ตะลุยโตเกียวเที่ยวเพลิน ๆ กับเรื่องราวการเดินทางแสนสนุก

โตเกียว

โตเกียว


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ ivoryirvine สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          ถ้าจะเอ่ยถึงประเทศในฝันของใครหลายคน เราเชื่อว่า "ญี่ปุ่น" โดยเฉพาะ "โตเกียว" เมืองหลวงของประเทศ จะติดอยู่ในลิสต์อันดับต้น ๆ แน่นอน (จริงไหม) เพราะเป็นสถานที่ที่เหล่านักเดินทางต่างก็อยากไปสัมผัสกับความงดงาม ทั้งประเพณี วัฒนธรรม อาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ฉะนั้น สำหรับคนที่กำลังวางแผนไปเยือนดินแดนปลาดิบ หรืออยากไปสัมผัสประเทศนี้สักครั้ง ก็ลองตามบันทึกการเดินทางและภาพถ่ายสวย ๆ ของ คุณ ivoryirvine สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่มีโอกาสไปเที่ยวโตเกียว พร้อมกับนำมาถ่ายทอดให้พวกเราชมกันแบบละเอียดยิบ...ได้เลยจ้า


+++++++++++++++++


          ครั้งแรกที่ได้ไปเยือนเจแปนแดนอาทิตย์อุทัย ดินแดนที่ใครต่อใครก็ติดใจนักหนา เรากับประเทศนี้ไม่รู้ทำไมมีอุปสรรคกันนัก จะไป...จะไป ก็มีเหตุให้แคล้วคลาดกันมาโดยตลอด ฉะนั้น เมื่อคุณแฟนถามว่าแต่งงานแล้วอยากไป Honeymoon ที่ไหน ก็เลยยกมือตอบฉับไว เค้าขอไปเที่ยวญี่ปุ่นน้า...แหะ ๆๆ

          เนื่องจากครั้งนี้เป็นการ review ครั้งแรกของเรา อาจจะไม่ถนัดในรายละเอียดเหมือนกูรูท่านอื่น ๆ นะคะ ข้อมูลการท่องเที่ยวก็ได้ความรู้มาจากห้องนี้เป็นส่วนใหญ่ค่ะ โดยคู่เราเน้นเที่ยวแบบชิล ๆ เดินบ้าง พักบ้าง ถ่ายรูปบ้าง เลยอาจจะไม่ได้ไปหลายที่มากมายนักใน 7 วันนี้ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่หลายๆ ท่านอาจจะคุ้นเคยอยู่แล้ว ขอแชร์เป็นการเที่ยวโตเกียวโดยรวม และภาพถ่ายฝีมือคุณแฟนมาฝากให้ติชมเพลิน ๆ นะคะ

          ช่วงเวลาเดินทาง 22-29 พฤศจิกายน 2556 ซึ่งเป็นปลายฤดูใบไม้ร่วง เตรียมย่างเข้าฤดูหนาว อุณหภูมิประมาณ 14-18 องศา ใส่ Jacket หนึ่งตัว กางเกงยีนส์ หรือกระโปรง+legging เดินเที่ยวได้สบาย ๆ ค่ะ

โตเกียว

          ตกลงตามนี้ได้ก็เริ่มหาตั๋วเครื่องบิน บวกลบคูณหาร ทั้งเวลาและ budget สุดท้ายก็มาจบที่ Cathay Pacific Airlines ไปเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง รวมเวลาเดินทางประมาณ 9 ชั่วโมงกว่า ๆ ในราคา 15,110 บาท (รวมทุกอย่าง) แนวว่าเวลาอ่ะมีเยอะ แต่งบมีไม่เยอะ ยอมเสียเวลานิดหน่อยแล้วเก็บส่วนต่างไปเป็นค่าห้องได้ตั้งหลายคืน ฮ่า ๆๆ

          เราออกเดินทางกันวันที่ 22 พฤศจิกายน 2556 เวลา 01.25 น. จากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปถึง Hong Kong International Airport ตอน 05.05 น. (เดินทาง 2.40 ชั่วโมง) ร้านรวงในบริเวณ Duty Free ยังไม่เปิดกันเลย สนามบินที่นี่ใหญ่โตโอ่อ่า สะอาดสะอ้าน ร้าน Starbucks ที่นี่รับเงินเยน ก็เลยใช้เงินเยนที่แลกมาซื้อกาแฟมาเป็นอาหารเช้าระหว่างนั่งรอเปลี่ยนเครื่อง พอร้านเริ่มเปิดก็มาเดินเล่นเพลิน ๆ จนเครื่องออกตอน 09.05 น. และไปถึง Narita International Airport เวลา 14.05 น. (เดินทาง 3 ชั่วโมง) นี่เป็นภาพ Hongkong International Airport ค่ะ

โตเกียว

          โดยรวมเราสองคนค่อนข้างประทับใจสายการบิน Cathay Pacific แม้ว่านักท่องเที่ยวชาวจีนที่ขึ้นมาจากฮ่องกงอาจจะเสียงดังโหวกเหวกไปเสียหน่อย แต่โดยรวมก็นับว่าเดินทางอย่างสบายตัว สบายใจ แอร์อัธยาศัยดี อาหารใช้ได้ มีจอส่วนตัวทุกที่นั่งให้เลือกดูหนังได้ตลอดทาง แม้ว่าจะบินที่นั่งแบบ Economy และเป็นทริปสั้น ๆ ก็ตาม

          จาก Narita เราเลือกนั่ง KEISEI Skyliner เข้าโตเกียว เพราะที่พักอยู่ที่ Ueno พอดี จะได้ไม่ต้องไปต่อรถอีก ซึ่งก็รวดเร็วทันใจ 40 นาที นั่งดูวิวเพลิน ๆ ก็ถึง KEISEI Skyliner มีขบวนออกทุกชั่วโมง ระยะห่างระหว่าง 20-60 นาที แล้วแต่ช่วงเวลา ตั้งแต่ 08.16-22.30 น. ตัวรถกว้างขวาง ระบุที่นั่งชัดเจน เราเลือกซื้อตั๋ว Package แบบไป-กลับ รวม 2-day Tokyo Metro Pass ในราคา 4,880 เยน ดูรายละเอียดและตารางเวลาได้ตาม link นี้ค่ะ

          Website KEISEI : www.keisei.co.jp

          โรงแรมที่เราเลือก คือ Oak Hotel แถว Ueno ชอบเพราะใกล้กับตลาด Ameyoko แบบว่าเดินได้ เมื่อยก็นั่งรถไฟไปแค่ 1 สถานี ไปตะลอนไหนต่อไหนมาทั้งวัน ก็แวะกลับมาเดินเลือกกินเลือกช้อปได้ทุกเย็น เพราะร้านขายของส่วนใหญ่เปิดถึง 2-3 ทุ่ม ส่วนร้านอาหารก็เปิดถึง 5 ทุ่ม-ตี 1 สบาย ๆ

          ห้องพักส่วนใหญ่ในโตเกียวจะขนาดกะทัดรัดมาก เช่นเดียวกับโรงแรมนี้ เราจองกันช้าไปหน่อย เลยได้ห้องแบบญี่ปุ่นห้องเล็ก คือ ปูฟูกบนพื้นเสื้อตาตามิ ห้องใหญ่กว่าฟูกนิดนึง ห้องน้ำก็พอแค่หมุนตัวได้ แต่ผ้านวมแบบที่นอนญี่ปุ่นนี่ถูกใจมาก มีแม่บ้านทำความสะอาด เปลี่ยนผ้าเช็ดตัว เติมของใช้ให้ทุกวัน อุปกรณ์ก็ครบครัน สบู่ แชมพู เป็นของ KOSE มีทีวี แอร์ ตู้เย็น ไดร์ กาน้ำร้อน สนนราคาช่วงที่เราไปคืนละประมาณ 2,500 บาท เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปห้องมา โดยรวมเราสองคนให้คะแนน 8/10 เลย

          Website Oak Hotel : www.oakhotel.co.jp

          วันแรกไปเดินตลาด Ameyoko ก็ได้รองเท้ามาคนละคู่ ซื้อของที่ญี่ปุ่นสบายใจว่ายังไงก็ของแท้แน่นอน ได้รองเท้า Asics และ Nike ในราคาถูกกว่าเมืองไทยประมาณ 30-50% ทีเดียว

          เริ่มต้นวันที่สองด้วยการไปนมัสการเจ้าแม่กวนอิมที่ Sensoji Temple หรือศาลเจ้า Asakusa ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน วัดนี้เดินทางสะดวก มีรถไฟใต้ดิน Metro สาย Ginza มาถึงหน้าวัด สถานี Asakusa เลย เราไปวันเสาร์จึงคนเยอะมาก ทั้งคนญี่ปุ่นเองและนักท่องเที่ยว เจอนักท่องเที่ยวชาวไทยที่นี่เยอะมากค่ะ จนบางคนแอบแซวว่าที่นี่เป็น Thai Town หรือเปล่าเนี่ย

          Website Sensoji Temple : www.senso-ji.jp

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

          ไม่ลืมที่จะแวะชิมซาลาเปาทอด อาเกะมันจู ร้าน Kokonoe ที่ขึ้นชื่อลือชา สนนราคาลูกละ 120-200 เยน ส่วนตัวคิดว่าบรรยากาศน่าจะเป็นตัวช่วยให้มันอร่อยมากกว่าที่เป็น เพราะพออากาศหนาว ๆ ได้กินซาลาเปาทอดควันฉุย มันฟินมาก...

โตเกียว

          จาก Sensoji Temple เราเดินออกไปยลโฉมฟองเบียร์สีทองบนตึกอาซาฮีสักหน่อย ว่ากันว่าชาวญี่ปุ่นบางคนไม่ชอบ เพราะคิดว่ารูปร่างมันไปละม้ายคล้ายอุนจิเสียมากกว่า แหม่...คนออกแบบเสียใจแย่นะคะเนี่ย หุหุ

โตเกียว

          บ่ายวันนั้นเรานั่งรถไฟใต้ดินไปเดินเล่นที่ Akihabara ย่านอุปกรณ์ไฟฟ้า ไอที และโมเดล ตื่นตาตื่นใจกับโมเดลสารพัดสิ่ง คนญี่ปุ่นเค้าชอบโมเดลกันจริง ๆ ไม่ใช่แค่โมเดลจากตัวการ์ตูนอนิเมะ แต่สามารถเอาสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งของทุกอย่างบนโลกมาทำเป็นโมเดลได้หมด สุดยอดมาก ปิดท้ายวันด้วยการช้อปกระเป๋ากล้องกันที่ห้าง Yodobashi

โตเกียว

          วันที่สามของการเดินทางเป็นวันอาทิตย์ เลยตกลงกันว่าจะไปดูไลฟ์สไตล์วันหยุดของคนญี่ปุ่นกัน ในย่านช้อปปิงยอดฮิตอย่างชินจูกุ ฮาราจูกุ ชิบุย่า แต่ร้านรวงส่วนใหญ่เปิด 11 โมง ช่วงเช้าเลยไปเที่ยวที่ Meiji Gingu ก่อน ซึ่งเป็นวัดสมัยชินโต บรรยากาศในวัดร่มรื่นมาก ต้นไม้หนาแน่น สูดอากาศดี ๆ ได้ชื่นปอด ไม่ใช่อารมณ์สวนสาธารณะแบบบ้านเราที่มีต้นไม้ปลูกหรอมแหรม ควรเรียกว่าป่าในเมืองเสียมากกว่า ตัววัดไม่มีค่าเข้าชมนะคะ มีเพียงสวน Meiji Gingu Gyoen เท่านั้นที่ต้องเสียค่าเข้าชม 500 เยน

          หากพักแถบ Ueno เหมือนเรา แนะนำให้นั่งรถไฟใต้ดินไปสถานี Yoyogi นะคะ เข้าวัดจากประตูด้าน Yoyogi จะได้เดินซึมซับบรรยากาศความสงบมาได้ยาว ๆ ซึ่ง Landmark เด่น ๆ ของที่นี่ ก็คือ ซุ้มประตูไม้ตรงทางเข้า และถังเหล้า/ไวน์ ที่มีคนมาทำบุญเวลามีงานเทศกาลที่วัดค่ะ เนื่องจากวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ คนก็เลยเยอะมาก เดินกันฝุ่นตลบทีเดียว

          Website Meiji Jingu : www.meijijingu.or.jp 

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

          จากบรรยากาศสงบเยือกเย็น เพียงพ้นประตูวัด ก็เป็นย่านพลุกพล่านของชินจูกุแล้ว เป็น contrast ที่น่าสนใจมาก เราเดินกันยาว ๆ ผ่านฮาราจูกุ ไปจนถึงถนนไฮโซอย่าง Omotesando คนเยอะได้ใจจริง ๆ

โตเกียว

          อีกความน่ารัก คือ เราได้เจอขบวนซานต้ามาเดินแจกรอยยิ้ม พอมองใกล้ ๆ ซานต้าเหล่านั้น คือ ขบวนผู้สูงอายุ น่าจะอายุ 60-80 ปี กันแล้ว แต่งเป็นซานตาคลอสมาเดิน Merry Christmas ผู้คนกันสนุกสนาน เป็นความเอาใจใส่ที่น่ารักของคนญี่ปุ่น ที่พาคุณปู่คุณย่าเหล่านี้มาทำกิจกรรมแก้เหงา แถมสร้างความสุขให้คนอื่นได้อีก

โตเกียว

โตเกียว

          เดินเลยไปถึงชิบุย่า โชคดีได้ที่นั่งชั้นบนของ Starbucks จุดที่คนชอบไปนั่งเก็บภาพความพลุกพล่านสุดคลาสสิกของของแยกชิบุย่าอันโด่งดัง และเป็น Landmark สำคัญของโตเกียวในหนังฮอลลีวูดหลาย ๆ เรื่อง

โตเกียว

โตเกียว

          เช้าวันจันทร์ วันที่สี่ของการเดินทาง ตอนแรกว่าจะออกไป Kawaguchiko กันวันนี้ แต่เดินเยอะจนชักจะหมดแรง เลยเปลี่ยนใจไปหาใบไม้เปลี่ยนสีถ่ายรูปเล่นในเมืองดีกว่า เสียดายใบเมเปิลส่วนใหญ่เปลี่ยนสีจากแดงเป็นน้ำตาลช้ำ ๆ เตรียมร่วงกันหมดแล้ว (มาช้าไปอาทิตย์หนึ่ง T-T) เลยมุ่งไปถ่ายใบสีเหลืองของต้น Gingko ที่ย่าน Aoyama แทน ถนนเส้นนี้เป็นถนนสายสั้น ๆ ทางเข้าไป Meiji Jingu Gaien Stadium จากโรงแรมย่าน Ueno ของเรา นั่งรถไฟใต้ดิน Metro Line สายสีส้ม Ginza ไปสถานี Aoyama Itchome Station แล้วเดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงค่ะ วันที่เราไปมันยังเปลี่ยนสีไม่หมด เลยได้เฉดเขียว-เหลืองมาอย่างที่เห็น แปลกไปอีกแบบ

โตเกียว

          มีทั้งเพื่อนฝูง คู่รัก ครอบครัวชาวญี่ปุ่นทุกวัยมาเดินเล่นมากมาย บ้างก็เอาข้าวกล่องมานั่งทานใต้ต้น Gingko เป็นภาพที่น่ารักมาก

โตเกียว

โตเกียว

          โดยเฉพาะคุณลุงคุณป้าคู่นี้ ท่านมาเดินถ่ายรูปเล่นกัน ในภาพคือกำลังช่วยกันเปลี่ยนแบตฯ กล้องถ่ายรูป น่ารักมาก ๆ หันไปบอกสามีเลยทีเดียว ว่าแก่ตัวไปขอให้เรายังจูงมือกันมาเที่ยวเล่นแบบคุณลุงคุณป้าคู่นี้นะคะ ^^

โตเกียว

          แล้วก็ดำเนินมาจนถึงวันที่ห้า วันนี้เราไป Kawaguchiko หา Fujisan กันค่ะ เท่าที่หาข้อมูล เธอสวยเสียจนเลือกได้ว่าจะให้ใครได้มีโอกาสยลโฉมบ้าง บางวันก็ขี้อาย หลบอยู่หลังพี่เมฆพี่หมอกเสียอย่างนั้น ก็เลยเดินทางไปแบบลุ้น ๆ ว่าจะได้เห็นเธอเต็มตาหรือเปล่า โชคเข้าข้างเราสอง ฟ้าปลอดโปร่ง อากาศดีมาก ได้เจอเห็นเธอเต็ม ๆ สวยจริง ๆ ค่ะ แปลกดีที่เราสามารถจ้องมองภูเขาลูกหนึ่งได้นานขนาดนี้ มันคือความยิ่งใหญ่อลังการของธรรมชาติ ดูได้ไม่เบื่อเลย

โตเกียว

          เดินทางโดยรถบัสของ KEIO ขึ้นรถที่ท่ารถติดกับห้าง Yodobashi ชินจูกุ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 100 นาที ดูวิวเพลิน ๆ ก็ถึง ตั๋วไป-กลับ ราคา 3,400 เยน สามารถจองตั๋วล่วงหน้าได้ทาง Website แล้วไปรับตั๋วที่ท่ารถที่ชินจูกุในวันเดินทางได้เลยค่ะ

          Website KEIO : highway-buses.jp

          ณ สถานี Kawaguchiko อันเป็นทั้งสถานีรถไฟและท่ารถบัส อย่าลืมแวะซื้อตั๋วแบบ package สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวใน Kawaguchiko ที่รวมทั้งตั๋ว 2-day unlimited ของรถ Retro Bus สำหรับเดินทางรอบทะเลสาบ Kawaguchiko+ตั๋วขึ้นกระเช้าที่ Kachikachi-yama Ropeway+ตั๋วล่องเรือ En Soleil ในทะเลสาบ Kawaguchiko ในราคา 2,000 เยน เรียกได้ว่า ชม Fujiyama ได้จากทุกมุมของเมืองเลยทีเดียว

          Website Retro Bus : transportation.fujikyu.co.jp
          Website Ropeway : www.fujikyu.co.jp
          Website Cruising Ship : www.fujikyu.co.jp

โตเกียว

          จากสถานีเราพลาดรถ Retro Bus ไม่อยากรออีกครึ่งชั่วโมง เลยตัดสินใจเดินไป Kachikachi-yama Ropeway เพื่อขึ้นกระเช้าไปยังยอดเขา Mount Tenjo ชมวิวภูเขาไฟฟูจิจากมุมสูงก่อน แต่จริง ๆ แนะนำให้นั่ง Retro Bus ออกไปสุดสายก่อน แล้วค่อย ๆ เที่ยวย้อนกลับมานะคะ เพื่อให้ถ่ายรูปได้เข้ากับทิศทางของแสงแดดในแต่ละช่วงเวลา

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

          จากนั้นเรานั่ง Retro Bus ไปที่ป้าย Ukai Kawaguchi Music Forest แต่ไม่ได้เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีแห่งนี้ เราเลือกเดินเลาะไปด้านหลัง เพื่อไปเดินเลียบทะเลสาบแทน ได้วิวสวย ๆ มาฉะนี้

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

          เดินเลาะมาเรื่อย ๆ ได้เจอคุณป้าร้านขายของชำใจดี โบกไม้โบกมือเรียก แล้วก็รีบวิ่งออกมาจากร้าน เอาแผนที่แหล่งท่องเที่ยวแถวนั้นมาให้เรา แม้แผนที่จะเป็นภาษาญี่ปุ่น และคุณป้าก็พูด Japanese ล้วน ๆ แต่ความน่ารักและจริงใจทำให้เราปลื้มปริ่มมาก แกคงนึกเอ็นดูเด็กอ้วนสองคนที่เดินเหมือนหลง ๆ มึน ๆ มา จนวิ่งออกมาหาเราขนาดนี้ โค้งขอบคุณแกประมาณสิบล้านรอบ แล้วก็เดินตามแผนที่ไป  Maple Corridor ที่แกแนะนำ จริง ๆ ใบไม้ส่วนใหญ่เริ่มร่วงแล้ว คุณแฟนเลยเลือกเก็บเฉพาะมุมที่พอจะแน่น ๆ เหลืออยู่บ้างมาฝากค่ะ

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

          ว่าแล้วก็ไปขึ้น Retro Bus ต่อไปสุดสายที่ Kawaguchiko Shizen Seikatsukan นั่งพักชิล ๆ ที่ Kawaguchiko Natural Living Center แต่ใกล้จะมืดแล้ว เลยไม่ได้เดินไป Oishi Park ได้ภาพสวย ๆ มาแค่จากมุมนี้ค่ะ แต่ใครไปแล้วมีเวลาแนะนำให้ไปเที่ยวด้วยนะคะ แค่ประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้น

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

          ส่วนมุมนี้จากเรือ En Soleil ที่ล่องในทะเลสาบ Kawaguchiko ท่าเรืออยู่ตรงข้ามกับทางขึ้น Kachikachi Yama Ropeway เลย ใช้เวลาประมาณ 30 นาที จบวัน เราก็นั่งรถบัสกลับชินจูกุ จริง ๆ ก็ถือว่าได้เที่ยวรอบทะเลสาบแล้ว แต่หากใครมีเวลาแนะนำให้นอนค้างสักคืน นอนแช่ออนเซนเคล้าวิว Fujisan น่าจะดีไม่น้อย

โตเกียว

โตเกียว

          วันที่หกของทริปแล้วค่ะ วันนี้ขอตื่นสาย ๆ พักเหนื่อยสักวัน ตื่นมาก็ไปกินข้าวหน้าปลาดิบที่ตลาด Ameyoko ก่อนจะต่อรถไฟใต้ดินไปขึ้น Mori Tower ที่ Roppongi จริง ๆ โตเกียวมีที่สูง ๆ ให้ชมวิวเยอะ ทั้งศาลาว่าการกรุงโตเกียว Tokyo Tower สุดคลาสสิก และน้องใหม่ Tokyo Skytree แต่เราเลือกมาที่ Mori Tower ก่อนเพราะอยากจะเก็บภาพ Tokyo Tower กับ Tokyo Skytree และที่นี่ยังมีดาดฟ้าแบบ open air ให้ขึ้นไปสูดอากาศจากมุมสูงด้วย

โตเกียว

          ย่าน Roppongi จะมีงานศิลปะจัดแสดงอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของย่าน อย่างแมงมุมยักษ์ตัวนี้ก็เป็นผลงานศิลปะที่มาตั้งให้ผู้คนชื่นชมเช่นกัน

โตเกียว

          เช่นเดียวกับหอหรืออาคารสูงชมวิวทั่วไป Mori Tower มี airy ให้เราเดินชมวิวได้ 360 องศา ด้วยเพดานสูง 11 เมตร เลยทำให้ห้องชมวิวแห่งนี้ดูเก๋ไก๋ขึ้นไปอีก ค่าเข้าชม 1,500 เยน สำหรับห้องชมวิวชั้น 52 (ประมาณ 218 เมตร จากพื้นดิน) รวมค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยที่จะเปลี่ยนการจัดแสดงไปเรื่อย ๆ และจ่ายเพิ่มอีก 500 เยน หากต้องการขึ้นไปบนดาดฟ้าแบบ open air ชั้น 54 (ประมาณ 238 เมตร จากพื้นดิน) สำหรับการขึ้นดาดฟ้า เค้าจะห้ามไม่ให้เอากระเป๋าสัมภาระทุกอย่างและขาตั้งกล้องขึ้นไปนะคะ เข้าใจว่าเพื่อความปลอดภัย เพราะข้างบนลมแรงมาก หากวางขาตั้งกล่องอาจโดนลมพัดล้มได้

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

          จาก Mori Tower ที่ Roppongi Hills นี้ เค้าว่าหากวันที่อากาศดี ฟ้าเปิด เราจะมองเห็นถึงภูเขาไฟฟูจิ แต่วันที่เราไปไม่เห็นนะ คงเพราะเมฆเยอะ ที่เห็นชัดเจนสวยที่สุด ก็คือ Tokyo Tower ส่วน Tokyo Skytree ค่อนข้างไกล ก็เลยเห็นเล็ก ๆ ส่วนกลางคืน สามารถมองไปได้ถึงแสงสีของ Tokyo Disneyland เลยทีเดียว

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

          ปลายเดือนพฤศจิกายน หลายจุดของโตเกียวก็เริ่มตกแต่งไฟคริสต์มาสแล้ว ก็นับว่าทริปนี้ไม่เสียเที่ยว แม้จะไม่ทันใบไม้เปลี่ยนสี แต่ได้เจอแสงสีเทศกาลคริสต์มาสแทน ช่างเป็นเทศกาลแห่งความสุขจริง ๆ ตรงนี้เป็นถนนข้าง ๆ ตึก Mori Tower ที่ทำเก๋ มีเปลี่ยนสีไฟด้วย โชคดีเราเดินไปเจอทั้งไฟสีฟ้าและไฟสีแดงเลย

โตเกียว

โตเกียว

          โอ้ว...วันที่เจ็ด วันสุดท้ายของการเดินทางแล้วสินะ เช้านี้เราแวะกลับไปที่ Sensoji Temple อีกครั้ง เพราะอยากกินซาลาเปาทอดอีก ฮ่า ๆ จากนั้นก็เดินออกทางด้านข้าง มาที่ริมแม่น้ำ Sumida เดินเลาะ Kuritsu Sumida Park ถ่ายรูป Tokyo Skytree ไปเรื่อย ๆ เจอขบวนเด็กอนุบาลที่คุณครูพามาเดินเล่นทัศนศึกษา น่ารักมากค่ะ

โตเกียว

โตเกียว

          เดินข้ามสะพานไปจนถึง Tokyo Skytree ไปถึงคิวยาว เลยถ่ายแต่ด้านนอกมาค่ะ

โตเกียว

โตเกียว

          จากนั้นก็ไปเที่ยว Odaiba ต่อ นั่งรถไฟใต้ดินไปสถานี Shimbashi เพื่อไปต่อสาย Yurikamome Line ซื้อตั๋ว One Day Pass ราคา 800 เยน แม้จะไม่ได้ใช้เยอะขนาดนั้น เพราะจุดท่องเที่ยวใน Odaiba สามารถเดินได้ไม่ไกลกัน แต่ตั๋วเที่ยวเดียวก็ 390 เยน แล้ว ซื้อเป็น One Day Pass จึงคุ้มกว่านิดนึง

          ที่นี่เป็นเมืองใหม่ที่เชื่อมโยงกับโตเกียวด้วยสะพานสายรุ้ง (Rainbow Bridge) ส่วนใหญ่จึงเป็นอาคารสำนักงานและห้างสรรพสินค้า เราเดินช้อป เดินถ่ายรูปกันไปเรื่อย ๆ จนมืดค่ำ ขอบอกว่ามองจากรถไฟฟ้าลงไป เมืองทั้งเมืองช่างเงียบเหงาไร้ชีวิตชีวา คงเป็นเพราะความเป็นเมืองใหม่ที่จัดระเบียบเสียอย่างดีตั้งแต่ต้น ไม่ได้มีชุมชนที่เกิดขึ้นแบบ organic เหมือนส่วนอื่นของโตเกียว เลยแอบขาดเสน่ห์ไปซะงั้น

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

          ส่วนนี่คือโมเดล Gundum ขนาดยักษ์ที่หน้าห้าง Diver City ถูกใจคุณผู้ชายของดิฉันมาก
         
โตเกียว

โตเกียว

          ด้านในของ Venus Fort Shopping ห้างสรรพสินค้าแห่งใหญ่อีกแห่งของ Odaiba เราไปกันค่ำแล้ว เลยไม่ได้เข้าไป Toyota Mega Web ที่อยู่ติดกัน

โตเกียว

          ปิดท้ายด้วยภาพสะพานสายรุ้งแห่ง Odaiba นะคะ การท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองไม่ยากอย่างที่คิด แม้ภาษาจะเป็นอุปสรรคอยู่บ้าง แต่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ใจดี มีน้ำใจ เค้าจะพยายามสื่อสารด้วยมือ ด้วยภาพ เพื่อตอบคำถาม หรือแนะนำเราอย่างเต็มที่ค่ะ แค่เตรียมเปิดใจไปรับประสบการณ์ใหม่ ๆ รับรองว่าคุณจะต้องประทับใจญี่ปุ่นอย่างที่ใครต่อใครว่าไว้จริง ๆ

          ข้อมูลท่องเที่ยวส่วนใหญ่ได้มาจากหนังสือท่องเที่ยวญี่ปุ่น รวมถึง Pantip ห้อง Blue Planet และ Website ของการท่องเที่ยวญี่ปุ่นทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ซึ่งจะ update ฤดูกาล ดอกไม้ที่ไหนบานแล้ว ใบไม้ที่ไหนเปลี่ยนสี/ร่วงแล้ว มีงานเทศกาลที่ไหน เมื่อไร ได้ดีที่สุด ตามนี้เลยค่ะ

          Website องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น : www.yokosojapan.org
          Website Japan National Tourism Organization : www.jnto.go.jp/eng

          คู่รักมือใหม่หัดรีวิวขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงบรรทัดนี้ค่ะ

โตเกียว

โตเกียว

โตเกียว

          แถมอีกสักหน่อย กับรายละเอียดของกล้องที่คุณแฟนเก็บภาพสวย ๆ เหล่านี้มาฝากทุกท่าน เผื่อเป็นข้อมูลเสริมด้วยค่ะ ภาพทั้งหมดนี้มากจากกล้อง 2 ตัวตามนี้ค่ะ

          ตัวหลัก

          - กล้อง Canon 5D Mark II
          - เลนส์ Wide Canon 17-40 f4L
          - เลนส์ Tamron 70-300 f4-5.6 DI VC USD

          ตัวเสริม

          - กล้อง Canon 100D
          - เลนส์ Canon 18-55 IS STM
          - เลนส์ Pancake 40 f2.8 STM



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ตะลุยโตเกียวเที่ยวเพลิน ๆ กับเรื่องราวการเดินทางแสนสนุก อัปเดตล่าสุด 10 มิถุนายน 2567 เวลา 13:28:52 10,570 อ่าน
TOP
x close