105Nano + iPad2 + iPhone4 อยากได้ภาพก็ต้องกัดฟันแบก เพราะจำเป็นต้องใช้ทุกตัว
หายใจลึก ๆ สบตากับสหาย พยักหน้าให้กัน ส่งสัญญาณกับลูกหาบ พร้อมแล้วก็ลุยกันกับ "ภารกิจไต่เมฆพิชิตยอดเขาคินาบาลู" เราเริ่มออกเดินกันเมื่อเวลาประมาณ 10 โมงเช้า อากาศสบาย ๆ อุณหภูมิประมาณ 25 องศา เส้นทางยังเดินได้เรื่อย ๆ สบาย ๆ ช่วงแรกที่ออกเดินมีนักเดินป่าชาวต่างชาติหลายคนร่วมทาง ร่วมพูดคุยมาพักหนึ่ง จนเดินไปสักชั่วโมงบางคนก็จะนำเราไปก่อนและบางคนก็จะกลายเป็นตามหลังเราแทน สุดท้ายเหลือผมกับพี่ผู้ช่วยและลูกหาบเดินกันอยู่สามคน โดยทิ้งระยะห่างจากกลุ่มอื่นกันพอสมควร
เส้นทางช่วงแรก ๆ ก็เพลิน ๆ ดีครับ

สักพักก็เริ่มละ ความเมื่อยเริ่มมาเยือน

จากที่เดินผ่านมาช่วง 1 กิโลเมตรแรก ต้องขอชื่นชมทางการท่องเที่ยวและการจัดการของอุทยานแห่งชาติที่นี่จริง ๆ ครับ ทำทางเดินป่าได้เป็นธรรมชาติ เป็นระเบียบเรียบร้อย มีป้ายเตือนอันตรายต่าง ๆ ตลอดเส้นทาง มีจุดพักให้เติมน้ำทุก ๆ 1 กิโลเมตร แต่ยังคงสภาพป่าและทางเดินได้เหมือนของเดิมตามที่ธรรมชาติสร้างมา และที่สำคัญมาก ๆ ผู้คนทั่วโลกที่มาเดินป่าที่นี่ ทุกคนมีจิตสำนึกในการดูแลธรรมชาติมาก ขยะไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียว และไม่มีใครตะโกนโหวกเหวกรบกวนสัตว์ป่าแม้แต่น้อยนิดให้รำคาญใจ เดินไปได้ชั่วโมงครึ่ง ผ่านไปแล้ว 1 กิโลเมตร หอบใช้ได้ ต่อจากนี้ทางจะชันและโหดขึ้นเรื่อย ๆ เหลืออีกตั้ง 5 กิโลเมตรเอง ฮ่า ๆๆ ผมเดินไปก็ระมัดระวังแผลที่นิ้วไป มันเจ็บแปลบ ๆ ตลอดเวลา กลัวแผลจะฉีกเหลือเกิน เดินกันต่อ...มุ่งหน้าสู่กิโลเมตรที่สอง ผมหอบแฮ่ก ผู้ช่วยหอบโฮก กระเป๋าก็น้ำหนักเท่าเดิม แต่รู้สึกมันจะหนักบ่ามากขึ้นเรื่อย ๆ ดีที่ตลอดทางมีวิวและสัตว์ป่าเยอะแยะมากมายให้แวะถ่ายได้ตลอดทาง
ชื่นชมกับธรรมชาติทั้งพืชพันธุ์และสัตว์ป่า

ที่นี่นกเยอะมากครับ ถ่ายทันบ้างไม่ทันบ้าง หลายตัวคนรักการถ่ายนกแบบผม ยังไม่เคยเห็นก็มีมาให้ชมไม่ขาดสาย


เข้าสู่จุดพักบริเวณกิโลเมตรที่สอง พวกเราตัดสินใจไม่แวะพักเพราะด้วยอุปกรณ์ที่แบกกันมาทำให้เราเดินได้ช้ากว่ากลุ่มอื่น ๆ กว่าจะถึงจุดนี้ก็ปาเข้าไปบ่ายโมงแล้วครับ เราจึงกัดฟันเดินให้ถึงกิโลเมตรที่สามเพื่อจะไปพักกินข้าวที่นั่น เมื่อเข้าใกล้จุดพักที่สามกิโลเมตรผมเดินไปหอบไปอย่างเหนื่อยล้า ใจเต้นตูมตาม เหลียวมองไกล ๆ เห็นอะไรตะคุ่ม ๆอยู่บนกิ่งไม้ไกล ๆ สีแดง ๆ เป็นกระจุก มองไม่ชัดนักจึงทำการวางกระเป๋าเปลี่ยนเลนส์ส่องไปดู เจอเจ้าตัวนี้ครับ Red Leaf Monkey (Borneo Island) นับเป็นโชคดีมาก ไกด์บอกเราว่าเค้าเดินขึ้นลงที่นี่บ่อย ๆ ยังไม่มีโอกาสได้เจอง่าย ๆ คุณมาครั้งแรกก็เจอซะแล้ว โชคดีจริง ๆ


ลิงชนิดนี้หน้าตาและสัณฐานของหัวกะโหลกแลดูโบราณมาก ถ่ายอยู่สักพักต้องรีบเก็บกล้องเดินต่อ เพราะลิงเริ่มออกมามากขึ้น ๆ จนเป็นฝูงใหญ่น่ากลัว และเริ่มขยับมาใกล้พวกเรามากขึ้น ๆ ผมเองก็ยังไม่อยากโดนลิงป่ารุม และระยะทางยังอีกไกล…ไปต่อดีกว่าเนาะ ฮ่า ๆๆ

ถึงจุดพักที่สามกิโลเมตร ได้เวลาหม่ำมื้อเที่ยง อัดเข้าไปเยอะ ๆ เพราะพลังงานแทบจะหมดตัวแล้ว
เรานั่งพักพ่นยาแก้ปวด ทาน้ำมันมวย และกินยาคลายกล้ามเนื้อสักครึ่งชั่วโมง เตรียมตัวเดินต่อ ไปเจอเจ้าถิ่นเป็นกระรอกหรือกระแตนี่ล่ะ มาต้อนรับตาแป๋วเชียว เค้าจะออกมาคอยต้อนรับแทบทุกจุดพัก ที่นี่มีเยอะมากและเข้าใกล้นักท่องเที่ยวแบบสนิทใจ อีกนิดเดียวก็ลูบหัวได้แล้ว
ออกเดินต่อยังกิโลเมตรที่สี่
ทางขึ้นระหว่างกิโลเมตรที่สี่ไปยังกิโลเมตรที่ห้านั้น มันแปลกตา อลังการ งดงามแบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ป่าโบราณรูปร่างคล้ายต้นบอนไซทั้งหุบเขา มีเมฆลอยผ่านตรงหน้า และเรากำลังจะเดินผ่านทางนี้เพื่อเดินไต่ระดับความสูงทะลุเมฆขึ้นไปด้านบน




ความเหนื่อยล้าถาโถมมากมาย ไหล่ที่หนักอึ้ง ขาที่ปวดแสนสาหัส อากาศที่บางเบาลงเรื่อย ๆ เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ แต่ก็ยังคงน้อยไปกว่าความมุ่งมั่นในใจและความตกตะลึงกับภาพงดงามของธรรมชาติที่เห็นเบื้องหน้า ที่คอยผลักดันให้เราเดินต่อไปได้อย่างไม่ย่อท้อ ตอนนี้เวลาประมาณสี่โมงเย็นแล้วแต่ฟ้านี่ใสสุด ๆ

ฟินมาก ๆๆๆๆ

อีกกิโลเมตรเดียวเท่านั้น ไม่เกินสองชั่วโมงน่าจะถึงแคมป์แล้ว ขอบอกว่าเหนื่อยมากครับ และอากาศหนาวลงแบบฮวบฮาบจนน่าตกใจ เดินไปขนลุกไป
ในที่สุดก็ถึงแคมป์ Laban Rata เพื่อกินอาหารเย็นตอนเวลาหนึ่งทุ่ม แบบอ่อนระโหยโรยแรง อาหารการกินที่นี่จะเน้นแบบกินเอาแรง เอาพลังงาน เช่น ซุปถั่ว ไข่คน ข้าวสวย แกงเนื้อแกะ ผัดผัก ผัดหมี่หุน ซึ่งความสวยงามและความเอร็ดอร่อยคงไม่สำคัญไปมากกว่าความหิวและความเหนื่อยละครับ มีอะไรพวกเราซัดหมด อ่อ...ชาร้อนที่นี่หอม อร่อยดีนะ Sabah Tea

หลังจากซัดมื้อเย็นเรียบร้อยเดินไปตรงเคาน์เตอร์ของห้องอาหารจะมีบริการเสื้อกันหนาว ถุงมือ (10 ริงกิต) ไฟฉายให้เช่า (20 ริงกิต) และมีน้ำดื่มขายในราคา 10 ริงกิต (100 บาท) ผมและผู้ช่วยเช่าถุงมือปีนเขา+ไฟฉายแบบโพกหัวส่องกบ และซื้อน้ำเปล่าคนละขวด หลายคนเห็นราคาแล้วคิดว่าแพง ผมว่าให้เค้าเถอะครับ เพราะกว่าจะแบกมาได้นี่เค้าต้องเดินป่าหลายชั่วโมงนะ
ตอนนี้เป็นเวลาประมาณสองทุ่ม อุณหภูมิหนาวลงแบบดิ่งมากครับ ควันออกปากแล้ว คาดว่าน่าจะต่ำกว่า 10 องศา เสื้อกันหนาวที่เราเตรียมไปจากเมืองไทยยังกันอากาศได้สบาย ๆ ถุงมือไหมพรมที่เอาไปยังอบอุ่นดี เราจึงไม่เช่าเสื้อกันหนาวเพิ่ม ตอนนี้เราจะไปที่พักเพื่อพักผ่อนกันแล้วครับ ถามไกด์ว่าหลังไหนเป็นที่พักของเราในคืนนี้ ไกด์พาเราเดินออกมานอกห้องอาหาร ชี้ไปยังตีนเขาที่เห็นไฟริบหรี่ ๆ ผมกับพี่ผู้ช่วยมองหน้ากันแล้วอุทานถามไกด์แทบจะพร้อมกันว่า "ต้องเดินไปบนนั้นต่อเหรอ ?" คำตอบมาพร้อมสายลมหนาวหนึ่งวูบใหญ่ "Yes !" พระเจ้าผมหมดแรงกันแล้วครับ ที่สำคัญไปกว่านั้นกระเป๋าเสื้อผ้าที่เราฝากลูกหาบแบกขึ้นมา เค้าจะดร็อปลงที่ห้องอาหารเท่านั้น เราต้องแบกทุกอย่างเดินต่อเข้าไปที่พักเอง ทำไงได้ ก็ต้องทำใจแล้วช่วยกันแบกต่อ นึกภาพตามนะครับ เดินขึ้นไปตามไหล่เขามืด ๆ ประมาณ 150 เมตร กระเป๋าเป้ใส่กล้องคนละใบ ขาตั้งกล้องคนละตัว กระเป๋าสัมภาระอีกสองใบ เดินไปพักหอบไปทุก ๆ 5 เมตร 10 เมตร ใจจะขาดเสียให้ได้ ใช้เวลาไปทั้งสิ้นประมาณครึ่งชั่วโมงจึงถึงบ้านพัก แทบจะโยนทุกอย่างทิ้งเลยครับ หมดแรงแบบหมดแล้วจริง ๆ
ออกมานั่งหน้ามองฟ้าหน้าห้องพัก โอ๊ย ๆๆ ทางช้างเผือกใหญ่มาก เอื้อมมือแทบจะจับได้ ดาวดวงใหญ่ ๆ เป็นล้าน ๆ ดวงโอบล้อมรอบตัว สวยงามบรรเจิดมาก ผมมองหน้ากับพี่ผู้ช่วยว่าจะเอายังไงกับหมู่ดาวตรงหน้า เชื่อมั๊ยครับ พวกเราเลือกที่จะไม่ถ่าย ทั้ง ๆ ที่กล้องและขาตั้งกล้องก็อยู่ในมือ แต่มันแทบไม่มีแรงยกเหลืออยู่แล้ว (ยังเสียใจจนทุกวันนี้ ถ้าถ่ายมาผมเชื่อว่ามันจะเป็นภาพดาวและทางช้างเผือกที่สวยที่สุดในชีวิตของผมแน่นอน คิดแล้วอยากจะร้องไห้สักสี่ห้าตลบ)
ตัดใจไม่ถ่ายดาวได้แล้วพวกเราลากสัมภาระเข้าไปเก็บในห้อง โดยห้องที่พวกผมได้จะมีนักปีนเขาต่างชาตินอนอยู่แล้ว 4 คน ผมมาถึงทีหลังสุดจึงต้องปีนขึ้นไปนอนบนเตียงชั้นบน เป็นบ้านพักหลังเล็ก ไม่มีฮีทเตอร์ เพราะผมมาถ่ายงานแบบเร่งด่วน ใช้เวลาประสานงานและจองในช่วงสองวีคก่อนเดินทางจึงเหลือแค่นี้ จริง ๆ จองได้ก็อัศจรรย์มากแล้วครับ ตอนนี้อากาศหนาวมากครับ น่าจะเลขตัวเดียว นอนคลุมโปง หน้าตา ฟันเฟิน น้ำท่าไม่ต้องอาบต้องล้างกันละ นอนกันทั้งชุดเดินป่าแบบนั้นละครับ ต้องรีบนอนให้หลับแบบด่วนจี๋นะครับ เพราะพรุ่งนี้เราต้องออกปีนเขาตั้งแต่ตีสอง ไม่ผิดหรอกครับ ตีสองจริง ๆ ถ้าไม่รีบหลับจะอันตรายมาก ทางพรุ่งนี้โหด เสี่ยง เดินท่ามกลางความมืดและอากาศเบาบางมาก
วันที่สาม เวลาตีหนึ่งสี่สิบห้า ทั้งห้องตื่นนอน ฮ่องกง ฝรั่ง ไทย ทักทายกันเบา ๆ พลางแต่งเนื้อแต่งตัวเตรียมอุปกรณ์พร้อมสรรพ ชาวต่างชาติสี่คนเดินออกไปกินข้าวที่ห้องอาหารก่อน พวกผมยังคงง่วนอยู่กับการเตรียมกล้อง อุปกรณ์ของเราหนักหน่วงกว่าทุกคน ทุกชาติที่อยู่บนเขาวันนี้ ประมาณจัดหนัก (หนักจริง ๆ) จัดเต็ม (พะรุงพะรัง) แน่นอน
จัดของเสร็จเราเดินลงมาเพื่อกินอาหารเช้าตอนตีสองนิด ๆ อาหารก็จะคล้าย ๆ เมื่อคืนทุกอย่าง เอ้า...กิน ๆๆ ให้มีแรงไต่เขา
ออกเดินทางกันแล้วครับ อีกสองกิโลเมตรเราจะขึ้นไปพิชิตยอดเขา Kinabalu ให้ได้ ระหว่างเดินถ้าจะถ่ายภาพนิ่ง ผมแนะนำเก็บกล้องให้หมดครับ มันมืดตึ๊ดตื๋อถ่ายอะไรไม่ได้เลย ตั้งใจเดินเพื่อความปลอดภัยจะดีกว่า หรือจะถ่ายวิดีโอแบบผมก็พอไหวนะ
ยิ่งเดินขึ้นไปยิ่งหายใจลำบากมากขึ้นทุกที อุณหภูมิหนาวโคตร ๆ ผมไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่ แต่น่าจะแตะเลขตัวเดียว ไฟฉายบนหัวและขาตั้งกล้องเป็นพระเอกของการเดินในช่วงนี้ครับ ไม่มีนี่ชีวิตเสี่ยงขึ้นอีกโข เดินฝ่าความมืด ไต่เขาไปเรื่อย ๆ หอบหนัก ๆ ก็หลายหน สยิวมากเพราะต้องไต่เชือกปีนหน้าผาขึ้นไประยะทางหลายร้อยเมตร ลมแรงและหนาวแบบโหด ๆ จุดนี้ควรฟิตร่างกายช่วงแขนดี ๆ นะ ถ้าหมดแรงปล่อยมือจากเชือกนี่ ได้มีกลิ้งลงเขาแบบด่วนพิเศษทันที เวลาประมาณตีสี่ครึ่งพวกเราก็ดั้นด้นมาจนถึงจุดเช็กระยะ เพื่อลงทะเบียนระหว่างทางยืนยันว่าท่านไม่สูญหายระหว่างทาง
ลุยต่อไต่ ๆ เดิน ๆ คลาน ๆ หมอบ ๆ ไปตามสันเขา ใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมง ต้องกัดฟันเร่งความเร็วให้ทันก่อนพระอาทิตย์โผล่พ้นสันเขา
จวบจนเวลาหกโมงเช้า ณ จุด ๆ นี้

ผมขอตะโกนดัง ๆ ประกาศให้ทั้งโลกรู้ "ผมมาเหยียบ Kinabalu สำเร็จแล้ว ๆๆๆๆๆๆ !!!!"


สำหรับผมที่นี่เหนื่อยและเสี่ยงแบบสาหัส แต่ธรรมชาติก็ตอบแทนผมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยกับภาพที่อยู่รอบตัวในตอนนี้ สุดยอดที่สุดในชีวิตจริง !!!


ทันแสงเช้าและพระอาทิตย์โผล่ขอบเขาอย่างที่ตั้งใจพอดี

หนาวระดับถอดถุงมือปีนเขาออกมา มือเป็นสีแดง เจ็บมาก ผมและพี่ผู้ช่วยหนาวจนกดชัตเตอร์แทบไม่ไหว ชุดของพวกเรากันหนาวบนยอดคินาบาลูไม่อยู่ ลมพัดตัวแทบปลิว ลมพัดเข้ากางเกงเย็นไปถึงเนื้อใน ต้องถ่ายไปวิ่งหลบซุกซอกหินไป เพราะที่พวกเราเช็กข้อมูลมาจากหลาย ๆ ที่ ก่อนมาที่นี่ บอกแต่ว่าอุณหภูมิเฉลี่ย 18-20 องศา แต่ไม่ได้เช็กข้อมูลบนยอดเขา มารู้จากไกด์ทีหลังว่าที่พวกผมขึ้นถ่ายครั้งนี้ อยู่ที่อุณหภูมิแตะๆ 0 องศา มิน่าหนาวชิบเป๋งเลยครับ (ไปจีนบนยอดเขา ฝนตกหนัก ๆ ว่าหนาวแล้ว ยังไม่หนาวโหดเหี้ยมเท่าที่นี่ วันหน้าจะมาเล่าให้ฟังนะครับ)

ผู้ช่วยผมถึงขนาดงัดผ้าขนหนูมาคลุมหน้า หนาวสุด ๆๆๆ

ถ้าชุดพร้อมจะอยู่อีกสักชั่วโมง ตอนนี้ประมาณเจ็ดโมงเช้า พี่ผู้ช่วยผมเริ่มออกอาการย่ำแย่ ด้วยอากาศที่บางเบา ลมกระโชกแรง อุณหภูมิที่หนาวจัดและชุดที่ไม่พร้อม ถอดถุงมือมาอีกทีมือสีม่วงแล้วครับ ตัดสินใจไต่เขาลงจะดีกว่า เพราะก็ได้ภาพพอสมควรแล้ว อยู่ต่ออาจจะไม่ปลอดภัยต่อชีวิต โดยขาลงก็เดิน ไต่ หมอบ คลาน กลับตามทางเดิมที่ขึ้นมาเมื่อเช้ามืดนั่นแหละ

ตอนขึ้นเสียวเพราะมันมืด วังเวง ลมแรง ขาลงนี่เสียวกว่า เพราะเห็นความสูงลอดหว่างขาชัดเจน พวกเราต้องโรยตัวลงตามไหล่เขาและชะง่อนหิน แบบว่า สู้งสูง ๆๆๆๆ (ผมกลัวความสูงเป็นชีวิตจิตใจ อาศัยใจสู้ หน้าด้านก็ลุย ๆ ไปเพราะอยากได้รูป)

มันเหนื่อยสาหัสนะครับ

ลงมาได้พักหนึ่งก็มองย้อนกลับไปบนยอดคินาบาลู เหมือนความฝัน นี่ผมทำได้แล้วจริง ๆ ใช่มั๊ยเนี่ย

ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงจึงเดินลงจากยอดเขากลับถึงห้องพัก เพื่อเก็บกระเป๋าแล้วแบกสัมภาระทั้งหมดลงไปยังห้องอาหารเพื่อหม่ำมื้อสาย และจะเดินลุยป่าลงจากเขาต่อแบบ non stop มุ่งสู่ที่ทำการอุทยานฯ ต่อไป โบกมือลาบ้านพักหลังน้อยท่ามกลางขุนเขาของเรา

ถึงห้องอาหาร พวกเราคืนไฟฉายที่เช่ามาเมื่อวาน และทำการเช็กเอาท์ห้องพัก จากนั้นก็กินข้าว เมนูก็แบบเมื่อวานเปี๊ยบ แต่วันนี้มีขนมปังด้วย ค่อยยังชั่วหน่อย ก่อนที่เราจะเริ่มเดินทาง ผมแวะออกไปตรงระเบียงห้องอาหารเพื่อถ่ายมวลเมฆอีกสักครั้ง

นั่งจิบกาแฟ ริมขอบเมฆกันเลยจ้า
ข้อแตกต่างระหว่างขาขึ้นและขาลงในการเดินป่าและปีนเขา จะมีจุดที่สังเกตเห็นได้ชัดสอง-สามข้อนะครับ
ข้อแรก : ขาขึ้น หัวใจ ปอด กล้ามเนื้อน่อง และหน้าขาจะทำงานหนักหนาสาหัสมาก ขาจะปวด ฝ่าเท้าจะพอง หัวใจและปอดคุณจะเต้นโครมครามยิ่งกว่าจังหวะสามช่า ยิ่งถ้าไปปีนเขาที่อากาศบางเบาจะยิ่งเหนื่อยง่ายกว่าปกติ ประเมินกำลังและความฟิตกันไว้ให้รอบคอบด้วยนะครับ (คนแก่ก็มีขึ้นไปได้นะ แต่ขอให้ฟิตมาสักนิด เดินไปเรื่อย ๆ ก็ถึง) ยาดม กับพวกยาแก้ปวดจัดหนักรอได้เลย น้ำดื่มติดไปด้วย
ข้อสอง : ขาลงพระเอกของงานที่คุณต้องใช้ คือ หัวเข่า แต่เค้าจะมาพังก็ตอนนี้แหละ เดินไปเจ็บเข่าแปลบ ๆ ไป เพราะถ้าคุณขึ้นมาชัน ขาลงทางเดิมมันก็จะชันเช่นกัน ต้องใช้เข่าในการเบรกบ่อย ๆ ทำให้เข่าจะเดี้ยงและเจ็บมากในตอนนี้ ช่วงที่ผมเดินลงมาจนถึงกิโลเมตรที่สาม มือที่จับขาตั้งกล้องยันพื้น รู้สึกมันแฉะ ๆเหนียว ๆ คิดว่าเป็นเพราะยางไม้ที่หล่นใส่ จึงไม่สนใจนัก เดินต่ออย่างเดียว แต่มือมันเริ่มแฉะและเหนียวมากขึ้น เริ่มรำคาญเลยพลิกมือมาดู ให้ทายครับว่าเกิดอะไรขึ้น แผลที่โคนนิ้วนางมือขวาของผมที่ระวังมาตลอด...ฉีก !! เลือดไหลเป็นทางยาวจนแฉะหัวขาตั้งกล้องไปหมด โอเค...ต้องหยุดพักเพื่อทำแผลไปโดยปริยาย เอ้า เหนื่อยพอดีพักสักนิดก็ดีเหมือนกัน

ทำแผลเสร็จแบบง่าย ๆ ประมาณห้ามเลือดไปก่อน เริ่มเดินทางต่อดีกว่า ตอนนี้บ่ายสามแล้วเหลืออีกตั้งสามกิโลเมตร สู้ต่อไป ระหว่างทางเดินทางก็จะมีแฉะบ้าง แห้งบ้าง ชุ่มชื้นบ้างตามสภาพของป่าดิบเขา ขามาโครไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง พืชพรรณจิ๋ว แมลงตัวเล็ก ๆ เยอะแยะมากมายและหลากหลายมาก ถ่ายกันสามวัน

ใบไม้สีทอง


หนอนน้อยตัวนี้ตัวเล็กเท่าก้านไม้ขีด

ช่วงเดินลงนี่พวกเราไม่ค่อยได้ถ่ายอะไรมากนัก เพราะทั้งแบตฯ คน แบตฯ กล้องริบหรี่เต็มที ประกอบกับอากาศบางช่วงในป่าที่เดินก็มืดครึ้มลงเรื่อย ๆ ทำเวลาดูจะดีกว่า รูปสุดท้ายน่าจะเป็นรูปนี้

ช่วงกิโลเมตรที่สองลงไปกิโลเมตรที่หนึ่งเข่าผมและพี่ผู้ช่วยออกอาการหนักหน่วง ต้องวางกระเป๋าพักเป็นระยะ ๆ มันเดินไปเจ็บเข่าแปลบ ๆ ไป ช่วงนี้ทรมานมากครับ เรี่ยวแรงก็จะหมด เริ่มเดินเป๋ ๆ กันแล้ว
หลังจากกัดฟันกะเผลกตัวเองมานานหลายชั่วโมง ผมก็เดินมาถึง Tempohon Gate เมื่อเวลาห้าโมงเย็นสามสิบนาที (หลายคนที่ไทยคงกำลังเลิกงาน ส่วนผมก็เลิกเดินพอดี) พวกเรานั่งพัก ถอดรองเท้า ถุงเท้าออก เข้าใจคำว่า "ผู้ดีตีนแดง" ก็ตอนนี้ เท้าผมแดงเถือกอย่างกับลูกมะเขือเทศ ส่วนไกด์เราวิ่งขึ้น-ลงเขาได้สักสองรอบแล้วมั้ง นั่งดูดบุหรี่รอเราอยู่นานละ ฮ่า ๆๆ รู้นะว่ามารอค่าแรง จัดให้ครับ ผมทำการจ่ายเงินค่าลูกหาบทั้งขาไปและกลับเป็นราคาทั้งสิ้น 350 ริงกิต (ประมาณ 3,500 บาท) เมื่อพักกันจนหายหอบแล้ว อารมณ์และจิตใจเริ่มปกติ พูดคุยหยอกล้อและแสดงความยินดีกันอย่างสนุกสนานในหมู่นักปีนเขานานาชาติที่อยู่ข้าง ๆ กัน พวกเราทำสำเร็จแล้ว พิชิตยอดเขาที่นักปีนเขาทั่วโลกต้องมาเก็บพอร์ทได้อีกหนึ่งลูก ภูมิใจจริง ๆ ครับ
สักอึดใจบ๊อบบี้ก็มารับพวกเราลงไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติคินาบาลู เพื่อทำการรับใบประกาศนียบัตร ยืนยันการเป็นผู้พิชิตยอดเขาคินาบาลู เย้ เย้ เย้ !!! สวยงาม ชื่อ-นามสกุลชัดเจน บอกหมายเลขของตัวเองด้วยว่าเป็นคนที่เท่าไหร่ที่พิชิตยอดเขาแห่งนี้ได้ ของผมเป็นคนที่แสนกว่า ๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นคนไทยคนที่เท่าไหร่นะ เจ้าหน้าที่บอกคนไทยที่มาพิชิตที่นี่มีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งที่มาเยอะ (เดี๋ยวจะถ่ายใบประกาศนียบัตรมาอวด สารภาพว่าตอนนั้นลืมถ่าย เพราะนั่งลิ้นห้อยอยู่หน้าที่ทำการ ฮ่า ๆๆ)
จากนั้นบ๊อบบี้พาเราไปกินมื้อเกือบเย็นที่ร้านอาหารของที่ทำการ สั่งง่าย ๆ ครับ ข้าวผัดอะไรสักอย่าง กับต้มอะไรสักอย่างคล้าย ๆ ต้มยำ แต่ของบ้านเราอร่อยกว่าเยอะ แล้วก็โค้กอีกหนึ่งกระป๋อง เป็นอีกมื้อที่ผมและพี่ผู้ช่วยต้องรับประทานขี้ฟันตัวเอง เพราะไม่ได้อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ครบ 2 วันพอดี แบคทีเรียเต็มช่องปาก ฮ่า ๆๆ โบกมือในใจ อำลายอดเขาคินาบาลู มีโอกาสอีกครั้งจะหาทางมาค้างสักสองคืน จะตามเก็บดาวและทางช้างเผือกอีกครั้ง (คิดถึงเรื่องนี้ทีไร เสียใจทุกที)
พวกเราเดินทางออกจากอุทยาน เมื่อเวลาประมาณ หกโมงเย็นกับอีกสามสิบนาที เพื่อกลับไปเช็กอินที่โรงแรมเดิมที่เคยพักในวันแรกในเมือง Kota Kinabalu อีกเกือบ ๆ สองชั่วโมงกว่าจะถึง ของีบก่อนละครับ คร่อก…ฟี้ zzzz
ผมตื่นมาอีกทีท้องฟ้ามืดสนิทไปแล้ว และพวกเราก็เข้ามาอยู่ตัวเมืองเรียบร้อย อีกสักพักก็ถึงโรงแรมแล้ว เฮ้อ ขาตึงมาก ๆ จะได้นอนแช่น้ำอุ่น ๆ คลายเส้นสักที ถึงโรงแรมปุ๊บเดินเช็กอินแบบเมื่อยล้า กะเผลก ๆ บอกลากับบ๊อบบี้ พรุ่งนี้พอมีเวลาเหลืออีกวันหนึ่งก่อนที่จะกลับเมืองไทย จะแวะไปหาถ่ายแสงตอนเช้า ๆและนั่งรถเล่นรอบเมืองสักรอบ ไปชมหมู่บ้านวัฒนธรรม Mari Mari พวกเรานัดกับบ๊อบบี้ไว้ตอนตีห้า รู้สึกตัวเองเป็นช่างภาพคิวแน่น คิวทองยอดมงกุฎ คิวเบียด ทรมานสังขารเหมือนกันนะเนี่ย ยังไม่ได้นอนเต็มที่สักวันเลยครับ เดินถึงห้องสิ่งแรกที่ทำ คือ ชาร์จแบตฯ อุปกรณ์ทุกอย่างที่มี จัดเตรียมของที่จะนำไปถ่ายวันพรุ่งนี้ จากนั้นจะเป็นการอาบน้ำและแปรงฟันของพวกผมที่พิถีพิถันที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตลูกผู้ชาย…หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ขอดื่มน้ำหนึ่งขวดและอัดยาแก้ปวดเมื่อยและทำแผลที่นิ้ว จากนั้น…สลบเหมือด Shut Down แบบทันทีทันใด
วันที่สี่ ตีห้าเสียงนาฬิกาปลุก งัวเงีย สลึมสลือ เพลีย เมื่อย มาหมดครับ ร้าวทั้งร่าง ตื่นไปอาบน้ำเตรียมตัวลุยเมือง Kota Kinabalu อีกหนึ่งวัน โดยมีจุดหมายหลักอยู่ที่ หมู่บ้านวัฒนธรรม Mari Mari แต่ช่วงเช้าเราจะไปรอยลแสงยามเช้าแถว ๆ นอกเมืองก่อน บ๊อบบี้มารอรับเราเรียบร้อย ขึ้นรถเสร็จก็บึ่งแบบเร่งด่วน ประมาณครึ่งชั่วโมง บ๊อบบี้พาผมมาจอดที่ตีนสะพานแห่งหนึ่ง เดินขึ้นสะพาน โอ้ว...ที่นี่มุมสวยจริง ๆ ที่สำคัญเห็นยอดเขาคินาบาลูไกล ๆ ด้วย ต้องขอบคุณบ๊อบบี้ที่พามา

ผมไปเหยียบมาแล้ว ยอดแหลม ๆ นั่นน่ะ มันคุยได้สนุก คุยอีก 10 ปี ก็คุยได้ตลอด ฮ่า ๆๆๆ

การเคลื่อนไหวบนสายน้ำ แสงที่ส่องฉาบขุนเขา และเมฆหมอก...เช้าวันใหม่เริ่มขึ้นแล้ว

ผมถ่ายอยู่ที่นี่ประมาณเกือบ ๆ ชั่วโมง ได้รูปพอสมควรจึงเดินทางกลับเข้าไปหาอะไรดูต่อในเมือง แวะไปเรื่อย ๆ ระหว่างทาง มัสยิดที่นี่สวยมากครับ



ขับเข้ามาดูชีวิตคนในเมือง Kota Kinabalu ซึ่งเมืองนี้จะอยู่ในรัฐซาบาห์ บนเกาะบอร์เนียว ประเทศมาเลเซีย ที่นี่จะมีผู้คนที่มีเชื้อสายแตกต่างกันมากถึง 32 ชนเผ่า อยู่ร่วมกัน และในอดีตที่นี่ก็เต็มไปด้วยชนเผ่าที่เป็นนักล่าหัวมนุษย์ แต่ปัจจุบันเค้าไม่ได้ล่ากันแล้วนะครับ หมดไปเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมาแล้วล่ะ สิ่งที่พึงระวังในการสนทนากับผู้คนที่นี่ คือ ห้ามถามเรื่องศาสนาและถามเรื่องชนเผ่าของเค้า เพราะอาจจะกลายเป็นเรื่องกระทบกระทั่งระหว่างเชื้อชาติของแต่ละชนเผ่าได้ อันนี้ทางบ๊อบบี้แจ้งมาว่าห้ามขาด คนที่นี่เค้าไม่คุยกันเรื่องพวกนี้ ส่วนใครอยากจะรู้ที่มาที่ไปของแต่ละชนเผ่า ให้ไปดูที่หมู่บ้านวัฒนธรรม มาริ มาริ (Mari Mari Cultural Village) ที่ผมกำลังจะไปก็ได้นะครับ
อัตราค่าเข้า Mari Mari Village ถ้าหารถไปเอง ผู้ใหญ่ 80 ริงกิต เด็ก 70 ริงกิต ถ้าจองผ่านบริษัททัวร์ รวมรถรับ-ส่ง ผู้ใหญ่ 140 ริงกิต เด็ก 5-11 ปี 110 ริงกิต (รวมอาหารรอบกลางวันแบบบุฟเฟ่ต์)
หมู่บ้านวัฒนธรรมแห่งนี้ที่ได้จำลองวิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมืองไว้ถึง3 ชนเผ่า คือ เผ่า Dusun, เผ่า Lundayeh และชนเผ่า Bajau ซึ่งได้อาศัยอยู่บนยอดเขาคินาบาลูนั้นเอง ชมการแสดงที่สมจริง เช่น การจุดไฟด้วยกระบอกไม้ไผ่, การประกอบอาหารพื้นบ้าน, การเป่าลูกดอกสำหรับล่าสัตว์, วิธีการทำเชือกและเสื้อผ้าด้วยเปลือกไม้ และพิธีการต้อนรับผู้มาเยือนของชนเผ่า Bajau ที่ตื่นใจ ชมภายในบ้านของเผ่าล่าหัวมนุษย์ ที่ตรงกลางลานบ้านของเขาจะมีแผ่นไม้ใหญ่ ๆ ไว้ร้องรำทำเพลงที่สามารถทำหน้าที่คล้าย ๆ กับเป็นสปริงไม้ ซึ่งพวกเขาจะกระโดดขึ้นไปแตะเครื่องรางบนเพดานบ้านที่สูงมาก
บ้านชาวเผ่านักล่าหัวในอดีต

ชุดนักรบของเผ่า

มาดูวิธีการทำชุดจากเปลือกไม้แบบดั้งเดิม
ความจริงเกี่ยวกับชนเผ่าล่าหัวมนุษย์บนเกาะบอร์เนียว การล่าหัวเมื่อสมัยก่อนนั้นจะกระทำกับชนเผ่าที่เป็นศัตรูเมื่อมีการรบหรือโดนบุกรุกเท่านั้น และการนำกะโหลกที่ล่ามาได้มาแขวนไว้รอบหมู่บ้านหรือในบ้าน ก็เพื่อแสดงถึงการข่มขู่ผู้ที่จะมารุกรานให้หวาดกลัว อีกนัยหนึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงถึงการปกป้องครอบครัว และบุคคลอันเป็นที่รักได้ของชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวอีกด้วย

เมนูชาวเผ่า คล้าย ๆ ข้าวแช่บ้านเรา

อันนี้อร่อยนะ คล้าย ๆ ข้าวหลาม แต่ไม่ได้เผาขนาดข้าวหลาม ประมาณหุงข้าวใส่เครื่องต่าง ๆ ในกระบอกไม้ไผ่

เปลสะพายเด็ก ประดับด้วยลูกปัด ลวดลายสื่อถึงการขับไล่ภูตผีไม่ให้มากล้ำกราย

ภายในบ้านชาวเผ่าพื้นเมืองเวลามีงานฉลองจะประดับประดาประมาณนี้ หากสังเกตจะเห็นบันไดเล็ก ๆ ด้านขวา ซึ่งจะให้ลูกสาวของบ้านขึ้นไปนอนด้านบน แล้วคนเป็นพ่อแม่จะดึงบันไดออก เพื่อกันลูกสาวหนีเที่ยวกลางคืน (เค้าบอกมาแบบนี้จริง ๆ นะ)

ผมขอลองอาวุธลอบสังหาร ลูกดอกอาบยาพิษ ยิงได้ง่ายและแม่นเหมือนจับวาง

สาวน้อยแอบมองผม อิอิ

ชมการแสดงพื้นเมือง

เคยเห็นมั๊ยครับ การละเล่นประมาณลาวกระทบไม้ของไทย (แต่ของเค้า Hadcore มาก)

เวลาประมาณสี่โมงเย็นเสร็จจากการเที่ยวชมหมู่บ้านวัฒนธรรม Mari Mari ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ ถ่ายภาพหมู่เพื่อเป็นที่ระลึก

จากนั้นพวกเรามุ่งหน้ากลับเข้าตัวเมือง Kota Kinabalu เพื่อนั่งรถเล่นรอบเมืองดูบ้านเมืองอีกนิด ตอนค่ำ ๆ แวะมาจัดมื้อเย็น ที่ร้านนี้ครับบักกุ๊ดเต๋ที่อร่อยและดังที่สุดในเมือง Kota Kinabalu


ผมลองชิมดูอร่อยจริง ๆ ครับ ดูจะเป็นอาหารที่ผมกินในมาเลเซียแล้วกินได้มากกว่าทุกมื้อที่ผ่านมา ราคาไม่ได้แพงอะไร 6 ริงกิต 9 ริงกิต ซัดซะเกลี้ยงชามทีเดียว



วันที่ห้า ตื่นนอนสาย ๆ ลุกมาประมาณแปดโมงเช้า นอนเต็มอิ่ม หลังจากสี่วันที่ผ่านมาใช้ร่างกายอย่างหนัก ค่อยสดชื่นขึ้นมานิดนึง ลงมากินข้าวที่ห้องอาหารของโรงแรม และเช็กเอาท์ตอนสิบโมงครึ่ง แวะไปซื้อของที่ระลึกและเลยไปสนามบินโกตา คินาบาลู เพื่อเดินทางไปยังกัวลาลัมเปอร์ในไฟล์ทบ่าย

ทริปนี้ผมได้เสื้อยืดมาสามตัว ส่วนพี่ผู้ช่วยผมหอบเต็ม ไม่รู้ซื้อไปฝากสาวที่ไหนบ้าง ผมไม่มีสาว ๆ ให้ฝากก็ซื้อไปใส่เองนี่แหละ จากนั้นบ๊อบบี้พาเราไปส่งที่สนามบิน โบกมือลากันเรียบร้อย พวกเราก็ขนสัมภาระเพื่อเช็กอินรอเวลาขึ้นเครื่อง วันนี้ได้เจอแอร์คนสวยรอส่งผมกลับ KL

สนามบินที่ Kota Kinabalu ก็สวยดีครับ เป็นระเบียบดี



เดินทางถึงกัวลาลัมเปอร์ประมาณเกือบ ๆ สี่โมงเย็น ต้องรีบวิ่งไปเช็กอินเครื่องที่จะบินต่อกลับสุวรรณภูมิอย่างเร่งด่วน
เช็กอินเรียบร้อย เราจะบินกลับกรุงเทพฯ เวลาห้าโมงเย็นห้าสิบนาที ถึงไทยน่าจะราว ๆ สองทุ่ม เดินเล่นได้อีกนิด ถ่ายสนามบิน KLIA1 แวะซื้อของอีกแป๊บ พวกเราต้องโบกมือลามาเลเซียอย่างจริงจังแล้วละครับ Bye Bye Malaysia

ในการเยือนยอดเขาคินาบาลูครั้งนี้ ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นการเดินป่าที่เสี่ยงและเสียวที่สุดสำหรับช่างภาพที่กลัวความสูงจนขึ้นสมองอย่างผม แต่เมื่อผ่านมาได้แล้วผมประทับใจมากที่สุดในชีวิตอีกทริปหนึ่ง ที่ได้ไปเดิน ไปชม ไปสัมผัสแบบใกล้ชิดในที่ที่น้อยคนในโลกจะได้ไปเยือนอีกที่หนึ่ง ได้พิสูจน์ขีดจำกัดของร่างกายและจิตใจตนเอง มันเหนื่อย ทรมานแต่ก็สนุก สุข และน่าภูมิใจนัก "ใจถึงก็ไปถึง ผมทำได้ คุณก็ทำได้เช่นกัน"
การเดินทางมุ่งหน้าสู่ยอดเขาคินาบาลูนั้น คุณผู้อ่านจะต้องเตรียมจองห้องพักบนเขาล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน ถ้าจะให้ชัวร์สุดควรล่วงหน้า 6 เดือน กันเลยทีเดียว เพราะที่นี่จะจำกัดจำนวนยอดคนที่จะมาพัก และสถานที่บริการมีค่อนข้างจำกัด เพราะต้องรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก จะมาจองล่วงหน้าสองวีคหรือเดินดุ่ม ๆ ไปหาห้องพักเอาข้างหน้าเหมือนบ้านเรานั้น จะเป็นไปไม่ได้เลย เค้ามีระบบการจัดการเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติที่ดีมาก ๆ ดีกว่าบ้านเราเยอะ อันนี้ต้องยอมรับ หลังจากจองที่พักบนเขาได้แล้วค่อยมองหาตั๋วเครื่องบินที่จะเดินทางไปอีกที จากนั้นก็เช็กและเตรียมการเดินทางระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ Kota Kinabalu ไม่ว่าจะเรื่องรถโดยสาร ตลาด โรงแรม อาหารการกิน ถ้าจะเอาสะดวกหน่อยก็ติดต่อบริษัททัวร์ไว้ก็ดีครับ เค้าจะมีรถมารับส่งเราจากสนามบิน Koata Kinabalu Airport-Kinabalu National Park ไปหลายคนหารกันก็ไม่เท่าไหร่ครับ เก็บแรงไว้ลุยบนเขาดีกว่า แต่ถ้าเวลาเยอะอยากแบกเป้ตะลุยไปเรื่อย ๆ หรือลงจากเขาเสร็จจะไปดำน้ำ เดินเล่นในเมืองต่อแบบชิล ๆ ก็แล้วแต่สะดวกละครับ
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
- การท่องเที่ยวมาเลเซีย สำนักงานประเทศไทย เลขที่ 1-7 ถนนสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 02-6363380-3 หรือ www.tourismmalaysia.gov.my
- EXOTIC ADVENTURE Sabah, Borneo, Malaysia Web : www.exotic-adventure.com Email : info@exotic-adventure.com
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามมาจนถึงบรรทัดนี้นะครับ สามารถติดตามผมเพิ่มเติมได้ที่เพจ Big Stopper / Travel Photography ตามลิงก์นี้ครับ www.facebook.com/numfotoGallery ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบ...ผมรักพวกคุณนะ ^_^ จากใจ BigStopper
ลาไปด้วยภาพนี้ครับ แสงสุดท้ายริมหมู่บ้านประมง ในเมือง Kota Kinabalu

เครื่องหมายรับรองว่าคุณได้ผ่านหลักสูตรเรียบร้อยโรงเรียน Kinabalu นะครับ ฮ่า ๆๆ (เตรียมเอาไปใส่กรอบแขวนฝาบ้านได้)
