เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Nai Ron Ram สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
“ประเทศไทย” มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มากมาย อีกทั้งยังงดงามติดอันดับโลกก็มีเพียบ โดยเฉพาะกับท้องทะเลสวย ๆ น้ำใส ๆ หาดทรายขาวละเอียดเนียนนุ่มเท้า จึงไม่แปลกเลยที่จะเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และเพื่อเป็นการการันตีความงามของทะเลไทย ก็ตามบันทึกการเดินทางท่องทะเลทั่วไทย ที่มาพร้อมกับภาพถ่ายสวย ๆ ของ คุณ Nai Ron Ram สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม จากเรื่องราวที่ได้มีโอกาสไปพบเจอกับความประทับใจต่าง ๆ มาบอกเล่าผ่านภาพถ่ายและตัวหนังสือ ให้เรารู้ว่าเมืองไทยยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเจ๋ง ๆ อีกเพียบ ถ้าไม่ออกเดินทางไปค้นหาก็ไม่มีทางได้พบเจอ ^__^
++++++++++++++++++
ห้าปีที่แล้ว ผมได้เริ่มต้นเที่ยวทะเลไทยอย่างจริง ๆ จัง ๆ ด้วยการนั่งเรือตะลอนทั่วทะเลอันดามัน เริ่มต้นจากเกาะหลีเป๊ะ ไปตรัง ลันตา พีพี ภูเก็ต โดยเป็นการเดินทางโดยเรือโดยสารล้วน ๆ จากเกาะโน้นไปเกาะนี้ โดยไม่ขึ้นฝั่งเลย กินระยะทางราว 300-400 กิโลเมตร ได้มั้ง หลังจากนั้นตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ผมและชาวคณะก็เสพติดการท่องทะเล เราบินลงใต้นับครั้งไม่ถ้วน ไปมันทุกที่ ที่ไหนชอบก็ไปซ้ำอีก ไปมันทั้งบนชายหาด ใต้น้ำลึก ใต้น้ำตื้น นอนโรงแรมทุกรูปแบบ จนมีความทรงจำและภาพถ่ายมากมาย
ผ่านมา 5 ปี ผมกลับไปจุดเริ่มต้นเมื่อ 5 ปีที่แล้วอีกครั้ง เราเที่ยวทะเลซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ไม่รู้เบื่อ และยังได้พบอะไรใหม่ ๆ อีกมากมาย ผมได้ทำแมกกาซีนเล่มหนึ่ง และใส่อะไรลงไปในนั้นมากมาย กระนั้นก็ยังอยากเอาสิ่งต่าง ๆ มาแชร์กันที่นี่อีก เผื่อจะทำให้ใคร ๆ อยากออกเดินทางเหมือนเรา
ก่อนจะเริ่มเรื่อง ขอเท้าความย้อนอดีตสักนิด เมื่อก่อนนี้ผมไม่ชอบเที่ยวทะเลเอาซะเลย เพราะชายหาดแห่งเดียวที่รู้จักและได้ไปทุกครั้งในเทศกาลเชงเม้ง คือ หาดบางแสน (ในยุคที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา) พอจบมหาวิทยาลัยก็ยกพวกกับเพื่อนไปเที่ยวเกาะเสม็ด แต่ด้วยเงินอันน้อยนิดก็ทำให้การเที่ยวเกาะแห่งแรกเป็นไปอย่างจำกัดจำเขี่ย จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว ผมไปเกาะสมุย และไปนานพอที่จะต้องหาอะไรทำ บังเอิญเรือเร็วลมพระยาเพิ่งเปิดให้บริการเดือนแรก หน้าตาน่านั่งดี เลยตัดสินใจไปอยู่ที่เกาะเต่าสัก 4-5 วัน
เกาะเต่าเป็นแหล่งดำน้ำตื้นที่ดีที่สุดในอ่าวไทย และเป็นแหล่งรวมโรงเรียนดำน้ำลึกระดับโลก ผมได้เห็นปะการังน้ำตื้นในอ่าวเล็ก ๆ แห่งหนึ่งหลังเกาะเต่า มันประทับใจมากจนกลับมาถึงกรุงเทพฯ ก็ตัดสินใจเรียนดำน้ำทันที น่าเสียดาย...พอเรียนจบก็ไม่ได้ดำน้ำอีกเลย จนผ่านไปหลายปี ผีเข้าอีกครั้ง ผมฝึกถ่ายภาพใต้น้ำ เพื่อให้ได้มุมมองท้องทะเลทั้งทางบก มุมมองระดับน้ำทะเล มุมมองแบบนก และมุมมองใต้น้ำ มีคำหนึ่งที่ผมชอบพูด (และเขียน) ครั้งแล้วครั้งเล่า คือ "โลกของเรามีผืนน้ำ 3 ใน 4 ส่วน และมันน่าเสียดายอย่างยิ่ง ถ้าเราไม่ได้ทำความรู้จักพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกใบนี้"
จุดเริ่มต้นความประทับใจในท้องทะเลที่สุดของผม คือ ทะเลสตูล เรานั่งเรือไปเกาะหลีเป๊ะ แวะดูสะพานหินเกาะไข่ วันนี้น้ำทะเลขึ้นสูง สะพานหินก็แปลกไป
เราพักที่หาดชาวเล ด้านหลังเกาะ น้ำใสแบบนี้แหละ คือ เสน่ห์ของหลีเป๊ะ
พอตกเย็นเรารีบเดินไปตรงปลายชายหาดด้านเหนือ ตรงนั้นเป็นหมู่บ้านชาวเล ตรงข้ามหมู่บ้านมีเกาะเล็ก ๆ อยู่เกาะหนึ่ง ชื่อเกาะกระ อยู่ห่างไปซัก 300-400 เมตร พอจะว่ายน้ำข้ามไปได้ หน้าเกาะมีแนวปะการังเขากวางกว้างใหญ่และสมบูรณ์มาก เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผมว่ายน้ำมานั่งเล่นที่เกาะนี้ แล้วได้เห็นปะการังดงนี้ ใฝ่ฝันว่าจะกลับมาถ่ายรูปสักวันหนึ่ง เพราะตอนนั้นยังไม่มีกล้องถ่ายใต้น้ำ
ชาวเกาะบอกว่าตอนสร้างโรงเรียนของชุมชน มีการชักลากแพวัสดุก่อสร้างมาแถว ๆ นี้ ปะการังพังไปมาก แต่ขนาดพังไปมากก็ยังอลังการขนาดนี้
ช่วงเย็น ๆ น้ำลง ตรงนี้จะตื้นมากจนต้องดำน้ำอย่างระมัดระวังมาก ๆ ที่ต้องระวังทั้ง ๆ ที่น้ำตื้นก็เพราะมันตื้นนี่ล่ะครับ เราต้องว่ายน้ำแข็ง ตัวต้องขนานกับน้ำตลอดเวลา เพราะไม่อย่างนั้นก็จะไปเตะปะการังที่บอบบางและโตช้ามาก
ว่ายน้ำไปเรื่อย ๆ ดูปะการังอย่างเพลิดเพลินและใกล้ชิด และระวังอย่าทำอะไรเสียหายเป็นอันขาด
ปกติแล้วการดำน้ำควรทำในช่วงกลางวัน แดดจัด ๆ แต่ที่นี่น้ำใสมาก จึงดำน้ำได้แม้จะเป็นเวลา 5 โมงกว่า ๆ เราจึงได้ดูพระอาทิตย์ตกขณะอยู่ในน้ำ
เคยไหมครับ ดำน้ำดูปะการังอยู่ดี ๆ เสียงเพลงชาติจากโรงเรียนบนเกาะก็ดัง ขณะเดียวกันพระอาทิตย์ก็กำลังตก
อภิรมย์สุด ๆ
วันรุ่งขึ้นผมรีบตื่นไปจุดเดิมอีกครั้ง เช้าตรู่วันนั้นน้ำลดต่ำยิ่งกว่าตอนเย็น จนแนวปะการังโผล่พ้นน้ำอย่างที่เห็น ปกติแล้วปะการังจะบอบบางมาก และต้องอยู่ในน้ำตลอดเวลา แต่แนวปะการังบางแห่งที่อยู่ในน้ำตื้นมากก็ปรับตัวให้อยู่ในสภาวะแบบนี้ได้ชั่วคราว เป็นการปรับตัวแบบธรรมชาติ แต่ปะการังก็ยังบอบบางต่อผลกระทบของมนุษย์อยู่ดี ดังนั้น เดินไปดูได้แต่อย่าเหยียบปะการังเด็ดขาดเชียว
เห็นกันเต็มๆ ตา ด้วยชอตพาโนรามา
ขึ้นไปบนเกาะเล็ก ๆ ข้างหน้า เกาะนี้เล็กขนาด 1 ใน 4 ของสนามฟุตบอล บรรยากาศดีมาก และมีของแปลกให้ดู คือ เปลือกหอยที่มีรูโบ๋ อันเกิดจากคลื่นลมกัดกร่อนเปลือกหอยเป็นเวลานาน
ตอนที่ไปเป็นต้นเดือนกุมภาพันธ์ ตอนเช้า ๆ บนเกาะหลีเป๊ะอากาศหนาวเอาเรื่องเลย พอพระอาทิตย์ขึ้นก็ยังเย็น ๆ ผมกลับที่พัก ไม่อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อ ออกเรือหางยาวไปดำน้ำลึกภาคกลางวัน การดำน้ำแบบสคูบาบนเกาะหลีเป๊ะนี่มีเสน่ห์อย่างหนึ่ง คือ การใช้เรือหางยาว เพราะจุดดำน้ำอยู่ไม่ไกลจากเกาะหลีเป๊ะ (เพราะเกาะหลีเป๊ะเองก็ไกลจากฝั่งแล้ว) การดำน้ำด้วยเรือหางยาวให้ความรู้สึกดีเป็นพิเศษ เพราะไม่ต้องมะงุมมะงาหรากับการประกอบอุปกรณ์ แต่งตัว ทำโน่นนี่นั่นท้ายเรือลำใหญ่ที่โคลงไปโคลงมา อยู่ในเรือหางยาวทำตัวเป็นธรรมชาติ ไม่เวียนหัวคลื่นไส้
ดำน้ำด้วยเรือหางยาว วิธีการลงน้ำจะไม่ใช่การกระโดดนะ แต่จะแต่งตัวให้เรียบร้อย นั่งกราบเรือหันหลังแล้วม้วนหลังแบคโรลลงน้ำเลย เดี๋ยวนี้คนมาเกาะหลีเป๊ะเยอะขึ้น ผู้ประกอบการที่ใช้เรือหางยาวก็เปลี่ยนไปใช้เรือใหญ่ จะได้บริการคนได้ทีละเยอะ ๆ แต่ยังมีอยู่สองรายที่ยังใช้เรือหางยาวแบบเดิม หนึ่งในนั้น คือ Castaway Diver
จุดดำน้ำยอดนิยมของเกาะหลีเป๊ะ คือ Stone Hengh ซึ่งเต็มไปด้วยปะการังอ่อนหลากสี แต่เพราะปะการังอ่อนจะขึ้นอยู่ในบริเวณที่กระแสน้ำแรง และเกาะหลีเป๊ะก็กระแสน้ำแรงไปหมดทุกมุม โดยเฉพาะในวันที่เราไป ไดฟ์มาสเตอร์จึงตัดสินใจไม่พาเราไปเสี่ยง ก็เลยได้เห็นแค่นี้ อยากดำน้ำแบบไม่ต้องสู้กระแสน้ำ ต้องไปวัน 7-8 ค่ำ น้ำขึ้นไม่มาก ลงไม่มาก ไหลไม่แรง
หามุมเงียบ ๆ กินข้าวเที่ยงกันบนเกาะอาดัง
กลับมาที่เกาะ ช่วงเย็น ๆ ก็เดินไปเที่ยวตรงสันทรายปลายหาดชาวเล เป็นมุมที่บรรยากาศดีที่สุดบนเกาะเลยล่ะ โดยเฉพาะยามแดดร่มลมตก
สันทรายยื่นออกไปแบบนี้ ข้างหลัง คือ เกาะอาดัง
มุมสวยที่สุด มองจากรีสอร์ทชื่อเมาเท่นวิวครับ
ที่พักของเรา คือ Castaway Resort รีสอร์ทในฝันสไตล์ชาวเกาะที่สมถะอย่างรื่นรมย์ที่สุด
ที่นี่ไม่มีแอร์ ก็ไม่จำเป็นต้องมี เพราะลมทะเลเย็นกว่า ทีเด็ด คือ ชั้นล่างเป็นห้องน้ำ จะเดินไปห้องนอนต้องผ่านห้องน้ำ
ตกกลางคืนเดินไปกินอาหารร้านข้าง ๆ ยำชาวเลกับหมึกผัดน้ำหมึกของมัน
ที่นี่แดดแรง....จบเกาะหลีเป๊ะ นี่เพิ่งจุดเริ่มต้น เอาไว้พรุ่งนี้มาก่อนครับ
จากเกาะหลีเป๊ะ ไปทะเลตรังกันต่อ...ปกติแล้ว ใครไปเกาะหลีเป๊ะ จะนั่งเรือจากท่าเรือปากบารา จังหวัดสตูล แต่ที่จริงแล้วเขามีเส้นทางเรือจากเกาะหลีเป๊ะไปถึงภูเก็ต โดยแวะจอดที่เกาะมุก เกาะกระดาน (จังหวัดตรัง) เกาะลันตา เกาะพีพี (กระบี่) ก่อนเข้าภูเก็ต ชาวต่างชาติมักเที่ยวแบบ Island Hopping คือ เที่ยวไปเรื่อย ๆ แวะมันทุกเกาะ เราเคยเดินทางด้วยเส้นทางนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่ภาพที่เอามาโพสต์นี้ไปซ้ำอีกครั้ง เริ่มจากเกาะมุก ที่ทุกคนรู้จักกันดี คือ มีถ้ำมรกตเป็นไฮไลต์ แต่เกาะมุกยังมีอีกฝั่งที่เป็นหมู่บ้าน มีชายหาด มีรีสอร์ทที่พักพอประมาณ เรานั่งเรือจากท่าเรือควนตุ้งกู ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเกาะมุกเลย เป็นท่าเรือที่ชาวบ้านเกาะมุกใช้เดินทางกัน
ไปนอนกันบนเกาะที่ ปาวาปี รีสอร์ท อยู่กันง่าย ๆ ห้องไม่มีแอร์แต่เย็นสบาย
หน้าชายหาดมีดงหญ้าทะเล อาหารพะยูน
ได้ชมพระอาทิตย์ตก พระอาทิตย์ขึ้น ในมุมสวยแบบนี้
เช้าแล้ว
เราตื่นแต่เช้า รีบจ้างเรือหางยาวออกทะเลกัน
จุดหมาย คือ ที่ที่ใคร ๆ ก็ไปกัน คือ เกาะมุก ซึ่งอยู่อีกมุมของเกาะ เป็นด้านที่มีแต่หน้าผา และมีถ้ำทะเลที่ว่ายน้ำเข้าไปข้างใน ไปโผล่ที่ลากูนกลางภูเขา ปกติแล้วในถ้ำมรกตนี่อย่างกับตลาดนัด วันธรรมดายังมีนักท่องเที่ยวเป็นร้อย แออัดไปหมด แต่เพราะเราพักอยู่บนเกาะ เลยสามารถจ้างเรือหางยาวไปเที่ยวที่นั่นตั้งแต่เช้าตรู่
เช้า ๆ อย่างนี้คนน้อยหน่อย
ทีเด็ดของถ้ำมรกตอยู่ตรงทางออกครับ ก่อนถึงปากถ้ำด้านนอก เราจะเห็นสีสันแบบนี้ ถึงเรียกว่ามรกต แล้วตอนเข้าไม่เห็นหรือ ? ไม่ค่อยมีใครสังเกต เพราะตอนเข้าข้างนอกสว่าง พอเราว่ายน้ำเข้าถ้ำก็จะค่อย ๆ มืดลง แล้วเราก็ว่ายน้ำเข้าสู่ความมืด แต่ขาออกเราว่ายน้ำผ่านความมืดมาตลอด พอถึงโถงสุดท้าย (โถงแรกตอนขาเข้า) สายตาเราก็จะค่อย ๆ ปรับให้ชินความมืด และสังเกตเห็นแสงสว่างสีมรกตที่ลอดใต้ท้องน้ำมาสะท้อนก้อนหินในถ้ำ
กลับมาที่พักเก็บข้าวของเตรียมตะลอนทะเลตรังกันต่อ เพราะเราจะไปเที่ยวเกาะอื่นต่อ ไม่ย้อนกลับมาทางเดิมแล้ว ตอนสาย ๆ น้ำขึ้นเต็มหาด ทะเลอยู่ห่างจากบ้านไม่กี่ก้าว
ไปดำน้ำตื้นที่หลังเกาะกระดาน ปะการังยังดีอยู่พอสมควร
เกาะกระดานขึ้นชื่อเรื่องน้ำใส...ที่พักค่อนข้างมีระดับ แต่เราไม่พักที่เกาะนี้ จะไปเกาะไหงแทน
ที่พักบนเกาะไหง คือ โคโคนัท คอทเทจ กระท่อมไม้มะพร้าว ใต้ร่มมะพร้าว
ความสุขของการนอนบนเกาะ คือ การได้อยู่กับทะเลในทุกช่วงเวลา
กลางวันอาบแดด กลางคืนอาบดาว
ตื่นแต่เช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้นหน้าที่พัก
แถมรูป หาดปางเมง บนฝั่ง
จากตรัง อ่าวไร่เลย์ จังหวัดกระบี่ กันต่อ...เดี๋ยววันหลังจะเอารูปดำน้ำที่เกาะห้าใหญ่มาให้ดู อ่าวไร่เลย์ไม่ใช่เกาะ แต่ก็ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นเกาะ เพราะตัดขาดจากแผ่นดินใหญ่ มีภูเขาล้อมไว้ทุกด้าน ต้องนั่งเรือเข้าไปเท่านั้น
เพราะมีหน้าผาล้อมไว้ทุกด้าน ที่นี่จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่คนทั่วโลกมาปีนหน้าผากัน
มีแต่คนมาปีนหน้าผาเต็มไปหมด
เสน่ห์ของการปีนหน้าผา คือ การได้ใช้สมาธิ พละกำลัง ในการเคลื่อนที่ไปบนแผ่นดินตั้งฉาก มือเท้าปีนไป สมองและสายตาคิดหาเส้นทางสำหรับคืบต่อไป ถ้าพลาดตกก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอุปกรณ์และมาตรการความปลอดภัยของการปีนหน้าผา ที่เขาป้องกันไว้ดี จึงเป็นกิจกรรมที่ทำได้ทุกคนในครอบครัว
มีเส้นทางปีนเป็นร้อยสำหรับมือใหม่หัดปีน ไปจนถึงมือเก่า
บางเส้นทางแทบจะเป็นหน้าผาเรียบ ๆ ไม่มีแง่งหินให้จับ แต่ก็ยังปีนกันได้
การปีนเขาโดยปกติแล้ว อุปกรณ์จะไม่ได้ช่วยให้เราปีนได้ง่ายขึ้น แต่จะช่วยไม่ให้เราตกลงมากระแทกพื้นแข็ง ๆ แต่ถ้าพื้นไม่แข็งก็ไม่ต้องแคร์ครับ เราไปเล่นกิจกรรมอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า Deep water soloing คือ การกระโดดน้ำทะเลนั่นแหละ เริ่มจากนั่งเรือไปหาหน้าผาตามด้านหลังเกาะ พอได้ที่เหมาะ ๆ ก็ว่ายน้ำไปที่ตีนหน้าผา แล้วปีนบันไดลิงขึ้นไปบนชะง่อน จากนั้นก็หาทางปีนขึ้นไปบนหน้าผาด้วยตัวเปล่า ๆ ปีนไปให้สูงที่สุดโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใด ๆ หมดแรงเมื่อไหร่ ตอนลงก็กระโดดลงน้ำตัวเปล่า ๆ ยิ่งสูงยิ่งเสียว แต่ยิ่งเตี้ยยิ่งอายครับ -_-
จุดที่โดดหน้าผา คือ ด้านหลังเกาะปอดะ อยากจะบอกว่าเรือที่เรานั่งไป คือ เรือลำนี้ !! เป็นเรือยอร์ชแบบมีใบเรือ (และเครื่องยนต์) เป็นเรือของโรงเรียนปีนหน้าผาที่เราไปปีนนั่นแหละ เรื่องมันมีอยู่ว่าเจ้าของเรือลำนี้เป็นชาวต่างชาติ ช่วงที่มีสึนามิดูเหมือนว่าชาวต่างชาติคนนี้จะได้รับความช่วยเหลือจากพี่หลวง เจ้าของร้าน Hot Rock Climbing School พอชาวต่างชาติคนนี้เดินทางกลับ ก็ตอบแทนน้ำใจด้วยเรือลำนี้ พี่หลวงจึงนำเรือลำนี้มาให้บริการนักปีนหน้าผาที่จะไปโดดหน้าผาที่เกาะปอดะ โดดเสร็จแล้วก็จอดเรือนอนอาบแดดกันหลังเกาะ คูลเป็นอย่างยิ่ง ในราคาแค่คนละ 1,000 บาท
เราทำกิจกรรมเอ็กซ์ตรีม แต่นอนแบบสบายครับ ที่พักคืนนี้ของเรา คือ รีสอร์ทในฝัน รายาวดี รีสอร์ท
ผมได้นอนบ้านหลังนี้
ห้องนอนชั้นบน
ชั้นล่างเป็นห้องนั่งเล่น เปิดประตูออกไปเป็นห้องน้ำริมหน้าผา มีอ่างจากุซซี่และฝักบัวริมหน้าผาแบบนี้
ที่นี่เค้ามีทีเด็ด คือ ร้านอาหารในเพิงถ้ำดังไปทั่วโลก ที่จริงถ้ำนี้ก็ไม่ลึก ผมถึงเรียกว่าเพิงถ้ำ
ตอนพระอาทิตย์ตกบรรยากาศดียิ่งนัก
ค่างแว่น พบได้นอกหน้าต่างห้องพัก
ผมชอบอ่าวไร่เลย์เพราะมีทุกอารมณ์ ท้าทาย สนุก โรแมนติก
เราจะไปกันต่อที่ภูเก็ตนะครับ ภูเก็ตมีเกาะบริวารหลายเกาะ กระจายอยู่ตอนใต้ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความใสวิ้ง คือ เกาะราชาใหญ่ นั่งเรือไปไกลสักหน่อย สิบปีที่แล้วเคยเหมาเรือหางยาวไป โต้คลื่นกันสนุกสนาน แต่คราวนี้เรานั่งเรือของรีสอร์ทที่ไปพัก
อ่าวที่ไปพักเรียกว่า อ่าวบาตก ครับ มีทุ่นลอยน้ำเป็นท่าจอดเรือ เวลาคลื่นซัดเข้ามาก็สนุกดี เพราะทุ่นจะกระเพื่อมไปตามลอนคลื่น
หันหลังกลับไป
เอาหัวมุดลงไปในน้ำ น้ำใสปิ๊ง ใสที่สุดในหมู่เกาะทั้งหลายของภูเก็ตเลยมั้ง ทุกอย่างสวยงามไปหมดแม้กระทั่งลายพลิ้วไหวของผิวน้ำที่ทาบลงไปบนพื้นทราย
โลกใต้ผิวน้ำช่างน่าหลงใหล
ภาพที่ลงให้ดู คือ อ่าวบาตก ขี่จักรยานไปอีกอ่าวหนึ่ง ชื่ออ่าวสยาม อยู่ห่างกันแค่แหลมกั้น แต่เป็นแหลมที่ใหญ่มาก อ่าวทั้งสองก็ลึกมาก แต่สวยไม่แพ้กัน แต่ผมคิดว่าอ่าวสยามเงียบสงบกว่า ส่วนอ่าวบาตกน้ำใสกว่า
เที่ยวทั้งวันได้เวลาเข้าที่พัก อย่างที่เคยบอกไว้ครับ พวกเราเที่ยวแบบลุยเต็มที่ ดำน้ำลึก ดำน้ำตื้น ปีนเขา เดินป่า เอาหมด แต่เวลานอนก็ขอนอนในที่ที่เป็นสวรรค์สักหน่อย ที่พักของเราคืนนี้ คือ เดอะราชา
ห้องพักเด็ดสุดของที่นี่คือ เดอะไลท์เฮาส์ (The Lighthouse) เป็นประภาคารส่วนตัว พักได้เป็นสิบ จะนอนในห้องฐานประภาคาร มีสระว่ายน้ำส่วนตัว หรือจะนอนในห้องบนยอดประภาคารก็ได้ (กลางวันร้อนไปนิด) เราไม่ได้นอนห้องนี้หรอกครับ ได้แค่เดินเข้าไปดู
ห้องนอนบนยอดประภาคาร
เห็นวิวนี้
เดินขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกบนแหลม
ได้เวลาดินเนอร์มื้อค่ำ
ป.ล. สระน้ำที่นี่มีทีเด็ด คือ มีเสียงเพลงจากลำโพงใต้น้ำครับ
เขาว่ากันว่าเกาะราชาใหญ่สวยเหมือนสิมิลัน แต่เราว่าถ้าจะพูดอย่างนี้ก็ไปสิมิลันเลยเหอะ
เราไปสิมิลันกับเรือที่ให้บริการดำน้ำสคูบา ซึ่งมีทั้งแบบนอนบนเรือ ตะเวนดำน้ำที 4-5 วัน แต่เราไปแบบเรือวันเดียว เพราะอยากเที่ยวหลาย ๆ แบบ เรือลำนี้ชื่อ M.V. น้ำใส ของ Sea Dragon Dive Center ร้านอยู่เขาหลักฮับ ผลพลอยได้ของการเดินทางไปสิมิลันกับเรือลำใหญ่ คือ ไม่ต้องนั่งสปีดโบ๊ทครับ ช้าแต่สบาย 3 ชั่วโมง ก็ถึงจุดดำน้ำจุดแรก
ฝูงปลารอต้อนรับ
เจ้านีโม กลายเป็นปลาตลาดไปเลย
ปลาไหลมอเรย์ ซ่อนอยู่ในรูโผล่หน้ามาทักทาย มันไม่ได้ร้ายอย่างที่คิด แค่หน้าดุเท่านั้น ที่จริงแล้วเจ้านีโมซ่าส์กว่าเยอะ
เอกลักษณ์ของสิมิลัน คือ กัลปังหา
เหมือนร้านดอกไม้ใต้ทะเล
โลกของคนดำน้ำแบบสคูบามันจะอยู่แต่ในเรือ ก็ดีอยู่หรอกที่ได้เห็นอะไรสวยงามมหัศจรรย์ตื่นตาตื่นใจ มวลสมาชิกนักดำน้ำกำลังจะกลับฝั่ง แต่เราขอให้เค้าเอาเรือยางเข้าไปส่งเราบนเกาะสี่ เพราะอยากนอนบนเกาะอีกสักคืน อยากเห็นอะไรมากกว่าใต้น้ำ
อยากนอนกลิ้งเกลือกบนพื้นทรายนุ่ม ให้น้ำใส ๆ ซัดเล่น
ปูเสฉวน เดินต้วมเตี้ยม
นกชาปีไหน ชื่อภาษาอังกฤษของมันคือ Nicobar Pigeon แปลว่ามันเป็นนกประจำถิ่นของหมู่เกาะนิโคลบาร์ ที่อยู่ห่างออกไปในมหาสมุทรอีกเป็นร้อยกิโลเมตรเชียวนะ แล้วมันมาได้ไง บินมา ? นั่งเรือมา ? หรืออยู่ที่นี่อยู่แล้ว ? เค้าว่าเจ้านกนี่หายาก แต่เห็นเดินกันเกลื่อนเกาะเป็นนกพิราบสนามหลวง
เจ้าตัวนี้สิหาดูยากกว่า เพราะปูแม่ไก่มันซ่อนอยู่ในป่า ส่งเสียงร้องเป็นไก่เชียว พอเจอตัวแป๊บเดียวก็วิ่งหนี
เกาะที่อยู่กลางทะเลนอกจากจะมีหาดทราย ยังมีป่าดงดิบที่ชุ่มชื้นมาก เพราะอยู่กับทะเลเลยได้รับความชุ่มชื้นจากทะเล
ต้นจิกทะเลต้นนี้ทรวดทรงสวยมาก ผมหมายตาตั้งแต่มาถึงเลยล่ะ
วันรุ่งขึ้นก็นั่งเรือแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป ไปตามโปรแกรมของเค้า คือ ไปเกาะแปด ดูหินเรือใบสัญลักษณ์ของสิมิลัน หินเรือใบนี่สวย แต่ถ่ายรูปยาก ถ่ายตรง ๆ แบบนี้แหละ
ปีนขึ้นไปไม่ยากเลย (แต่ไม่ได้ปีนแบบอีตาคนนี้นะ เค้าแค่แอ็คท่าถ่ายรูปเฉย ๆ)
กลับเข้าฝั่งได้เหยียบพื้นดิน ไปกลับมาขับรถอีกครั้ง แวะนอนเขาหลักคืนหนึ่ง ไปดูพระอาทิตย์ตก (ที่ไม่ตก) ที่แหลมปะการัง แหลมนี้เต็มไปด้วยซากปะการังนับแสนล้านชิ้นทับถมกัน
ขับรถไปบ้านน้ำเค็ม เอารถลงแพขนานยนต์ไปเกาะคอเขา เกาะนี้ยังมีภาพแบบนี้ให้เห็น
ข้าง ๆ เกาะคอเขา มีอีกเกาะหนึ่งชื่อ เกาะพระทอง ทั้งสองเกาะนี้เป็นเกาะที่แทบจะเรียกว่าติดแผ่นดิน เพราะทะเลที่คั่นเกาะกับแผ่นดินนั้นไม่กว้างมาก แต่เกาะพระทองเอารถข้ามไปไม่ได้เหมือนคอเขา ต้องนั่งเรือจากท่าเรือคุระบุรี (ท่าเรือที่ไปเกาะสุรินทร์) ใกล้ ๆ แค่นี้ ต้องนั่งเรือชั่วโมงกว่า
บนเกาะมีหมู่บ้านเล็ก ๆ และมีของเด็ด คือ ทุ่งหญ้าสะวันนากว้างใหญ่ เราโทรศัพท์เรียก "ตาฉุย" มารับ ตาฉุยขี่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างพาเราเที่ยวไปตามทุ่งหญ้าที่มีเส้นทางแบบนี้
ความสวยของทุ่งหญ้าบนเกาะพระทองอยู่ที่เส้นสายของต้นเสม็ด
ลืมลงภาพตาฉุย ที่จริงแล้วตานี่ไม่แก่ แต่เป็นคนเพื่อชีวิต ทิ้งชีวิตบนฝั่งมาอยู่เกาะ ทำที่พักแบบเนี้ย คืนละไม่กี่ตังค์
ชายหาดใกล้ ๆ ที่พักตาฉุย
บินกลับละครับ แต่ยังไม่จบ ยังมีต่ออีก เพราะเรากลับมาอีกหลายครั้ง !!!
ผมชอบเวลาที่บินไปใต้ โดยเฉพาะภูเก็ต ตอนก่อนแลนดิ้งได้เห็นวิวภูมิประเทศอ่าวพังงา บางไฟล์ทก็ได้เห็นแหลมตะลุมพุก ตอนบินตัดข้ามไปฝั่งอ่าวไทย
ที่จริงแล้วยังมีรูปอีกเยอะพอสมควรเลย แต่ที่เอามาลงนี่เป็นภาพที่ถ่ายตอนหลัง ๆ ครับ เดี๋ยวกระทู้ต่อไป เราจะย้ายไปฝั่งอ่าวไทยกันบ้าง
ขอบคุณสำหรับคำชื่นชมจากทุกความคิดเห็นนะครับ ทำให้ผมอยากถ่ายรูปให้ดีขึ้นไปมากกว่านี้ และผมดีใจที่ทำให้หลาย ๆ คนอยากออกเดินทาง โลกของเราสวยงามครับ ต้องเดินออกไปดูให้รู้ให้เห็น ไม่ต้องเสียดายเงิน (ถ้ากลับมาแล้วไม่อดตาย) เพราะการเดินทางของเราจะทำให้คนอีกมากมายมีกินมีใช้ กระจายรายได้ ต้องขอบคุณผู้ที่สนับสนุน และให้โอกาสผมทำนิตยสารเล่มหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมได้เดินทางไปพบเจอเรื่องดี ๆ มากมาย ภาพที่อยู่ในกระทู้นี้เป็นภาพชุดเดียวกับที่อยู่ในนิตยสารเล่มนี้ (ครึ่งเล่ม คือ อันดามัน อีกครึ่งเล่ม คือ ฝั่งอ่าวไทย จะเอามาให้ดูเร็ว ๆ นี้ครับ) ถ้าเห็นบนแผงฝากเปิดดูด้วยครับ มันคือชีวิตจิตใจของเราเลยจริง ๆ
หลายท่านส่งข้อความหลังไมค์มาถามเรื่องอุปกรณ์ครับ พอดีมีทริปหนึ่งน้ำทะเลซัดกระเป๋ากล้อง เลยเอาอุปกรณ์ออกมาตากแดด เลยถ่ายไว้ซะหน่อย เวลาไปเที่ยวทะเลผมจำเป็นต้องขนอุปกรณ์ไปเยอะหน่อย เนื่องจากกล้องหลักที่ใช้ คือ Canon EOS 5D mkII เนี่ย ค่าเฮาส์ซิ่งสำหรับใส่กล้องตัวนี้มันแพงมากกกกกกกก จึงต้องใช้กล้องเล็ก ๆ อย่าง Canon G12 ใส่เฮาส์ซิ่งราคาประหยัดของ Canon WP-DC34 แต่อุปกรณ์เพิ่มเติมที่ผมใช้ คือ Wide Converter Wet Lens เป็นเลนส์ที่ใช้ได้เฉพาะในน้ำ ช่วยให้ภาพกว้างขึ้น แต่ไม่กว้างมาก เพราะเวลาลงน้ำภาพจะถูกครอปอยู่แล้ว
เนื่องจากบางครั้งเราต้องคาดหวังกับงานที่จะได้ จึงต้องใช้อุปกรณ์ที่เชื่อถือได้สักหน่อย บางทริปก็ไม่ได้พกที่เห็นนี้ไปทั้งหมด บางทริปก็เอาไปแค่ EOS M เป็นกล้อง Mirrorless ตัวเล็กเบาสบาย
หลาย ๆ ครั้งโจทย์ของการถ่ายภาพก็อยู่ที่การมองเห็นความงามของสิ่งที่มีอยู่แล้วรอบตัว ถ้าเราเห็น เราแค่เก็บมันเอาไว้อย่างถูกวิธี
พูดจากใจจริง...ผมเริ่มต้นถ่ายภาพจากกล้องรัสเซีย ยี่ห้อ Zenit ซื้อจากโรงรับจำนำตัวละ 700 บาท ตอนนี้พอมีโอกาสใช้อุปกรณ์ที่ดี แต่ก็ไม่ลืมว่าพื้นฐานความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด