
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ M_FuNksTeR สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
หลังจากที่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ หรือที่เราเรียกสั้น ๆ ว่า พม่า ได้เปิดประเทศอย่างเป็นทางการ ก็ดูเหมือนมีนักเดินทางมากหน้าหลายตาแวะเวียนไปสัมผัสกับสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ กันอย่างคึกคัก เหมือนกับบันทึกการเดินทางของ คุณ M_FuNksTeR สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้ไปเที่ยวพม่า ท่องมัณฑะเลย์ เมืองศูนย์กลางการค้าทางตอนเหนือของพม่า เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน ซึ่งจะมีอะไรน่าสนใจ และจะพบกับความแปลกใหม่อะไรบ้างนั้น ก็ลองตามบันทึกการเดินทางที่มาพร้อมกับภาพถ่ายสวย ๆ ไปกันเลยจ้า
+++++++++++++++++++++++++
มิงกะลาบา ^___^
ทริปนี้อยากจะเชิญเพื่อน ๆ ไปรับลมร้อนและเห็นมัณฑะเลย์ผ่านมุมมองของเรา เผื่อเป็น idea สำหรับใครที่กำลังหาที่เที่ยวระยะใกล้ หรืออยู่ระหว่างตัดสินใจว่าเอ๊ะ ! พม่าจะดีเหรอ...อย่าได้รีรอค่ะ แพ็กกระเป๋าแล้วออกเดินทางกันนะคะ
หมายเหตุ : การเดินทางของเราอาจไม่เน้นประหยัด แต่เน้นสะดวกสบาย กินอิ่ม นอนหลับ ถ้าใครชอบแนวนี้ ลอกทริปได้เลยนะคะ
รายละเอียด
ช่วงเวลาเดินทาง : 5-8 เมษายน 2557 (3 คืน 4 วัน) ไปกัน 2 คนค่ะ
สายการบิน : Bangkok Airways โปรฯ อั่งเปา ราคาไปกลับ 5,100 บาท
วีซ่า : วีซ่าท่องเที่ยวปกติ 810 บาท (รายละเอียดค่อนข้างหาง่าย เราขอข้ามนะคะ)
ที่พัก : Hotel Yadanarbon ที่ตั้ง No.125,31st St, Between 76th & 77th St
ราคาห้องพัก 3 คืน 4,400 บาท (จองผ่าน Agoda)
Pocket Money : เราใช้ไปประมาณ USD 200 ค่ะ
ค่าใช้จ่ายรวมตลอดทั้งทริปต่อคน : 14,000 บาท
ถ้าพร้อมแล้ว...ก็ไปกันเลยยยย...

รายละเอียดการเดินทางค่ะ


การเดินทางเข้าเมือง (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง)
Private Taxi : 12,000 Kyat
Share Taxi : 4,000 Kyat / ต่อคน (นั่ง 4 คน)
ป.ล. taxi ทั้ง 2 แบบไม่เปิดแอร์นะคะ
ก่อนออกจากสนามบินแวะแลกเงินที่ counter ธนาคารไหนก็ได้ที่เปิดค่ะ เรทที่สนามบิน 1 USD = 980 Kyat
ออกจากสนามบินปั๊บ สายลมร้อนก็แวะมาทักทายกันเลยทีเดียว...ร้อนจริงจังค่ะ มาถึงโรงแรมราว ๆ 15.30 น. แต่ลืมถ่ายรูปห้องพักมา แหะ ๆ รูปนี้ถ่ายตอนกลางคืนละค่ะ

แผนคร่าว ๆ วันแรกตั้งใจว่าจะไปเที่ยวพระราชวังมัณฑะเลย์ และวัดใกล้ ๆ แต่มีเหตุให้แผนล่มเพราะน้องพนักงานโรงแรมบอกว่าพระราชวังปิด 16.30 น. เราเลยเปลี่ยนแผนไปเดินเที่ยวชมเมืองกัน โรงแรมที่เราอยู่สามารถเดินไปเที่ยวห้าง Diamond Plaza ได้ในระยะ 2 blocks ส่วนรอบ ๆ โรงแรมเป็นย่านชุมชนที่สามารถเดินสำรวจชีวิตชาวมัณฑะเลย์ได้ง่าย ๆ ค่ะ
รูปนี้ถ่ายหน้าโรงแรม


แผนเที่ยววันต่อมา เราเช่ารถจากที่โรงแรมซึ่งจะมีโปรแกรมให้เลือกไปตามอัธยาศัย สะดวกมาก ๆ ค่ะ โปรแกรมที่เลือกวันนี้จะไปเที่ยว 3 เมือง คือ อมรปุระ สกายน์ และอังวะ และกลับมาดูพระอาทิตย์ตกที่สะพานอูเบ็ง ค่าทริปวันนี้ USD 45 นะคะ


08.00 น. ออกเดินทางไปอมรปุระเป็นที่แรก พี่คนขับ drop เราที่สะพานอูเบ็ง โดยให้เราเดินข้ามสะพานไปเที่ยวเจดีย์เจ๊าตอจีฝั่งตรงข้าม และนัดเวลาว่าให้เดินข้ามกลับมาเจอแกตอน 10.15 น. สะพานยาวกว่า 1 กิโลเมตร เดินไปกลับใช้เวลาอยู่เหมือนกันแต่โชคดีที่วันนี้ฟ้าครึ้ม อากาศไม่ร้อน กลาง ๆ สะพานมีลมพัดเย็นสบาย ไปชมวีถีคนพม่ากันนะคะ
ขายปูทอดกันเยอะเลย...แต่รีบเลยไม่ทันได้ชิมค่ะ

ส่วนการเทินของบนศีรษะ...มีให้เห็นเป็นเรื่องปกติ

เราข้ามสะพานไม้อูเบ็งกลับมาตามเวลาที่นัดไว้...พี่คนขับแกพาไปเที่ยวต่อที่วัด Maha Gandayon ซึ่งเป็นวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดของพม่า วัดนี้อยู่ใกล้สะพานไม้อูเบ็งมาก ๆ ค่ะ ช่วงเวลาที่ไปถึงพระกำลังตั้งแถวเพื่อรอฉันเพลพอดี เรามีโอกาสได้เข้าไปดูโรงครัวที่ทำอาหารเลี้ยงพระและเณรกว่า 1,000 รูป เราไม่ได้ถ่ายรูปตรงนี้เยอะนัก เพราะรู้สึกเกรงใจพระที่ยืนเข้าแถวอยู่ กลัวจะไปรบกวนท่าน ^^ เลยถ่ายมาใบสองใบ

ในโรงครัวค่ะ

พ่อครัวของวัดกำลังทำอาหารอยู่พอดี

พระเริ่มมาตั้งแถวกันแล้วค่ะ

จากวัด Maha Gandayon พี่คนขับพาเราไปชมโรงทอผ้าที่ใช้ในราชสำนักมัณฑะเลย์ เรียกว่า ผ้าดุลยา การทอผ้าแบบนี้ใช้กระสวยมากกว่า 100 กระสวยเลยค่ะ ราคาก็ไม่เบาเช่นกัน

จากนั้นเราไปต่อกันที่เมืองสกายน์ แต่ละเมืองอยู่ไม่ไกลกันนัก เราไปถึงเมืองสกายน์ราว 11 โมง ที่เที่ยวที่ไปก็ตามนี้ค่ะ
kuangmudaw pagoda

รอบเจดีย์มีร้านขาย Thanaka เยอะมากกกกก คนพม่าจะใช้ท่อนไม้ทานาคาฝนกับแผ่นหิน ผสมด้วยน้ำเล็กน้อย หลังจากนั้นก็จะเอามาพอกทั่วใบหน้า ว่ากันว่าช่วยกันแดดและทำให้ผิวเนียนสวยค่ะ

แล้วไปต่อกันที่ Saging Hill ที่นี่คนพม่ามาเที่ยวกันเยอะเลย เราเลยได้เห็นวิถีการโดยสารรถของเขาค่ะ

รถโดยสารพระก็แน่นไม่แพ้กัน...

จากเมืองสกายน์ ก็เกือบบ่ายโมงแล้ว เราตัดสินใจไปทานกลางวันที่เมืองอังวะ ซึ่งเป็นเมืองสุดท้ายที่จะเที่ยวกันวันนี้

คนขับรถไปส่งเราที่ท่าเรือข้ามฟาก เสียค่าเรือไปกลับคนละ 800 Kyat ข้ามไปแล้วจะมีร้านอาหารอยู่ 2-3 ร้าน แต่พี่คนขับแกแนะนำให้ทานร้าน AVA Small River Restaurant ซึ่งรสชาติอาหารใช้ได้เลยค่ะ
หลังอาหารกลางวัน เราต้องโดยสารรถม้าเที่ยวชมเมืองอังวะกันต่อ ค่ารถม้า 1 ชั่วโมง แวะ 4 จุด ราคา 6,000 Kyat ถ้าเกินก็จ่ายเพิ่มอีก 3,000 Kyat ซึ่งเรารู้สึกว่าไม่แพงเลยจริง ๆ กับประสบการณ์ที่ได้รับ คนพม่าสุภาพมากและนิสัยดีค่ะ
Bagaya Kyaung ● Inwa

หน้าต่างไม้แกะสลัก

เด็กน้อยที่เราเจอที่นี่

ลวดลายที่แกะบนไม้

จุดสุดท้าย คือ Maha Aungmye Bonzan สวยมากเช่นกัน

จากเมืองอังวะ เราจะไปที่สะพานไม้อูเบ็งอีกรอบ เพื่อรอพระอาทิตย์ตกกัน ที่นี่เราเช่าเรือพายเพื่อให้ได้วิวสะพานในมุมที่ต่างออกไปค่ะ ค่าเรือ 7,000 Kyat คุ้มอีกเช่นกัน เพราะคุณลุงคนพายเรือแกพายพาเราออกไปนานกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง จนเราต้องร้องขอกลับค่ะ ฮ่า ๆ ๆ

คุณลุงฝีพายของเรา แกคอยหามุมให้ถ่ายรูปตลอดเวลา



ตะวันใกล้ตกแล้วค่ะ ณ จุดนี้ ตัวก็เกรียมได้ที่พอดี



ส่วนค่าเรือถ้าเป็น private boat เหมาลำแบบเรือออกทันทีก็ 30,000 Kyat แต่ถ้ารอ share boat ที่จะออกรอบ 09.00 น. ก็คิดคนละ 5,000 Kyat เท่านั้นค่ะ หลังจากซื้อตั๋วเรือเรียบร้อย เราก็มีเวลาไปสัมผัสชีวิตชาวมัณฑะเลย์แถว ๆ ท่าเรือกัน ระหว่างรอเรือออก
ท่าเรือนี้จะมีเรือโดยสารของชาวมัณฑะเลย์ที่ขนของไปขายด้วย แต่เราไม่รู้นะว่าเค้าข้ามไปไหนกัน



09.00 น. ก็ได้เวลาเรือออก ลักษณะและขนาดเรือก็คล้าย ๆ เรือที่ข้ามไปเกาะเสม็ด บนเรือจะมีเก้าอี้ผ้าใบให้นอนเอนชิล ๆ ไประหว่างการเดินทาง
คนนี้หนุ่มน้อยเก้าอี้ข้าง ๆ ในเรือค่ะ

ประมาณ 10 โมง เราก็เดินทางมาถึงมิงกุน วันนี้อากาศร้อนแบบไร้ความปรานีใด ๆ หลังขึ้นฝั่งก็จะมีเหล่าตุ๊กตุ๊กที่มีหน้าตาเหมือนสองแถวย่อส่วนมารุมล้อมพวกเราค่ะ ต่อรองกันไปได้ราคาที่ 5,000 Kyat ไปและกลับ ซึ่งเราก็ไปแจมกับคนไทยอีกคู่หนึ่งที่เจอกันบนเรือ ระยะทางจากท่าเรือไปถึงเจดีย์มิงกุนไม่ไกล สามารถเดินได้สบาย ๆ แต่อุณหภูมิวันนี้คงไม่เหมาะที่จะเดินไปนะคะ เดี๋ยวจะพาลหมดแรงเที่ยวกันซะก่อน...อ้อ ขึ้นรถมาจะมีเด็กพม่าขึ้นมาประกบพวกเราด้วย เสนอบริการ private guide ถึงแม้เราจะบอกว่าไม่เอา ก็ยังตามติดหนึบค่ะ ประมาณว่าหักคอกันเลยทีเดียว แต่เราว่าก็ไม่เลวร้ายนะคะ น้องเค้าก็ไม่ได้สร้างความรำคาญให้เลย บางช่วงก็ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากเค้า รวมถึงมุมถ่ายรูปเด็ด ๆ ด้วย
เวลา 3 ชั่วโมงในมิงกุน สบายเหลือ ๆ เลยค่ะ....let\'s go !!!

ทัชมาฮาลแห่งลุ่มน้ำอิระวดี...สวยมากกกกก (มุมนี้น้องไกด์จัดให้)

ซากสิงห์เฝ้าเจดีย์ที่แทบดูไม่ออกว่าเป็นสิงห์แล้ว ^^ ในเมืองมิงกุนนอกจากรถสองแถวย่อส่วนแล้ว นักท่องเที่ยวสามารถเลือกนั่งเกวียนชมเมืองก็ได้นะคะ แต่เราว่าออกจะลำบากไปสักนิดเพราะต้องนั่งขัดสมาธิไป อันนี้ก็แล้วแต่ค่ะ

หลังจากเที่ยวชมสถานที่ในมิงกุนจนครบ ทั้งเจดีย์มิงกุน ระฆังยักษ์ รวมถึงทัชมาฮาลแห่งอิระวดีแล้ว เวลาขณะนี้ก็ใกล้ ๆ เที่ยง ตัวแทบไหม้ค่ะ ร้อนมากจริง ๆ น้องไกด์พามาร้านกินข้าวข้างทางเพื่อกินกลางวันก่อนกลับไปขึ้นเรือตอน 13.00 น. อาหารแถวนี้ก็กินกันตายค่ะ อย่าไปคาดหวังอะไรนัก แยกย้ายกับไกด์ ก็ให้ตังค์น้องไกด์ไปกินขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นสินน้ำใจค่ะ
ออกจากมิงกุน 13.00 น. เราหลับมาตลอดทางเพราะเพลียแดดมาก มาถึงท่าก็ราว ๆ 14.00 น. พี่คนขับมารออยู่แล้ว มีน้ำเย็นรอต้อนรับด้วย ขึ้นรถแล้วก็เริ่มเที่ยวกันต่อในเมืองมัณฑะเลย์เลย
เริ่มกันที่แรก Shwe in Bin ค่ะ ไม้แกะสลักสวยงามมาก







เราใช้เวลาแต่ละที่ไม่นานค่ะ เพราะอากาศช่างร้อนเอาจริงจัง เราไปต่อกันที่ Kuthodaw (วัดกุโสดอร์) ที่มีการจารึกพระไตรปิฎกไว้บนแผ่นหินอ่อน 729 แผ่น ที่มีสถูปครอบอยู่ วัดนี้สวยงามเช่นกัน รู้สึกได้เลยว่าคนพม่ามีศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ต่อพุทธศาสนาจริง ๆ มาที่นี่บางทีต้องถอดรองเท้าตั้งแต่ลงจากรถกันเลยค่ะ เท้างี้ดำปิ๊ดกลับโรงแรมทุกวัน แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำในการเดินหลบน้ำหมากที่คนพม่าบ้วน ๆ ไว้ตามพื้นค่ะ 555


พระไตรปิฎกภาษาพม่าที่จารึกบนแผ่นหินอ่อน

เจดีย์กุโสดอร์

ต้นพิกุลยักษ์ค่ะ

จากนั้นไปต่อที่ Santamuni Temple ซึ่งอยู่ติด ๆ กัน ช่วยน้องเขาซื้อดอกไม้ไหว้พระกันนิดนึง


จากนั้นก็ไปพระราชวังมัณฑะเลย์ค่ะ พระราชวังมุมสูงถ่ายจากหอคอย

หอคอยสีแดงที่ว่า กว่าจะขึ้นไปถึงเล่นเอาหอบเหมือนกัน

ส่วนตัวแล้วเราไม่ประทับใจพระราชวังมัณฑะเลย์เท่าไหร่ รู้สึกว่ามันปลอมมาก เพราะสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด และแทบไม่มีอะไรให้ดู นอกจากจินตนาการถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตค่ะ เสียดายที่พระราชวังถูกระเบิดสมัยสงครามจนไฟไหม้ทั้งหมด เหลือก็แต่ชเวนันดอร์เท่านั้น
จากนั้นก่อนที่เราจะขึ้นไปบน Mandalay Hill ก็แวะสักการะหลวงพ่อหยกขาวที่วัดตอจี ซึ่งอยู่แถว ๆ ทางขึ้น Mandalay Hill นะคะ

ครอบครัวแมวในวัดค่ะ

ส่วนตรงสิงห์สองตัวที่เห็น คือ บันไดทางขึ้น Mandalay Hill แต่...อากาศร้อน ๆ แบบนี้คงไม่ไหว ให้ราชรถพาขึ้นไปเกยจะดีกว่าค่ะ ฮ่า ๆ

ส่วนตัวเราว่าบน Mandalay Hill ก็ไม่มีอะไรมากนัก ขึ้นไปชมวิวเมืองมัณฑะเลย์จากมุมสูง ซึ่งมองลงมาก็ไม่ค่อยเห็นอะไร ด้านบนก็อารมณ์ประมาณดอยสุเทพนะคะ แต่ดอยสุเทพของเราจะสวยกว่า....
เหนื่อยมาทั้งวันแล้ววันนี้ขอไปทานข้าวเย็นเลยดีกว่า มาพม่าต้องจัดกุ้งเผาค่ะ ราคาตัวละ 2,000 Kyat หรือ 60 บาทเท่านั้น

เมื่อวานเราไปทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารไทย "ต้มยำกุ้ง ๒" วันนี้เลยมาลองอีกร้านคือ "Ko\'s Kitchen" ส่วนตัวเราชอบร้านต้มยำกุ้งมากกว่านะ

หลังทานข้าวเสร็จ เราให้พี่คนขับ drop เรากับเพื่อนที่ Diamond Plaza เดินเล่นก่อนกลับโรงแรมค่ะ...วันนี้รีบอาบน้ำ พักผ่อนเพราะพรุ่งนี้ก่อนกลับเราจะไปร่วมพิธีล้างพระพักตร์มหามุนีกันเพื่อความเป็นสิริมงคล
03.45 น. กับโปรแกรมวันสุดท้ายก่อนปิดทริป อย่างที่บอกว่าวันนี้เราจะไปร่วมพิธีล้างพระพักตร์พระมหามุนีกัน...ไปถึงวัดตี 4 คนแน่นแล้ว บรรยากาศคึกคักและรู้สึกได้ถึงความขลังค่ะ คนพม่ามีศรัทธาที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ นับถือตรงนี้...เราคิดว่าโปรแกรมนี้เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่ไม่ควรพลาดเลยนะคะ ถือเป็นสิริมงคลก่อนกลับบ้าน ^^ และหวังว่าเพื่อน ๆ ที่เข้ามาอ่านจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการเที่ยวมัณฑะเลย์ไม่มากก็น้อย...และเราหวังว่ามัณฑะเลย์จะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับเพื่อน ๆ ค่ะ การไปครั้งนี้ของเราถือเป็นการเปลี่ยนทัศนคติเดิมที่เคยมีกับประเทศพม่า อย่างที่บอกว่าต้องไปสัมผัสเองเท่านั้น และได้ข้อสรุปอีกอย่างว่าคนพม่าน่ารักมากค่ะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบค่ะ...มิงกะลาบา


