เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ markzaa สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
การเดินทางขึ้นไปสู่ "ยอดภูสอยดาว" ที่มีความสูง 2,102 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับนักเดินเท้าหลาย ๆ คน ด้วยเนินที่สูงชัน เส้นทางแคบ คดเคี้ยว ไต่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การเดินทางนั้นยากและท้าทาย แต่ก็ไม่น่าประหลาดใจที่ใครหลาย ๆ คนพยายามพิชิตยอดดอย เพื่อตามเก็บภาพความงามอันอัศจรรย์ของธรรมชาติบนยอดดอย ทั้งป่าสน ทุ่งดอกหงอนนาค พระอาทิตย์ตกดิน และทะเลหมอก ฯลฯ
และสำหรับคนที่กำลังวางแผนไปสัมผัส "ภูสอยดาว" ก็ตามบันทึกการเดินทางและภาพถ่ายสวย ๆ ของ คุณ markzaa สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้เดินทางไปเก็บเอาความงามของภูสอยดาวมาให้ชมกันก่อน...เพื่อเป็นการเรียกน้ำจิ้มเบา ๆ จ้า
คำแนะนำ : รีวิวผมเป็นรีวิวกาก ๆ ที่ไม่ได้ใส่รายละเอียดหรือว่าหาข้อมูลแนะนำต่าง ๆ ใส่ไว้ให้นะครับ เป็นเพียงแค่สิ่งที่ผมอยากเล่าให้ฟังกับประสบการณ์ที่ได้เดินทางไปได้พบ ได้เจอเรื่องราวต่าง ๆ แล้วก็อยากแชร์ภาพถ่ายให้ดู คิดซะว่าอ่านเล่น ๆ ยามว่างแล้วกันนะครับ
ภาษา คำพูด การเขียน ไม่ถูกตามอักขระ ความรุนแรงไม่เหมาะแก่เยาวชนนะครับ กรุณาใช้วิจารณญาณในการรับลม...เอ๊ย..รับชมด้วย
เดินทางเมื่อ 5-7 ธันวาคม 2556
ย้อนหลังไปก่อนหน้านั้นหนึ่งปี หลังจากที่ผมกับเพื่อนที่บริษัทกลับมาจากเขาช้างเผือก เราทุกคนต่างกระสันในความทรหด ความเหนื่อย ความลำบาก เลยตัดสินใจกันว่าจะไปภูสอยดาวกัน แต่ ณ ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าภูสอยดาวมันปิดรับนักท่องเที่ยวไปแล้ว ไอ้เราก็อุตส่าห์นัดแนะกันดิบดี แต่ในที่สุดเวลาหนึ่งปีผ่านไปไวยังกะหนังไทย เราก็ได้มาที่นี่กัน
ผมออกจากกรุงเทพฯ ในคืนวันที่ 4 เดินทางมาถึงที่ตลาดชาติตระการสักประมาณตี 5 ได้ อากาศหนาวสุด ๆ นี่ขนาดยังไม่ขึ้นเขาเลยนะ แต่ในใจคิดว่าข้างบนมันจะหนาวกว่าข้างล่างสักเท่าไหร่กันเชียว สิบกว่าองศา น่าจะไหวอยู่นะ จากนั้นก็หาอะไรกินแถวตลาดนั่นแหละ ส่วนข้าวเที่ยงระหว่างทางกับข้าวเย็นของวันแรก ผมซื้อเป็นข้าวกล่องขึ้นไปเลย เพราะไม่มีคนทำกับข้าว เอาง่ายไว้ก่อน 55
ระหว่างทางคิดว่ายังไงก็ชิล ๆ แค่ 6.2 กิโลเมตรเอง คณะผมติดต่อลูกหาบเป็นกลุ่มแรก ได้เบอร์หนึ่งมา ไอ้ตอนชั่งน้ำหนักยังคุยกันว่าไม่น่าจะเท่าไหร่หรอก คน 5 คน เอาน้ำไป 30 ลิตร แล้วก็อาหารอื่น ๆ เครื่องนอนอีกเล็กน้อย แต่พอเจ้าหน้าที่เขาบวกเลขรวมเสร็จ...ถึงกับผงะ 104 กิโลกรัม ในใจคิด...นี่เราเอาอะไรไปนักหนา โดนค่าลูกหาบไปสามพันกว่าบาท ถึงกับเข่าอ่อน
หลังจากจ่ายเงินเสร็จเราก็ออกเดินทางกันตอนสักเก้าโมง ช่วงแรกเดินเลียบลำธาร บรรยากาศชิลมาก รู้สึกว่าถ้าเดินแบบนี้เรื่อย ๆ คงสดชื่น สักพักลำธารเริ่มหาย ไอ้ช่วงที่ชิล ๆ เนี่ยไม่มีใครจดจำอะไรหรอกว่าเดินมาถึงตรงไหน เดินผ่านอะไรมาบ้าง ความทรงจำเริ่มต้นขึ้นตอนช่วงแรกนี่แหละ มันชื่อว่า เนินส่งญาติ ข้ามเนินนี่ได้ขาแทบหมดแรง เหนื่อยมาก แต่พักเหนื่อยไม่เท่าไหร่เราก็ไปกันต่อ ผ่านเนินอะไรไปผมก็จำไม่ได้แล้ว แต่รู้ว่าป้ายบอกกิโลเมตรมั่วมาก ทำเอาท้อใจ ช่วงแรกเดินแป๊บเดียวสามกิโลเมตร แต่ไอ้สามกิโลเมตรหลังทำไมนานผิดปกติ ยิ่งช่วงสุดท้ายที่เรียกว่า เนินมรณะ เหนื่อยสุด ๆ จริง ๆ มันควรต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเนินส่งวิญญาณถึงจะถูก กว่าจะขึ้นเสร็จวิญญาณแทบหายจากร่าง 55
ผมไปถึงตอนบ่ายสองครึ่ง หลังจากนั้นก็รับของจากลูกหาบ แล้วก็จัดการกางเต็นท์กัน คืนนี้ข้าวเย็นเราไม่เป็นปัญหา เพราะซื้อไป แกะกล่องก็กินได้เลย อากาศข้างบนตอนเดินไปถึงอยู่ประมาณ 16 องศา หนาวมาก นี่ขนาดกลางวันนะ ตอนนั้นก็ยังคิดอยู่ว่าตอนกลางคืนคงเอาอยู่อะนะ
ตื่นเช้าวันใหม่มา พวกผมรีบเดินไปแถว ๆ หลักกิโลเมตร เขาบอกว่าให้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ แต่หนาวก็หนาว ลมก็แรง พระอาทิตย์ไม่มีให้ดูอีก เพราะหมอกบังซะมิดเลย พวกเราก็เลยเดินกลับมาที่เต็นท์กัน รีบจุดเตาถ่านเพื่อใช้อุ่นกับข้าว มื้อเช้าผมนี่ไม่อร่อยเลย กินไม่ลง เพราะยังโง่กันอยู่ แทนที่จะต้มข้าวเพื่อให้มันร้อนเป็นข้าวต้มไปเลยก็ไม่ทำ ดันทุรังกินข้าวเย็น ๆ แข็ง ๆ พร้อมกับอาหารกระป๋องที่แข็ง ๆ อีก...เซ็งเป็ด แต่ไม่เป็นไรเอาไว้มื้อเย็นค่อยกลับมาทำให้ฟินไปเลยก็ได้
เมื่อคืนที่นอนไปอยากจะบอกว่าหนาวสุด ๆ นอนแทบไม่ได้ เท้านี่เย็นเฉียบไปหมด (ไม่ได้ใส่ถุงเท้า) ขนาดช่วงตัวใส่เสื้อกันหนาวไปชั้นหนึ่ง ห่มผ้าห่มสามชั้น ก็เอาไม่อยู่จริง ๆ
จริง ๆ ในวันนี้ผมจะขึ้นไปที่ยอดภูสอยดาว อุตส่าห์ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ตั้งแต่เช้า นั่งรอสักพัก เจ้าหน้าที่มัวแต่เกี่ยงกันแบบไม่อยากพาขึ้น สุดท้ายเดินมาบอกว่าถ้าจะไปคิดหัวละสามร้อย ผมเลิกเลย ถ้าอย่างนั้นไปก็ได้ เดินเล่นรอบ ๆ ลานสนก็ได้
วันนี้ทั้งวันเลยเดินเล่นรอบ ๆ ลานสน พร้อมหอบเอาอาหารไปนั่งปิกนิกนอกที่กางเต็นท์ ก็ดีไปอีกแบบนะ
เดินเล่นรอบ ๆ แป๊บเดียวก็หมดแล้ว มันไม่ค่อยมีอะไรมากมายหรอก ช่วงบ่ายเลยกลับมานั่งเล่นที่เต็นท์แทน อากาศหนาวกำลังดี มีแดดปะทะเข้าหน่อย นั่งกินขนมไปเพลิน ๆ นี่ถ้ามีไวน์เย็น ๆ ด้วยคงแจ่ม
ตกเย็นก็เดินรอเก็บภาพแห่งขุนเขา แสงดาว และสายหมอก แล้วกลับมาทำกับข้าวที่เต็นท์ วันนี้เอาอาหารทั้งหมดที่มีต้มเลย อยากซดอะไรร้อน ๆ มานานแล้ว
คืนวันที่สองผมจัดเต็ม แก้ตัวจากเมื่อวาน ใส่เสื้อกันหนาวสองชั้น มีผ้าพันคออีก ตามด้วยถุงเท้าสองชั้น แล้วก็ผ้าห่มอีกสามชั้น
แค่ตื่นมาตอนเช้าก็รู้สึกว่าไอ้ที่ใส่นอนไปเอาไม่อยู่ ๆ ดีนั่นแหละ กลางดึกตื่นแล้วตื่นอีก ดูนาฬิกาว่าเมื่อไหร่จะเช้าสักที
ขากลับนี่ชิล ๆ เลย เดินลงตอนแปดโมงครึ่งถึงข้างล่างสิบเอ็ดโมง เวลากำลังดี ช่วงลงมีโอกาสสัมผัสกับความงดงามของธรรมชาติมากกว่าขามา เนื่องจากได้เงยหน้ามองฟ้ากันบ้าง ขาไปนี่มองพื้นอย่างเดียวเลย
ตลอดช่วงที่อยู่บนภูสอยดาว อยากบอกว่าพวกผม 6 คน ไม่มีใครอาบน้ำ แปรงฟัน หรือล้างหน้าเลยสักครั้งนะครับ 55 ไม่ได้ซกมกกันนะ แต่มันหนาวจริง ๆ แล้วน้ำก็ไม่ค่อยสะดวกด้วย กว่าจะได้อาบอีกทีก็ตอนลงมาตอนสัมผัสน้ำที่ศูนย์บริการข้างล่างแทบช็อก น้ำเย็นมาก ทนอาบไปได้ยังไงก็ไม่รู้
สุดท้ายก็จบทริปที่แสนประทับใจครับ หลังจากนั้นผมเดินทางต่อยังจังหวัดน่าน มีเพื่อนสองคนกลับกรุงเทพฯ ก่อน เราก็เลยแยกจากกันที่นี่เลย
แล้วติดตามกันต่อกับทริปน่านของผมนะครับ กับ PHOmTOz’s : อยากจะบอกรัก "น่าน"
หมายเหตุ : หากนักท่องเที่ยวเดินทางไปถึงอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวแล้วไม่สามารถขึ้นยอดภูสอยดาวได้ทัน (อุทยานแห่งชาติเปิดให้ขึ้นลานสนภูสอยดาวตั้งแต่เวลา 08.00-14.00 น.) ทางอุทยานแห่งชาติได้จัดเตรียมสถานที่กางเต็นท์ไว้บริการบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติที่อยู่ด้านล่างไว้แล้ว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ตำบลห้วยมุ่น อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ โทรศัพท์ 0 5543 6001-2